ม่านทิวาพชร {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

Tags: โมรารัตติกาล มรกตสนธยา มนตรามุกจันทรา มายาไฟในดวงตา ม่านธาราเร้นดาว อัญมณีเหนือกาล มนตราอัญมณี

ตอน: บทที่ 4 เหนือกาล



เหนือกาล





เสียงโมบายล์หอยดังกรุ๊งกริ๊งจากด้านล่างทำให้ชลันธรรู้สึกตัวตื่น หญิงสาวค่อยๆลืมตาขึ้นมองนาฬิกาบนหัวเตียงก่อนจะพบว่าตอนนี้เจ็ดโมงเช้าแล้ว แต่เธอก็หลับตาลงอีกครั้ง เพราะความง่วงจากการทำงานถึงตีสองยังไม่สร่างซา

ขณะที่กำลังจะจมดิ่งสู่นิทรารมณ์นั้นเอง คิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากันน้อยๆ แล้วจู่ๆนักเขียนสาวก็ลืมตาโพลงขึ้นพร้อมอุทาน “คุณธศิญา!” ใช่ คุณธศิญา เมื่อกี้เธอฝันถึงลูกสาวผู้ว่าการเขตราศิ

เพียงแค่คิดถึงภาพในความฝันก็ขนลุก เธอสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของทุกคนอย่างชัดเจนราวกับร่วมอยู่ในฉากนั้นๆด้วย

ทว่าวินาทีต่อมาชลันธรก็ขมวดคิ้วมุ่น ดวงตากลมโตฉายแววครุ่นคิด ทั้งที่เชื่อว่าเรื่องของลูกสาวผู้ว่าการเขตราศิอาจเป็นเรื่องที่มิตรแต่งขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง แต่การที่เธอฝันไปได้ไกลขนาดนั้น แน่นอนว่ามิตรไม่มีทางมาบงการได้ อยากจะคิดว่าความฝันอาจเกิดจากการหมกมุ่น แต่เธอก็ไม่ได้อยากจะรู้เรื่องราวของธศิญาขนาดนั้น แค่สงสัยว่าทำไมเจ้าของร้านกาลเวลาจึงขายกำไลหงส์ทิวาที่ดูมีมูลค่ามหาศาลให้ในราคาถูกเฉยๆ ไม่น่าจะเอามาฝันเป็นเรื่องเป็นราวได้เลย

หรือว่าเรื่องของธศิญากับกำไลเพชรที่หายสาปสูญจะเป็นเรื่องจริง หญิงสาวส่ายหน้ากับตัวเอง ด้วยคิดว่าเป็นไปได้น้อยมาก แต่ถ้าจะให้เลิกสนใจไปเสียง่ายๆก็ไม่ใช่วิสัยของเธอ

การที่เจ้าของร้านหนุ่มบอกว่าเธอจะได้รู้ความเป็นมาของกำไลเพชรนี้อย่างแน่นอนมันหมายความว่าอย่างไร รู้ผ่านความฝันอย่างนั้นเหรอ คิดมาถึงตรงนี้ชลันธรก็หัวเราะเบาๆ ถ้าเธอฝันถึงเรื่องราวต่อจากนั้น มันคงไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้วละ



หลังจากนักเขียนสาวเล่าเรื่องความฝันให้ชลธิศกับมาริณฟังบนโต๊ะอาหารเช้า ภรรยาของพี่ชายก็แนะนำให้ลองถามไตรว่าพอจะรู้เรื่องประเทศภูทิวาหรือเปล่าเนื่องจากมาริณคิดว่าอาจารย์ภูมิศาสตร์และนักเดินป่าอย่างเขาน่าจะมีข้อมูล หรือไม่ไตรก็อาจรู้จักคนที่พอจะช่วยหารายละเอียดได้

“เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ยคุณ อาจารย์ภูมิศาสตร์ที่ชอบเดินป่าอาจไม่ได้สนใจประวัติศาสตร์ก็ได้” ชลธิศหันไปถามมาริณพลางขมวดคิ้วหนาเข้าหากันอย่างยั่วเย้า

“คุณนี่ชอบขัดฉันอยู่เรื่อย ฉันบอกว่าพี่ไตรน่าจะมีข้อมูล ไม่ได้มั่นใจว่าเขาต้องรู้สักหน่อย” หญิงสาวย่นจมูกใส่สามี

“เอาละค่ะๆ ลันเห็นด้วยกับคุณมีนนะคะ คนที่พอจะช่วยหาข้อมูลได้ก็มีแต่คุณไตรนี่แหละ เพราะเราไม่ได้รู้จักนักประวัติศาสตร์ที่ไหน” ชลันธรเคยเจออาจารย์หนุ่มครั้งหนึ่งตอนงานแต่งงานของชลธิศกับมาริณเมื่อไม่นานมานี้ แต่ยังไม่ได้สนิทสนมอะไรกันมาก

“งั้นเดี๋ยวกินข้าวเสร็จมีนเอาเบอร์พี่ไตรให้นะคะ” มาริณพร้อมช่วยเหลือ

“ขอบคุณค่ะ” นักเขียนสาวยิ้มอย่างซาบซึ้ง

ตอนแรกก็ไม่ได้อยากจะสืบสาวราวเรื่องอย่างเป็นทางการเช่นนี้ แต่พอมาริณเสนอขึ้นมาก็ชักนึกสนุก ถึงใจจะเอนเอียงไปทางไม่เชื่อ แต่ก็อยากจะถามไตรให้รู้กันไปข้างว่าประเทศภูทิวามีอยู่จริงหรือเปล่า ถ้าเขาบอกว่าไม่มี คงชัดเจนว่าความฝันของเธอเมื่อคืนเกิดจากการเก็บเรื่องราวของธศิญามาคิดฟุ้งซ่านโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น

“อ้อ มีนว่าตอนคุณลันลงไปงานมีตติ้งนักเขียนที่กรุงเทพฯ เอากำไลหงส์ทิวาไปให้พี่ไตรช่วยดูก็ได้นะคะ เผื่อว่าจะทำให้หาคำตอบเกี่ยวกับภูทิวาได้ง่ายขึ้น”

หญิงสาวพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย แม้ยังไม่รู้ว่าจะได้แวะไปหาไตรไหม แต่เอาติดไปด้วยก็ไม่เสียหาย “ดีเหมือนกันค่ะ”



ชลันธรติดต่อไปหาไตรช่วงบ่ายคล้อยเพราะคิดว่าเขาน่าจะว่างจากการสอนพอดี และเป็นไปตามคาดเมื่ออาจารย์หนุ่มรับสายในเวลาไม่นานนัก

“สวัสดีครับ ไตรพูดครับ” เสียงนุ่มที่ดังมาตามสายทำให้ชลันธรนึกถึงภาพชายหนุ่มร่างสูงผู้มีผิวคล้ำแดดหน่อยๆอย่างลูกคนจีน กำลังยิ้มอย่างอบอุ่น ดวงตาเรียวรีภายใต้กรอบแว่นสีชาของเขาคงทอประกายอ่อนโยนไม่ต่างจากน้ำเสียง

“สวัสดีค่ะคุณไตร นี่ลันนะคะ ไม่แน่ใจว่าคุณไตรจะจำได้หรือเปล่า”

“อ๋อ จำได้สิครับ คุณลัน น้องสาวของคุณเชน”

“ใช่ค่ะ ที่ลันโทร.มาวันนี้เพราะว่ามีเรื่องให้คุณไตรช่วยนิดหน่อยน่ะค่ะ แต่ถ้าฟังเรื่องที่ลันขอแล้ว คุณไตรไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรนะคะ” ชลันธรเอ่ยอย่างเกรงใจ เพราะจะว่าไปอาจารย์มหาวิทยาลัยแบบเขาอาจมีงานสำคัญกว่าการค้นหาเรื่องราวของประเทศภูทิวาให้คนขี้สงสัยเช่นเธอ

“ครับ ว่าไงเอ่ย” ปลายสายพร้อมรับฟัง

เมื่ออาจารย์หนุ่มเปิดโอกาสแล้ว เธอก็ไม่รีรอที่จะเริ่มประเด็น “ไม่ทราบว่า…คุณไตรรู้จักประเทศภูทิวาหรือเปล่าคะ”

“ภูทิวา? อืม…ไม่เคยได้ยินนะครับ แต่เดาว่าคงจะเป็นเมืองที่อยู่ในประวัติศาสตร์ ทำไมเหรอครับคุณลัน” ป่านนี้เขาคงนิ่วหน้าด้วยความสงสัย

“ลันกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับที่นี่อยู่ค่ะ แต่ว่าทั้งในหนังสือและอินเตอร์เน็ทไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับภูทิวาเลย คุณมีนเลยแนะนำให้ลันลองโทร.มาปรึกษาคุณไตรดูน่ะค่ะ”

“เอางี้ดีไหมครับ เดี๋ยวผมจะให้เพื่อนอาจารย์ที่สอนประวัติศาสตร์ช่วยหาข้อมูลให้ เขาคงถนัดกว่าผม” ไตรเสนอทางเลือก

“ก็ดีนะคะ แต่ว่าเอาเป็นช่วงที่เพื่อนคุณไตรว่างจริงๆก็ได้ค่ะ ลันไม่รีบ” จุดประสงค์ของเธอก็แค่อยากให้ตัวเองคลายสงสัย ดังนั้นการสืบค้นข้อมูลจะช้าหรือเร็วให้ขึ้นอยู่กับฝ่ายคนช่วยน่าจะดีกว่า

“ไม่ต้องกลัวว่าจะรบกวนหรอกครับ เพื่อนผมมันชอบค้นหาข้อมูล ยิ่งชื่อประเทศที่ไม่เคยได้ยินแบบนี้ มันคงยิ่งตื่นเต้นสนใจ” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงยินดี

“ถ้างั้นลันฝากด้วยนะคะ” นักเขียนสาวเอ่ยด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นจึงคุยกันต่อเรื่องพี่ชายของเธอและมาริณว่าชีวิตหลังการแต่งงานเป็นอย่างไรบ้าง ระหว่างการสนทนามีเสียงหัวเราะเป็นระยะๆ

“ยังเป็นคู่กัดกันตลอดเลยนะครับ”

“ใช่ค่ะ พี่เชนตัวดีเลยค่ะ ชอบยั่วให้คุณมีนงอนบ่อยๆ” ชลันธรเผาพี่ชายตัวเอง

“งั้นเราก็สบายใจได้แล้วละครับว่าสองคนนี้คงรักกันยาวนาน ไม่มีปัญหาระหองระแหงแน่นอน”

“คุณไตรหมายความว่าผู้ชายแหย่ผู้หญิงเพราะรักเหรอคะ” นักเขียนสาวขมวดคิ้วเรียวสวยเข้าหากัน

“ใช่ครับ บางคนมีความสุขนะที่ได้แกล้งแฟนตัวเอง ชอบพูดให้หึง พูดให้โกรธ แต่ใจจริงน่ะรักมาก”

“ไม่เข้าใจผู้ชายเลยจริงๆ”

“ผมบอกว่าบางคนนะครับ ไม่ใช่ทุกคน อย่าเหมารวมว่าผู้ชายขี้แกล้งเสมอไปนะครับ บางคนอาจจะชอบเอาใจมากกว่าชอบแกล้งก็ได้”

“งั้นลันขอแบบชอบเอาใจดีกว่าค่ะ ไม่อยากได้แบบพี่เชน” ใบหน้าเนียนใสระบายยิ้มละไม

ชลันธรคุยกับไตรนานกว่าที่คิด เพราะคุยไปคุยมาชักเพลิน กว่าจะวางสายก็เมื่อผ่านไปสิบห้านาที

คืนนั้นนักเขียนสาวเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะอยากนอนหลับเร็วๆเผื่อว่าจะฝันถึงเรื่องราวของธศิญาต่อ ทว่าสุดท้ายก็ไม่เป็นดังตั้งใจเมื่อเธอไม่ได้ฝันอะไรเลยจนถึงเช้า

“นั่นไงละ มีแววว่าแกจะฟุ้งซ่านไปเองแล้วละยายลัน” ชลันธรส่ายหน้าไปมาพร้อมยิ้มขำ

เช้าวันรุ่งขึ้น หญิงสาวเดินทางไปยังสมาคมอัญมณีและเครื่องประดับจันทบุรีเพื่อนำกำไลหงส์ทิวาไปตรวจสอบ เป็นการไขข้อข้องใจเบื้องต้น ทว่าผลที่ออกมาก็ทำให้สับสนยิ่งกว่าเดิมเมื่อพบว่าเพชรเป็นของแท้ นอกจากนั้นความบริสุทธิ์ยังอยู่ในระดับ Flawless หรือปราศจากตำหนิทั้งภายในและภายนอกเมื่อมองด้วยกล้องที่มีกำลังขยายสิบเท่า ซึ่งเป็นระดับความบริสุทธิ์สูงสุด จึงจัดว่าเป็นเพชรที่หายากมากและมีราคามหาศาลทีเดียว

“เพชรแท้อย่างนั้นเหรอ” ชลันธรทั้งคาใจทั้งงุนงง หากตีราคาจริงๆ กำไลหงส์ทิวาคงมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าเจ็ดหลักหรืออาจจะแปดหลัก แล้วทำไมมิตรถึงขายให้เธอแค่สามพัน แบบนี้ยิ่งทำให้อยากรู้ว่าเขาต้องการสิ่งใดจากเธอกันแน่ “โอ๊ย ตานั่นคิดจะทำอะไรนะ” หญิงสาวอยากจะขยี้ผมตัวเองแรงๆด้วยความอึดอัดปนขัดใจ เพราะคิดหาสาเหตุอย่างไรก็คิดไม่ออก เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เล่าเรื่องนี้ให้พี่ชายและมาริณฟัง สองคนนั้นก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน

“แปลก…แปลกมากๆค่ะ” มาริณนิ่วหน้า

“พี่ว่าอย่าเอากำไลไปกรุงเทพฯด้วยเลย มันอันตราย ถ้าจะให้คุณไตรช่วยดูก็ถ่ายรูปไปแทนดีกว่านะ” ชลธิศบอกด้วยความห่วงใย

“ลันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ” ตอนแรกที่จะเอาไป เพราะคิดว่ามันเป็นของปลอม แต่ตอนนี้เมื่อผลการตรวจสอบออกมาว่าเป็นของแท้ เธอก็ไม่กล้าพกติดตัวแล้ว ด้วยกลัวจะรักษาไม่ได้

คิดได้ดังนั้น ชลันธรจึงถ่ายภาพกำไลหงส์ทิวาตามคำแนะนำของพี่ชาย ก่อนจะนำมันไปเก็บไว้ในตู้เซฟของบ้าน

ในเมื่อกำไลเป็นของจริงเช่นนี้ แล้วเรื่องของลูกสาวผู้ว่าการเขตราศิล่ะ จะเป็นจริงหรือเท็จกัน หญิงสาวขบคิดอย่างหนัก ทว่าคืนต่อมา ชลันธรก็ยังคงไม่ฝันถึงธศิญาเช่นเดิม จนกระทั่งเช้าวันที่ต้องเดินทางไปกรุงเทพฯ ขณะผล็อยหลับบนรถทัวร์นั้นเอง นักเขียนสาวก็ฝันถึงเหตุการณ์ ณ คฤหาสน์ของเขตราศิจนได้



ธศิญานั่งเศร้าโศกอยู่ภายในห้องนั่งเล่นของคฤหาสน์เล็กโดยมีชวาลีและจาวีอยู่ด้วย เหตุที่ทำให้หมองใจก็คือดุริยะต้องการสู่ขอเธอจากพ่อแม่ ทั้งที่เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง หนำซ้ำยังพูดคุยกันไม่นาน

จริงอยู่ว่ารักแรกพบอาจเกิดขึ้นได้ แต่มันเร็วเกินไปที่การแต่งงานจะมีขึ้น เธอรู้จักเขาเพียงภายนอก ทว่าหัวใจของเขาเป็นเช่นไร จะดีหรือจะร้าย เธอไม่สามารถมองทะลุเข้าไปเห็นได้ นอกจากใช้เวลาศึกษา ซึ่งสิ่งนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย

‘ยังไงฉันก็ไม่ยอมแต่งงานกับคุณดุริยะ’ ธศิญาพยายามสะกดกลั้นความทุกข์เอาไว้ในอก ทั้งที่อยากร้องไห้ออกมาเต็มที

‘แต่คุณภสินธุ์กับคุณอังศุธร…’ จาวีมีสีหน้าพิพักพิพ่วน

‘คุณพ่อคุณแม่จะยืนกรานบังคับฉัน ทั้งที่ฉันไม่ได้รักคุณดุริยะเลยงั้นเหรอ’ ดวงตากลมเรียวเต็มไปด้วยแววขมขื่น

‘ผมว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณธศิญาหวังดีนะครับ’ ชวาลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นปกติแม้ในใจจะเจ็บหน่วงๆเหมือนมีใครเอามือมาขยำขยี้

‘คุณจะสนับสนุนการแต่งงานครั้งนี้ด้วยเหรอชวาลี’ ความรวดร้าวแล่นลามขึ้นมากลางอกจนน้ำตาเกือบจะไหลพรั่งพรูออกมาด้วยความน้อยใจ หากต้องแต่งงานโดยไม่เต็มใจ หัวใจคงเป็นแผลลึกรุนแรงไม่ต่างจากการโดนอาวุธทิ่มแทง



แม้ยืนยันว่ายังไงก็จะไม่แต่งงานกับดุริยะ แต่สุดท้ายหญิงสาวก็ขัดความต้องการของผู้ให้กำเนิดไม่ได้เมื่อพวกท่านเรียกมาคุยเรื่องนี้ที่ห้องทำงาน ณ คฤหาสน์หินอ่อนหลังใหญ่

‘คุณพ่อคุณแม่จะให้ลูกทำอะไรก็ได้ แต่อย่าบังคับลูกเรื่องคู่ชีวิตเลยนะคะ’ หญิงสาวมองด้วยสายตาอ้อนวอน เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งจะต้องมาเผชิญกับเรื่องที่ทำให้อึดอัดเช่นนี้

ผู้เป็นมารดาส่ายหน้าไปมา ‘แม่ไม่เห็นว่าคุณดุริยะจะมีอะไรเสียหาย ถึงจะอายุแค่ยี่สิบหก แต่เขาก็สง่างามและมีเกียรติกว่าคนวัยเดียวกันมากมาย และดูเหมาะสมกับลูกทุกอย่าง’

‘ใช่ค่ะ เขาเพียบพร้อมทุกอย่าง แต่ลูกไม่ได้รักคุณดุริยะเลยแม้แต่น้อย แล้วจะแต่งงานกันได้ยังไง’ เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ธศิญารู้ดีว่าผู้ที่ซ่อนอยู่ภายในใจเธอคือใคร ผู้ชายคนนั้นอยู่เคียงข้างและคอยปกป้องดูแลเธอมาตลอดด้วยความซื่อตรง

เมื่อฟังจบ ภสินธุ์ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง ‘ลูกจะรักคุณดุริยะหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือครอบครัวของเราต่างหาก ทางคุณดุริยะเกี่ยวดองกับท่านผู้นำศุรเยศ ถ้าเราแต่งงานกับเขา รับรองว่ามีผลดีมากกว่าผลเสีย’

ประเทศภูทิวาเพิ่งเปลี่ยนการปกครองจากระบอบเผด็จการมาเป็นประชาธิปไตยได้ไม่นาน ทำให้บรรยากาศของประเทศในแบบเดิมยังคงไม่จางหาย เดิมผู้ว่าการเขตจะถูกแต่งตั้งโดยผู้นำประเทศ ส่วนมากจะดำรงตำแหน่งจนกว่าจะเกษียณอายุ และส่งต่ออำนาจให้ลูกหลาน แต่วันข้างหน้าถ้ามีการกำหนดให้เลือกตั้งใหม่ก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยืนยันว่าภสินธุ์จะได้ดำรงตำแหน่งต่อไป

เขายอมรับไม่ได้หากต้องเสียอำนาจในรุ่นเหลนอย่างเขา เพราะครอบครัวสืบทอดตำแหน่งนี้มาตั้งแต่รุ่นทวด ดังนั้นเมื่อโอกาสมาถึงอย่างไม่ทันตั้งตัว ชายวัยกลางคนจึงต้องการใช้มันเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง เนื่องจากผู้ว่าการเขตต่างๆของประเทศภูทิวาต้องได้รับการรับรองจากท่านผู้นำศุรเยศก่อนดำรงตำแหน่ง

‘แล้วคุณพ่อไม่คิดถึงความรู้สึกของลูกบ้างเหรอคะ’ หญิงสาวเอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจ

‘ลูกจะคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้หรอกนะธศิญา พ่ออยากให้เชื้อสายของเราได้สืบทอดตำแหน่งนี้ต่อไป เพื่อศักดิ์ศรีและเกียรติยศแห่งวงศ์ตระกูล’

‘แม่ให้เวลาลูกตัดสินใจหนึ่งคืน พรุ่งนี้หวังว่าจะได้คำตอบ’ แม้ข้างในลึกๆจะสงสารลูก แต่อังศุธรก็ต้องเข้มแข็งยืนหยัดอยู่ข้างสามี เพราะหากใจอ่อนกับลูกก็คงไม่สามารถช่วยสามีควบคุมประชาชนร้อยพ่อพันแม่ในเขตราศิได้

ธศิญาไม่เถียง ด้วยคิดว่าพูดไปพวกท่านก็คงไม่ฟัง ‘ค่ะ’ เธอย่อตัวลาบิดามารดาก่อนจะหันหลังเดินออกมานอกห้องทำงาน หญิงสาวไม่เอ่ยอะไรกับชวาลีและจาวีซึ่งยืนรออยู่ด้านนอก นอกจากบอกสั้นๆว่า ‘กลับคฤหาสน์’



เวลาตีสามซึ่งท้องฟ้ามืดมิด ทุกอย่างกำลังหลับใหล ธศิญาในชุดเสื้อและกางเกงสีเข้มแอบออกมาพบชวาลีที่ยืนเฝ้ายามอยู่หน้าบันไดทางขึ้นห้องนอนภายในคฤหาสน์หินอ่อนหลังเล็ก

‘คุณธศิญา’ องครักษ์หนุ่มตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเจ้านาย เพราะแต่ไหนแต่ไรไม่เคยลงมากลางดึกเช่นนี้ ที่สำคัญในมือของหญิงสาวยังมีกระเป๋าเสื้อผ้าใบขนาดย่อมอีกด้วย

‘ชวาลี คุณพาฉันไปจากที่นี่ได้ไหม’ ดวงตากลมเรียวเจือไปด้วยแววอึดอัด

‘ไปจากที่นี่?’ คิ้วหนาเลิกขึ้นอย่างงุนงน

‘ใช่ คุณก็รู้ว่าคุณพ่อคุณแม่บังคับให้ฉันแต่งงาน ฉันไม่อยากแต่งเลย คุณพาฉันหนีที ไปไหนก็ได้ที่พวกท่านจะตามหาไม่พบ’ เสียงของลูกสาวผู้ว่าการอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร รู้ดีว่าเขายึดมั่นในหน้าที่มากแค่ไหน แต่ที่ผ่านมาชวาลีก็ทัดทานเธอไม่ได้ ทว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน เมื่อเรื่องที่เธอขอร้องชายหนุ่มนั้นหนักหนากว่าที่เคย

‘มันจะเหมาะสมเหรอครับคุณธศิญา คิดทบทวนดีแล้วเหรอครับ’ ชวาลีลำบากใจไม่น้อย หากเขาพาอีกฝ่ายหนี คฤหาสน์ต้องวุ่นวายเป็นแน่

‘ฉันคิดดีแล้ว พาฉันหนีเถอะนะชวาลี’ หญิงสาวบอกอย่างร้อนรน มองซ้ายมองขวาพลางแตะแขนองครักษ์แผ่วเบา

‘แล้วจาวี…’

‘ฉันบอกเรื่องนี้กับจาวีแล้ว จาวีจะบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าไม่รู้เรื่อง’ ธศิญาคิดว่าตนเองวางแผนทั้งหมดไว้อย่างรัดกุมเพียงพอ

‘ผมอยากให้ใคร่ครวญอีกครั้ง การหนีงานแต่งงานอาจไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด’ ชวาลีพยายามเกลี้ยกล่อม

‘แล้ววิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคืออะไร ฉันคิดไม่ออกจริงๆ’ หญิงสาวยอมรับว่าตอนนี้มืดแปดด้าน หากเขามีวิธีอื่นที่เหมาะสมกว่านี้ เธอก็พร้อมจะรับฟัง ทว่าชวาลีกลับเงียบไป ‘ถ้างั้นพาฉันหนีเถอะ ก่อนที่ใครจะมาเห็นเข้า’

‘แต่ว่า…’

ธศิญาระบายลมหายใจเบาๆเมื่อเห็นท่าทีขององครักษ์หนุ่ม เธอพยักหน้าก่อนเอ่ย ‘ไม่เป็นไร ถ้าคุณลำบากใจ ฉันก็ยินดีจะไปคนเดียว’ ดวงตากลมเรียวเจือด้วยแววเศร้าหมอง เธอสบตาชวาลีเพื่อบอกลา แววตาของเขาราวกับกำลังชั่งใจ ธศิญารอวินาทีที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมาสักอย่าง ทว่าสุดท้ายก็มีเพียงความเงียบ

หญิงสาวตัดสินใจหันหลังกลับด้วยความเด็ดเดี่ยว แม้จะต้องเดินท่ามกลางพายุหิมะอันเหน็บหนาวเพียงลำพัง เธอก็ต้องฝ่าฟันไปให้ได้ จังหวะที่กำลังจะก้าวขานั้น คนที่อยู่ด้านหลังก็เอ่ยขึ้น

‘จะหนีได้ยังไงครับ ข้างนอกมีคนเดินเวรยามอยู่ตลอดเวลา ถ้าออกไปต้องเห็นเราแน่’

คำว่า ‘เรา’ ทำให้หัวใจของธศิญาพองโตขึ้นอย่างประหลาด เธอหันกลับมาสบตาองครักษ์หนุ่มอย่างมีความหวัง ‘คุณจะอยู่เคียงข้างฉันอย่างที่สัญญาใช่ไหม’ หญิงสาวรู้ดีว่าหากชวาลีจะพาเธอหลบหนีจากคฤหาสน์นั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลยสักนิด

สิ่งเดียวที่เธอต้องการในตอนนี้คืออิสระ โลกอันมีแต่แสงสว่างแห่งความสุข ไร้ซึ่งความทุกข์อันดำมืดดุจรัตติกาล และชวาลีที่คอยคุ้มครองอยู่ข้างกายทุกวันเวลา โดยไม่มีผู้ใดตามหาเธอและเขาพบ

ดวงตากลมเรียวของหญิงสาวที่มองมาทำให้ความกังวลพวยพุ่งขึ้นในใจองครักษ์หนุ่มมากขึ้นทุกทีๆ เขาจะทำอย่างไรต่อไปดีถึงจะเหมาะสม คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกเลยจริงๆ






“คุณคะ คุณ ถึงกรุงเทพฯแล้วค่ะ”

เสียงนุ่มนวลที่ดังขึ้นทำให้ชลันธรตื่นขึ้นจากความฝัน เมื่อลืมตา หญิงสาวก็เห็นพนักงานสาวของรถทัวร์ยืนยิ้มหวานอยู่ จึงกล่าวขอบคุณแล้วก้มลงหยิบกระเป๋าเดินทางใบย่อมที่วางอยู่ปลายเท้า เดินลงจากรถทัวร์พร้อมดวงตาที่ยังปรือๆ จากนั้นจึงต่อแท็กซี่ไปยังคอนโดซึ่งซื้อเอาไว้พักเวลาเธอหรือพี่ชายเข้ามาในกรุงเทพฯ

เมื่อนึกถึงเรื่องราวในฝันเมื่อครู่ ชลันธรก็ขนลุกซู่ขึ้นมา เธอฝันเป็นครั้งที่สองแล้ว และเรื่องราวยังต่อเนื่องจากครั้งแรกอีกด้วย เช่นเคยที่ความรู้สึกของคนในฝันชัดเจนอย่างไม่น่าเชื่อ

“ไม่ใช่ธรรมดาแล้วจริงๆ” หญิงสาวเผลอพึมพำออกมา เมื่อแท็กซี่วัยกลางคนได้ยินก็ขมวดคิ้วมุ่น

“อะไรเหรอหนู”

นั่นละ ชลันธรถึงได้รู้ตัวว่ากำลังเหม่อลอย “เปล่าค่ะ ซ้อมบทละครน่ะค่ะลุง” เธอหัวเราะกลบเกลื่อน

เมื่อมาถึงคอนโด หลังจากเอากระเป๋าไปเก็บในห้องนอนแล้ว หญิงสาวก็ออกมานั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่นและต่อสายไปถึงไตร ไม่นานฝ่ายนั้นก็รับสาย

“คุณไตรสะดวกคุยไหมคะ” ชลันธรเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ เพราะก่อนจะโทร.ก็นั่งนึกมาตลอดทางว่าควรโทร.หาเขาไหม แต่สุดท้ายความอยากรู้ก็ทำให้ต่อสายมาหาชายหนุ่มจนได้

“ครับคุณลัน ผมยังไม่ลืมเรื่องที่คุณลันวานนะครับ แต่ว่าตอนนี้เพื่อนผมยังไม่ได้บอกความคืบหน้าเลย” เขาแซวมาตามสาย

“ลันไม่ได้ทวงนะคะ” คำพูดเป็นกันเองของเขาทำให้หญิงสาวอดหัวเราะไม่ได้

“น้องมีนบอกว่าคุณลันมากรุงเทพฯเหรอครับ ถ้ายังไงพรุ่งนี้หวังว่าจะมีโอกาสพบกันนะครับ ผมจะรีบไปทวงคำตอบจากเพื่อนให้” ไตรกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ถ้างั้น…เป็นช่วงบ่ายพรุ่งนี้ได้ไหมคะ” ชลันธรไม่ขัดศรัทธา เพราะเธอเองก็อยากรู้คำตอบเรื่องประเทศภูทิวาอยู่ครามครัน หวังว่าจะหายข้องใจเสียที เพราะหญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นมาได้เมื่อครู่นี้เองว่า บางทีเรื่องที่ฝันทั้งหมดอาจเป็นเพราะเธอเก็บเอาพล็อตนิยายเรื่องใหม่ไปจินตนาการต่อตอนนอนหลับก็ได้ ถ้าคำตอบจากไตรบอกว่าไม่มีประเทศนี้อยู่ในสารบบ ข้อสรุปเรื่องความฝันก็จะชัดเจนว่าเธอเพ้อไปเอง จะเหลือก็แต่เรื่องกำไลหงส์ทิวามูลค่ามหาศาลที่เธอยังคงหาเหตุผลไม่ได้จริงๆ ว่ามิตรขายให้ถูกแบบนั้นได้ยังไง

“ได้ครับ เจอกันช่วงบ่ายนะครับ” อาจารย์หนุ่มตอบรับทันที

ทั้งสองคุยกันต่ออย่างเพลิดเพลิน ก่อนที่เวลาต่อมาไตรจะขอตัววางสายเพราะต้องไปสอนต่อ



งานมีตติ้งนักเขียนและนักอ่านจัดขึ้นในเช้าวันต่อมาที่สำนักพิมพ์ นอกจากชลันธรแล้ว ในงานยังมีนักเขียนอีกสามคนมาร่วมด้วย การพบปะพูดคุยกับนักอ่านทำให้เธอได้ฟังเสียงตอบรับโดยตรงเกี่ยวกับงานของตัวเอง บางคนติดตามงานมาตั้งแต่เล่มแรก บางคนก็รู้จักชลันธรจากนิยายเล่มล่าสุด ก่อนจะตามสะสมย้อนหลัง

นักเขียนสาวหัวใจพองโตเพราะได้กำลังใจจากนักอ่านหลายกระบุง รอยยิ้มสดใสแตะแต้มอยู่บนใบหน้าตลอดเวลา ซึ่งงานมีตติ้งก็จบลงด้วยดีในช่วงเที่ยง

หลังจากหมดภารกิจ ชลันธรไม่รอช้าที่จะจัดการเรื่องของตัวเอง นั่นคือการไปพบไตรที่มหาวิทยาลัย

เธอนัดชายหนุ่มไว้ประมาณบ่ายโมงกว่าๆ จากสำนักพิมพ์ไปที่นั่นน่าจะทันพอดี เพราะอยู่ไม่ไกลกันมาก ว่าแล้วก็ล่ำลาปริญญ์และเจ้าหน้าที่คนอื่นๆ แล้วออกเดินทางโดยแท็กซี่ทันที

เมื่อมาถึงมหาวิทยาลัย อาจารย์หนุ่มก็พาเธอไปนั่งที่ร้านกาแฟ ทั้งสองทักทายกันอย่างเป็นมิตร พร้อมกับแอบนินทาชลธิศและมาริณต่อจากคราวที่แล้ว พอได้เครื่องดื่มและขนมหวาน ชลันธรจึงเริ่มพูดคุยประเด็นสำคัญ

“นี่ค่ะ รูปกำไลหงส์ทิวาที่ลันได้มาจากร้านขายอัญมณี” หญิงสาวยื่นโทรศัพท์มือถือให้เขา

ไตรรับไปและใช้ปลายนิ้วสัมผัสหน้าจอสมาร์ทโฟนเลื่อนดูทีละภาพช้าๆ ดวงตาเรียวเบื้องหลังกรอบแว่นสีชาทอประกายตื่นเต้นเมื่อเห็นความสวยงามอลังการของกำไลเพชรในมุมต่างๆ “สวยมากครับ ขนาดเห็นแค่ในภาพนะครับ ของจริงคงสวยกว่านี้หลายเท่า”

“ใช่ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าเห็นด้วย “มันดูมีค่ามาก ลันถึงไม่กล้าพกติดตัวมาไงคะ”

ไตรเงยหน้าขึ้นมองชลันธร ก่อนบอก “เท่าที่เพื่อนผมไปหาข้อมูลมา มันบอกว่าไม่มีบันทึกเรื่องราวของประเทศภูทิวาอยู่ในประวัติศาสตร์เลยครับ”

“จริงเหรอคะ” ชลันธรเอ่ยพลางขบคิด ขนาดอาจารย์ประวัติศาสตร์ยังไม่รู้ เธอคงไม่ต้องไปถามคนอื่นให้ยุ่งยากแล้วละมั้ง

“คุณลันแน่ใจใช่ไหมครับว่านี่เป็นกำไลที่มาจากประเทศภูทิวาจริงๆ” เขามองหญิงสาวสลับกับภาพกำไลหงส์ทิวาบนหน้าจอสมาร์ทโฟน

“อืม ที่ลันทราบมาก็เป็นอย่างนั้นนะคะ แต่ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า” จากนั้นชลันธรจึงเล่าความฝันของตนให้ไตรฟังเพราะอยากรู้ความเห็นของเขา ไตรฟังไปครุ่นคิดไป ก่อนเอ่ยขึ้น

“ฝันเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ ผมว่าไม่ธรรมดาแล้วละครับ” อาจารย์หนุ่มกระตุกยิ้มมุมปาก เรื่องราวเหนือธรรมชาติใช่ว่าจะเกิดกับคนบนโลกไม่ได้ เหมือนอย่างมัชฌิตาเพื่อนเขาและน้องสาวสองคนของเธอก็ล้วนพานพบกับเรื่องราวเหนือจริงมาแล้ว

“คุณไตรคิดว่าทุกอย่างที่เกิดกับลันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเหรอคะ” หญิงสาวเบิกตาขึ้นน้อยๆ

“ใช่ครับ อาจมีใครพยายามทำให้คุณลันเข้าไปเกี่ยวข้องกับภูทิวา และอาจมีอะไรเกิดขึ้นตามมาต่อจากนี้” ไตรหรี่ตาลงน้อยๆพลางวิเคราะห์

“จะเป็นไปได้เหรอคะ” เธอยังไม่อยากเชื่อ

“ไม่มีใครรู้จนกว่ามันจะเกิดขึ้นครับ”

“แล้วคนคนนั้นจะทำไปเพื่ออะไรเนี่ย” ชลันธรเดาใจมิตรไม่ถูกเลยจริงๆ เขาอาจสนุก แต่จะรู้ไหมว่าเธอกำลังเครียด

“อย่ากังวลไปเลยครับคุณลัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอแค่คุณลันมีสติก็จะผ่านทุกอย่างไปได้ เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนผมมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภูทิวา ผมจะรีบโทร.บอกคุณลันเลยนะครับ” เจ้าของดวงตาเรียวรีรับปากมั่นเหมาะ ทั้งสองสนทนากันพักใหญ่ก่อนจะแยกย้าย เพราะไตรมีสอนต่อช่วงบ่ายสาม

ท่ามกลางแสงแดดจ้า ชลันธรเดินไปยังหน้ามหาวิทยาลัยเพื่อขึ้นรถแท็กซี่กลับคอนโดพร้อมคำถามที่ยังคั่งค้างอยู่ในใจ เธอคิดว่าการมาพบไตรจะทำให้หายข้องใจได้สักที แต่สุดท้ายทุกอย่างก็ยังคงคลุมเครือเช่นเดิม

“ว้าย!” หญิงสาวอุทานอย่างตกใจเมื่อบังเอิญเดินชนผู้ชายคนหนึ่งอย่างแรงจนกระเป๋าสะพายหลุดจากไหล่หล่นลงพื้นพร้อมกับของที่กลิ้งออกจากกระเป๋า ฝ่ายนั้นหันมาขอโทษ ก่อนจะเดินจากไปด้วยความรีบร้อน

ชลันธรส่ายหน้าไปมาพร้อมถอนหายใจ จะรีบไปไหนของเขาเนี่ย ดีนะที่เธอไม่หงายหลังตึง ชนมาซะแรงเลย

หญิงสาวรีบก้มลงเก็บกระเป๋าและของที่หล่นลงบนพื้น พลันดวงตากลมโตก็เบิกกว้างเมื่อพบกล่องกำมะหยี่สี่เหลี่ยมสีม่วงเข้มประดับเพชรวางอยู่ข้างกระเป๋าสะพาย

“กำไลหงส์ทิวา!” ชลันธรรีบฉวยเอากล่องยัดใส่กระเป๋า พลางหันซ้ายหันขวาอย่างระแวดระวัง โชคดีที่ไม่มีใครกำลังจับจ้องเธอ เจ้าของร่างเพรียวสาวเท้าไปขึ้นรถแท็กซี่ ก่อนมุ่งหน้ากลับคอนโดพร้อมเครื่องหมายคำถามที่ผุดพรายขึ้นทั่วใบหน้าใส

โชคดีที่เธอพากำไลเพชรมูลค่าหลายล้านกลับมาถึงห้องโดยปลอดภัย หญิงสาวเปิดม่านให้แสงสว่างเข้ามาภายใน ก่อนนั่งลงบนโซฟาริมหน้าต่างและเปิดกระเป๋าสะพายดูอีกครั้ง กล่องกำมะหยี่สีม่วงเข้มยังคงนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าเช่นเดิม หญิงสาวหยิบกล่องออกมาเปิดดูและพบว่ากำไลเพชรน้ำงามอยู่ข้างในนั้น

เธอกำลังฝันไปใช่ไหม ฝันแม้แสงแดดที่ส่องเข้ามาจะยืนยันกับเธอว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสกๆ กำไลหงส์ทิวามาอยู่ในกระเป๋าได้ยังไง เธอเอามันเก็บไว้ในตู้เซฟแล้วไม่ใช่เหรอ

“หรือว่าจริงๆแล้วเรายังไม่ได้เก็บเนี่ย” ชลันธรเริ่มไขว้เขว

มือบางลูบกำไลไปมาพลางครุ่นคิด ก่อนจะเลื่อนส่วนที่เป็นปีกหงส์ลงโดยไม่รู้ตัว เผยให้เห็นเพชรทรงรีน้ำงามขนาดปลายนิ้วหัวแม่มือที่เร้นตัวอยู่ เพชรเม็ดใสปราศจากตำหนิส่องประกายระยิบระยับเมื่อแสงแดดอันร้อนแรงสาดกระทบ แสงนั้นเจิดจ้าจนหญิงสาวต้องก้มลงมอง

ชลันธรรู้สึกว่าประกายนั้นสว่างมากขึ้นเรื่อยๆจนต้องหรี่ตาลง แล้วจู่ๆร่างของเธอก็ถูกดึงดูดด้วยแรงมหาศาลจากที่ไหนสักแห่ง ทำให้มิอาจต้านทานหรือทำอะไรได้ ทันใดนั้นเพชรทรงรีก็เปล่งรัศมีเรืองรองสว่างไสวไปทั่วทั้งห้อง และเพียงพริบตาเดียว ร่างเพรียวก็หายวับไปพร้อมกับแสงที่ดับวูบลง!





ชลันธรถูกเหวี่ยงอย่างแรงจนเวียนหัวไปหมด เธอหวีดร้องสุดเสียง หัวใจเต้นระรัวไม่เป็นจังหวะ ดวงตากลมเบิกกว้างด้วยความตกใจระคนหวาดกลัว ช่องท้องปั่นป่วนด้วยความหวาดเสียว หญิงสาวรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นเกลียวพายุลูกใหญ่อันบ้าคลั่ง หมุนทะลุผ่านม่านลำแสงสีขาวพร่างพรายดุจประกายเพชรสลับกับความมืดไปหลายต่อหลายชั้นราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด

เรื่องแปลกประหลาดที่เกิดอยู่ตอนนี้คืออะไรกัน ใครเป็นผู้ทำให้มันเกิดขึ้น!

ในที่สุดหยาดน้ำใสก็ไหลออกมาจากดวงตากลมโตคู่สวย ความเครียดกังวลฉายชัดบนใบหน้า เธอจะมีโอกาสกลับไปพบครอบครัวไหมนะ ชลันธรคิดแล้วก็หลับตาลงอย่างคนที่ไม่มีทางหลีกหนีชะตากรรม

วูบนั้น ร่างของเธอก็ปรากฏขึ้น ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ชลันธรยังหลับตาแน่น รู้สึกว่าตัวเองอยู่บนหลังของตัวอะไรสักอย่างที่กำลังวิ่งไปเบื้องหน้า ความโคลงเคลงทำให้เธอต้องพยายามประคองตัวเองไว้อย่างสุดความสามารถ

“อาดามา ปา เอลลา!” เสียงห้วนของใครคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

ชลันธรลืมตาโพลงด้วยความตกใจ พบว่าตนอยู่บนหลังม้า ในอ้อมแขนของชายแปลกหน้า รอบกายของเธอคือป่า เห็นภูเขาน้อยใหญ่อยู่ไกลๆ ทว่ายังไม่ได้ทำอะไร ม้าก็ส่งเสียงร้องดังพร้อมสลัดเธอและคนข้างหลังจนลอยหวือตกลงบนพื้นก่อนที่มันจะวิ่งหนีไป

“อาดามา ปา เอลลา!” เสียงดุนั้นถามอีกครั้ง

สติของหญิงสาวกระเจิดกระเจิงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งตกใจ หวาดกลัว สับสน และงุนงง เธอรีบลุกขึ้นโดยไว หันไปมองหน้าคนที่นอนเค้เก้อยู่บนพื้น แล้วสมองก็สั่งการให้หนี ไม่เช่นนั้นอาจเป็นอันตรายได้!

เธอออกวิ่งทันที หูได้ยินเสียงร้องตะโกนดังตามหลังมาด้วยภาษาที่ไม่เข้าใจหลายครั้ง แต่ชลันธรก็ไม่แม้แต่จะหันไปมอง ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหาทางออกจากป่าแห่งนี้สุดชีวิต

ใครก็ได้บอกทีว่าเกิดอะไรขึ้น ที่นี่ที่ไหนกัน เธองงไปหมดแล้ว!

หญิงสาวรู้สึกวาบโหวงในอก ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้แต่สถานที่ที่อยู่ตอนนี้ก็ไม่รู้จัก แถมยังเจอคนพูดภาษาแปลกๆอีก

ยิ่งวิ่งไปไกลเท่าไร เส้นทางก็ยิ่งรกเรื้อและมีอุปสรรคมากขึ้นเท่านั้น จากพื้นดินที่มีเพียงใบไม้ใบหญ้า กลับต้องวิ่งหลบหลุมน้อยใหญ่ กิ่งไม้ และต้นไม้อย่างยากลำบาก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวแรงกว่าเดิมหลายเท่าเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งตามมาไกลๆ พร้อมกับเสียงตะโกนห้าวดุที่ทำให้ยิ่งกลัว ทันใดนั้นเอง อะไรบางอย่างก็พุ่งเข้ามาหาชลันธร

“กรี๊ด-ด-ด!” หญิงสาวหวีดร้องสุดเสียง

ร่างเพรียวถูกรากของต้นไม้ใหญ่ขนาดห้าคนโอบเกี่ยวกระหวัดลอยอยู่ในอากาศ ใบหน้ารูปไข่ขาวซีด ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อเห็นกลางลำต้นของต้นไม้ต้นนั้นแยกออกกลายเป็นโพรงกว้าง ภายในมีหนามแหลมคมผลุบโผล่ชวนหวาดเสียวและเมือกเหนียวน่าขยะแขยง

“ช่วยด้วย-ย-ย กรี๊ด-ด-ด!” ชลันธรตะโกนออกไปแม้ไม่รู้ว่าจะหวังพึ่งใครในเวลานี้ได้หรือเปล่า

รากไม้ปิศาจค่อยๆยื่นร่างของเธอเข้าไปใกล้โพรงต้นไม้ ชลันธรตัวสั่นงันงกด้วยความกลัว เม็ดเหงื่อผุดพรายทั่วใบหน้า ดวงตาเหลือกลานตื่นตระหนก หญิงสาวพยายามดิ้นสุดแรงเกิดแต่ก็ไม่อาจเป็นอิสระได้ ร่างของเธอใกล้กลายเป็นเหยื่อของต้นไม้มฤตยูมากขึ้นทุกทีๆ

“ไม่นะ!” หญิงสาวเบือนหน้าหนี หัวใจรัวกระหน่ำรุนแรง

ขณะที่นึกว่าตนจะไม่รอดแล้วนั้นเอง จู่ๆก็มีใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาและใช้มีดพกฟันเข้าที่รากไม้ใหญ่หนาอย่างแรง ทว่าครั้งแรกไม่เป็นผล เขาจึงฟันไม่ยั้งมือพลางหลบหลีกรากไม้อีกรากที่จะเลื้อยเข้ามาพันตัว

ชลันธรหน้าซีดลงทุกทีๆ หญิงสาวมองคนที่มาช่วยก็รู้ว่าเขาเป็นคนที่เธอวิ่งหนีมานั้นเอง เขาเอ่ยอะไรบางอย่างซึ่งเธอไม่เข้าใจอีกครั้ง ขณะใช้มีดในมือฟันรากไม้ไม่หยุด ส่วนขากระโดดหลบรากไม้มีชีวิตไปทางนั้นทีทางนี้ที จนในที่สุดรากไม้ใหญ่ก็ขาด

ชายหนุ่มรีบปราดเข้าไปรับร่างของหญิงสาวที่จะตกลงบนพื้นมาอยู่ในอ้อมแขนได้อย่างปลอดภัย และวิ่งออกมาให้พ้นรัศมีของต้นไม้ใหญ่ ทว่าไม่ทันจะได้พูดคุยกัน เธอก็เป็นลมหมดสติไปเสียก่อน

“เอลลา!” แววตาของผู้พูดฉายแววตกใจระคนประหลาดใจ สาวน้อยผู้นี้เป็นใครกัน ทำไมจู่ๆถึงมาโผล่บนหลังม้าของเขาได้นะ



ชายหนุ่มอุ้มร่างไร้สติมายังใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งและวางเธอลงบนพื้น เขาหรี่ตาลงน้อยๆพลางสำรวจใบหน้าหวานรูปไข่ของหญิงสาวแปลกหน้าอย่างละเอียด ดูแล้วไม่น่าใช่คนแถวนี้ แต่เอาเถอะ รอให้เธอฟื้นขึ้นมาค่อยสอบถามให้รู้แน่อีกที

ระหว่างนั้นเจ้าของร่างสูงก็ลุกขึ้น ส่งสัญญาณบางอย่างด้วยการผิวปาก ไม่นานม้าสีขาวตัวใหญ่ที่วิ่งกระเจิงหายไปเมื่อครู่ก็วิ่งกลับมาหาเขา

“แกรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร” ชายหนุ่มถามม้าคู่ใจของตน

แน่นอนว่ามันไม่รู้และไม่ตอบ

“เฮ้อ ไม่นึกเลยว่าวันธรรมดาของฉันจะกลายเป็นวันที่น่าฉงนแบบนี้” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด แต่เดาอย่างไรก็เดาไม่ออกว่าเธอคือใครและมาจากไหน เมื่อไม่มีทางเลือก เขาจึงทำได้แค่รอให้สาวน้อยผู้นั้นได้สติ

ชายหนุ่มนั่งลงข้างหญิงสาวที่สลบอยู่ เพ่งพิศใบหน้าของเธออีกครั้ง ใบหน้าที่ปราศจากเครื่องสำอางนั้นเนียนละเอียด ขนตายาวชดช้อย จมูกเรียวสวย ริมฝีปากอิ่ม ยิ่งมองก็ยิ่งเพลินตา

เขาส่ายหน้าไปมาพลางยิ้มขำตัวเอง นี่เขาตกหลุมรักคนง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ไม่หรอก…เขาเคยเจอผู้หญิงสวยกว่าเธอหลายคนยังไม่หลงใหลง่ายๆ แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงมองสาวน้อยหน้าใสที่นอนอยู่ข้างๆตอนนี้ได้ไม่รู้เบื่อ

นั่งอยู่เป็นนาน ในที่สุดมือหนาก็เอื้อมไปเกลี่ยแก้มใสอย่างห้ามใจไม่อยู่ ริมฝีปากหยักสีแดงระเรื่อของชายหนุ่มแย้มพราย แต่แล้วเขาก็ต้องละมือออกมาเมื่อเธอเริ่มขยับตัว

“ช่วยด้วย” หญิงสาวพึมพำเบาๆทั้งที่ยังไม่ลืมตา

คิ้วหนาเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินภาษาที่เธอเอ่ยออกมา

“เอลลา” เขาเรียกเธอด้วยเสียงนุ่มนวล เพราะเมื่อแรกตอนที่เธอวิ่งหนีไปก็คงเพราะกลัวเสียงของเขานั่นละ แต่จะทำไงได้ในเมื่อตอนนั้นเขากำลังตกใจไม่แพ้เธอ

สาวน้อยหน้าใสค่อยๆลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหน้าเขา เธอก็ผลุนผลันลุกขึ้นตั้งท่าจะวิ่งหนี ทว่าคราวนี้ชายหนุ่มรีบคว้ามือบางเอาไว้ได้ทัน

“หยุดก่อน!” เขาอยู่ในชุดขี่ม้าสีเขียวเข้มซึ่งเป็นกางเกงผ้าขายาว เสื้อคอปกแขนยาวพับแขนลวกๆ ไหล่หนากว้างสง่างามและแข็งแกร่งบ่งบอกว่าเขาดูแลรูปร่างเป็นอย่างดี

“ปล่อยฉันเถอะนะ ฉันไม่มีเงิน ไม่มีของมีค่าติดตัวเลยสักชิ้น” ชลันธรบอกเสียงสั่น

“ผมไม่ใช่โจร” ผมสีน้ำตาลอ่อนหยักศกที่หวีเสยไปด้านหลังนั้นเผยให้เห็นใบหน้าคมได้รูปของผู้พูดอย่างชัดเจน

“คงไม่มีโจรที่ไหนบอกว่าตัวเองเป็นโจรหรอก ปล่อย!” หญิงสาวพยายามดิ้นสุดตัว แต่หารู้ไม่ว่าเป็นการหาเรื่องให้ตัวเองเมื่อโดนชายหนุ่มรั้งเข้าไปไว้ในอ้อมแขนจนแผ่นหลังบางแนบสนิทอยู่กับแผ่นอกหนา

“จู่ๆคุณก็โผล่มา ผมเองก็ตกใจไม่แพ้คุณหรอกนะ ตั้งสติดีๆ เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะ” เสียงทุ้มแกมดุเอ่ยอยู่ข้างหู

“ฉันไม่มีอะไรจะคุยทั้งนั้น ฉันจะกลับบ้าน” หยดน้ำใสไหลลงมาจากดวงตากลมโตด้วยความหวาดหวั่น พยายามดิ้นรนเอาตัวรอดแต่แขนแกร่งก็ยิ่งรัดร่างเธอมากขึ้นจนขยับไม่ได้อีกต่อไป

“กลับยังไง ในเมื่อคุณยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองอยู่ที่ไหนและมาที่นี่ได้ยังไง” เขาเอ่ยเตือนหญิงสาว หวังให้เธอยอมคุยกันดีๆเสีย เพราะหากมัวแต่สติแตกอยู่อย่างนี้คงไม่รู้ที่มาที่ไปของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเสียที

“ยังไงฉันก็จะหาทางกลับให้ได้ ปล่อยฉันไปเถอะนะคะ ฉันยังมีครอบครัวที่รออยู่” ชลันธรอ้อนวอน

“คุณกลัวผมเหรอ ผมจะบอกให้นะว่าถ้าผมเป็นโจรหรือคิดจะทำร้ายคุณจริง ผมไม่ช่วยคุณมาจากต้นไม้กินคนให้เปลืองแรงหรอก เพราะผมก็เสี่ยงที่จะกลายเป็นอาหารของมันไปอีกคน” เขาเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจหอบ

“ต้นไม้กินคน!” ดวงตากลมโตเบิกกว้างขึ้น ใช่ ต้นไม้ที่มีโพรงกลางลำต้น มีหนามแหลมและเมือกเหนียวน่าสะอิดสะเอียนต้นนั้น ถ้าไม่เห็นกับตา เธอก็คงไม่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง เพราะไม่เคยเห็นต้นไม้แบบนี้มาก่อนในชีวิต นี่เธออยู่ในแดนมหัศจรรย์หรือยังไงนะ

“ใช่ ผมอุตส่าห์ร้องเตือนว่าอย่าวิ่งไปทางนั้น แต่คุณก็ไม่ยอมฟังเลย” น้ำเสียงของเขามีแววเหนื่อยใจ

“ร้องเตือน?” ชลันธรใคร่ครวญว่าควรจะเชื่อเขาดีหรือไม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้จริงๆ

“ใช่”

“แล้วทำไมคุณไม่ใช้ภาษาไทยเหมือนตอนนี้ ฉันฟังไม่ออกหรอกนะว่าคุณร้องเตือนว่าอะไร แถมเสียงดุออกอย่างนั้น นึกว่าจะตามมาทำร้ายฉันมากกว่า” เสียงของเธออ่อนลง

“ภาษาไทยคืออะไร ผมไม่เคยได้ยิน แต่ขอยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ใช่โจร และถึงจะเป็นโจร ผมก็ไม่ทำร้ายเด็ก สตรี และคนชรา เอาละ จะยอมคุยกันดีๆได้หรือยัง”

“ปล่อยฉันก่อนสิ” ชลันธรต่อรอง ขณะที่ในหัวมีคำถามมากมายประดังประเดเข้ามา คนบ้าอะไรพูดภาษาไทยอยู่แท้ๆ แต่มาถามว่ามันคืออะไร

“สัญญาก่อนว่าจะไม่หนี” เขาก็มีข้อเสนอเช่นเดียวกัน แม้ว่าการที่เธอจะวิ่งหนีไปเจอต้นไม้กินคนไม่เกี่ยวกับเขา แต่เวลานี้กลับไม่เข้าใจตัวเองที่ไม่อยากให้สาวน้อยเตลิดไปไกล

หญิงสาวชั่งใจอยู่เป็นครู่ ที่สุดจึงพยักหน้าตกลง เพราะหลังจากตรึกตรองแล้วเห็นว่าไม่มีทางเลือกจริงๆ หากหนีไป เธออาจเจออะไรที่แปลกประหลาดยิ่งกว่าต้นไม้ปิศาจเมื่อครู่ เพราะงั้นลองคุยกับเขาดีๆก่อนดีกว่า มาถึงขั้นนี้แล้ว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด!

เมื่ออ้อมแขนคลายออก ชลันธรก็หมุนตัวกลับไปเพื่อจะคุยกับชายหนุ่ม วินาทีนั้นจมูกของเธอเฉียดกับจมูกโด่งเป็นสันของคนข้างหลังเพียงนิดเดียว ดวงตากลมโตสีดำขลับที่มีแววหวาดหวั่นประสานกับดวงตาเรียวคมสีน้ำตาลเข้มที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจในระยะประชิด

หญิงสาวรีบถอยห่างออกมาด้วยยังไม่วางใจในตัวคนตรงหน้าเต็มร้อย “ฉันไม่ได้จะหนี ได้โปรดอย่าก้าวตามมา” เธอบอกฝ่ายนั้น

“เลิกกลัวผมเสียที” เขาพ่นลมหายใจแรงๆ

“แล้วคุณจะให้ฉันมองคุณเหมือนเราคุ้นเคยกันมานานงั้นเหรอ”

“เอาเถอะ มาเริ่มคุยกันดีกว่า ผมอยากรู้ว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น” ผู้พูดตัดบท ใบหน้าคมนั้นมีเค้าความเป็นตะวันตกผสมกับตะวันออกอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นดวงตาเรียวคมสีน้ำตาลเข้มพราวระยับ แพขนตาหนาสวย จมูกโด่ง ริมฝีปากหยักสีแดงระเรื่อ และผิวขาวจัด ไฝสีแดงเล็กๆใต้ดวงตาข้างขวาทำให้ใบหน้าของเขาโดดเด่นอย่างประหลาด

แต่แม้เขาจะหล่อเหลาแค่ไหน ความระแวงก็ยังไม่หายไปจากใจชลันธร

“ก็ได้ แต่ก่อนอื่นคุณบอกฉันหน่อยได้ไหมคะว่าฉันอยู่ที่ไหน”

“ได้สิ เอลลา” แม้สำเนียงเขาจะไม่ชัดเหมือนคนไทย แต่ก็เบาใจว่าสื่อสารกันรู้เรื่อง

“เอลลา?” คิ้วคู่งามขมวดเข้าหากันเพราะไม่เข้าใจบางคำในประโยค

“สาวน้อยไง” ชายหนุ่มอธิบายพลางยิ้ม ไม่มีท่าทีคุกคามใดๆ ทำให้หญิงสาวรู้สึกผ่อนคลายกว่าเดิม “ว่าแต่คุณชื่ออะไร”

“ฉันชื่อชลันธรค่ะ”

“ชลันธร?” ชายแปลกหน้าทวนคำ ก่อนถามต่อ “แล้วคุณมาที่นี่ได้ยังไง”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” คิ้วเรียวของคนกำลังโดนสอบสวนแทบจรดกัน

“ไม่น่าเชื่อ”

“จริงๆนะ” เธอยืนยันหนักแน่น จะให้ตอบยังไงเล่า ในเมื่อเธอเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“หรือว่าคุณจะหายตัวมา”

“หายตัว?” ชลันธรพึมพำกับตัวเองและพยายามนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

เมื่อครู่เธอกำลังนั่งลูบกำไลหงส์ทิวาไปมาอยู่ในคอนโด แล้วเมื่อเลื่อนปีกหงส์ลง ทันทีที่แสงแดดส่องกระทบเพชรเม็ดงามก็มีแรงดึงดูดมหาศาลเกิดขึ้นพาให้ลอยคว้างผ่านม่านสีขาวระยิบระยับหลายชั้นมา หรือว่าอำนาจของกำไลวงนั้นจะพาเธอมายังดินแดนปริศนานี้!

“ฉันคิดว่าถ้าเล่าไปคุณคงไม่เชื่อแน่ๆ”

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นไม่ได้หรอก ตอนแรกผมก็ตกใจไม่น้อยที่อยู่ดีๆคุณโผล่มา และพยายามคิดหาที่มาที่ไป แต่ถ้าไม่มีอะไรอธิบายสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ก็ไม่ผิดที่เราจะเรียกสิ่งนั้นว่าปาฏิหาริย์ คงเป็นปาฏิหาริย์ที่ทำให้คุณมาปรากฏตัวที่นี่” เขาสรุปด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น

“งั้น…คงเป็นอย่างนั้นละค่ะ เพราะฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงจริงๆ” หญิงสาวเอ่ยแล้วก็ถอนหายใจด้วยความกังวล

เขาพยักหน้ารับรู้เบาๆ “อย่าเพิ่งคิดมากไปเลยเอลลา ไปนั่งคุยกันดีกว่าว่าจะเอายังไงต่อไป” ดวงตาคมเรียวสีน้ำตาลเข้มที่ล้อมรอบด้วยแพขนตาสีดำยาวสวยราวกับอิสตรีจ้องมองมาที่เธอ “อ้อ ผมยังไม่ได้บอกชื่อเลยนี่ ผมชื่อจิณลี จิณลี…แปลว่าบทเพลง”



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 พ.ย. 2556, 15:53:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ธ.ค. 2556, 01:19:58 น.

จำนวนการเข้าชม : 1366





<< บทที่ 3 ภูทิวา   บทที่ 5 บุรุษแปลกหน้า >>
บุลินทร 21 พ.ย. 2556, 16:05:15 น.
คุณ ดวงมาลย์
ตอนแรกก็กะแล้วว่าพี่จุ๊บต้องมาก่อนแน่ พอกดมาก่อนจริงด้วย ฮ่าๆๆ แต่ตอนนี้มาช้าอีกแล้ววว เอ แต่เร็วกว่าอสิตานี่นา

คุณ lovemuay
ในที่สุดพระเอกก็มาแล้วน้าาา กะว่าจะให้ออกอาทิตย์หน้า แต่เดี๋ยวคนอ่านรอนาน เอามาทั้งตอนเลยแล้วกัน ฮ่า

คุณ konhin
ยังคร้าบบบ ตอนที่แล้วสลับฉากครับ ฮ่าๆ ลันยังไม่ได้เริ่มแต่งเบย

คุณ อสิตา
อะราย มาหมั่นไส้มิตรพระเอกของสิตาราทำไมฮึ

คุณ ริญจน์ธร
โผล่ตามกันมาติดๆ สามเรื่องเบย

คุณ Zephyr
ไม่อาว ต้องข้ามผ่านอัญมณีเสะเฟอร์จัง นี่มันชุดอัญมณีเหนือกาลนะะะะ เรื่องธศิญาสลับฉากเน้อ จริงๆในไฟล์ทำตัวเอียง แต่มาลงเว็บมันทำไม่ได้อ่า อาจจะงงนิดนึง มีฝันบ่อยด้วยสิ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ
เหตุการณ์นั้นหนูลันฝันไปครับ แต่จะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องไปเจอรึเปล่าต้องติดตามครับ

คุณ goldensun
มิตรหลอกล่อให้ลันสับสนเต็มที่ครับ ทั้งที่เคยเจอกันมาแล้ว หน้าเหมือนกันขนาดน้านนน ไม่ใช่คนละคนแน่ เรื่องหนังสือถูกต้องครับ มาล่อให้สนใจกำไล แต่ทำไมต้องให้กำไลลันต้องหาคำตอบกันต่อครับ


ริญจน์ธร 21 พ.ย. 2556, 16:34:02 น.
นึกว่าลืมลงนิยายกันแล้ววันนี้ มากันบ่ายเชียว


goldensun 21 พ.ย. 2556, 17:13:27 น.
ทำไมบอกอินเตอร์เนตไม่มีข้อมูลล่ะคะ มี 1 เว็บไซต์ที่ข้อมูลเหมือนหนังสือที่ข้อมูลไม่ครบไงคะ
ประวัติศาสตร์ไม่มี งั้นคงคนละมิติรึเปล่าคะ ข้ามมิติมาเลยแปลภาษาได้อัตโนมัติเลย
แล้วก็นะ อยากฝันก็ไม่ฝันถึง เก็บเข้าเซฟ ก็ยังตามติดกระเป๋ามาได้ แถมอยากรู้ เลยได้เข้ามาอยู่ในเรื่องซะเลย
ที่โผล่มา คงเขตราศิแน่ แต่จะยุคเดียวกับธศิญารึเปล่า ถ้าใช่ สงสัยคงจบเรื่องกว่าจะได้กลับ หรือไปๆ กลับๆคะ


ดวงมาลย์ 21 พ.ย. 2556, 18:18:16 น.
วันนี้อสิอู้ ไม่อัพ มัวไปลั้นลา ต้องจับทำโทษ


lovemuay 21 พ.ย. 2556, 19:34:41 น.
พระเอกชื่อหล่อจังเลยค่ะ อิอิ


konhin 21 พ.ย. 2556, 21:39:21 น.
โอ๊ะ อีกมิติ หรือยังไงกันน้อ


nako 21 พ.ย. 2556, 22:10:38 น.
หนูลันไปโผล่ที่หว่า จิณลี พระเอกใช่ป่ะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 21 พ.ย. 2556, 23:30:33 น.
เค้าจิไปคุ้ยเพชรในบ้านมานั่งส่องดูบ้าง เพื่อจิโดนดูดข้ามไปนั่งหลังม้ากะหนุ่มรูปงาม ฮื้ดดฮ้าดดดดๆๆๆ


Zephyr 22 พ.ย. 2556, 12:09:11 น.
อ่ะโห อ่านจนนึกว่าไตรเป็นพระเอกไปแล้วนะเนี่ย
กำลังจะฟินกับพี่ใตรให้เป็นพระเอกเลย แต่ตงิดน้อยๆ
พอข้ามผ่านกำไลปุ้บ คิดว่าจะมาโผล่เป็นธศิญาในอ้อมแขนชวาลี
ดั้นนนนนนนนนนนนนนนนน โพละ อะไรอ่ะ จิณลี ตานี่พระเอกใช่มะ
ออกเยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกก ชื่ออกมาบรรทัดสุดท้าย ตัวโผล่มายังไม่ถึงสิบบรรทัดเลยอ่า
ว่าแต่ชื่ออ่าน จิน ลี หรือ จิน นะ ลี อ่ะ
ปล สงสารพี่ไตรนะเนี่ย ไม่มีคู่หรา คอยส่งเสริมสามพี่น้อง แล้วยังยายลันอีก
ให้ไร้คู่เลย เฟอร์ขออัคนีมายา มาให้คู่พี่ไตรดีมะๆๆๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ หวังว่าพี่ไตรจะไม่ม่องไปก่อนนะ นางน่ากลัวว


Zephyr 22 พ.ย. 2556, 12:09:56 น.
เอิ่ม แต่ แต่ละคนหาที่แลนดิ้งกันแบบว่า
ยายตาก็คนนึงละ นี่ ยายลันก็แลนดิ้งไม่ต่างกัน บนหลังม้าซะด้วยอ่ะ


อสิตา 22 พ.ย. 2556, 13:26:12 น.
ฉากเร่าร้อนบนหลังม้า เสียใจด้วยนาเฟอร์ อัคนีมายามีคู่แล้ว ตาไตรภาคสามให้ไปหาเอาใหม่เอง น่าสงสาร


ฤดูฝัน 24 พ.ย. 2556, 12:51:38 น.
จิณลีนี่พระเอกแน่ๆ เลย เพราะขี่ม้าสีขาวด้วย อิอิ
//ตอนแรกคิดว่าไตรเป็นพระเอกเหมือน คห บนเลย\\


patok 25 พ.ย. 2556, 10:35:00 น.
จิณลี พระเอกแน่ๆ 55+
ตอนนี้แพทอยากอ่านเรื่องธศิญากับองครักษ์หนุ่มต่อแล้วอ่ะค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account