ม่านทิวาพชร {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

Tags: โมรารัตติกาล มรกตสนธยา มนตรามุกจันทรา มายาไฟในดวงตา ม่านธาราเร้นดาว อัญมณีเหนือกาล มนตราอัญมณี

ตอน: บทที่ 3 ภูทิวา



ภูทิวา






“ค่ะ บอกมาได้เลย” ดวงตากลมเป็นประกายพราวระยับ อยากรู้นักว่าเขาจะเล่นละครอะไรอีก หญิงสาวพยายามมองหาเครื่องหมาย ‘PloyChan’ ภายในร้านตั้งแต่เข้ามา แต่ก็ไม่พบว่ามีติดไว้ตรงส่วนไหน แบบนี้ความน่าเชื่อถือของร้านกาลเวลายิ่งลดลงกว่าครึ่ง

“ถ้าเอาออกมาให้ดู ห้ามถามอะไรทั้งนั้น ตกลงไหม” มิตรสบตาเธอ ดวงตาคมมีแววขี้เล่น

“อะไรนะคะ” ชลันธรเลิกคิ้วขึ้น เธอกะจะแกล้งถามเรื่องธศิญาอยู่พอดี แต่เมื่อเขาบอกแบบนี้ คำถามก็คงต้องล้มเลิก

“ถ้าไม่ตกลงก็ไม่เป็นไร” เจ้าของผมถักเดร็ดล็อกส์แบมือสองข้างพร้อมยักไหล่

“ตกลงสิคะ” หญิงสาวรีบตอบ เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ยอมเดินตามหมากที่เขาวางไว้ก่อนแล้วกัน

“งั้นตามมาที่เคาน์เตอร์เลย” มิตรเดินนำไปพร้อมกรอบรูปในมือ

“แขวนด้วยนะมิตร ไม่ใช่เอาไปวางเกะกะอีก” เสียงเรียบของอัคนีมายาดังตามหลังมา

“คร้าบ นายหญิง” ชายหนุ่มขานรับเสียงยาว ก่อนจะนำกรอบรูปแขวนไว้ด้านหลังเคาน์เตอร์ไม้ “รออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ขอไปเอาของแป๊บนึง“ พูดจบเขาหายไปด้านหลังร้าน

ครู่หนึ่งเจ้าของร้านหนุ่มก็กลับมาพร้อมกับกล่องกำมะหยี่สี่เหลี่ยมสีม่วงเข้มประดับเพชร มิตรวางมันลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะเปิดฝากล่องออกให้ดู

หัวใจของชลันธรเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น ดวงตากลมโตเปล่งประกายเรืองรอง ไม่คาดคิดว่ามันจะดูล้ำค่าเช่นนี้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา “ขอดูหน่อยได้ไหมคะ”

เมื่อมิตรผายมือเป็นสัญญาณอนุญาต มือบางก็เอื้อมไปหยิบกำไลออกมาจากกล่องและมองอย่างพิจารณา ยิ่งดูก็ยิ่งเห็นถึงความละเอียดละออของชิ้นงาน เพชรเม็ดเล็กเปล่งแสงระยิบระยับฝังอยู่บนตัวกำไลที่ออกแบบอย่างประณีต ตัวหงส์นั้นงามสง่าจนเกินบรรยาย มันดูขลังและมีพลังมากอย่างประหลาดจนสัมผัสได้

“เป็นไงบ้าง” เสียงรื่นรมย์ที่ถามขึ้นทำให้หญิงสาวหลุดจากห้วงความคิด

“สวยค่ะ สวยมาก และคงจะเป็นของหายากมากเหมือนกัน เพราะในหนังสือยังบอกว่ามันเป็นกำไลที่หายสาปสูญ ไม่ทราบว่า…ถ้าฉันจะขอซื้อกำไลวงนี้ คุณจะขายเท่าไหร่คะ” หญิงสาวถามลองเชิงขณะกำลังถกเถียงกับตัวเองในใจว่าเพชรที่ประดับอยู่บนกำไลคือของแท้หรือเปล่า เพราะมันดูมีค่ามากมายเหลือเกิน ถ้าไม่คลางแคลงใจเกี่ยวกับเจ้าของร้าน เธอคงเอนเอียงไปทางความคิดที่ว่าเพชรทั้งหมดเป็นของจริง รวมถึงเรื่องของลูกสาวผู้ว่าการเขตราศินั้นด้วย

“อืม แน่ใจเหรอว่าจะซื้อ” มิตรยกมือขึ้นมากอดอก ยิ้มมีเลศนัย

“แน่ใจค่ะ หรือว่าคุณไม่ขาย” หญิงสาวทำเสียงเหมือนใจแป้ว

“จริงๆร้านของผมไม่ได้เน้นค้ากำไรหรอกนะ ที่เปิดนี่ก็เพราะใจรักล้วนๆ บางชิ้นถ้าไม่อยากขายก็ไม่ขาย บางชิ้นก็ให้ไปเปล่าๆเพราะถูกชะตากันก็มี”

“พูดอะไรวกวนชอบกล” อัคนีมายาเอ่ยแทรกเข้ามาลอยๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินไปทำงานด้านหลังร้าน

ชลันธรยิ้มขำกับคำพูดของเด็กหญิง “คราวนี้ฉันเห็นด้วยนะคะ เข้าประเด็นเลยดีกว่า”

“ก็ได้” เจ้าของร้านหนุ่มแอบบ่นในใจให้ผู้ช่วยที่ชอบขัดจังหวะ ก่อนบอก “สำหรับกำไลหงส์ทิวานี่… ผมจะขายให้คุณ”

“จริงเหรอคะ” ชลันธรยังไม่อยากเชื่อผู้ชายพูดจากวนประสาทคนนี้นัก

“แต่ว่า…”

“คะ” นักเขียนสาวรอฟังอย่างตั้งใจ

“เมื่อกี้คุณบอกว่าอ่านเรื่องกำไลหงส์ทิวาจากในหนังสือ ผมอยากได้หนังสือเล่มนั้น ห้ามถามนะว่าทำไม คุณสัญญาแล้ว” เขาย้ำเตือนข้อตกลงที่คุยกันไว้

“ถ้ามันเป็นของฉัน ฉันให้คุณแน่ค่ะ แต่ว่าหนังสือเล่มนี้ฉันยืมมาจากห้องสมุดน่ะสิคะ” ชลันธรทำท่าลำบากใจ หนังสือที่ว่าก็คงเป็นของอีตามิตรนั่นละ แล้วนี่มันแผนอะไรของเขากัน ดูซับซ้อนวุ่นวายเสียจริง ต้องการอะไรจากเธอเนี่ย

“ผมยืมอ่านแค่สองสามวัน เดี๋ยวเอาไปคืนให้ ปกติเวลาคืนหนังสือใครไปคืนก็ได้นี่ ไม่ต้องห่วง ผมไม่ขโมยหนังสือห้องสมุดแน่” มิตรเอ่ยเสียงหนักแน่น

จะขโมยได้ยังไงล่ะ ในเมื่อมันเป็นหนังสือที่เขาแอบเอาไปไว้บนชั้นในห้องสมุดเอง ตั้งใจให้เธอเห็นและสนใจ เพื่อจะได้ลงล็อกตามแผนการของเขา แต่ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าชายหนุ่มไปสวมรอยเป็นเจ้าหน้าที่ห้องสมุดได้ยังไง อย่าบอกนะว่ามีเจ้าหน้าที่ตัวจริงโดนปิดปากมัดมือมัดเท้านอนดิ้นอยู่ใต้เคาน์เตอร์วันนั้น

“โอเคไหม” เขาทวงคำตอบ

“แต่ว่า…”

“เชิญ มีอะไรจะบอก บอกมาเลย” เจ้าของร้านผายมืออนุญาต

“คือจริงๆหนังสือที่ฉันมีอยู่ตอนนี้เนื้อหาหายไปเกือบทั้งเล่มเลยค่ะ แล้ววันนี้ฉันก็กำลังจะเอาไปเปลี่ยนเล่มใหม่ที่ห้องสมุดเพื่อจะเอามาอ่านต่อว่ากำไลหงส์ทิวามีที่มาที่ไปยังไง เพราะแบบนี้ไงคะ ฉันถึงให้หนังสือคุณไม่ได้”

“อ้อ เข้าใจแล้ว” มิตรพยักหน้าเบาๆ “แต่ผมว่าหนังสือเล่มนี้ไม่จำเป็นกับคุณอีกแล้วละ เพราะถ้าคุณได้กำไลหงส์ทิวาไปมันคุ้มกว่าตั้งเยอะ ส่วนเรื่องความเป็นมาของมัน ผมว่าคุณได้รู้แน่ แต่อาจจะไม่ได้ผ่านหนังสือ” เขาเอ่ยอย่างเป็นปริศนา

“หมายความว่าไงคะ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยความฉงน

“กลับมาถึงช่วงห้ามถามแล้ว ผมขอไม่ตอบ ขอกำไลคืนด้วย” เขายื่นมือรอรับ

“เดี๋ยวสิคะ ฉัน เอ่อ ให้หนังสือคุณก็ได้” ชลันธรตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

“โอเค งั้นกำไลนี่ผมขายให้คุณสามพัน” มิตรเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“สามพัน?” นักเขียนสาวประหลาดใจอย่างแรง กำไลที่ดูมีมูลค่าสูงขนาดนี้ แต่ขายแค่สามพัน เป็นไปไม่ได้แล้วละ ของปลอมแหง แต่เอาเถอะ สวยขนาดนี้ ซื้อไปไว้ใส่เล่นก็ไม่เสียหาย

“อย่าถามล่ะ” เจ้าของร้านยิ้มมุมปาก ดวงตาคมส่องแสงวิบวับ “ระหว่างที่คุณกลับไปเอาหนังสือที่รถ ผมจะเตรียมของไว้ให้”

แม้มีคำถามมากมาย แต่เมื่อไม่อาจถามได้ ชลันธรจึงหันหลังกลับ เดินออกไปยังรถเก๋งสีขาวเพื่อหยิบของให้ชายหนุ่มตามที่เขาต้องการ

นักเขียนสาวกลับเข้ามาในร้านอัญมณีอีกครั้งพร้อมหนังสือสีม่วงเข้ม เธอวางมันลงบนเคาน์เตอร์ก่อนจะยื่นเงินให้เขา

“นี่ค่ากำไลหงส์ทิวาค่ะ” โชคดีที่เธอมีเงินติดกระเป๋าสตางค์สามพันบาทพอดี เพราะกดไว้เผื่อว่าจะใช้ในเหตุฉุกเฉินเช่นรถเสีย ไม่เช่นนั้นคงต้องลำบากออกไปหาตู้กดเอทีเอ็มเป็นแน่

“ขอบคุณมาก ส่วนเรื่องหนังสือคุณไม่ต้องโทร.ไปแจ้งห้องสมุดหรอกนะว่าจะไม่ไปเอาเล่มใหม่แล้ว เดี๋ยวผมจัดการทุกอย่างเอง” ใบหน้าคมระบายไปด้วยยิ้มละไม

“ฉันถามไม่ได้ใช่ไหม” แต่ถึงไม่ให้ถามก็รู้คำตอบ มันเป็นหนังสือของเขานี่นา ไม่ต้องเอาไปคืนก็ไม่มีใครว่าอะไรหรอก

“ถูกต้องนะคร้าบ”

“ตกลงคุณใช่เจ้าหน้าที่คนนั้นหรือเปล่าเนี่ย ท่าทางแปลกๆชอบกล” ชลันธรหวังว่าเขาจะยอมเฉลย

“ไม่ใช่แน่นอน” เจ้าของร้านหนุ่มยืนยันด้วยน้ำเสียงมั่นคง

หญิงสาวกลอกตาไปทางขวาแวบหนึ่งด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะหันกลับมาสบตาเขา “โอเค ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ยังไงก็ขอบคุณมากนะคะที่ขายกำไลวงนี้ให้ฉัน” ชลันธรรับกล่องกำมะหยี่สี่เหลี่ยมสีม่วงเข้มประดับเพชรมาจากมิตร

“ไม่มีถุงให้นะ ช่วยลดโลกร้อน” หนุ่มผิวแทนยักคิ้วกวนๆ

ชลันธรพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินออกมาจากร้านอัญมณีนั้นพร้อมคำถามมากมายที่ติดค้างอยู่ในใจ

เมื่อขึ้นมานั่งบนรถแล้ว หญิงสาวก็หยิบกำไลหงส์ทิวาจากกล่องกำมะหยี่สี่เหลี่ยมสีม่วงเข้มออกมาดูอีกครั้ง มือบางลูบมันแผ่วเบา และโดยไม่คาดคิด เธอพบว่าส่วนที่เป็นปีกหงส์สามารถเลื่อนเปิดลงได้ และมีเพชรน้ำงามทรงรีขนาดประมาณปลายนิ้วหัวแม่มือ เจียระไนแบบเหลี่ยมเกสร ฝังอยู่บนลำตัวหงส์อย่างเหมาะเจาะ

ชลันธรแทบจะลืมหายใจกับความสวยงามของเพชรเม็ดนั้น ทั้งที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม แต่มันยังส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ หากต้องแสงแดดหรือแสงไฟ คงสวยงามมากกว่านี้หลายเท่านัก

‘แต่ผมว่าหนังสือเล่มนี้ไม่จำเป็นกับคุณอีกแล้วละ เพราะถ้าคุณได้กำไลหงส์ทิวาไปมันคุ้มกว่าตั้งเยอะ ส่วนเรื่องความเป็นมาของมัน ผมว่าคุณได้รู้แน่ แต่อาจจะไม่ได้ผ่านหนังสือ’

คำพูดของมิตรลอยเข้ามาในหูอีกครั้ง หลังจากนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นกันนะ แผนของเขาไม่น่าจะจบลงเท่านี้แน่

ดวงตากลมมองไปยังร้านไม้สีเข้มที่ตั้งอยู่เงียบๆท่ามกลางต้นไม้ราวกับว่าจะรู้คำตอบในสิ่งที่สงสัย สุดท้ายเมื่อคิดว่าอย่างไรมิตรก็คงไม่ยอมบอก จึงขับรถออกมาจากร้านอัญมณีนั้นพร้อมปลอบใจตัวเอง

อีกไม่นานก็คงรู้เองละน่า



ตอนเย็น หลังจากรับประทานอาหารกับครอบครัวเสร็จ ชลันธรก็ขอตัวขึ้นมาทำงานบนห้องนอนเช่นเคย

โน้ตบุ๊กสีขาวถูกเปิดทิ้งไว้บนโต๊ะทำงานริมหน้าต่าง ขณะที่เจ้าของร่างเพรียวสมส่วนในชุดนอนสีฟ้า ปล่อยผมสีดำขลับยาวสยาย นอนคว่ำอยู่บนเตียงพลางมองกำไลหงส์ทิวาด้วยสายตาชื่นชม

หญิงสาวเล่าเรื่องที่ไปร้านอัญมณีให้ชลธิศและมาริณฟังแล้ว ทั้งสองต่างก็ประหลาดใจเช่นกันที่ชลันธรซื้อกำไลที่ดูมีราคามาเพียงสามพันบาท

‘ขอมีนดูได้ไหมคะ’ สีหน้าของมาริณสงสัยติดหมัด

เมื่อชลันธรยื่นกำไลหงส์ทิวาให้ ฝ่ายนั้นก็รับไปเพ่งพิศอย่างละเอียดลออ ก่อนบอก ‘ยังไงๆก็ไม่น่าจะราคาแค่สามพันนะคะ’

‘ลันว่าคงเป็นของปลอมมากกว่าค่ะ’ หญิงสาวหัวเราะเสียงใส

‘ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความของปลอมสมัยนี้ดูมีระดับไม่ต่างจากของแท้เลย’ ชลธิศทำหน้าทึ่งๆ ‘แต่พี่ว่าลองเอาไปพิสูจน์ที่สถาบันอัญมณีดีกว่า จะได้หายข้องใจ’

‘แล้วถ้าเกิดผลออกมาว่าเพชรบนกำไลเป็นของจริงล่ะคะ’ มาริณตั้งคำถามต่อ

‘ก็ยิ่งน่าสงสัยมากขึ้นว่าผู้ชายคนนั้นมีแผนการอะไร’ ชลันธรบอก แต่ยังไงเธอก็เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นของแท้ไปได้

ชลันธรมองกำไลเพชรอยู่เนิ่นนาน ก่อนที่ดวงตากลมโตสีดำขลับจะเป็นประกายพร่างพราวเมื่อความคิดดีๆผุดขึ้นมาในหัว ไหนๆก็ไหนๆ นิยายเรื่องใหม่ของเธอที่วางแผนจะเขียนเกี่ยวกับอัญมณีก็เอาเรื่องเพชรเลยละกัน

นักเขียนสาวลุกขึ้นจากเตียง และเดินไปนั่งที่โต๊ะทำงาน เพื่อคิดหาธีมเรื่อง ชื่อเรื่อง พล็อต และตัวละครที่จะมาวาดลวดลายในนิยายของเธอ จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดให้เริ่มที่ร้านกาลเวลาของผู้ชายแปลกๆที่ชื่อมิตรนั่นแล้วกัน




รถเก๋งสีขาวคันเก่าติดฟิล์มเข้มแล่นเข้ามายังถนนลูกรังด้านหน้าตลาดสดยามเย็นบนลานดินกว้างซึ่งสองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนที่ออกมาจับจ่ายใช้สอย

ที่เบาะด้านหลังของรถ ธศิญาในชุดเสื้อผ้าปอนๆหันไปยิ้มให้จาวีซึ่งอยู่ในชุดคล้ายกันด้วยดวงตาเป็นประกายพร่างพราว

‘ตื่นเต้นจังเลยจาวี ไม่รู้การเดินตลาดสดครั้งแรกของฉันจะเป็นยังไงบ้าง’ ลูกสาวผู้ว่าการเขตราศิเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น เพราะปกติมีโอกาสเดินแค่ห้างสรรพสินค้าในเมือง แต่วันนี้ด้วยความที่อยากใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาดูบ้างจึงบอกให้องครักษ์ประจำตัวพามาที่นี่

‘ต้องสนุกมากแน่ค่ะ’ สาวใช้ตอบพลางยิ้ม

ธศิญามองผ่านกระจกรถออกไปด้านนอก เมื่อเห็นวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวบ้าน รอยยิ้มอ่อนใสก็ระบายไปทั่วใบหน้าหวานรูปไข่

ระหว่างทางมีพ่อค้าแม่ค้าขายของอยู่มากมาย ทั้งอาหารคาวหวาน เครื่องนุ่งห่ม ของใช้ บรรยากาศอบอวลไปด้วยความเอื้ออารีต่อกัน ใบหน้าของผู้ซื้อและผู้ขายต่างเต็มไปด้วยความสุข

‘ชวาลี จอดรถหลังต้นไม้ใหญ่นั้นเลย’ ธศิญาบอกชายหนุ่มที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงแสล็คสีดำ บนหน้าอกเสื้อของเขามีเข็ดกลัดตรานกอินทรีย์สีเทาซึ่งเป็นตราประจำเขตราศิติดอยู่

‘ครับ’ ผู้ที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเอ่ยเสียงหนักแน่น เมื่อมาถึงจุดที่เจ้านายบอก องครักษ์หนุ่มก็หยุดรถ

นอกจากวันนี้จะใช้รถคันเก่าเพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตแล้ว ธศิญาและจาวียังเอาผ้าสีเข้มมาคลุมผมไว้เพื่อปลอมตัวให้แนบเนียนกับชาวบ้านอีกด้วย เนื่องจากอยากสัมผัสความรู้สึกของคนธรรมดาจริงๆ มากกว่าการถูกคนที่ตลาดมองในฐานะลูกสาวผู้ว่าการซึ่งจะพาลทำให้ไม่สนุกเปล่าๆ

‘เธอจำฉันได้ไหมจาวี’ เจ้าของเสียงสดใสหันหน้าไปทางซ้ายทีขวาที

‘มองเผินๆจำไม่ได้เลยค่ะ แต่ถ้ามองดีๆอาจจะคุ้นว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน’ สาวใช้ว่าพลางมองใบหน้าผุดผาดของเจ้านาย

‘จริงเหรอ แล้วฉันจะทำไงดี ชาวบ้านถึงจะจำไม่ได้’ คนพูดทำหน้ายู่ ก่อนที่ดวงตาจะเป็นประกายสว่างไสวขึ้น ‘อ้อ รู้แล้ว’ พูดจบมือบางก็ปัดผมมาปิดหน้าไว้ให้มากขึ้น

‘ผมว่าคุณธศิญาควรตัดสินใจอีกครั้งเรื่องที่จะปลอมตัวไปเดินตลาดกับจาวีตามลำพัง มันอันตรายเกินไป ให้ผมตามไปดูแลดีกว่านะครับ’ องครักษ์หนุ่มหน้าคมเอ่ยขึ้นหลังจากนั่งฟังเงียบๆมานาน

‘ไม่ต้องหรอกชวาลี’ ธศิญาเอ่ยเสียงนุ่มนวลพลางยิ้มขอบคุณ ‘ฉันรู้ว่าคุณต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้เคร่งครัด แต่คราวนี้ฉันอนุญาตให้คุณไปเดินเล่นตามใจได้ ถือว่าไม่ขัดคำสั่ง ตกลงไหม’

‘แต่…’

‘ไม่ต้องกลัว เรื่องนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่รู้แน่’ ลูกสาวผู้ว่าการทำเสียงกระซิบกระซาบ ดวงตาเป็นประกายซุกซน

‘แต่ผมไม่อยากบกพร่องในหน้าที่จริงๆนะครับ’ ชวาลีเอ่ยด้วยสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

‘ฉันสัญญาแล้วไงว่าเรื่องนี้จะเป็นความลับระหว่างฉัน คุณ กับจาวีแค่สามคน อย่าคิดมากเลยนะ’ ธศิญาพยายามพูดให้อีกฝ่ายสบายใจ

แม้มองไม่เห็นทางที่ผู้เป็นนายจะเปลี่ยนใจ แต่องครักษ์หนุ่มยังพยายามทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ‘ถ้าอย่างงั้นผมจะเดินตามห่างๆ ไม่ให้รบกวนนะครับ’

‘เฮ้อ ถ้าฉันยืนยันว่าไม่ให้ไป คุณก็ไม่ยอมอยู่ดีใช่ไหมล่ะ’ ธศิญาแกล้งถอนหายใจ ทว่าชื่นชมผู้ติดตามอยู่ไม่น้อย ‘แต่วันนี้ขอสักวันนะชวาลี’

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็จนใจ ‘ก็ได้ครับ แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น คุณธศิญาต้องรีบโทร.หาผม แล้วอย่าเผลอเที่ยวเพลินนะครับ เดี๋ยวกลับไปทานมื้อค่ำกับคุณพ่อคุณแม่ไม่ทัน’ ชวาลีย้ำด้วยความเป็นห่วง

‘ค่ะ ฉันสัญญา’ ลูกสาวผู้ว่าการยิ้มกว้างด้วยความดีใจพร้อมสัญญามั่นเหมาะ พูดจบก็มองผ่านหน้าต่างรถออกไปรอบบริเวณ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจรถเก๋งสีขาวจึงลงจากรถพร้อมกับสะพายกระเป๋าย่ามใส่เงิน ขณะที่สาวใช้คนสนิทตามลงมาไม่ห่าง ก่อนที่ทั้งสองจะมุ่งหน้าเข้าไปในตลาดเพื่อจับจ่ายซื้อของ

ธศิญารู้สึกราวกับนกน้อยได้กางปีกโบยบินออกจากกรงสู่ท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล หัวใจเต้นเริงโลดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะด้วยความเป็นเชื้อสายผู้ว่าการเขตราศิซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่รุ่นปู่ ทำให้ต้องปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบระเบียบอันเคร่งครัดตั้งแต่เด็กจนโตให้สมกับฐานะครอบครัว

‘จาวี ไปดูของกินด้านนั้นกัน’ ธศิญาหันไปชวนคนที่เดินอยู่ข้างๆ

‘ค่ะ คุณธศิญา’ จาวีตอบรับด้วยสีหน้าเบิกบานไม่แพ้ผู้เป็นนาย

‘ตายแล้ว เรียกแบบนั้นไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นรู้หมดว่าฉันเป็นใคร’ เธอกระซิบกระซาบและหันมองไปรอบๆ โชคดีที่ความจอแจในตลาดทำให้ไม่มีใครได้ยินเสียงของจาวี ‘เรียกฉันว่าธาราดีกว่า อย่าเผลอเรียกคุณธศิญาล่ะ’ เจ้าของร่างบอบบางกำชับ

‘ค่ะ คุณธารา’ สาวใช้ยิ้มรับ

จาวีเข้ามาฝึกมารยาทและเรียนหนังสืออยู่ในรั้วคฤหาสน์ของผู้ว่าการตั้งแต่เด็ก จนเมื่ออายุสิบสองปีก็ได้รับเลือกให้เป็นสาวใช้ประจำตัวธศิญา ถึงตอนนี้ก็เกือบเจ็ดปีแล้วที่จาวีไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างเด็กชาวบ้านทั่วไป

ธศิญาและสาวใช้เดินเที่ยวในตลาดด้วยความสบายใจ เริ่มด้วยฝั่งที่มีอาหารและขนมพื้นเมืองขาย ซื้อมาแล้วก็กินไปเดินไป ชี้ชวนให้กันมองสิ่งนั้นสิ่งนี้ตลอดเวลา ก่อนจะมาถึงฝั่งขายเครื่องนุ่งห่มทั้งเสื้อ กางเกง ผ้านุ่ง ผ้าคลุมผม และอื่นๆ

‘อันไหนสวยกว่ากัน’ ธศิญาหยิบผ้าพันคอขึ้นมาสองผืนและถามสาวใช้

จาวีมองอย่างพิจารณา ครู่เดียวก็ตอบ ‘ดิฉันว่า… สีม่วงอ่อนสวยค่ะ’

‘งั้นเอาสีม่วงอ่อนนี่ละ เธอเลือกบ้างสิ เดี๋ยวฉันซื้อให้’ หญิงสาวบอก เพราะตั้งแต่ตอนซื้ออาหารและขนม จาวีก็ปล่อยให้เธอเลือกอยู่คนเดียว

‘ไม่เป็นไรค่ะ’ สาวใช้เอ่ยด้วยความเกรงใจ

‘เลือกเลย ฉันอยากซื้อให้จริงๆ ถือว่าเป็นของที่ระลึกในโอกาสที่เรามาเดินตลาดครั้งแรกไง’ หญิงสาวคะยั้นคะยอ ที่สุดจาวีจึงตอบตกลง และหันไปเลือกผ้าพันคอที่กองรวมกันอยู่บนแคร่ไม้เตี้ยๆด้วยใบหน้าปีติ



ชวาลีที่แอบติดตามมา ยืนมองท่าทางสดใสมีชีวิตชีวาของลูกสาวผู้ว่าการเขตราศิอยู่อีกด้านด้วยสายตาชื่นชม ไม่ว่าจะขยับไปทางไหน หญิงสาวก็สง่างามเสมอ ทุกสิ่งทุกอย่างที่รวมกันเป็นธศิญานั้นไร้ที่ติ ใบหน้ารูปไข่แลดูอ่อนละมุน ดวงตาเป็นประกายหวานซึ้ง จมูกโด่งคม ริมฝีปากอิ่มเต็มสีชมพูเหมือนสีดอกกุหลาบ ถ้าจะบอกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยพบก็คงไม่ผิด

องครักษ์หนุ่มยิ้มเศร้าๆเมื่อได้ยินเสียงที่ดังอยู่ในหัวใจ เสียงที่ไม่มีวันเป็นไปได้ ไม่ว่าตอนนี้หรือตอนไหนก็ตาม

ชวาลีเป็นเพียงลูกชาวบ้านฐานะปานกลางและเข้ามาอยู่ในรั้วคฤหาสน์ของผู้ว่าการเขตราศิตั้งแต่อายุได้สิบห้าปี ชายหนุ่มถูกฝึกฝนวิชาการรบควบคู่กับเรียนวิชาความรู้แขนงต่างๆมาโดยตลอด เมื่ออายุได้ยี่สิบปี เขาและผู้ได้รับการฝึกฝนคนอื่นๆจะต้องออกไปทำภารกิจต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการไปประจำที่หมู่บ้านห่างไกลเพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ทำงานในส่วนต่างๆภายในรั้วคฤหาสน์ และเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ

ณ เวลานั้นชายหนุ่มได้รับคัดเลือกให้เป็นองครักษ์ของธศิญาแทนผู้คุ้มครองคนเก่า เมื่อได้ทำงานอยู่ใกล้ชิด ความรู้สึกบางอย่างก็ก่อเกิดขึ้นในหัวใจโดยไม่รู้ตัว ยิ่งนานวันก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ความรู้สึกดีๆเหล่านั้นก็ไม่มีพื้นที่ให้แสดงออก ได้แต่ปล่อยให้ไหลวนอยู่ในหัวใจเพียงผู้เดียว

หากหญิงสาวเป็นดอกไม้ เขาคงเป็นได้แค่ภมรตัวเล็กๆที่บินไปมาอยู่ไกลๆ ทำได้เพียงแค่มอง ไม่มีสิทธิ์เข้าไปสัมผัสความงามของบุปผา และก็คงจะเป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไป ตราบจนวันสุดท้ายของชีวิตเจ้าภมรผู้แสนน่าสงสาร

ชวาลีรู้ มันเป็นเรื่องต้องห้ามหากองครักษ์ธรรมดาเช่นเขาจะรักกับหญิงสาวผู้มีศักดิ์เป็นถึงลูกสาวผู้ว่าการ แต่เขาก็มิอาจห้ามแรงปรารถนาของหัวใจได้ จึงได้แต่ปล่อยให้มันรู้สึก…อย่างที่อยากจะรู้สึก โดยมีสติที่ตระหนักถึงหน้าที่และความผิดชอบชั่วดีคอยเหนี่ยวรั้งไม่ให้ตนเองทำในสิ่งไม่สมควร

เส้นทางเดินของเขาและธศิญาไม่มีวันบรรจบกันได้ เหมือนแผ่นดินกับผืนฟ้าที่แม้จะเห็นกันอยู่ลิบๆ แต่ก็ไกลเหลือเกินที่จะไขว่คว้าถึงกัน แม้เขาจะเป็นผู้ชายที่ได้อยู่ใกล้หญิงสาวที่สุดด้วยหน้าที่ แต่คนที่ได้อยู่ใกล้หัวใจธศิญามากที่สุด แน่นอนว่าไม่มีทางเป็นเขา

องครักษ์หนุ่มระบายลมหายใจออกมาเบาๆ บอกตัวเองว่าแค่ได้รัก เขาก็มีความสุขแล้ว อย่างที่พ่อแม่เคยบอกว่า รักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือรักที่ไม่ต้องการครอบครอง

เมื่อธศิญาและจาวีออกจากร้านขายเครื่องนุ่งห่ม ชวาลีก็สะกดรอยตามต่อห่างๆเพื่อไม่ให้ผู้เป็นนายสังเกตเห็น ไม่เช่นนั้นคงไม่พอใจเป็นแน่ ขณะนั้นเขาก็เห็นความผิดปกติเมื่อมีชายร่างผอมใส่เสื้อผ้ามอซอคนหนึ่งเดินตามธศิญาและจาวี และค่อยๆเดินใกล้เข้าไปเรื่อยๆ

ชวาลีสาวเท้าตรงไปยังชายผู้นั้นเมื่อเห็นท่าจะไม่ได้การณ์ แต่ทันใดนั้นเอง ชายต้องสงสัยก็ล้วงเอาถุงผ้าใส่เงินในกระเป๋าย่ามของธศิญาออกมาอย่างแนบเนียน

‘หยุดนะ!’ องครักษ์หนุ่มตวาดเสียงกร้าว

ชายคนนั้นสะดุ้งโหยง เมื่อหันกลับมามองเห็นเจ้าของร่างสูงซึ่งอยู่ในชุดสีดำย่างสามขุมเข้ามา ใบหน้าก็ถอดสีลงทันที ‘ผมไม่ได้ขโมย!’ พูดจบชายร่างผอมก็รีบวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตพร้อมถุงเงินในมือ ขณะที่ชวาลีรีบติดตามโจรโฉดไปด้วยความรวดเร็ว

ธศิญา จาวี และชาวบ้านในบริเวณนั้นต่างตกใจกับเหตุชุลมุนวุ่นวายที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว

‘ชวาลีมาตั้งแต่เมื่อไหร่’ เธอถามสาวใช้พลางขมวดคิ้วเข้าหากัน

‘คงแอบติดตามเรามาตลอดน่ะค่ะ แต่ดิฉันว่าดีแล้วที่ชวาลีตามมา ไม่งั้นคุณธศิญาอาจเป็นอันตรายได้’

หญิงสาวยอมรับว่าจาวีพูดถูกจึงมิได้โต้แย้งใดๆ

เวลาต่อมา ชวาลีก็ลากชายที่ขโมยเงินกลับมายังจุดที่ผู้เป็นนายยืนอยู่ ก่อนจะผลักให้ชายผู้นั้นลงไปนั่งคุกเข่าต่อหน้าธศิญา

‘ชวาลี’ หญิงสาวกระซิบพลางนิ่วหน้าเพราะกลัวว่าองครักษ์หนุ่มจะเปิดเผยว่าเธอเป็นใคร

เขาไม่ได้แสดงท่าทีตอบรับ แต่หันไปบอกหัวขโมยเสียงเข้ม ‘มีอะไรจะสารภาพไหม!’

‘ผมขอโทษ ผมไม่ได้อยากขโมยเงินของคุณผู้หญิงนะครับ’ ชายร่างผอมก้มหัวลงกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า

‘ฉันเห็นเต็มสองตา ยังจะโกหกอีกรึ นายต้องโดนลงโทษตามกฏหมายบ้านเมือง!’ ดวงตาคมลุกวาบขึ้น

‘ผมไม่ได้โกหก ผมไม่ได้อยากทำตัวเป็นหัวขโมย แต่ลูกของผมที่เพิ่งคลอดไม่ได้กินนมมาสองวันแล้ว ผมไม่อยากให้ลูกตาย’ เจ้าตัวพูดไปร้องไห้ไป แววตาหม่นหมองด้วยความจนหนทาง

ธศิญาได้ฟังแล้วก็รู้สึกเวทนามากกว่าจะโกรธที่อีกฝ่ายขโมยถุงใส่เงินของตน หันไปมองหน้าองครักษ์หนุ่มเพื่อขอความเห็น

‘อาจเป็นเพียงข้อแก้ตัวก็ได้นะครับ’ ชวาลีไม่อยากปักใจเชื่อง่ายๆนัก

‘ผมสาบานได้ ว่าผมพูดความจริง ยกโทษให้ผมด้วยนะครับ ถ้าผมถูกจับ คงไม่มีใครหาเงินเลี้ยงลูกได้อีกแล้ว เพราะเมียผมพิการทำงานไม่ได้ ได้โปรดเมตตาด้วยเถิดครับ’ ชายร่างผอมอ้อนวอนด้วยแววตาอ่อนล้าราวกับแบกความหนักอึ้งทั้งโลกเอาไว้

ธศิญาหันไปเขย่าแขนชวาลีเบาๆ ‘อย่าเอาเรื่องเขาเลยนะ เงินก็ได้กลับมาแล้ว ฉันสงสารเขา’

เมื่อได้ฟังเรื่องราวของชายผู้นั้น ชวาลีก็ใจอ่อนลงกว่าครึ่ง ทว่าด้วยหน้าที่ก็ยังอยากยืนหยัดในความถูกต้อง

‘ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนเคร่งครัด แต่บางครั้งกฎระเบียบก็ควรยืดหยุ่นบ้าง นะชวาลี ถือว่าฉันขอร้อง’ ลูกสาวผู้ปกครองเขตราศิอ้อนวอน

‘ถ้าผมเอาเรื่องเขา ผมคงใจร้ายมากใช่ไหมครับ’ องครักษ์หนุ่มถามระหว่างที่หัวกำลังคิดใคร่ครวญ

‘ใช่ ฉันคนนึงละที่จะผิดหวังในตัวคุณ’ ธศิญาตอบทันที ‘คนทำผิดครั้งแรก ถ้าไม่ได้ร้ายแรงเกินไปก็ควรให้อภัย แต่ถ้ามีครั้งที่สอง แล้วจะเอาเขาไปลงโทษ ตอนนั้นฉันจะไม่ห้าม’

ชวาลีระบายลมหายใจเบาๆ ที่สุดจึงพยักหน้าให้หญิงสาวเป็นผู้ตัดสิน

ธศิญายิ้มด้วยความยินดี ก่อนจะหันไปบอกชายผู้รอคำตอบซึ่งจะมีผลกับชีวิตตนอยู่ ‘ฉันยกโทษให้ แต่คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ ถ้านายโดนจับ ลูกของนายจะยิ่งแย่กว่าเดิม’ หญิงสาวเอ่ยด้วยสีหน้าเห็นใจ ก่อนจะมอบเงินจำนวนหนึ่งให้ชายผู้นั้น ‘เอาเงินนี่ไป หวังว่านายจะเลิกคิดลักขโมย แล้วหันไปทำอาชีพสุจริต’

‘ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรเลวๆแบบนี้อีกแล้ว’ ชายร่างผอมก้มลงกราบปลกๆ ก่อนจะวิ่งออกไปจากตลาดท่ามกลางสายตาของชาวบ้านรวมถึงชวาลี ธศิญา และจาวีที่ต่างถอนหายใจเมื่อเรื่องราวจบลงด้วยดี



หลังจากเหตุวุ่นวายจบลง ชวาลีก็พาธศิญาและจาวีกลับมาที่รถทันที โชคดีที่หญิงสาวก็ไม่มีแก่จิตแก่ใจจะเดินตลาดต่อแล้วเช่นกัน จึงยอมกลับคฤหาสน์โดยง่าย

‘ขอบคุณมากนะชวาลีที่ช่วยฉัน’ ลูกสาวผู้ว่าการเอ่ยขึ้นพลางมองไหล่หนาของคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถ

‘มันคือหน้าที่ของผมอยู่แล้วครับ ตราบใดที่ผมยังเป็นองครักษ์ของคุณ ผมจะไม่ยอมให้คุณมีอันตรายเด็ดขาด’ น้ำเสียงนั้นหนักแน่นราวกับปฏิญาณตน

ธศิญาได้ยินก็ยิ้มด้วยความซาบซึ้ง ชวาลีไม่ใช่เพียงแค่พูด เพราะที่ผ่านมาหลายปี เขาได้พิสูจน์ให้เธอได้เห็นแล้วว่าทำหน้าที่ของตนได้ดีแค่ไหน เธอรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งยามมีเขาเคียงข้าง และเชื่อมั่นว่าถึงจะอย่างไรชายหนุ่มก็จะไม่มีวันทอดทิ้งเธอไว้ในอันตรายเด็ดขาด

‘ฉันอยากขอโทษด้วยที่วันนี้ไม่ยอมเชื่อฟังคุณ’ เมื่อรู้ตัวว่าผิด ธศิญาก็ยอมเอ่ยโดยไม่ถือว่าตนมีศักดิ์เป็นนาย

‘ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับ’

‘ไม่ได้หรอก ในเมื่อเห็นชัดๆว่าต้นเหตุของเรื่องเกิดจากฉัน แล้วจะให้ฉันปัดความผิดให้พ้นตัวได้ยังไง ฉันขอยอมรับผิด และสัญญาว่าต่อไปนี้ถ้าออกไปนอกคฤหาสน์จะต้องมีคุณติดตาม’

‘ผมก็สัญญาว่าจะดูแลคุณให้ดีที่สุดครับ’ ชวาลียิ้มได้เป็นครั้งแรกหลังจากที่หน้านิ่วคิ้วขมวดมาตั้งแต่ออกจากตลาดสด



เมื่อถึงคฤหาสน์หินอ่อนสีขาวหลังเล็ก ธศิญาก็เปลี่ยนชุดและเตรียมตัวไปทานอาหารเย็น ณ คฤหาสน์ใหญ่กับบิดามารดา

เจ้าของร่างอรชรในชุดเสื้อและกระโปรงสีหวานเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับสาวใช้ในเวลาต่อมา ชวาลีที่รออยู่ในห้องโถงโค้งตัว รอให้หญิงสาวเดินนำไปก่อนแล้วจึงเดินตาม

ทางเดินกว้างไปสู่คฤหาสน์หลังใหญ่นั้นขนาบไปด้วยเสาหินอ่อนสูงตระหง่านซึ่งฐานเสาและด้านบนสลักลวดลายอ่อนช้อยงดงาม ก่อนที่ต่อมาสองข้างทางจะเป็นเขตของสวนดอกไม้สีสันสดใสที่ได้รับการดูแลอย่างดี เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูสูงที่มีภาพวาดวิจิตรก็เข้าสู่เขตของคฤหาสน์ใหญ่ ขณะนั้นพ่อแม่ของธศิญากำลังเดินมายังห้องรับประทานอาหารเช่นกัน

‘ไปนั่งรถเล่นเป็นยังไงบ้างลูก’ อังศุธรผู้เป็นมารดาถามขึ้น

แววตาของหญิงสาวหลุกหลิกนิดหนึ่ง เพราะที่บอกไว้ว่าไปนั่งรถเล่นนั้นเป็นเพียงคำโกหกให้พ่อแม่สบายใจเท่านั้น ถ้าท่านรู้ว่าความจริงเธอปลอมตัวไปเดินตลาดสดต้องไม่ชอบใจเป็นแน่

‘สนุกมากค่ะ’ ธศิญาตอบด้วยใบหน้าแจ่มใส ไม่เท่านั้น ยังหันไปขอเสียงสนับสนุนจากจาวีอีกด้วย ‘จริงไหมจาวี’

‘เอ่อ จริงค่ะ’ สาวใช้ตอบไม่เต็มเสียงนัก

จากนั้นอาหารมื้อค่ำก็เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับการเสวนาเหมือนเช่นทุกวัน จนกระทั่งเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง บิดาของหญิงสาวก็เอ่ยขึ้น

‘มะรืนนี้ผู้ว่าการปาลทัตและคุณดุริยะจากเขตปาณษาจะมาเยี่ยมคฤหาสน์ของเรา ลูกอยู่ต้อนรับพวกท่านด้วยนะธศิญา’ น้ำเสียงของภสินธุ์ค่อนข้างคาดหวัง

‘ลูกไม่ค่อยสันทัดเรื่องการต้อนรับแขกเหรื่อเสียด้วยสิคะ’ เธอขมวดคิ้วเข้าหากัน

‘ไม่สันทัดก็ต้องฝึก ตอนนี้ลูกโตแล้ว จะหลบไปอยู่คฤหาสน์เล็กเวลามีแขกบ้านแขกเมืองมาเยี่ยมเหมือนเดิมไม่ได้’ ดวงตาผู้เป็นพ่อฉายแววเข้มงวด

‘แต่ว่า…’ ธศิญายังไม่ทันจะได้เอ่ยจบ แม่ของเธอก็แทรกขึ้น

‘ไม่มีข้อแม้อะไรทั้งนั้น แม่เห็นด้วยกับพ่อนะ อีกอย่างเขตปาณษาก็เป็นมิตรกับเรามานาน การที่เราต้อนรับพวกท่านอย่างพร้อมหน้าถือเป็นการให้เกียรติอย่างหนึ่ง’

‘คุณแม่’ ธศิญาทำหน้างอพร้อมเอ่ยเสียงอ่อยเมื่อมิอาจขัดความประสงค์ของบุพการีได้

อีกด้านหนึ่งชวาลีกำลังยืนฟังอย่างสำรวม ทว่าในใจขององครักษ์หนุ่มครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้ยินเมื่อครู่และได้สัจธรรมข้อหนึ่งว่า บางครั้งคนเราก็ต้องทำตามหน้าที่ มิใช่ตามเสียงของหัวใจ เพราะคำว่าเหมาะสมเพียงคำเดียว



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 พ.ย. 2556, 00:06:41 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 พ.ย. 2556, 00:06:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1395





<< บทที่ 2 เสียงปริศนา   บทที่ 4 เหนือกาล >>
บุลินทร 19 พ.ย. 2556, 00:07:00 น.
คุณ ดวงมาลย์
คราวนี้มาก่อนแล้วนะ ดักอัพตอนเที่ยงคืนเบย ฮ่าๆๆๆ

คุณ Sansanook
เป็นเด็กคนละคนครับ อัคนีมายาเข้ามาอยู่ในร้านหลังจากสิตารา... ส่วนสิตาราหายไปไหน อันนี้ยังไม่สปอยล์ดีกว่า ติดตามได้ในโมรารัตติกาลตอนล่าสุดเลยครับ

คุณ konhin
จะว่าไปก็โผล่มาหลายฉากอยู่นะครับ ฮ่า ทั้งสามเรื่องคนเขียนก็เลยพยายามจูนบุคลิกมิตรให้คงที่ที่สุดครับ หวังว่าจะเนียนพอนะครับ

คุณ ภาวิน
พาไปแดนลึกลับแห่งหนึ่ง อิอิ ใกล้จะได้ไปแล้วละ

คุณ ริญจน์ธร
ขอบคุณพี่มูนที่มาช่วยไขข้อสงสัยของผู้อ่านครับ

คุณ lovemuay
ข้อแม้แปลกๆตามประสาตามิตรครับ ฮ่า

คุณ อสิตา
ปรับตามิตรกวนน้อยลงแล้วนะ ยังจิ๊กโก๋อยู่มั้ยนี่

คุณ Zephyr
เฟอร์ทำงานหนักจนเบลอแน่ๆ หรือคิดถึงอัคน้อยมากจนตาลาย ฮ่าๆๆๆ เดี๋ยวจะมีปริศนาของอัคนีมายาด้วยละว่าทำไมเด็กนี่ถึงได้ดุตามิตรจังเลย รอติดตามในโมรารัตติกาลของมะม้าน้า ลันยังไม่โดนสูบเข้ารูปตอนนี้หรอก แต่ได้กำไลไปละ มีเนื้อเรื่องภาคอดีตมาให้เดาต่อด้วย อิอิ

คุณ patok
ต้องโผล่ตามประสาตัวเชื่อมครับ ฮ่าๆๆๆ อ่านแล้วอย่าเพิ่งงงน้า จริงๆแล้วสามเรื่องมันจะเกิดหลังจากอีกเรื่องจบตามลำดับ โมรารัตติกาล ต่อด้วยม่านทิวาพชร และปิดท้ายกับมรกตสนธยา พอมาอ่านพร้อมกันเลยอาจจะงงครับ

คุณ goldensun
เด็กแต่ละคนได้เอามาเลี้ยงดูเพราะมีเหตุผลทั้งนั้นเลยครับ แต่ว่าในภาคนี้มีแค่สิตารากับอัคนีมายาสองคน ต่อจากอัคนีมายาจะมีใครอีกมั้ยต้องติดตามครับ ส่วนอำนาจของกำไลหงส์ทิวาจะปรากฏเร็วๆนี้แล้วครับ

คุณ ใบบัวน่ารัก
อัคนีมายาเป็นเด็กที่มิตรรับมาดูแลต่อจากสิตาราครับ เพราะสิตาราต้องไปกับ... ไปกับใครอันนี้ต้องติดตามในโมรารัตติกาลครับ

คุณ nako
ข้อแม้ของมิตรนี่ไม่แน่ใจว่าเป็นข้อแม้ของคนขี้เกียจอธิบายรึเปล่าไม่รู้นะครับ ฮ่า

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ
เดี๋ยวลันได้ไปผจญภัยเร็วๆนี้แล้วครับ แต่ไปอนาคตหรือเปล่า ต้องติดตามนะครับ (โดเรมอนไม่มีน้าาา ฮ่าๆๆ)


ดวงมาลย์ 19 พ.ย. 2556, 00:18:31 น.
ก๊ากกก น้องหมีจ่อคิวอัพอยู่เรอะ 5555 พี่มาอัพแบบมั่วๆ นั่งพิมพ์ตอบเมนท์ไปเรื่อยๆ ตอบจบก็กดปึ้ง แหม่...ยังครองแชมป์คนแรกได้เฉยเบย

พอเห็นหมี (ห้ามผวน) ก็เพิ่งนึกได้ว่าวันนี้วันอังคารแล้วเรอะ กรี๊ดดดดดดด ม่ายนะ เค้ายังเขียนงานไม่ได้ตามเป้า เพราะฉะนั้นต้องรีบไปปั่นต่อโดยด่วน แต่ก็จิ้มไลค์ให้สุดหล่อแล้วเเด้อ


lovemuay 19 พ.ย. 2556, 07:06:41 น.
เมื่อไหร่นางเอกจะเจอพระเอกน้า ปูเสื่อรอค่ะ


konhin 19 พ.ย. 2556, 09:42:56 น.
อ้าว แต่งเองซะงั้น? อย่าไปเดินเรื่องเองด้วยหล่ะ :D


อสิตา 19 พ.ย. 2556, 09:47:14 น.
หมั่นไส้นังมิตร หมั่นไส้นังชวาลีด้วย


ริญจน์ธร 19 พ.ย. 2556, 10:11:01 น.
อีกไม่นานพระเอกจะโผล่มาค่ะ


Zephyr 19 พ.ย. 2556, 12:27:19 น.
อ้าว ไม่สูบเข้ารูป แล้วสูบไปไหนอ่ะ
ตกลงเรื่องธศิญานี่ ลันแต่งต่อเหรอ รึ สลับฉาก
นึกว่าลันจะโดนสุบไปเป็นธศิญาซะอีก


นักอ่านเหนียวหนึบ 19 พ.ย. 2556, 19:27:27 น.
หืมมม อ่านๆ ไป หลงเข้าใจว่าหนูลัน กะธสิญาเป็นคนเดียวกันซะอีกก
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง หรือหนูลันแค่ฝันไป ....
เค้าจิมารอพี่ๆ ที่หน้าจอตอนเที่ยงคืนทุกวันเลยนะ ได้อ่านตอนใหม่ชัวร์ 55555


goldensun 19 พ.ย. 2556, 19:36:53 น.
มิตรตอนนี้ดูยอกย้อนเจ้าเล่ห์จัง โกหกด้วยใช่มั้ยที่บอกว่าไม่เคยเจอลันที่ห้องสมุด
แล้วมิตรเอาหนังสือมาล่อลันให้สนใจกำไลใช่มั้ยคะ
แล้วย้อนอดีตช่วงท้ายนี้ กำไลพาลันไปดูอดีต หรือลันแต่งเรื่อง


patok 25 พ.ย. 2556, 10:27:23 น.
สงสารชวาลี


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account