โมรารัตติกาล {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

-------------------------
ยังเคยยินเรื่องราวของหินโมราแห่งรัตติกาล
พลอยโบราณล้ำค่าที่อาจนำพาใครบางคนหวนสู่อดีตกาล เรื่องของมันอาจถูกกลบฝัง
กร่อนกลืนไปกับเงื้อมเงาแห่งกาลเวลาที่ค่อยๆเปลี่ยนความรับรู้ของผู้คน
แต่กับเขา...
ผู้ซึ่งมีเพียงความแค้น ไม่มีแม้ร่างกาย เป็นแต่เพียงวิญญาณที่ล่องลอยไปในราตรี
เฝ้าเพรียกหาให้อดีตหวนคืนกลับ เพื่อเปลี่ยนวันแห่งความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นชัยชนะ
เวลาผ่านเนิ่นนานนับสิบๆปีจากวันที่เขาตาย
โลกเปลี่ยนแปร แต่ใจของเขาไม่เคยเปลี่ยนตาม
เขายังคงไม่ไปไหน
แม้จำได้ว่าตนเองเคยมีนาม เคยเป็นใครคนหนึ่งที่ถูกเรียกขานว่าชามัล เมห์ฮรา
แต่ตอนนี้แทบไม่รู้สึกว่านามนั้นคือตนเอง ไม่ได้มีใครเรียกชื่อเขานานมากแล้ว
ตั้งแต่เขากลายเป็นชีวิตไร้ตัวตนในความมืด ที่ยังจำได้ดีคือความแค้นต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่เว้นแม้กระทั่งแค้นตัวเอง ที่พ่ายแพ้ และต้องตาย...
วิญญาณของเขายังรอคอยวันที่มือซึ่งมองไม่เห็นคู่นี้จะเอื้อมคว้าไปถึง
อัญมณีเม็ดนั้นที่จะพาเขากลับไปแก้ไขอดีต
...โมราแห่งรัตติกาล
และคนที่จะนำพาเขาไปถึงมันได้ มีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น


------------------------------------
เรื่องเริ่มต้นที่ร้านอัญมณีเก่าคร่ำคร่า หลายคนเดินผ่านเลยไป แต่มีบางคน...
คนที่ตามหาเท่านั้นจึงจะค้นพบการมีอยู่ของร้าน และเปิดประตูเข้ามา
ตัวร้านเดินทางอยู่ในระหว่างมิติเวลา บางทีมันอาจไปโผล่ที่ตรอกโทรมๆสักตรอกในอนาคต
หรือในซอยคับคั่งย่านเยาวราชที่คนพลุกพล่านเดินผ่าน แต่จะไม่มีใครหยุดสนใจ
นอกเสียจากคนผู้มีชะตาผูกพันกับพลอยทรงอำนาจลึกลับสักเม็ดในร้าน
ท่านจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าของร้านที่ชื่อ มิตร เมห์ฮรา

Tags: มนตราอัญมณี มายาไฟในดวงตา ชามัล มิตร สิตารา มัชฌิม์ รัตติดารา สิงหรานี ราศีที่สิบสาม ม่านทิวาพชร มรกตสนธยา

ตอน: บทที่ ๓ ก้าวสู่กับดัก(ชี้แจงเรื่องสาวน้อยอัคนีมายาและมิตร เมห์ฮรา)

ชี้แจง
1.เด็กที่ชื่ออัคนีมายาที่มาอยู่ร้านกาลเวลาในอีกสองเรื่อง จะปรากฏตัวที่ท้ายเรื่องของอสิตานะคะ
เพราะตอนนั้นสิตาราไปอยู่ที่อื่นแล้ว ร้านก็เลยต้องมีผู้ช่วยคนใหม่ ซึ่งยายหนูอัคนีมายานั้นเป็นลูกสาวของ
อัคนิ เมห์ฮรา ที่มิตรไปรับมาจากอนาคต

2.เรื่องชื่อ ท้ายเล่มมายาไฟในดวงตา พระนางจะคุยกันว่าลูกสาวชื่ออมิน... คือคนเขียนต้องการจะบอกว่า
เด็กคนนี้เป็นย่าอมินตาที่ตายไปแล้วมาเกิด ตอนเกิดมาก็ชื่ออมินตราให้ฟังคล้ายกับย่า แต่บังเอิญ
มีศัตรูเก่าตามมาจากชาติปางก่อน เด็กมีเซนส์ เลยบอกว่าเปลี่ยนชื่อหนูที อันตรายจะตามมา
เลยได้ชื่อใหม่ตามนี้ อัคนีมายามีพลังไฟที่เลิศล้ำเหมือนพ่อค่ะ

3.ความสัมพันธ์ของมิตรและชามัล อันนี้ถ้าอ่านต่อไปก็มีที่บอกไว้อยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้บอกเลย
...มิตรเป็นลูกชายของศานติมันกับย่าอมินตาหญิงยิปซีที่โดนขืนใจ ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆสาวๆ
อัคนิได้เอาเด็กคนนี้ไปซ่อนไว้ไม่ให้ศานติมันรู้
มีบอกไว้ในภาคพิเศษเล่มมายาไฟในดวงตา ดังนั้นหลังจากนั้นศานติมันถึงค่อยไปแต่งงาน
มีลูกชายเป็นพ่อของชามัล มิตรก็เรียกว่าเป็นลุงของชามัล แต่ชามัลไม่สนอยู่แล้ว
(ตอนนี้ยังเข้าใจว่ามิตรเป็นลูกของอัคนิกับอมินตาด้วยซ้ำไป)

*********************


“นอกจากโมราแล้ว ฉันยังต้องการสิ่งมีค่าของแกอีกอย่าง”
เสียงน่าสะพรึงที่ไม่เหมือนกับเสียงมนุษย์ยังคงเอ่ยสืบไป

มิตรสบตาวาววามแลบประกายสีทองประหลาดนั้น เขารู้ดี อีกฝ่ายหมายถึงสิตารา!
ดวงตาสีสนิมเหล็กเหลือบลงมองเจ้าของร่างเล็กที่เพิ่งถอยมาเกาะติดอยู่กับตน
ลูบหัวอีกฝ่ายผะแผ่วอย่างยากจะทำใจ

“สิตารา ไปแต่งตัวให้อุ่นๆ ชุดนั้นที่ฉันซื้อให้น่ะ รื้อออกมา แล้วก็เก็บกระเป๋า
เลือกแต่ชุดอย่างที่อุ่นที่สุดเลย เราจะต้องออกท่องเที่ยวกันแล้ว”

“หือ” เด็กหญิงเงยสบตาเจ้าของร่างสูงที่ให้การปกป้องตนอยู่ รู้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติเอามากๆ
ที่จะต้องเดินทางไปกับเงาร่างแปลกหน้า แต่มิตรก็ไม่ปฏิเสธอีกฝ่าย ทำให้ยิ่งนึกสงสัยว่าแขกผู้นี้
มีความสำคัญยังไง และพวกเธอกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับอะไรในหนทางเบื้องหน้า
“นี่เราจะไปไหนกันหรือมิตร...”

“เมืองโภครา เนปาล”



บทที่ ๓ ก้าวสู่กับดัก
เมื่อประตูเปิดออก
ภาพร้านรวงมีทิวทัศน์ภูเขาหิมะเป็นเทือกวางอยู่ฉากหลังแสนชวนตื่นใจ
เห็นท้องฟ้ายามเย็นเป็นสีเหมือนภาพวาดแห่งแดนสวรรค์ ตัดกับหิมะสีขาว
เหลือบประกายมุกบนทิวเขาห่างไกลออกไป

สิตาราสะพายกระเป๋าเป้กระชับตัว แต่งตัวอบอุ่นรัดกุมที่สุดเท่าที่เคย
มิตรเตรียมชุดนี้ให้เธอเมื่อไม่นานมานี้ ราวกับจะรู้ว่าต้องใช้มันเมื่อไหร่

เจ้าของร้านอัญมณียังไม่ยอมก้าวพ้นประตู ปกติร้านที่เหมือนมีชีวิตของเขาไม่ได้จะยอม
เดินทางไปยังที่ต่างๆง่ายนักหากไม่ขอร้องด้วยความตั้งใจอันแน่วแน่ แต่นี่...เพียงความต้องการ
ของผู้มาเยือนแปลกหน้าซึ่งมีแรงกดดันมหาศาล จู่ๆร้านก็ย้ายตัวเองมายังสถานที่แห่งนี้
ได้ทันทีราวปาฏิหาริย์ หรือมันรู้ว่าหากไม่ช่วย ความเดือดร้อนจะต้องเกิดขึ้นกับตัวเขาเองเป็นแน่

“เราทิ้งสิตาราไว้ที่ร้านก่อนได้ไหม จะได้ไม่เป็นภาระ” มิตรพยายามต่อรองทั้งที่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายดี

“ไม่ได้เด็ดขาด เด็กน้อยผู้น่ารักคนนี้ต้องไปด้วย อย่าเสียเวลาพูดมากเลย”
เสียงที่เจือรอยขำขันนั้นติดจะเหี้ยมเกรียมอยู่ในที

สิตาราจุปากที่ทั้งสองสนทนากันเหมือนเธอเป็นข้าวของที่จะหยิบออกมาหรือเอาลงเก็บไว้ในลิ้นชัก
เมื่อใดก็ได้ ที่สุด มิตรตัดสินใจก้าวนำไป แต่แล้วเขาก็ฉุกคิดขึ้นได้ในนาทีนั้น ดึงแขนเด็กหญิงเข้ามาในร้าน
เป็นที่ฉงนต่อเจ้าของร่างรูปเงาในผ้าคลุมสีดำผู้รอดูท่าทีอยู่

“เดี๋ยวนะสิตารา ฉันลืมหยิบกีตาร์”

“อะไรนะ จะเอากีตาร์ไปด้วย ไหนบอกว่าเรากำลังจะออกไปผจญภัยกันไม่ใช่หรือ” เด็กหญิงตาโต
ก่อนจะลดเสียงลงเป็นกระซิบ “หรือว่า มิตรจะใช้เพลงจัดการกับ...เขา”

“บ้า ใครจะไปมีวิชาพรรค์นั้น” เจ้าของร้านก้มลงกระซิบกระซาบตอบเสียงไม่เบานัก
“ก็แค่ถือติดมือไปด้วยเผื่อได้เล่นแก้เหงาเวลาพักค้างแรมระหว่างเดินทาง”

สิตาราส่ายหน้า บ่นพึมพำเป็นภาษาลับของพวกรัตติดาราที่พี่สาวเคยสอน
เป็นคำก่นด่าอย่างเบาๆซึ่งมิตรฟังไม่รู้เรื่อง

“ก็เธอนั่นแหละ ชอบบอกว่าไม่ได้ฟังก่อนนอนแล้วหลับไม่สบาย ยังจะมีหน้ามาบ่น” มิตรเริ่มโวย

“พวกโง่...” เสียงที่เริ่มจะหงุดหงิดเปล่งออกมาจากใต้ผ้าคลุมสีดำสนิท

ในขณะที่มิตรผลุบเข้าไปหลังร้าน สิตาราได้แต่มองตามหลังคนที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่ชาย
ไปอย่างสิ้นหวัง คิดถูกไหมนะ หวังพึ่งผู้ใหญ่แบบนี้



ทั้งหมดก้าวออกไปสู่แสงของเมืองในเวลาโพล้เพล้ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นย่านของนักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนหย่อนใจ
“ทำไมจะต้องมาโผล่ที่พรรค์นี้” เสียงกร้าวกดดันซึ่งประจุไปด้วยพลังอำนาจจากร่างที่เป็นเสมือน
รูปเงาดังขึ้นอีกคำรบ

“อ้อ ร้านมันชอบที่ชุมชน ครึกครื้น มันชอบพามาที่แบบนี้ เผื่อว่าจะเจอลูกค้า”
คนตอบอ้างสะเปะสะปะ

“แทนที่จะเข้าไปให้ใกล้ขุมทรัพย์กว่านี้! มีปัญญาแค่นี้เอง... ไอ้ร้านโง่ โง่เหมือนเจ้าของไม่มีผิด”

มิตรกลับปล่อยให้คำผรุสวาทผ่านไปเหมือนอากาศ ทั้งที่ปกติเขาไม่เคยยอมลงให้กับลูกค้าที่ปากไม่ดี
เรื่องต่อปากต่อคำเป็นของถนัด แต่ตอนนี้มือใหญ่ที่กุมกระชับมือเล็กของเด็กหญิงอยู่กลับบีบแรงวูบ
บอกสิตาราว่าไม่สมควรจะโต้ตอบอย่างใด

นี่มันยิ่งเป็นเรื่องแปลก แต่แทนที่สิตาราจะรู้สึกชิงชังอยากหนีห่าง กลับเหมือนมีแรงดึงดูดให้เธอ
สนใจผู้มาเยือนที่แปลกแยกมากยิ่งขึ้นไปอีก มิตรเรียกเขาว่าชามัล เขาเป็นผี ปีศาจ หรือว่าอะไร

ราวกับรู้ความคิดของเจ้าของร่างเล็ก ใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมหันวูบมาทางเธอ สิตาราไม่หลบตา
จ้องมองเขาราวกับจะค้นคว้าให้ลึกลงไป

“เด็กน้อย เธอไม่อยากรู้จักฉันนักหรอก แต่เราคงเลี่ยงกันไม่ได้ เพราะในเร็วๆนี้จะต้องสนิทสนมกัน
มากขึ้นอีก...” ผู้พูดหยุดคำคุกคามไว้ให้อีกฝ่ายขบคิดเพียงเท่านั้น

รอยยิ้มหลอนประสาททำให้คนมองต้องหลบสายตาจนได้ เมื่อรู้สึกร้อนๆหนาวๆจนเย็นเยือก
ไปถึงขั้วหัวใจ เธอได้กลิ่นจากตัวเขา กลิ่นของความตาย เหมือนกับความมืดและหนาวเย็นในห้อง
เก็บของที่ปิดลงขังเราไว้ไม่ให้มีทางหนีออกไปพ้นได้ น่าอึดอัดทรมานจนบอกไม่ถูก แต่ถึงจะน่ากลัว
สักแค่ไหนสิตาราก็จะไม่ยอมให้เขามาทำอะไรๆตามใจไปจนถึงที่สุด ไม่มีวัน


บริเวณนั้นของเมืองมีผู้คนสัญจรไปมา ไม่ถึงกับจะเรียกว่ามาก แต่ก็ไม่น้อย พวกเขาผ่านร้านนั่งเล่น
สำหรับนักท่องเที่ยว ร้านรวงที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศ แต่สำหรับปี 2033 โภคราก็ยังไม่ได้ดู
แปลกเปลี่ยนไปอย่างที่มิตรคาดว่าอาจได้พบ

ชายหนุ่มวิ่งโร่ไปยังร้านขายอาหาร ของใช้เดินทาง หมายซื้อขนมของกินเล่นจำนวนหนึ่งติดตัวไว้
อย่างอดไม่ได้ สิตาราได้แต่ส่ายหน้า ใช้จังหวะนั้นมองสำรวจไปรอบๆ ความทันสมัยถูกซ่อนไว้
อย่างแนบเนียน เสื้อผ้าของคนพวกนั้นถูกออกแบบให้เข้ากันได้ดีกับสภาพพื้นเมืองเก่าของที่นี่ด้วยซ้ำ

หายากที่จะพบคนใช้ชุดแบบเตะตาอย่างมิตรและสิตารา คือสวมเสื้อกันหนาวมีหมวกคลุมมิดชิด
พร้อมพันคอปิดปากกับถุงมือกันหนาวเหมือนจะเตรียมไปลุยหิมะที่ไหน เธอกับมิตรคล้ายพ่อลูกเชยๆ
ที่ดูแปลกแยก แต่ก็ไม่ถึงขนาดว่าจะกลายเป็นจุดเด่นมากมายนัก ที่น่าสงสัยกว่านั้น สิตาราไม่เห็นจะ
มีใครมองมายังร่างในชุดคลุมดำซ่อนเร้นที่ดูน่าจะเป็นเป้าสายตาอย่างดีเลยแม้แต่คนเดียว
ทั้งที่เขายังตามติดทั้งสองมาข้างหลังราวกับเงา

เธอดึงแขนเสื้อมิตร ขมวดคิ้วมองเขา ส่งคำถามด้วยสายตา

“คนพวกนี้ไม่เห็นชามัล” ชายหนุ่มพูดเสียงเบา “เพราะฝ่ายนั้นจงใจให้เราสองคนเห็นเท่านั้น”

ฟ้าทะมึนอึมครึม ตะวันดูเหมือนจะอับแสงลงทุกที ในขณะที่ร่างทั้งสามก้าวตามกันไป
บนทางออกจากที่ชุมชน ยอดผาหิมาลัยดูคล้ายไม่ไกลนัก แต่แท้จริงมันกลับอยู่ไกลลิบ
สายลมเย็นเยียบกรูเกรียวมาเหมือนกับจะดันพวกเขาให้ถอยกลับไป
มิให้ล่วงสู่ทางอาถรรพณ์ที่ทอดรอคอย

เหมือนกับฝัน ที่ว่าจะพากันไปหาขุมทรัพย์ซึ่งฟังดูไม่ชอบมาพากลนั่น ไม่กี่ชั่วโมงก่อน
สิตารายังอยู่ในร้านอันอบอุ่น ปลอดภัย ทว่าตั้งแต่พายุฝนนำพาเขาผ่านประตูเข้ามา
บรรยากาศระทึกน่าสะพรึงก็เริ่มต้นนับแต่บัดนั้น และไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดลงง่ายๆ

“นี่เราจะเดินกันไปแบบนี้ถึงไหน” เด็กหญิงถาม

แม้เสียงไม่มีแววยอมแพ้ แต่มิตรก็รู้ว่าสิตาราเหนื่อยเพราะทางลาดขึ้นเขา
ชายหนุ่มย้ายเป้สัมภาระของตัวเองมาไว้ด้านหน้า อีกมือถือก้านกีตาร์ที่ไม่ได้ใส่หีบห่อ
มาให้เรียบร้อยไว้อย่างดันทุรัง มือข้างว่างทำท่าเรียกสิตาราให้ขึ้นเกาะหลัง
เนื่องจากเขาเป็นคนตัวสูงใหญ่ค่อนข้างมาก และสิตาราก็ตัวเล็กกว่าเด็กสิบเอ็ดขวบทั่วไปอยู่โข
มิตรจึงเต็มใจที่จะเดินทางไปทั้งอย่างนั้น แต่ดูเหมือนว่าร่างสีดำซึ่งตามประชิดหลังทั้งคู่มา
จะอดรนทนไม่ได้อีกต่อไป
“ทำไมไม่หารถไปใกล้กว่านี้ก่อน คงไม่ได้มีปัญญาแค่เดินเท้าไปเฉยๆแบบนี้หรอกนะ
อุปกรณ์ขึ้นเขาอะไรก็ไม่พร้อม คงได้ตายอยู่เชิงเขาแน่”

มิตรหยุดกึก แต่ยังคงไม่หันกลับไป อันที่จริงมันควรจะเรียกเขาเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งด้วยซ้ำ
แต่อย่างว่าเถอะ จิตดำมืดแบบนั้นคงไม่สนใจรับรู้ความจริงอย่างใดทั้งสิ้น “ถ้ามีปัญญามากกว่า
ก็ช่วยทำให้การเดินทางเร็วขึ้นหน่อยเป็นเป็นไง”

ชามัลเบะริมฝีปากนิดหนึ่ง ไอ้มิตร...มันคงต้องการเวลาคิดว่าจะเอายังไงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่เขาจะไม่ปล่อยให้มันคิด เพราะรู้แต่แรกแล้วว่าผู้ปกครองเด็กพยายามถ่วงเวลาไร้สาระกับตน
“เอาสิ แต่คงต้องใช้พลังของแกกับเด็กคนนี้ร่วมด้วย...อย่าฝืนก็แล้วกัน”

สายลมแห่งความมืดพัดพรายมา ก่อนจะกระโชกแรง สิตาราหลับตาปี๋ กอดเกาะมิตรแน่น
รู้สึกว่าลมที่เย็นจนเป็นเกล็ดน้ำแข็งนั้นบาดปะทะผิวหน้าจนแสบ เมื่อกระแสที่คล้ายจะหอบร่าง
ให้ปลิวไปราลง เด็กหญิงลืมตา จึงเห็นว่าพวกตนมาอยู่บนพื้นที่มีหิมะปกคลุมหนา
ที่นี่คือส่วนไหนสักส่วนของหิมาลัย!

“พามาได้แค่นี้ ไกลกว่านี้มีกระแสพลังที่สกัดไม่ให้เข้าไปใกล้”

สิตาราจับได้จากน้ำเสียงว่าร่างรูปเงาของชามัลใช้พลังไปมากทีเดียวในอันที่จะพาพวกเธอมาถึงที่นี่
และหากไม่ใช่เพราะสิตารากับมิตรมีพลังเหนือคนปกติธรรมดาก็คงพามาไม่ได้ นี่ต้องใช้พลังของสามคนรวมกัน

เมื่อมิตรย่างก้าวไปบนหิมะหนาที่ปกคลุมพื้นระดับไม่เท่ากัน ร่างเขาทรุดฮวบลงเกือบศอก
สิตาราที่กำลังตระหนกกับสภาพแวดล้อมแปลกเปลี่ยนหล่นจากหลังมิตรปุลงบนหิมะ
แล้วเด็กหญิงก็รู้สึกว่ามือที่มองไม่เห็นขยุ้มคอเสื้อฮู้ดของเธอจากข้างหลัง ยกจนตัวลอย
แทนการฉุดให้ลุกขึ้น เธอหันไปมองเขาอย่างรู้สึกอยากขอบคุณอยู่นิดหน่อย
แต่แล้วกลับนิ่งค้างไปหลายวินาทีเมื่อตาสบแสงวาวเรืองมาจากใต้ผ้าคลุม สิตาราหันกลับ
จับมือมิตรที่ยื่นมาจูงเธอหลบเข้าไปยังหลืบซอกเขาตระหง่านคล้ายปราการกันลมแรงที่พัดมา

พวกเขาขึ้นมาอยู่บนเทือกเขา อากาศไม่ได้หนาวเย็นถึงขนาดจะทนไม่ไหว ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา
มิตรพาสิตาราไปเที่ยวที่ลำบากๆมาแล้วมากมายหลายที่ ทุกครั้งเธอสนุกสนานเมื่อได้ร่วมฝ่าฟัน
ไปพร้อมคนตัวใหญ่ มาวันนี้...เมื่อไม่มีอารมณ์เล่นๆหรือผ่อนคลายเหลืออยู่อีกแล้ว
ทุกอย่างคล้ายจะกลายเป็น‘ของจริง’ เด็กหญิงจึงได้รู้ว่าทุกวันที่ผ่านมาด้วยกันนั้น
มิตรอาจเตรียมเธอให้พร้อมสำหรับวันนี้! และจะอีกกี่วันที่ต้องพบเจอในอนาคต

ลมพัดอู้มาแรงราวกับพายุหิมะกำลังเริ่มตั้งเค้า แสงสว่างของสนธยาเหลืออยู่เพียงนิด
เสี้ยวจันทราลึกลับสีขาวซีดจางโผล่มาให้เห็นตรงริมฟ้า มันไม่ได้ช่วยให้ความสลัวในบรรยากาศ
บรรเทาลงแม้แต่น้อย ทว่าสายตาว่องไวดุจอสรพิษของเจ้าของร่างในชุดคลุมดำก็ยังไม่วาย
สังเกตรอยกดลึกที่ตราอยู่บนหิมะก่อนหน้าพวกเขาจะมาถึง

รอยเท้าเสือ!

ระบุไม่ได้ว่าเป็นเสือชนิดไหน แต่เท่านั้นก็บอกชามัลได้...พวกมันรู้ ศัตรูกะเวลาถูกว่าเขาจะมาถึงที่นี่
รอยมันเล็กกว่าตัวพ่อมาก...บ่งบอกว่าโชคยังดี ไม่ใช่ตัวผู้นำตระกูลเมห์ฮราที่สามารถสั่นคลอนความรู้สึก
ของเขาได้จะลดตัวลงมาเหยียบถึงที่นี่เอง ชามัลรู้ ตนตอนนี้ยังไม่มีทางต่อกรกับมัน จนกว่าจะได้อำนาจ
ที่ปรารถนามาไว้ในมือ

มิตรดึงร่างเล็กบางซอกซอนเข้าไปในหลืบเขาที่ปริแยกเป็นรอยกว้าง รูปเงาของชามัลเคลื่อนไหว
ตามไปราบเรียบสนิท ผ้าคลุมที่เกิดขึ้นด้วยมายาของวิญญาณร้ายหาได้สะท้านกับแรงลม
สิตารายังรู้สึกขนลุกแปลกๆแม้จะเริ่มคุ้นกับเขามากขึ้น เด็กหญิงไม่ทราบว่าคิดไปเองหรือเปล่า
เรื่องที่ว่าความสนใจของชายชื่อชามัลดูจะไม่ได้พุ่งไปที่มิตร แต่เป็นเธอ!
เธอและหนทางมืดมิดที่พวกเขากำลังก้าวไปสู่

ผาหินสูงเบื้องบนสบค้ำกัน ช่วยป้องกันทั้งหิมะทั้งกระแสลมที่เริ่มซัดวู่หวิวครวญครางอยู่ข้างนอก
และเช่นกัน มันพรากเอาแสงสว่างสุดท้ายจากไปด้วย

มิตรคว้าไต้ขนาดเหมาะมือจากที่มัดไว้ข้างเป้มาจุดโดยไม่ต้องอาศัยเชื้อเพลิง
ได้ไฟที่สว่างกว่าธรรมดาหลายเท่า...
สิตารารู้นานแล้ว ชายที่ดูแลเธอมานอกจากเชี่ยวชาญอำนาจเกี่ยวกับอัญมณีมากมาย
อันเป็นสมบัติของเขา มิตรยังมีพลังไฟธรรมชาติแฝงอยู่ในตัว ทั้งลางสังหรณ์ในเรื่องที่จะเกิด
ที่ตื่นตาที่สุดคือพลังไฟนี้เอง แม้เขาจะเคยออกตัวว่ามีพลังไม่มากอย่างที่คนในตระกูลควรจะมี
สมบัติสืบทอดโดยโชคชะตางั้นหรือ ไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่ก็ต้องยอมรับมัน...

เด็กหญิงผ่อนลมหายใจ ภาพพี่สาวที่กำลังเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้นท่ามกลางไฟโดยเธอ
ช่วยอะไรไม่ได้ผ่านเข้ามาในห้วงความคิดอีกครั้งก่อนวาบหาย ปลายเสียงกรีดร้องของพี่
กลายเป็นเสียงหวีดหวิวของสายลมที่หวนไห้ผ่านไปอย่างน่ากลัว

“จุ...ฟังสิ ดูเหมือนจะมีคนไม่เห็นด้วยกับการมาของเรา” ถ้อยคำเยาะยิ้มเหยียดหยันดังจากใต้ผ้าคลุมหน้า

มิตรส่ายหน้าบอกสิตาราว่าอย่าสนใจ เขาดึงให้เด็กหญิงเดินตาม ภายในช่องทางหินนั้นเอง
พอเข้าไปได้หน่อยแสงไต้ในมือมิตรก็ส่องให้เห็นว่ามีสัญลักษณ์โบราณบางอย่างที่ไม่ยอมลบเลือน
ไปตามกาลฝังอยู่บนผนังและพื้นหินเย็นชา

“อ่านหน่อย สิตารา ภาษาของรัตติดาราของพวกเธอใช่ไหม”

สิตาราเห็นแล้วแต่แรก จริงอยู่ เธอเป็นคนไทย แต่ภาษาที่สองที่พี่สาวเพียรสอนมาตลอด
ตั้งแต่จำความได้ก็คือเหล่าตัวอักษรมหึมาที่ปรากฏให้เห็นต่อหน้านี่เอง

“ที่นี่คือ...ทางเข้าขุมทรัพย์แห่งความมืด” เด็กหญิงเอ่ยออกไป

มิตรยักไหล่ “เรากำลังมาอยู่หน้าที่ซ่อนของโมรารัตติกาล...
ลองบอกออกมาให้ฟังชัดๆได้ไหมชามัล ว่าหากได้สิ่งนี้ไป จะใช้มันทำอะไร”

“น่าขำ” เจ้าของร่างวิญญาณส่งเสียงต่ำๆคล้ายคร้านจะตอบ
“ทวงคืนสิ่งที่ควรจะเป็นของตัวเองไงล่ะ อำนาจ ชัยชนะ ก็น่าจะรู้อยู่แล้ว”

มิตรรู้ดี แต่ตอนนี้เขากำลังสับสน ชะตาของสิตาราฝากไว้กับชายผู้ชั่วร้ายตรงหน้า
นั่นคือสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงกระนั้นหรือ แล้วถ้าหากว่าเขาทำให้ทุกอย่างบิดผัน
ไปจากที่ควรจะเป็น ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งข้างหน้า ชีวิตของเด็กหญิงจะเป็นอย่างไร
ดีขึ้น หรือเลวร้ายลง
ในชั่วขณะที่จิตของมิตรไม่ได้จดจ่อกับคนตัวเล็กที่เขาจูงมือไว้มั่น
ชามัลยิ้มอยู่ในที รู้ว่าตนจะต้องฉวยโอกาสนี้เช่นไร

‘ดูเหมือนว่า...ตอนนี้มิตรกำลังคิดหนัก เรื่องของฉันกับเธอ’

“หยึย” สิตาราอุทานพลางเบ้หน้า กลอกตาไปซ้ายทีขวาทีอย่างระแวง
เมื่อสุ้มเสียงเร้นลับดังมาเข้าหู คล้ายมีเธอคนเดียวที่ได้ยิน

‘จุ๊ๆ อย่ากระโตกกระตากไป ถ้าอยากรู้ความลับที่ผู้ชายชื่อมิตรคนนี้ซ่อนไว้ไม่เคยปริปาก
ฉันนี่แหละจะบอกเอง’

‘อย่ามาโกหกเลย...จะหาทางให้ฉันระแวงมิตรแล้วตัวเองก็จะแทรกเข้ามาละสิ’ สิตาราคิดตอบในใจทันควัน

ชามัลรู้สึกถูกใจ เด็กตรงหน้าเข้าใจเขาง่ายกว่าที่คิด ‘ฉันแอบหวัง แต่ใจจริงก็ไม่คิดว่าเธอจะหลงกล
เร็วขนาดนั้น เพราะดูเผินๆก็เหมือนจะฉลาด ที่ฉันจะบอก มันคือการแลกเปลี่ยนของเรา
มีความลับหลายเรื่องที่ผู้ชายชื่อมิตรไม่ยอมบอกเธอ’

‘ไม่เห็นอยากจะรู้’

‘อย่างเช่นเรื่องพี่สาวของเธอ ก็ไม่อยากรู้ด้วยงั้นเหรอ...’

สิตาราสะอึก ขณะที่เสียงกระซิบในหัวยังคงยั่วแหย่เธอต่อไป

‘เรื่องของผู้หญิงชื่อดารา...ทีนี้อยากรู้แล้วละสิ อยากรู้ใช่ไหม ถ้าใช่ก็เดินไปนิ่งๆ แล้วฉันจะค่อยๆบอกเอง’

เด็กหญิงไม่กล้าบีบมือมิตร เธอไม่เคยมีความลับกับเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรมิตรก็ยังคงมีความลับกับเธอ
ในเรื่องที่เขาอ้างว่ายังไม่สมควรที่เด็กๆจะต้องรู้ นั่นทำให้สิตาราจำต้องเสี่ยงลองฟังคำของชายแปลกหน้า
ที่ไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย เธอไม่มีทางเลือก

‘ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด มิตร เมห์ฮรารับเธอมาจากช่วงเวลาอดีต แล้วเธอก็ติดอยู่ในร้านเขา
ไม่คิดอยากหวนกลับไปยังช่วงเวลาของตัวเองบ้างหรือ บ้าน...ที่เธอจากมา
อดีตเมื่อร้อยปีก่อนนั่นน่ะสิตารา มันอาจจะไกล ไกลเหมือนฝัน แต่ไม่ยากเลยที่เราจะเอื้อมไปถึง’

เด็กหญิงยังคงนิ่งเงียบ

‘บอกกันตามตรง...หลายปีมานี้ นอกจากเรื่องของโมรารัตติกาล ยังมีอีกเรื่องที่อยู่ในความสนใจของฉัน
เกี่ยวกับผู้ที่เอาโมรามาผนึกไว้ ผู้คนจากรัตติดาราสิบสองราศี และสำหรับราศีที่สิบสามที่ซ่อนอยู่
ว่ากันว่าหากครอบครองราศีลับนั้นได้ อำนาจมืดของดวงดาวอีกทั้งสิบสองราศีก็จะตกมาอยู่ในมือ
ตามคำสาบานของราศีทั้งหมด ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด พี่สาวเธอเคยเป็นผู้ครองราศีที่สิบสาม
ในช่วงก่อนที่รัตติดาราจะหายสาบสูญไปเมื่อร้อยปีก่อน ทีนี้เมื่อเธอจากมา
รู้บ้างไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับพี่ของเธอ’

‘เกิดอะไร...มิตรบอกว่าพี่ยังอยู่ดี ยังปลอดภัยดีอยู่กับคนอีกพวกที่พาหนีไป’
สิตาราเอ่ยโต้ตอบในใจ แม้จะยังเด็ก แต่เธอก็กังวลไม่น้อย เพราะเคยได้รับพิษสงจากการแย่งชิงอำนาจ
ที่เข้ามาถึงตัว อำนาจ...สิ่งที่เธอและพี่สาวไม่เคยต้องการเลย

‘หึๆ เริ่มเข้าเรื่องแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ตรงกับที่ฉันรู้มาจากบันทึกของรัตติดารา
รู้สึกว่าจะเกิดบางอย่างขึ้นกับพี่เธอ บางอย่างที่ร้ายแรงมาก’

‘โกหก!’

‘เธอรู้ว่ามันเป็นไปได้มากกว่าที่พี่เธอจะยังอยู่ดีมีสุขเสียอีก แต่หากจะยืนยันว่าอย่างไหนจริง
เราต้องย้อนเวลากลับไปดูให้รู้แน่ ความต้องการของเราไปในทางเดียวกัน เธอต้องรู้ให้ชัดสิ
จะมีความสุขคนเดียว ปล่อยให้พี่สาวที่รักต้องทุกข์ทรมานตามลำพังรึ มิตรช่วยอะไรเธอได้หรือไง
เขาไม่มีอำนาจมากพอ ได้แต่พาหนี แต่ฉันนี่ไงช่วยได้’

สิตาราส่ายหน้าแรงๆ พยายามสลัดความคิดที่ผู้ชายน่ากลัวซึ่งตามติดมาข้างหลังส่งถึงเธอ
ในขณะที่มิตรหันมาเห็นเข้าพอดี

“เป็นอะไรสิตารา ดูรอบตัวสิ คูหากว้างขึ้นแล้วนะ จากความเคลื่อนไหวของอากาศ
ฉันรู้สึกว่าทางใต้ดินข้างหน้ามีเหว ลมไหลผ่านแรง เราต้องระวังกันหน่อย”

เด็กหญิงกะพริบตา เริ่มมองความจริงที่รายล้อม เธอมัวจดจ่อกับกระแสความคิดดำมืดของชามัล
จนเกือบจะลืมเรื่องที่มิตรมักสอนให้มีสติรู้พร้อมอยู่ตลอด

แสงจากไต้ส่องให้เห็นกระจ่างไปไกลในความมืดเวิ้งว้างเบื้องหน้า และแน่นอนว่าสำหรับคนที่
พอจะมีพลังแฝงอยู่ในตัวจนสามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งเร้นลับที่คล้ายเป็นเรื่องเหนือจริงสำหรับคนธรรมดา
ดวงตาแห่งการมองเห็นผ่านตาในที่เรียกว่า‘ตาที่สาม’ก็ช่วยให้เห็นได้กว้างไกลขึ้น เรียกว่าใช้
ความรับรู้ของจิตมาเป็นกำลังให้สามารถรู้เห็นไปได้เกินกว่าสายตาคน และบัดนี้ ในที่สุดพวกเขาก็
มายืนอยู่หน้าเหวมหึมาที่มีแต่เสียงลมครวญ ตอหินผุๆเรียงอยู่ห่างๆกันเป็นทางข้ามผ่านแสนจะน่าหวาดเสียว

“จากประสบการณ์การข้ามมาเที่ยวอนาคตอยู่สองสามครั้ง ฉันรู้มาว่าปี 2030
โลกได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ บางทีรอยแตกใต้ภูเขานี่ก็อาจจะใช่ เพราะที่เคยรู้
ที่นี่ไม่มีเหวแบบนี้มาก่อน” ...แต่ทำไมแผ่นดินไม่ไหวให้แรงอีกสักหน่อย
ให้มันกลบฝังขุมทรัพย์บ้าๆนี่ไปเสียเลย
มิตรถอนใจ อย่างน้อยเขาและสิตาราจะได้ไม่ต้องถูกบังคับให้มาเผชิญชะตากรรมที่ไม่อาจเลี่ยง
ไม่นานมานี้มีคนเตือนเขาว่าถ้ามิตรไม่หาทางหนีจากชามัลให้ได้ เขาอาจต้องมาพบกับอันตรายถึงตาย
ณ สถานที่แห่งนี้ คำเตือนยังดังก้องอยู่ในใจไม่สร่างซา

‘บอกตรงๆว่าข้าไม่เปิดทางให้เจ้าเข้าไปในนั้นง่ายๆ มีคำสาป กับดักมากมายที่มีอยู่แต่เดิม
...และที่ข้าเองเป็นคนทำเพิ่มเติมไว้ เป็นหน้าที่ของเจ้าที่ต้องหาทางเปลี่ยนลิขิต
เบี่ยงเบนความสนใจของชามัลไป
ที่สุด มิตรก็ได้พบเจอชามัลจริงๆ แล้วก็ยอมมาด้วยง่ายๆ ...บางทีผู้เรืองอำนาจที่มาออกความเห็นกับเขา
คงไม่เข้าใจดี สติปัญญาเพียงอย่างเดียวไม่สามารถช่วยให้เอาตัวรอดจากเงามืดที่ดูจะรู้ทันไปเสียหมด
แบบรูปเงาผีนรกตรงหน้านี้ แถมการต้องผูกชีวิตไว้กับเด็กสิบขวบมันน่าหนักใจแค่ไหน ถ้าลำพังเขา
ตัวคนเดียวคงไม่หนักหนา ถ้าไม่ถูกใช้ความห่วงใยในตัวสิตาราเป็นเครื่องต่อรอง

“ให้เขาใช้ลมหอบเราข้ามเหวไปได้ไหม แบบตอนที่พาขึ้นมาบนภูเขานี่”
สิตาราเปรยหยั่งเชิง แต่เธอไม่ยอมหันไปพูดกับชามัลตรงๆ
คล้ายจะแกล้งกวนอารมณ์ด้วยการทำทีไม่อยากเสวนากับเขา

“เด็กโง่ ถ้าเข้าใกล้ได้มากกว่านี้ก็พาเข้าไปแต่แรกแล้ว ที่ต้องหยุดแค่นั้นเพราะที่นี่มีอาถรรพณ์แรงกล้า
กดพลังทุกอย่างไว้ ตอนนี้ฉันเองก็พลังหมดเพราะใช้พาพวกเธอมาถึงนี่ ทำอะไรไม่ได้มาก แต่ทางข้างหน้า
ก็ยังไม่ปิดโอกาส ยังต้อนรับคนที่ยอมลงทุนลงแรงให้มาก ผู้ที่ยอมเสี่ยงมากพอเท่านั้นถึงจะคู่ควร
กับสมบัติล้ำค่าที่อยู่ข้างใน”

สิตารานิ่งงัน เกิดความเชื่อมั่นเร้นลับขึ้นมา แม้ความต้องการแรกของผู้ชายคนนี้
คือประคำหินโมราที่ใช้เดินทางย้อนอดีต แต่ไม่เพียงเท่านั้น
จุดประสงค์ของเขายังเชื่อมโยงกับรัตติดารา...เกี่ยวพันกับเธอโดยตรง
มิน่า ถึงได้พยายามหาโอกาสกล่อมให้เธอหลงเชื่อนัก

แต่ส่วนที่ร้อนรนในใจสิตาราก็ยังเพียรกระซิบเร่งเร้าให้รุ่มร้อน เรื่องพี่ดาราต้องเผชิญกับอันตราย
นั้นมีโอกาสเป็นจริงอย่างที่สุด เพราะเมื่อตอนพรากจากกัน เสียงจากอีกฝั่งของกำแพงไฟเป็น
เสียงพี่สาวเธอกรีดร้องทรมาน แม้มิตรจะพร่ำบอกว่ามีคนมาช่วยพี่แล้ว แต่ถ้าไม่กลับไปดู
ในช่วงเวลานั้นให้รู้แน่ว่าพี่ยังมีชีวิตอยู่ดี สิตาราก็เหมือนหนีมามีความสุขอยู่คนเดียวตามที่
ผู้ชายร้ายกาจชื่อชามัลกล่าวหาจริงๆ

หรือว่า นี่คือการจากกันที่มิตรเคยเอ่ยถึง...


มิตรขมวดคิ้ว เขาไม่แน่ใจว่าจะพาสิตาราข้ามไปได้โดยปลอดภัย ตัวเขาเองมีพลังไฟอย่างอ่อนๆ
แต่ก็มากพอจะใช้พลังความร้อนจากอากาศสร้างลมเพลมพัดขึ้นรอบๆตัว ช่วยให้เคลื่อนไหว
ได้เกินคนปกติ เขาอาจโดดข้ามไปได้ลำพังอย่างไม่ลำบาก แต่จะต้องแบกเด็กไปด้วยหรือ
ครั้นจะให้ทิ้งสิตาราไว้ที่นี่ก็เสี่ยงเกินไปอีกนั่นแหละ

“สิตารา เอาของไม่จำเป็นออกจากกระเป๋า เราจะข้ามไปด้วยกัน ฉันจะให้เธอเกาะหลังไป
เอาไปแต่ของที่จำเป็นกับอาหาร”

“หึ” ชามัลเยาะแทรก “น่าจะดีกว่า ถ้าแกจะยอมเปิดทางให้ฉันได้ใช้ร่างเด็กคนนี้
ฉันพาข้ามไปได้สบายๆ”

“ไม่มีทาง!” มิตรเผลอขึ้นเสียง... แน่นอนว่าเป้าหมายของวิญญาณร้ายอยู่ที่เด็ก
ตอนนี้มิตรใช้จิตตัวเองกำบังไว้ไม่ให้ชามัลสามารถแทรกแซง หรือ‘สิง’สิตารา
เพราะถ้าลองเขายอมเปิดโอกาสให้สักครั้ง เมื่อจิตของชามัลได้สัมผัสกับปราณในร่างสิตาราจนคุ้นเคย
โอกาสที่มันจะเกิดขึ้นอีกโดยเขาไม่อาจควบคุมจะยิ่งง่ายดายเป็นทวีคูณ

ในขณะที่มิตรเอาข้าวของออกจากกระเป๋าหาที่วางหลบมุมไว้ รวมกับกีต้าร์ที่ไม่รู้จะ
บ้าหอบฟางแบกมาด้วยทำไม สิตารามองลงไปยังก้นเหวโหวงเหวงว่างเปล่าที่ก้นบึ้ง
เป็นความมืดมิดแล้วก็เริ่มเข้าใจ ความรู้สึกปั่นป่วนในท้องที่เรียกว่ากลัวความสูงนั้นเป็นอย่างไร
เสียงลมวู่หวิวครางครวญอยู่ข้างใต้เหว เหมือนวิญญาณร้ายจากนรกมาร้องขอชีวิต

ไม่นาน สิตาราถูกเรียกซ้ำให้ไปเอาของออกจากกระเป๋า เธอเข้าใจดีว่ามิตรมีเหตุผล
ที่ต้องไปต่อตามคำของชายที่มีร่างกายเป็นรูปเงา แม้ไม่ต้องบอกกันเป็นคำพูด
แต่สิตาราก็อยู่กับมิตรมานานพอจะรู้ดีว่าเขาเลือกทางที่ดีที่สุดเสมอ
แม้บางทีจะเซ่อซ่าไร้สาระไปบ้าง แต่กับเรื่องสำคัญเขามักระวัง

“บ้าเอ๊ย! ดันลืมเอาเชือกมา”

เด็กหญิงส่ายหน้าขำๆ...สงสัยเธอจะคิดผิดไป

“จะถอยกลับก็ไม่ได้แล้ว สิตารามานี่!”
มิตรเอาเด็กหญิงวัยสิบเอ็ดที่สะพายเป้ใบเล็กของเธอกระเตงหลังอีกที ก่อนจะสะพายเป้เก่าๆของตน
ทับลงไปบนร่างบอบบางเป็นการล็อกตัวเธอติดกับหลังตน ปากคาบก้านไต้ที่จุดสว่างเอาไว้
หูทั้งคู่ได้ยินเสียงพึมพำรำคาญใจมาจากเจ้าของร่างทะมึนเป็นเงามืดที่ไม่คิดจะช่วยเหลือ
อย่างใดนอกจากเฝ้าดู แต่เมื่อมิตรเริ่มโจนข้ามหุบเหวไปตามแท่งหินหมิ่นเหม่ที่ขึ้นมาเป็นตอๆ
เว้นช่วงห่างอย่างน่าเสียวไส้ ชามัลกลับตามมาประกบติดไม่ยอมห่าง

บรรยากาศอึดอัดกดดัน ทั้งที่อากาศหนาวแต่สิตาราก็รู้สึกได้ เจ้าของร่างใหญ่ที่ตนเกาะอยู่
เครียดเกร็งจนไหล่สะท้าน มิตรมักบ่นเสมอว่าถ้ามีพลังมากกว่านี้ก็คงดี แต่เขาลำบากลำบน
ยังไงก็ไม่เคยทิ้งเธอไว้ข้างหลัง

“ไหวไหมมิตร พักสักเดี๋ยวค่อยไปต่อดีไหม”

ชามัลที่ตามติดมาเหมือนภูตผีหัวเราะกระหึ่มในคอ เขาต้องใช้คนอื่นเข้าถึงโมรารัตติกาล
วิญญาณของเขามาถึงนี่ได้ไม่ยาก แต่การจะได้โมราไป ต้องใช้ทั้งมิตรและสิตารา
หลังจากนั้นก็ถึงเวลาที่ทั้งคู่จะต้องแยกจากกัน!

“พักตรงนี้ก่อนเถอะ” เจ้าของร่างรูปเงาเปรยเสียงยั่วเย้า จุดความระแวงขึ้นในทันที
ว่าคนพูดอาจคิดทำอะไร ทั้งที่มิตรกับสิตารายังติดอยู่บนหินขรุขระสูงแคบหมิ่นเหม่
จนแทบไม่มีที่เหลือให้ทรงตัว

“ไม่...” มิตรกัดฟันเอ่ยอู้อี้ด้วยปากที่คาบไต้ไว้ เลือกโดดตัวลอยลงไปยังหินก้อนต่ำกว่าทางซ้าย
ทว่าคราวนี้ชายหนุ่มพลาด! ฐานของหินสูงที่โด่เด่ขึ้นมาจากเหวมืดจนมองไม่เห็นก้นนั้นเล็กและเปราะ
เกินกว่าจะรับน้ำหนักทั้งคู่ไหว หินโค่นตัวลง เซปะทะก้อนข้างหน้าและล้มระนาวต่อๆกันไป
แต่มือของมิตรก็ยังไขว่คว้าได้อย่างเหนียวแน่นเหลือเชื่อ ทว่าจังหวะหนึ่งที่เขาเหวี่ยงแขนขึ้น
โหนแง่หินก้อนต่อไปข้างหน้า หินข้างๆที่โค่นตามลงมาก็ซัดเข้าหากระเป๋าเป้ของมิตร
เกี่ยวมันขาดหลุดลงไปยังหินเบื้องล่างทันที ไม่เพียงเท่านั้น แรงปะทะยังทำให้สิตาราเกาะไม่อยู่
ร่วงหวือตามเป้ลงไปติดๆ

“เฮ้ย---” มิตรตวัดมือไปคว้าร่างเล็ก ปกติเขาไม่ใช่คนที่จะประเมินกำลังตนเองพลาด
แต่คราวนี้เหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้คลาดไป

“มิตร!”

ดีที่สิตารายังพอตะกายเกาะตอหินที่อยู่ต่ำกว่าเอาไว้ได้ แต่มือน้อยๆกับหินคมๆ
ที่เกาะแสนลำบากทำให้เธอเจียนจะหมดแรงในไม่กี่วินาทีข้างหน้า
“มิตร…” เด็กหญิงครางอย่างหวาดกลัว

ชายหนุ่มที่ตั้งหลักบนหินก้อนสูงขึ้นไปได้แล้วหันไปมองร่างเล็กที่ติดค้างอยู่เบื้องล่าง
ไกลเกินกว่าเขาจะโจนถึงในคราวเดียว เพราะช่วงที่เกิดเหตุหินล้มลง มิตรต้องโจนต่อมา
ข้างหน้าเรื่อยๆจนถึงจุดที่เขาอยู่ ชายหนุ่มได้แต่วิตก ยามเมื่อร้องตะโกนออกไป
“อย่าปล่อยนะสิตารา ฉันจะไปช่วยเดี๋ยวนี้!”

“ช่วยทันเหรอ เด็กนั่นหน้าซีดปากสั่น จะหมดแรงอยู่รอมร่อแล้ว” ชามัลยั่ว
เห็นชัดแล้วว่าโอกาสของเขามาถึงในนาทีนี้เองโดยไม่ต้องเหนื่อย
เพียงใช้คำพูดให้อีกฝ่ายขาดความระวังก็เท่านั้น



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 พ.ย. 2556, 07:59:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 พ.ย. 2556, 08:34:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1809





<< บทที่ ๒ แขกผู้ไม่ได้รับเชิญ   บทที่ ๔ ขุมทรัพย์แห่งความมืด >>
อสิตา 19 พ.ย. 2556, 08:01:16 น.
คุณก้อนหิน – ไม่รักชามัลเหรอคะ(ชามัลทำตาหวาน) หุหุ ผีเฮี้ยน คนดื้อ น่ารักนะคะ(ชามัลเกาะแข้งเกาะขา)
คุณเลิฟหมวย – ถูกแล้วค่ะ สิตารามีความลับ ชามัลก็ต้องการตัวเด็กด้วย วางแผนสารพัดที่จะเข้าถึงใจสิตารา
คุณดวงมาลย์ – เผยอปากรอจูบ จงมาๆๆ งานน้องไฟลุกจะไม่ไหวแล้วอ่า เจ๊ช่วยด้วย จะเผาก็ไม่ได้ต้องตั้งใจ เครียดๆๆๆ
คุณเกดซ่า – นิทานก็คือต้องตั้งชื่อปีนักษัตร ชวด ฉลู ขาล เถาะ อะไรนั่น หนูหลอกให้แมวมาผิดวัน
หรืออะไรนี่แหละเลยมาไม่ทันให้ตั้งชื่อปีแมว เลยไม่มีปีแมวไง... แต่หนูขี่วัวมา พอจะถึงก็โดดลงก่อน
ปีชวด(หนู) เลยเป็นปีแรกของนักษัตร แมวเลยแค้นหนูตั้งแต่นั้นมา

คุณภาวิน – จริงๆชามัลแกล้งเปียกให้เห็นเพราะอยากให้เด็กตกใจกว่าเดิมมากกว่านะ แต่ถูกแล้ว ฮีมีอารมณ์ขันตลอด
คุณหนอนน้อยดังปัณณ์ – อ้าว เชียร์ต้อยรึ แต่ต้อยยังอ่อนแอกว่านะตอนเนี้ย เชียร์ตามิตรไหม แต่ไม่รู้จะพึ่งได้รึเปล่า เมาไปวันๆ
คุณพี่มูน – มาเชียร์ตามิตรหรือว่าตามารล่ะ หุหุ
คุณซาอิ แกะน้อยงุงิหางพันกัน – พี่ครามมมมม ไม่ยอมน้า อย่าลืมพี่คราม แฮ่ๆๆ ตามารน่ารักนะ ไม่ดุหรอก
คุณเฟอร์จอมยุ่ง มะม้าตอบเรื่องอัคนีมายาไว้ในต้นเรื่องแล้วนะ ไม่งั้นเฟอร์ก็จะมาอาละวาดใส่มะม้าอีก...
ส่วนพ่อของนาง เดี๋ยวไว้จะเอาออกมานะ รออีกหน่อย อุอุ ห้ามว่าตามาร เดี๋ยวคืนนี้ไปหาเลยนิ


อสิตา 19 พ.ย. 2556, 08:01:33 น.
คุณน้องมีน – ประทับใจจริงนะอีตรงชามัลลืมเปียกเนี่ย แต่คงยังไม่เท่าตอนลุงไผ่สุดที่รัก
คุณบาร์บี้ – กร๊าก ตามารจะทำให้รักเดี๋ยวนี้แหละ ด้วยการยียวนกวนประสาทน่าตบจูบ เหอๆ
คุณพระอาทิตย์สีทอง – ถ้ามิตรไม่อยู่ร้านก็ไม่มีใครเห็นร้านอยู่แล้วค่ะ เหมือนกับร้านนี่ดูแลตัวเองได้ระดับนึง
ไม่ใช่สิ ในระดับสูงเลยแหละ ขามัลคงต้องค่อยๆเรียนรู้ไป อาจใช้เวลานานหลายปีทีเดียว
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ – ต้องอ่านไปพร้อมๆกันแบบนี้แหละค่ะ อ่านไปตามที่คนเขียนเล่าทีละนิดรับรองไม่งงแน่นอน เพราะเรื่องนี้ก็เกิดเรียงตามลำดับนะคะ โมรารัตติกาลก่อน แล้วค่อยไปม่านทิวาพชร แล้วปิดท้ายมรกตสนธยา
คุณแพทโอเค – ส่งจูบ ตอนนี้ลงยาวขึ้นแล้วนะคะ ฮี่ๆ คนเขียนจำโวลเดอมอร์ไม่ค่อยได้ค่ะ แต่เราก็พยายามไม่เหมือน ไม่ชอบเหมือนใคร แต่สุดท้ายก็เขียนไปตามที่ตั้งใจจะเขียนในจินตนาการอยู่ดี *0*


ketza 19 พ.ย. 2556, 08:29:58 น.
อรุณเบิกฟ้า... เกดซ่าโบยบิน ออกหากิน..... เอ๊ยย นี่มันไม่ใช่แระ 555
จะบอกว่าตื่นมารอท่านพี่ชามัลแต่เช้ามืด ในที่สุดท่านพี่ก้มาหาน้องเสียที >//////<
ท่านพี่ใจร้ายจัง รักเค๊าเมื่อไรจะงอนนนเสียให้เข็ด เชอะๆๆๆ


อสิตา 19 พ.ย. 2556, 08:32:42 น.
เกดซ่าร้องเพลงบ่งบอกวัยนะจ๊ะ


Barby 19 พ.ย. 2556, 08:50:54 น.
อันแน่มีมายั่วจิงๆนะชามัล มาต่อไวไวนะค่ะ


SunSeed 19 พ.ย. 2556, 08:51:30 น.
สุดหล่อของช้าานนนนน เลวววได้ใจจุงเบยยยยย


ริญจน์ธร 19 พ.ย. 2556, 10:10:08 น.
ชามัลทั้งหล่อทั้งร้ายจริงๆ


ดวงมาลย์ 19 พ.ย. 2556, 10:23:50 น.
งือ จะตายแล่วววววว ไฟลนก้นสุดๆ หมดเรื่องนี้จะพักซีรีส์แล้ว มะไหวจะเคลียร์


ก็เป็นได้แค่กระต่ายผ้าขี้ริ้ว 19 พ.ย. 2556, 10:31:08 น.
ชามี่นิสัย... จริงๆ ชอบ!


บุลินทร 19 พ.ย. 2556, 11:32:57 น.
มิตรช่วยสิตาราให้ได้น้าาาาา


Chii 19 พ.ย. 2556, 12:23:34 น.
แหยะะะ ชามานนี่น่ารังเกียจอ่าาาา ทำได้ทุกอย่างจริง ๆ
แขยงแทนสิต้าเลย หึยยยย
สิต้าอย่าไปยอมมานนี่นะ!!!
//จริง ๆ เรื่องนี้ มิตตี้เป็นพระเอกใช่ไหมคะะะะะะ


goldensun 19 พ.ย. 2556, 12:34:12 น.
ชามัลเจ้าเล่ห์ ทั้งยั่ว ทั้งยุแหย่ แถมมิตรดันมีความลับกับสิตาราอีก
เพื่อช่วยสิตารา คงเป็นโอกาสที่ชามัลจะได้สิงสิตารารึเปล่า
หรือมิตรจะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนชะตา
เป็นลุง จะแพ้หลานหรือคะ


Zephyr 19 พ.ย. 2556, 13:08:33 น.
ชิ ผู้ใหญ่นิสัยเสีย เอ้ย ผีนิสัยเสีย
รอๆๆๆๆ เอาแต่รอๆๆๆๆ ไม่ช่วยกันเล้ยยยย
ถึงจะช่วยแค่ตอนแรกก็เหอะ ช่วยอะไรที่อำนวยตัวเองตลอดอ่ะ
ช่วยเพื่อคนอื่นนี่ไม่คิดจะทำเนอะ
คราวนี้ พอมิตรหันมาเถียงด้วย พลังป้องกันต่ำลง ตัวเองจะถือโอกาส สิงสิตารา แล้วลอยขึ้นมาเหรอไง
แล้วจะถีบตามิตรกลับร้านกาลเวลา รึ จะปาดคอเลย
อย่างนายทำได้อยู่แล้วใช่มะ


เคียงเขม 19 พ.ย. 2556, 17:29:04 น.
แล้วสุดท้ายก็จะสิงหนูสิตารา (เดา)
รอเฉลยตอนหน้าค่า


lovemuay 19 พ.ย. 2556, 18:49:40 น.
ตั้งใจจะทำอะไรกันแน่นะคะ ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน


ดังปัณณ์ 19 พ.ย. 2556, 20:15:10 น.
เหนด้วยกะคุณเคียงเขม เพราะอิชาเนี่ย บอกว่าต้องหาร่างสิง คุณแป้ง เค้าเริ่มเกลียดอิชาแระ เลวจิงจิ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงง


อุ้มสม 19 พ.ย. 2556, 20:15:12 น.
มาส่งกำลังใจให้พี่วนัสสา คนสวยย ><


นักอ่านเหนียวหนึบ 19 พ.ย. 2556, 21:53:07 น.
เหยยยยย ตอนนี้นี่มัน วณิพกพเนจรพ่อลูกอ่อน นี่นา
อ่านแล้วรักมิตรจุงเบย มีการฝึกฝนให้สิตาราเตรียมพร้อมกับอนาคตด้วย แหม รอบคอบจิงๆ ส่วนอิตาชาเมา นายเป็นพระเอกไม่ได้หรอก นิสัยเสียเกินไป


sai 20 พ.ย. 2556, 20:35:00 น.
กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด อีตาชามารรรรรรรรรรรรรรรรรรร นิสัยเสียยยยยย เกลียดๆๆๆๆๆๆ

ปล.พีครามอยู่ห้อง อัคนิ อยู่ห้อง มิตรอยู่อีกห้องโอ้ยที่ว่างเหลืออีกเยอะะะะเพราะเค้าสร้างคอนโดจ้าาาา 555


patok 21 พ.ย. 2556, 09:05:26 น.
เสียดายชามัลมากๆเลยค่ะ ถ้าHe เป็นคนดีนะ จะแบบ เทพบุตรมากๆเลยทีเดียว ไม่น่าเลยอ่ะ
ตอนอ่านภาคที่แล้วยังแบบมีหวังว่าชามัลจะกลับใจ 55+

สงสาร มิตร เมห์ฮรา :)


ketza 21 พ.ย. 2556, 13:39:07 น.
ตะล๊อกต๊อกแต๊ก” แอบมาดูท่านชามัล ^_^


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account