ม่านทิวาพชร {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

Tags: โมรารัตติกาล มรกตสนธยา มนตรามุกจันทรา มายาไฟในดวงตา ม่านธาราเร้นดาว อัญมณีเหนือกาล มนตราอัญมณี

ตอน: บทที่ 5 บุรุษแปลกหน้า



บุรุษแปลกหน้า



เจ้าของร่างสูงสง่าเดินนำไปโดยปล่อยให้ม้าสีขาวกินหญ้าอยู่บริเวณนั้น ครู่ต่อมาเขาก็หยุดอยู่ใต้จามจุรีต้นใหญ่ พร้อมกับทรุดตัวลงนั่งบนพื้นดิน

“อ้าว ทำไมยังไม่ตามผมมาอีกล่ะ” จิณลีขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันเมื่อเห็นหญิงสาวยังยืนอยู่ที่เดิม

ชลันธรไม่ตอบ ดวงตากลมโตฉายแววลังเล เธอควรจะไปนั่งคุยกับเขาจริงเหรอ

“สงสัยคุณจะเป็นคนคิดมาก บอกแล้วไงว่าถ้าผมเป็นคนร้าย ผมคงไม่เสี่ยงไปช่วยคุณจากต้นไม้กินคน อีกอย่าง…คุณก็เห็นอยู่ว่ารอบตัวคุณตอนนี้มีแต่ป่ากับภูเขา มองไปทางไหนก็ไม่เห็นใครสักคน แบบนี้ผมยังไม่ใช่คนที่ควรไว้วางใจที่สุดตอนนี้อีกเหรอ” เขานั่งกอดเข้าในท่วงท่าสบายๆพลางยิ้มราวกับขันท่าทีตื่นๆของหญิงสาว

ชลันธรคิดตามที่เขาพูดก็ไม่อาจโต้แย้งได้ หญิงสาวตัดสินใจอยู่นาน ที่สุดเธอก็ได้คำตอบให้ตัวเอง เธอจะลองไว้ใจคนแปลกหน้าดูก็ได้

เจ้าของร่างเพรียวเดินเข้าไปหาจิณลี ทว่าหยุดที่จุดซึ่งห่างจากชายหนุ่มพอประมาณและไม่ยอมนั่งลง

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเธอ “นั่งก่อนสิครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

“เฮ้อ บอกตรงๆนะว่าไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนวิ่งหนีผมมาก่อน มีคุณนี่ละคนแรก ถามจริงๆนะครับ คุณคิดว่าแบบผมนี่เป็นโจรเหรอ”

“ไม่รู้สิ ฉันเพิ่งเคยเจอคุณ” หญิงสาวพยายามค้นหาพิรุธในแววตา เผื่อว่าฝ่ายนั้นจะมีอุบายชั่วร้ายล่อลวงเธอ แต่ก็ไม่พบความผิดปกติ

จิณลีพยักหน้า “ตกลง ถ้าจะไม่นั่งก็ไม่เป็นไร”

“ค่ะ เริ่มคำถามแรกเลยแล้วกัน คุณช่วยบอกฉันได้ไหมคะว่าที่นี่ที่ไหน”

“ที่นี่คือเขตปาณษา เป็นเขตการปกครองที่อยู่ในประเทศภูทิวา”

“ภูทิวา!” หญิงสาวทวนคำอย่างประหลาดใจ ภูทิวามีจริงเหรอเนี่ย เธอไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะได้มาอยู่ที่นี่ หมายความว่าเรื่องของธศิญาก็เป็นความจริงด้วยใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนั้น อีกไม่นานเธอก็คงได้รู้แล้วสิว่าลูกสาวผู้ว่าการเขตราศิหายตัวไปได้ยังไง

“คุณรู้จักที่นี่มาก่อนเหรอครับ” เขาถามอย่างสงสัยเมื่อเห็นท่าทางตกใจของชลันธร

“ก็…นิดหน่อยค่ะ” เธอละที่จะถามถึงเรื่องธศิญาในตอนนี้ ด้วยเพิ่งเจออีกฝ่ายไม่นานจึงกลัวเสียมารยาทหากถามอะไรที่ลึกเกินไป แต่ก็มิวายโยนหินถามทาง “เขตต่างๆของภูทิวาบริหารโดยผู้ว่าการใช่ไหมคะ”

“ใช่ แต่ผมไม่ใช่ผู้ว่าการหรือลูกชายผู้ว่าการหรอกนะ”

ชลันธรรอฟังต่อ แต่สุดท้ายจิณลีก็ตอบเพียงแค่นั้น ถ้าซักไซ้อีกคงไม่เหมาะนัก

เอาเถอะ ยังไงเธอก็รู้แล้วว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่ภูทิวาอยู่บนส่วนใดของโลก เธอก็ไม่อาจทราบได้ รู้เพียงว่าม่านสีขาวพร่างพรายดุจประกายเพชรหลายชั้นที่ทะลุผ่านมา เป็นทางลัดที่นำพาเธอมาที่นี่

ชลันธรคิดว่าภูทิวาอาจจะเป็นเพียงจุดเล็กๆบนแผนที่โลก หรือไม่ก็เล็กมากจนไม่ได้รับการบันทึกไว้บนแผนที่ และไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป

หญิงสาวหลุดจากความคิดเมื่อจิณลีลุกขึ้นและเดินตรงเข้ามาหาเธอ ขาเรียวก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณและมองเขาอย่างระแวดระวัง

“คุณจะทำอะไร”

“เปล่า ก็แค่อยากคุยใกล้ๆ รู้สึกห่างเหินชอบกล” จิณลียกมือขึ้นมากอดอก พลางลอบขำสาวน้อยหน้าใสที่ดูหวาดกลัวเขาเหลือเกิน

ขณะนั้นหญิงสาวก็เหลือบไปเห็นเลขอารบิกบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือของชายหนุ่ม เข็มสั้นของนาฬิกาชี้เลขเจ็ด ส่วนเข็มยาวชี้เลขสิบ

“ตอนนี้เวลาที่ประเทศคุณคือเจ็ดโมงเช้าเหรอ” เธอถามพลางก้าวถอยหลังอีก เข้าทำนองพวกอยากรู้ แต่ก็ยังกลัว

จิณลียกนาฬิกาขึ้นมาดูก่อนตอบ “นี่กำลังจะค่ำต่างหากครับ อีกสองชั่วโมงพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า”

ชลันธรมองบรรยากาศที่ยังคงมีแสงสว่างราวกับช่วงเช้าอย่างทึ่งๆ ก่อนถาม “ไม่น่าเชื่อ ทำไมฟ้าถึงมืดช้าจัง”

“ฟ้ามืดช้า?” เขาทำหน้างง

“ใช่ค่ะ เพราะปกติเวลานี้ที่ประเทศของฉันแทบจะไม่มีแสงสว่างเหลือแล้ว จริงๆพระอาทิตย์เริ่มตกดินตั้งแต่เข็มนาฬิกาชี้เลขหกด้วยซ้ำ” เธอไม่แน่ใจว่าภูทิวาจะบอกเวลาแบบเดียวกันไหมจึงพูดออกไปเช่นนั้น

“หกโมงเย็น”

ชลันธรยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว “โชคดีที่พูดเหมือนกัน”

“ประเทศคุณพระอาทิตย์ตกตอนหกโมงเย็นเหรอ”

เธอตีสีหน้าเรียบเฉยเมื่อเห็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่มองมามีแววยิ้ม “ค่ะ”

“แต่สำหรับที่ภูทิวา ผมเห็นแบบนี้มาตั้งแต่เล็กจนโตแล้วละ”

เขาเล่าให้ฟังว่า ภูทิวาเป็นประเทศเล็กๆซึ่งถูกขนานนามว่าภูเขาแห่งแสงสว่าง เพราะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูง และกว่าดวงอาทิตย์ที่นี่จะตกดินก็เป็นเวลาเกือบสามทุ่ม ซึ่งแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่อากาศก็เย็นสบายตลอดทั้งปี

ภูทิวาปกครองแบบประชาธิปไตย โดยมีท่านศุรเยศเป็นผู้นำประเทศ และแบ่งการปกครองออกเป็นห้าเขตด้วยกัน มีผู้ว่าการเขตที่มาจากการแต่งตั้งแม้ว่าจะเปลี่ยนจากระบอบเผด็จการมากว่ายี่สิบห้าปีแล้วก็ตาม เรียกว่ายังเป็นประชาธิปไตยแบบครึ่งๆกลางๆ ประชาชนส่วนใหญ่ทำอาชีพด้านเกษตรกรรม ค้าขาย และการท่องเที่ยว นอกจากนั้นคนที่มีความรู้ความสามารถจะได้รับการคัดเลือกให้เข้าไปทำงานในคฤหาสน์ของผู้ว่าการเขตต่างๆตามความถนัด หรือบางคนอาจมีโอกาสได้ทำงานรับใช้ผู้นำของประเทศ

“แล้วคุณล่ะเอลลา มาจากประเทศอะไร” จิณลีถามกลับเมื่อเล่าจบ

“อะไรกัน คุณเองก็พูดภาษาไทย ยังต้องถามอีกเหรอว่าฉันมาจากประเทศไหน” หญิงสาวได้โอกาสถามหลังจากสงสัยมาพักหนึ่ง

“ประเทศไทยเหรอครับ ผมไม่เคยได้ยินชื่อเลย” คิ้วหนาขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด

“คุณไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม” ชลันธรหรี่ตามองอย่างจับผิด

“ผมไม่รู้จักประเทศไทยจริงๆครับ แล้วที่ผมพูดอยู่ตอนนี้ คนภูทิวาก็รู้จักในชื่อภาษาทัศยะ เป็นภาษาพื้นเมืองที่นิยมพูดกันมานานแล้ว เพราะพูดง่ายกว่าภาษาราชการอย่างภาษาภูทิวาที่ค่อนข้างยาว พอเห็นคุณพูด ผมก็เลยเปลี่ยนจากภาษาภูทิวามาพูดภาษาเดียวกัน”

“เป็นไปได้ยังไง คุณพูดภาษาไทย แต่ไม่รู้จักประเทศไทย”

“ในอดีตอาจมีครอบครัวชาวไทยอพยพมาที่ดินแดนของภูทิวาเป็นกลุ่มแรกๆก็ได้ครับ ทำให้ภาษานี้เป็นที่รู้จักของพวกเรามาจนถึงปัจจุบัน” จิณลีสันนิษฐานก่อนยืนยันอีกครั้ง “แต่สำหรับประเทศไทย ผมก็เพิ่งเคยได้ยินชื่อวันนี้”

ชลันธรพยักหน้ารับรู้พร้อมกับประกายในดวงตากลมโตที่หม่นแสงลงทันใด แต่คิดไปคิดมาอาจไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะไม่รู้จักประเทศไทย เพราะในสายตาของคนภูทิวา ไทยอาจเป็นแค่ประเทศเล็กๆประเทศหนึ่งบนโลกก็ได้

“แล้วถ้าอเมริกาล่ะ คุณรู้จักหรือเปล่า” ชลันธรลองถามอีกครั้ง ถ้าเขาไม่เคยได้ยินชื่อประเทศนี้ก็แปลกแล้วละ

จิณลีทำท่านึกอยู่ครู่เดียวก็ส่ายศีรษะพร้อมตอบ “ไม่เคยได้ยินเหมือนกันครับ”

ชลันธรรู้สึกใจหายวูบราวกับตกลงไปในเหวลึก เขาไม่รู้จักอเมริกางั้นเหรอ เป็นไปได้ยังไง หญิงสาวเริ่มหวาดหวั่นขึ้นมาทีละน้อย นี่เธอยังอยู่บนโลกใบเดิมหรือเปล่านะ

“แล้วประเทศที่คุณรู้จักมีอะไรบ้างคะ” หญิงสาวหวังอย่างยิ่งว่าจะได้ยินชื่อประเทศที่คุ้นหู แต่คำตอบของเขาก็ล้วนเป็นประเทศที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่เธออาจไม่ได้แค่ข้ามประเทศแต่เป็นข้ามมิติ!

“อย่ากังวลไปเลยครับ ไม่ว่าคุณจะมาจากต่างสถานที่ ต่างเวลา หรือต่างมิติ ผมก็สัญญาว่าจะช่วยคุณหาทางกลับไปยังที่ที่คุณจากมาให้ได้ แต่ระหว่างนี้ไปพักที่บ้านผมก่อนนะ ผมไม่เห็นคุณมีสัมภาระติดตัวมาเลยสักชิ้น” เสียงทุ้มมีแววปลอบโยน ถ้าขืนเขาปล่อยให้เธอไปตามทางต้องไม่ปลอดภัยแน่

“จริงด้วย” ชลันธรเพิ่งรู้ตัว นอกจากไม่มีสัมภาระแล้ว แม้แต่กำไลหงส์ทิวาที่เธอถือไว้ในมือก็ไม่ได้ตามมาด้วย อะไรจะโชคร้ายขนาดนี้นะ

อาจมีใครพยายามทำให้คุณลันเข้าไปเกี่ยวข้องกับภูทิวา และอาจมีอะไรเกิดขึ้นตามมาต่อจากนี้

หญิงสาวนึกถึงคำพูดของไตรที่เพิ่งคุยกันแล้วขนลุก เธอถูกดึงให้เข้ามายังภูทิวาโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ยังคาดเดาไม่ได้เลยสักนิดว่าต้องเผชิญกับอะไรต่อ คนที่กำหนดชะตาชีวิตเธอคือใครกัน แล้วทำไมเขาจึงเลือกเธอ ยิ่งคิดยิ่งปวดหัว

“ว่าไงครับ เลือกเอานะว่าจะไปกับผมหรือจะอยู่เผชิญกับอันตรายอยู่ในป่าคนเดียว ตอนนี้ยังมีแสงสว่าง อาจคิดว่าไม่เป็นไร แต่ถ้าดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ผมไม่รับรองความปลอดภัยนะ” เขาแกล้งขู่ เพราะป่าแห่งนี้นอกจากพื้นที่ที่เธอเข้าไปเมื่อครู่ก็ไม่ได้มีสัตว์ร้ายหรือโจรเลย

ดวงตากลมโตที่ตื่นตระหนกอยู่แล้วยิ่งทวีความกลัวมากขึ้นเมื่อได้ยิน “ในป่านี้มีอะไรเหรอคะ”

“ผมไม่มีเวลาตอบคำถามแล้ว ถ้าคุณตัดสินใจว่าจะไม่รับความช่วยเหลือ ผมก็ต้องขอตัว ขอให้โชคดีกับการผจญภัยในป่านะ เอลลา” ชายหนุ่มพูดจบก็เดินไปยังม้าสีขาวพลางนับถอยหลัง เชื่อสิว่าไม่เกินสิบ หญิงสาวต้องเรียกเขาแน่นอน

“เดี๋ยวค่ะ”

จิณลียิ้มพราย ทว่ายังไม่ยอมหยุดเดิน

“คุณคะ ฉันตัดสินใจแล้ว”

คราวนี้ชายหนุ่มจึงหยุดและหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่เบื้องหลัง “ว่ายังไงครับ”

“ฉัน…ฉันจะรับความช่วยเหลือจากคุณ” ในเมื่อไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้แล้ว เธอจะลองไว้ใจคนแปลกหน้าสักครั้งแล้วกัน อีกอย่างตอนนี้จิณลีก็เป็นคนที่เธอน่าจะพึ่งพาได้มากที่สุด เพราะเธอไม่รู้จักใครในเขตปาณษาเลย “แต่ถ้าฉันไปพักที่บ้านคุณ จะไม่เป็นการรบกวนแน่นะคะ”

“ไม่รบกวนเลยครับ อ้อ ผมมีพี่สาวอีกหนึ่งคนอยู่ที่บ้าน คงทำให้คุณสบายใจมากขึ้นที่จะไปพักกับผม”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชลันธรก็ยิ้มออกได้บ้าง “งั้นฉันขอรบกวนคุณสักระยะนะคะ”

ดวงตาคมเรียวเป็นประกายสว่างไสวขณะเอ่ย “คุณจะรบกวนนานแค่ไหนก็ได้ เอลลา”

หญิงสาวสูดหายใจลึก บอกตัวเองให้เชื่อมั่นว่าจะตัดสินใจไม่พลาด แล้วจึงก้าวเข้าไปหาเขา ตอนจะขึ้นม้านั้นเองที่ชลันธรใจเต้นขึ้น เพราะม้าสีขาวดูไม่เป็นมิตรกับเธอเอาเสียเลย

จิณลีเห็นดังนั้นก็หันไปลูบขนนุ่มเรียงเป็นระเบียบบนแผงคอม้าตัวงามอย่างนุ่มนวล “เป็นอะไรของแกคีรี ผู้หญิงคนนี้ไม่ทำอันตรายแกหรอกน่า ”

เมื่อเห็นหูของมันเอียงไปด้านหน้าข้างหนึ่ง จิณลีก็ย้ำเสียงหนักแน่น “ฉันจะโกหกแกทำไม”

คราวนี้พอฟังจบ คีรีจึงเอียงหูสองข้างไปด้านหน้า “ดีมาก” ชายหนุ่มยิ้มกว้าง

“เก่งจังนะคะ คุยกับม้ารู้เรื่องด้วย” ชลันธรเอ่ยอย่างทึ่งๆ เธอเพิ่งเห็นตอนนั้นเองว่าดวงตาของม้าเป็นสีฟ้าอมเขียว แถมยังเป็นประกายระยิบระยับงดงามยิ่งนัก

“ผมสังเกตท่าทางของมันเอาน่ะ ถ้าคีรีเอียงหูไปข้างหน้าข้างเดียวแสดงว่ามันยังลังเลว่าจะเชื่อดีหรือเปล่า แต่ถ้าเอียงหูไปข้างหน้าทั้งสองข้าง หมายความว่ามันยอมรับฟังเราแล้ว” ดวงตาของจิณลีทอประกายเจิดจ้า “คุณขึ้นไปก่อนสิ ผมจะนั่งประกบด้านหลังไว้เพื่อความปลอดภัย” ชายหนุ่มบอกเสียงสุภาพอ่อนโยน

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณอาจจะบังคับม้าไม่สะดวก” เธอส่ายหน้าปฏิเสธ

“ไม่ต้องห่วงผมหรอก อีกอย่างคุณไม่ได้ตัวใหญ่ถึงขนาดจะเป็นอุปสรรคสักหน่อย” จิณลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่า แค่นี้สบายมาก

“แต่ถ้า…” หญิงสาวกำลังจะขยับปากแย้ง แต่ก็ไม่ทัน

“อย่ากังวลเลย ขึ้นม้าเถอะ เอลลา” ดวงตาของเขาเป็นประกายอบอุ่น

ชลันธรอยากจะบอกว่า ที่พยายามบ่ายเบี่ยงอยู่นี่ก็เพราะเธอไม่อยากอยู่ในอ้อมแขนเขาต่างหาก นอกจากพ่อและพี่ชาย จิณลีก็เป็นผู้ชายคนแรกที่ได้กอดเธอ จะไม่ให้รู้สึกประหม่าได้อย่างไร หญิงสาวอยากจะหาทางปฏิเสธ แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก ต้องยอมปีนขึ้นไปบนหลังม้าแต่โดยดี

จิณลีปีนตามขึ้นมานั่งด้านหลัง ร่างระหงจมอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวโต ชายหนุ่มลอบยิ้มน้อยๆ ก่อนที่เขาจะบังคับให้ม้าออกวิ่ง

“ขอโทษนะคะคุณจิณลี ฉันคิดว่าฉันอายุน้อยกว่าคุณไม่ถึงสิบปี อย่าเรียกฉันว่าเอลลาเลยค่ะ” หญิงสาวประท้วงเล็กๆ

“ทำไมล่ะ ผมชอบเรียกผู้หญิงน่ารักๆแบบนี้ละ ให้ผมเรียกต่อไปเถอะนะ เอลลา ถ้าคุณไม่อยากเสียเปรียบ เรียกผมว่าวิโอหรือเอยาก็ได้ครับ วิโอคือหนุ่มหล่อ ส่วนเอยาคือที่รัก” จิณลีเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำให้คนที่อยู่ในอ้อมแขนชักหวั่นใจขึ้นมาอีกคราว่าเลือกถูกหรือไม่ที่ไปกับเขา



บ้านของจิณลีอยู่ไม่ไกลจากชายป่า ใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ถึง บ้านปูนสองชั้นหลังขนาดกลางทาสีขาวทั้งหลังมีเถาไม้เลื้อยเกาะอยู่ตามกำแพงและขอบหน้าต่างบานใหญ่ ทำให้ดูราวกับบ้านในเทพนิยาย ต้นไม้นานาพรรณแวดล้อมทำให้บ้านของเขาร่มรื่นน่าอยู่

ด้านข้างของบ้านเป็นคอกม้าซึ่งมีม้าสีเทาตัวใหญ่อยู่ข้างใน ถัดมาคือเรือนไม้ยกสูง น่าจะเอาไว้เก็บของ ใต้ถุนมีรถเก๋งสีครีมคันเก่าจอดอยู่ ส่วนอีกฝั่งเป็นแม่น้ำสายเล็กๆไหลผ่าน

“บ้านผมไม่ใหญ่นักนะครับ” จิณลีเอ่ยขึ้นเมื่อเขาและเธอลงจากม้าแล้ว

ชลันธรมองเข้าไปในบ้านอย่างสำรวจ เพื่อจะดูว่ามีคนอยู่จริงหรือเปล่า

ชายหนุ่มเห็นท่าทางหวาดหวั่นของเธอจึงบอกพร้อมยิ้มอบอุ่น “ผมขอยืนยันคำเดิมว่าไม่นิยมทำร้ายเด็ก สตรี และคนชรา”

“ฉันไม่ได้จะกล่าวหาว่าคุณเป็นคนไม่ดีนะคะ แต่คุณก็รู้ เราเพิ่งเจอกันไม่ถึงหนึ่งวัน”

เฮ้อ นี่เธอวิตกเมื่อสายไปหรือเปล่า มาถึงบ้านเขาขนาดนี้แล้ว ถ้าเขาจะทำอะไรจริงๆ ทางรอดของเธอคงมีเพียงริบหรี่

“ผมเข้าใจครับ คุณรอบคอบแบบนี้ก็ดีแล้ว” เขามองหญิงสาวด้วยสายตาชื่นชม

“จิณลี น้องพาใครมาด้วยรึ” หญิงสาวร่างบอบบางซึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้านถามพลางเดินเข้ามาหา เจ้าตัวอยู่ในเสื้อผ้าที่คล้ายกับชุดพื้นเมือง ด้านในสวมเสื้อแขนสั้นและกางเกงผ้าขายาวสีขาว ก่อนทับด้วยเสื้อสีฟ้าแขนยาวตัวยาวถึงเข่าเนื้อบางเบา สวมแบบชายด้านขวาทับด้านซ้าย เอวคอดที่รัดไว้ด้วยผ้าสีเข้มทำให้ชายเสื้อส่วนล่างแลดูคล้ายกระโปรง หน้าอกเสื้อด้านซ้ายติดเข็มกลัดตราม้าสีขาว

“นี่ชลันธร เพื่อนผมเองครับ” จากนั้นเขาก็แนะนำให้หญิงสาวรู้จักกับมิราผู้เป็นพี่สาว “พี่มิราใจดี คุณไม่ต้องกลัวนะ เอลลา”

“เข้าบ้านกันดีกว่า พี่กำลังตั้งโต๊ะอาหารค่ำพอดี” มิราชวนและยิ้มให้อย่างเป็นมิตร

รอยยิ้มที่อ่อนโยนทำให้ชลันธรหายจากอาการตระหนกได้มาก ที่สำคัญการมีผู้หญิงอยู่ในบ้านด้วยก็ทำให้อุ่นใจอีกด้วย ระหว่างทางมิราเล่าว่าวันนี้เธอไปงานของทางการในตัวเมืองมา จึงต้องแต่งชุดประจำชาติ เข็มกลัดที่ปักอยู่บนอกเสื้อคือตราสัญลักษณ์ของเขตปาณษานั่นเอง สำหรับชุดประจำชาติของผู้ชายก็เป็นแบบเดียวกัน เพียงแต่ไม่ต้องคาดเอวด้วยผ้า และโทนสีจะเข้มกว่าของผู้หญิง

ภายในบ้านของจิณลีตกแต่งอย่างเรียบง่าย เครื่องใช้ทั้งหมดทำจากไม้ และแม้จะเป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว แต่ก็ไม่ต้องใช้ตะเกียง เพราะแสงแดดยังคงส่องลอดผ่านหน้าต่างบานใหญ่เข้ามา

“คุณสบายใจแล้วใช่ไหม” ดวงตาคมเรียวที่มองมามีแววยิ้ม

“ค่ะ” ชลันธรพยักหน้าเบาๆ ต้องยอมให้เขาเรียกเช่นนั้นต่อไปโดยปริยาย “ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่ให้ฉันมาพักด้วย”

“ยินดีครับ” จิณลีก้มศีรษะเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มบางๆ

“เอ่อ ฉันรบกวนขอเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าก่อนได้มั้ยคะ” ชลันธรบอกเขาอย่างเกรงใจ

“ได้สิคะ เดี๋ยวฉันพาไปเอง” มิราบอกพร้อมรอยยิ้ม

“งั้นผมฝากด้วยนะพี่มิรา” ชายหนุ่มหันไปบอกพี่สาว

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” พูดจบมิราก็พยักพเยิดให้ชลันธรเดินตามไปด้านหลังบ้านพลางอธิบายว่าปกติทุกคนจะใช้ห้องน้ำที่นี่ด้วยกัน

เมื่อพามาถึง มิราก็ปล่อยให้แขกของบ้านทำธุระส่วนตัวตามสบาย

ชลันธรกวาดตามองสำรวจรอบๆ ผนังทั้งสี่ด้านรวมทั้งพื้นของของห้องน้ำเป็นปูนเปลือย มีอ่างปูนสี่เหลี่ยมสูงประมาณเอวก่อติดกับมุมหนึ่งของผนัง เธอใช้ขันสี่เหลี่ยมที่ทำจากไม้ตักน้ำในอ่างปูนขึ้นมาล้างหน้า มองตัวเองในกระจกด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย ถ้าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอตอนนี้เป็นความฝัน ก็คงเป็นฝันที่ลึกมาก เธอถึงไม่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาสักที



หลังทานอาหารเสร็จตอนสองทุ่ม ชลันธรก็นั่งคุยทำความรู้จักกับจิณลีและพี่สาวของเขาต่ออีกพักหนึ่ง จากนั้นจึงขอตัวไปอาบน้ำ และผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนสีเนื้อที่มิราเตรียมให้ ระหว่างเดินเข้าจะเข้าบ้าน ดวงตากลมมองดูท้องฟ้า รู้สึกไม่คุ้นชินนัก เนื่องจากปกติฟ้าควรจะมืดมิดแล้ว ทว่าตอนนี้เพิ่งจะพลบค่ำเท่านั้น

ในบ้าน เธอพบจิณลีเอนกายนอนหลับตาอยู่บนเปลไม้ตรงมุมอ่านหนังสือ ทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้า ดวงตาคมเฉี่ยวก็ลืมขึ้นและมองมายังเจ้าของร่างระหง

“อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอครับ” ชายหนุ่มเอ่ยทักทันที

“ค่ะ พี่มิราไปไหนแล้วคะ” ชลันธรถามพลางมองหา

“พี่มิราขึ้นห้องไปแล้ว รายนั้นเข้านอนเร็ว ส่วนผมกว่าจะนอนก็ตีหนึ่งตีสองโน่นเลยครับ” ริมฝีปากหยักสีระเรื่อแย้มออกน้อยๆ “คุณล่ะง่วงหรือยัง เอลลา”

“เริ่มง่วงแล้วค่ะ”

“งั้นขึ้นไปพักผ่อนดีกว่าครับ ผมเตรียมห้องนอนไว้ให้แล้ว” เจ้าของร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นจากเปลไม้พลางบอก “เดี๋ยวผมพาไป”

ความคิดแง่ร้ายแวบเข้ามาในหัวชลันธรอย่างห้ามไม่อยู่ และดูเหมือนว่าสิ่งที่เธอคิดจะออกมาทางแววตา จนชายหนุ่มสังเกตเห็นได้โดยง่าย จึงถามขึ้น

“คุณยังไม่หายระแวงผมอีกเหรอ”

หญิงสาวมีท่าทีอึกอักไม่กล้าตอบ

“จะให้ผมทำยังไงคุณถึงจะเชื่อใจ ให้สาบานก็ได้ว่าผมจะไม่ล่วงเกินคุณ” จิณลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเข้ม

“ไม่ต้องก็ได้ค่ะ” ดวงตากลมโตสีดำขลับทอแสงอ่อนลงเพราะกลัวเจ้าของบ้านจะเสียความรู้สึก

“ทำไมล่ะครับ คุณจะได้ไว้ใจผมไง เอลลา”

“ฉัน…คิดว่า…ฉันเชื่อใจคุณค่ะ” ชลันธรตัดสินใจเอ่ยออกไปในที่สุด

จิณลียิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบ จากนั้นก็เดินนำไปยังบันไดโดยมีหญิงสาวเดินตามมาไม่ห่าง

ความเงียบภายในบ้านทำให้หัวใจของชลันธรแทบจะเต้นไม่เป็นจังหวะขณะก้าวขึ้นบันได เพราะตระหนักว่าเรื่องดีและร้ายมีโอกาสเกิดขึ้นกับตัวเองเท่าๆกัน

เธอเดินตามเขาขึ้นมาจนถึงหน้าห้องในสุดฝั่งซ้ายมือ จิณลีเปิดประตูให้และผายมือเข้าไปในห้องซึ่งจัดแบบเรียบง่าย

“คืนนี้พักผ่อนให้เต็มที่นะครับ ผมไม่รบกวนแล้ว”

“ขอบคุณมากนะคะ”

“ยินดีครับ” ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยน แล้วจึงหันหลังเดินลงไปข้างล่าง

ชลันธรเข้ามาในห้องและล็อกประตู ก่อนจะเดินไปนั่งลงบนเตียงไม้ขนาดกลางที่ตั้งอยู่กลางห้อง เมื่ออยู่เงียบๆคนเดียวก็อดคิดถึงคนในครอบครัวไม่ได้

ป่านนี้พี่เชนอาจจะกำลังกังวลที่ไม่สามารถติดต่อเธอได้ และไม่รู้ว่าเรื่องราวจะวุ่นวายแค่ไหนที่จู่ๆเธอหายไป หนำซ้ำจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เฮ้อ ใครกันนะที่กำหนดให้โชคชะตาของเธอเป็นเช่นนี้

ขณะกำลังนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นั้น หญิงสาวก็รู้สึกได้ว่าเตียงอีกด้านยวบลง ดวงตากลมโตเบิกกว้างอย่างตกใจพร้อมหันขวับไปมองโดยอัตโนมัติ

แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า!

ชลันธรขนลุกซู่ขึ้นมาทันที เมื่อกี้เธอไม่ได้รู้สึกไปเองแน่ๆ จึงส่งเสียงถาม แต่ไม่ให้ดังจนเกินไป “ใครน่ะ”

ทุกอย่างสงบเงียบ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆภายในห้อง เห็นดังนั้นเธอจึงลองเอ่ยขึ้นอีกที “จะมาก็มาเลย อย่าลีลา” เธอเริ่มรำคาญเต็มทน ใครคนนั้นอาจเป็นคนที่กำลังบงการโชคชะตาของเธออยู่ก็เป็นได้ ถ้าเขาปรากฏตัวออกมา เธอจะได้ถามตรงๆว่าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

ระหว่างนั้นหญิงสาวก็สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น ดวงตากลมที่ตวัดไปยังประตูไม้ฉายแววหวาดหวั่น แต่เมื่อได้ยินเสียงเรียก ความกังวลก็ลอยหายไปทันที

“พี่มิราเอง”

“ค่ะพี่มิรา” ชลันธรขานรับและลุกจากเตียงเดินไปเปิดประตูห้อง ก่อนจะพบพี่สาวของจิณลียืนอยู่ “มีอะไรหรือเปล่าคะ”

“พี่จะมาถามว่าเธอต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยท่าทางห่วงใย

“อ๋อ ไม่แล้วค่ะ ขอบคุณมากนะคะ” หญิงสาวยิ้มอย่างซาบซึ้ง

มิราพยักหน้ารับรู้ “ระหว่างอยู่ที่นี่ถ้าต้องการให้ช่วยเหลือบอกได้เลยนะ พี่ยินดี” คุยกันอีกสองสามประโยค มิราก็ขอตัวกลับไปห้องนอนของตนซึ่งอยู่ติดกับห้องของชลันธรนั่นเอง

เธอล็อกประตูให้แน่นหนาดังเดิม แล้วเดินมานั่งลงบนเตียง นั่งนิ่งได้ไม่นาน เปลือกตาก็เริ่มหนักขึ้นๆจนฝืนไม่ไหว จึงล้มตัวลงนอนและหลับไปอย่างอ่อนล้า



สามวันที่ผ่านไป ชลันธรได้รู้จักจิณลีและมิรามากขึ้น และรู้แล้วว่าตัดสินใจไม่ผิดพลาดที่เลือกมากับเขา ไม่เช่นนั้นป่านนี้เธออาจจะเจออันตรายในป่าลึก ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง ถึงแม้จะยังหาทางกลับบ้านไม่ได้ แต่อย่างน้อยนี่ก็ถือเป็นเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นในยามตกยาก

เช้าวันนี้มีอาหารสี่ห้าอย่างวางเรียงรายบนโต๊ะไม้กลม แต่สิ่งที่สะดุดตาชลันธรคือแป้งทอดสี่เหลี่ยมสีเหลืองทองในจานกระเบื้องสีน้ำตาล กลิ่นของมันหอมหวนชวนให้ท้องร้องเป็นอย่างยิ่ง

ตอนนี้จิณลีอยู่ในชุดเสื้อยืดพอดีตัวและกางเกงขาสั้นสบายๆ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแรง ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่หวีเสยเปิดใบหน้านั้นยังเปียกหมาดๆ เพราะเจ้าตัวเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

มิราเป็นคนตักข้าวจากโถใส่จานให้ทุกคน ก่อนจะตักให้ตนเอง และนั่งลงข้างน้องชาย

ระหว่างนั้นจิณลีเห็นสายตาของหญิงสาวกำลังมองอาหารจานหนึ่งอย่างสนใจจึงเอ่ยขึ้น

“อันนั้นเรียกว่าคัตตะครับ เป็นขนมพื้นเมืองของเขตปาณษาที่ปกติเราจะทำเลี้ยงแขกคนพิเศษเท่านั้น” เขาบอกอย่างอยากให้หญิงสาวรู้ว่าเธออยู่ในสถานะใด

“ขอบคุณมากนะคะ เป็นเกียรติมากเลยค่ะ” ชลันธรบอกอย่างซึ้งใจก่อนถาม “แล้วคัตตะทำจากอะไร ทานยังไงคะ”

“อ๋อ ไม่ยากเลยครับ คัตตะทำจากแป้งข้าวโพดผสมนมแพะและเครื่องเทศ ชุบด้วยไข่แล้วนำไปทอดจนเหลืองกรอบ เวลาทานจะจิ้มกับซอสหวาน ส่วนใหญ่ทานปิดท้ายหลังจากของคาว” ชายหนุ่มยิ้ม ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายงดงาม

“ฝีมือพี่เอง แต่ไม่รู้จะถูกปากเธอหรือเปล่า” มิราบอก

“หน้าตาน่าทานมากค่ะ รสชาติต้องอร่อยแน่ๆ” ชลันธรเอ่ยอย่างมั่นใจ

การรับประทานอาหารดำเนินไปด้วยบรรยากาศของความอบอุ่น หลังจัดการกับอาหารคาวเสร็จก็ถึงเวลาอาหารหวานอย่างคัตตะ จิณลีบอกว่าจะทานให้อร่อยต้องใช้มือ พร้อมกันนั้นเขาก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ชลันธรจึงเอื้อมมือไปหยิบแป้งทอดสี่เหลี่ยมขนาดพอดีคำ จิ้มกับซอสหวานสีชมพูและส่งเข้าปาก

ทันทีที่เคี้ยวคัตตะ หญิงสาวก็สัมผัสได้ถึงความนุ่มเนียนละเอียดของเนื้อขนมและรสชาติที่กลมกล่อม เมื่อบวกกับความหวานของซอส

“อร่อยมากๆเลยค่ะ” เธอชมจากใจจริง

เมื่อพี่สาวของชายหนุ่มได้ยินก็ยิ้มกว้างอย่างภูมิใจ “ถ้าชอบ พี่จะทำให้กินบ่อยๆ หรือถ้าเธออยากเรียนทำคัตตะกับพี่ก็ได้นะ”

“จริงเหรอคะ” ชลันธรเอ่ยอย่างตื่นเต้น แต่ไม่รู้ว่าจะอร่อยสู้ฝีมือมิราได้หรือเปล่า เพราะปกติเธอไม่สันทัดเรื่องการทำอาหารเลย

“จริงสิจ๊ะ ไว้ว่างๆพี่จะสอนให้” มิรามองอีกฝ่ายด้วยแววตาเอื้ออารี

“ขอบคุณล่วงหน้านะคะ” หญิงสาวพลัดถิ่นยิ้มอย่างซาบซึ้ง

ส่วนจิณลีมองชลันธรคุยกับพี่สาวของเขาพลางยิ้มด้วยความพึงพอใจ



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 พ.ย. 2556, 14:01:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ธ.ค. 2556, 01:12:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1414





<< บทที่ 4 เหนือกาล   บทที่ 6 หนี >>
บุลินทร 26 พ.ย. 2556, 14:02:30 น.
คุณ ริญจน์ธร
จริงๆวันนี้ก็เกือบมาค่ำๆ โชคดีได้กลับบ้านเร็ว

คุณ goldensun
ขอบคุณคุณ goldensun ที่ทักมาครับ เดี๋ยวไปเติมให้ครบก่อน จริงๆจะบอกว่านอกจากที่เจอเว็บเดียวไม่มีอันอื่นอีกเลย ส่วนเรื่องภาษามีคำตอบให้ในตอนนี้แล้วนะครับ ส่วนความฝันต้องมาลุ้นกันต่อว่าจะฝันอีกเมื่อไหร่ ของลันไปๆกลับๆไม่ได้เหมือนมรกตครับ แต่จะกลับได้เมื่อไหร่ อันนี้ขออุบไว้ก่อน

คุณ ดวงมาลย์
วันนี้อสิก็มาช้าสุดเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ

คุณ lovemuay
ฮ่า เป็นพระเอกขี่ม้าขาวด้วยนะครับ

คุณ konhin
ต้องตามหาคำตอบไปพร้อมยายลันนะครับ อิอิ

คุณ nako
มาโผล่ภูทิวานั่นเองครับ จิณลีพระเอกตัวจริงครับ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ
ต้องเอาไปส่องกับแสงแดดด้วยนะครับ ตามลันมาภูทิวาเลยยยย ฮ่าๆๆๆ

คุณ Zephyr
มีแอบหลอกนิดนึง พระเอกตัวจริงเพิ่งโผล่มาวันนี้เอง ฮ่าๆๆๆ โผล่มาเป็นธศิญาไม่ได้หรอก แต่ไม่บอกว่าเพราะอะไร อิอิ ชื่ออ่านว่าจิณ-ลีไม่มีนะ แล้วใครบอกว่าจิณลีออกไม่ถึงสิบบรรทัด ไปนับดูแล้ว เกินนะจะบอกให้ เกือบยี่สิบบรรทัดแน่ะ วันนี้ออกเยอะสมใจคนอ่านแล้วละ มาทั้งตอนเบย ส่วนพี่ไตรให้ไปหาคู่เอาเรื่องหน้านะ คู่อัคนีมายาไม่ได้หรอก มะม้าบอกแล้ว ฮ่าๆๆ ว่าแต่อยากไปแลนดิ้งแบบไหนรึ

คุณ อสิตา
ฉากเร่าร้อนอะไร มีฉากฉากล้างตู้ปลาในมรกตสนธยา ฮ่าๆๆๆ

คุณ ฤดูฝัน
ใช่แล้วครับ พระเอกเพิ่งออกตอนแรก ส่วนพี่ไตรเอาไว้ภาคหน้านะ

คุณ patok
เดาถูกแล้วครับ ส่วนเรื่องธศิญากับชวาลีจะมาตอนยายลันฝันนะ อิอิ


lovemuay 26 พ.ย. 2556, 14:46:08 น.
พระเอกเราคารมไม่หยอกนะเนี่ย อิอิ


ดวงมาลย์ 26 พ.ย. 2556, 14:47:42 น.
อุต๊ะ มาแล้ว นึกว่าให้รอเก้อ


อสิตา 26 พ.ย. 2556, 15:48:50 น.
มรกตสนธยามีล้างตูปลา ม่านทิวามีล้างตู้เย็น อร้ากกกก
อสิมาช้าสุด ร้องไห้ ดิ้นตีแปลง


ริญจน์ธร 26 พ.ย. 2556, 16:31:15 น.
พี่มิ้งค์มาแอบหื่นในนี้นะ
จิณลีนี่มาดนิ่งๆแต่ก็ใช่ย่อยน้า


patok 26 พ.ย. 2556, 17:01:12 น.
อร๊ายย ชอบพระเอก ชอบพระเอก >< อบอุ่น สุภาพบุรุษ น่ารักสุดๆ พระเอกเรื่องนี้ต้องสุภาพบุรุษที่สุดแน่ๆอ่ะ
ว่าแต่ ใครกันทำเตียงยวบ หรือเตียงคือสิ่งมีชีวิต

ป.ล. อยากไปอยู่ภูทิวามากเลย น่าอยู่ที่สุด


goldensun 26 พ.ย. 2556, 19:03:18 น.
สรุปคนละมิติแน่ รู้ว่ามายังไง แต่ไม่รู้จะกลับยังไง การกินอยู่ ลันคงไม่ต้องปรับตัวมาก อากาศก็ดี แต่มาหวาดๆ ตรงเตียงยวบนี่แหละ แถมยังอยู่คนละเขตกับธศิญาซะด้วย กำไลที่พามาตกใส่อ้อมกอดจิณลีก็ไม่อยู่แล้ว ดีที่เจอสุภาพบุรุษ แล้วลันจะรู้เรื่องธศิญาต่อได้ยังไง


Zephyr 26 พ.ย. 2556, 23:38:28 น.
หงะ พี่มิรา น้องพาผู้หญิงมาค้างบ้าน ไม่ตกใจเลยเรอะ
แถมหญิงนั่นเพิ่งเจอกันในอ้อมแขนด้วยนะ
ภาษาทัศยะ ภาษาภูทิวา โหหหหหหห คิดได้อ่า สอนเค้ามั่งจิ
วิโอ วิโอมี่ มี่วิโอ
แล้วธศิญากะชวาลีอ่ะ อืมมมม มันจะเกี่ยวกันยังไงน้า
เตียงยวบ เพื่ออออออ อุ กรี้ดดดดด ใครอ่ะ ถอดร่างมา
ตาครามของมะม้ารึป่ะ รับเชิญมาเขย่าขวัญโดยเฉพาะ


konhin 27 พ.ย. 2556, 04:47:07 น.
แหม จิณลีรับมือได้ดีจัง หรือจะมีส่วนดึงนางเอกมานะ


ฤดูฝัน 27 พ.ย. 2556, 13:17:57 น.
ย้อนไปอดีตประมาณกี่ปีคะ?
จิณลีนี่แบบ...."เีรียกผมว่าลิโอหรือเอยาก็ได้ครับ ลิโอคือหนุ่มหล่อ ส่วนเอยาคือที่รัก"
เขินนนน แทนลันเลย >___<


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account