ม่านทิวาพชร {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!
Tags: โมรารัตติกาล มรกตสนธยา มนตรามุกจันทรา มายาไฟในดวงตา ม่านธาราเร้นดาว อัญมณีเหนือกาล มนตราอัญมณี
ตอน: บทที่ 7 คนที่ตามหา
๗
คนที่ตามหา
‘ชวาลี ช่วยฉันด้วย!’
ยังไม่ทันสิ้นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ชวาลีก็วิ่งเข้ามาถึงใต้ต้นไม้ที่ธศิญารออยู่ด้วยท่าทางขึงขัง องครักษ์หนุ่มกวาดตามองไปรอบบริเวณ แต่ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ
‘เกิดอะไรขึ้นครับคุณธศิญา’ น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยระคนร้อนรน
‘มัน…มันอยู่หลังพุ่มไม้นั่น’ นิ้วเรียวชี้ไปยังพุ่มไม้สูงประมาณเอว ไม่ไกลจากจุดที่เธอและเขายืนอยู่
‘เสือ งู หรือว่าอะไรครับ’ ดวงตาคมกริบมองตรงไปยังที่ที่ผู้เป็นนายว่า
‘ไม่ใช่ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร รูปร่างหน้าตาของมันประหลาดมาก มันอาจจะเป็นปิศาจ!’ ธศิญาบอกหน้าตื่น ดวงตากลมเรียวหวาดหวั่น
‘คุณธศิญารออยู่ที่นี่นะครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปดู’
ขณะที่กำลังจะก้าวออกไปนั้น หญิงสาวก็คว้าแขนเขาเอาไว้เสียก่อน ‘เดี๋ยว’
‘ครับ?’ ชวาลีหันกลับไปมองเจ้าของร่างบอบบางพลางเลิกคิ้วเข้มขึ้น
‘ฉันไปด้วยดีกว่า เกิดพวกปิศาจโผล่มาตรงนี้ฉันก็แย่สิ’ เธอไม่ยอมปล่อยแขน ขณะที่สายตามองไปรอบกายอย่างไม่ไว้วางใจ
‘ก็ได้ครับ’ ชายหนุ่มพยักหน้าตกลง แล้วทั้งสองจึงค่อยๆก้าวไปยังพุ่มไม้ต้องสงสัยนั้น
หัวใจของธศิญาเต้นรัวด้วยความลุ้นระทึก ทันใดนั้น พุ่มไม้ก็ขยับไหวทำเอาหญิงสาวเกือบจะส่งเสียงกรี๊ดออกมา แต่โชคดีที่ยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองไว้ได้ทัน
ชวาลีหยุดเดินเพื่อดูลาดเลา เมื่อเหลือเพียงความเงียบ องครักษ์หนุ่มก็ได้ยินเสียงลมหายใจดังมาจากหลังพุ่มไม้ เขาชักปืนออกมาจากเอว ขึ้นลำกล้อง เตรียมพร้อมยิงป้องกันตัว แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็มีเสียงเล็กๆดังมาจากหลังพุ่มไม้เสียก่อน
‘อย่ายิงพวกข้านะ!’
‘พวกข้าไม่ใช่ปิศาจ’ อีกเสียงดังตามมา
มือหนาสองข้างยังคงกระชับปืนแน่นอย่างดูเชิงแม้จะได้ยินชัดเจนว่านั่นคือเสียงของเด็กชายและเด็กหญิง ‘แล้วแกสองคนเป็นใคร!’
‘สัญญาก่อนสิว่าจะไม่ยิงพวกข้า แล้วพวกข้าสองคนจะออกจากหลังพุ่มไม้’ เจ้าของเสียงเล็กๆบอก
เมื่อได้ยินข้อเสนอ ชวาลีก็ชั่งใจอยู่ครู่ ก่อนจะเอ่ยปาก ‘ได้’
‘ระวังนะชวาลี’ ธศิญาที่ยืนอยู่ด้านหลังบอกอย่างห่วงใย ใบหน้าหวานละมุนยามนี้เต็มไปด้วยรอยวิตก
หลังจากทำข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เจ้าของเสียงที่อยู่หลังพุ่มไม้ก็ค่อยๆก้าวออกมา ชวาลีและธศิญาเบิกตากว้างเมื่อเห็นเด็กหญิงและเด็กชายร่างเล็ก ใบหน้ามีขนปกคลุม มองเห็นเพียงดวงตา จมูก และปาก สวมเสื้อผ้าสีเข้มเหมือนเป็นชุดของชนเผ่าอะไรสักอย่าง ยืนอยู่เบื้องหน้าตน
‘ข้าชื่ออาโน’ เด็กชายแนะนำตัวเอง
‘ส่วนข้าชื่อเลไอ เราสองคนเป็นคนปกติ ไม่ได้เป็นปิศาจแบบที่พวกเจ้าคิด แล้วก็ไม่คิดจะทำร้ายพวกเจ้าด้วย’ เจ้าของเสียงเล็กๆชี้แจง
‘แล้วทำไมทั้งสองคนถึง…’ ธศิญายังไม่ทันได้เอ่ย เลไอก็แทรกขึ้น
‘เพราะพวกข้าใส่หน้ากากอยู่น่ะสิ’ เด็กหญิงบอกพลางหัวเราะเสียงใส หันไปพยักหน้ากับเด็กชายและถอดหน้ากากยางออกพร้อมกัน
ธศิญาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เพราะตอนอาโนและเลไอสวมหน้ากากนั้นดูเหมือนใบหน้าจริงมาก
‘พ่อของพวกข้าทำหน้ากากนี้ให้ เหมือนจริงมากเลยใช่ไหมล่ะ’ เลไอเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
‘พวกเจ้าสองคนเป็นใคร มาทำอะไรในป่าลึกเช่นนี้’ อาโนถามกลับบ้าง ไม่บ่อยนักหรอกที่คนจะเข้ามาถึงจุดที่พวกเขาอาศัยอยู่
‘พี่ชื่อชวาลี ส่วนนี่คุณธศิญา เราสองคนไม่ได้มาร้ายเหมือนกัน’ องครักษ์หนุ่มกล่าวเสียงเป็นมิตร
ด้านธศิญาก็หายใจได้อย่างสะดวกเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย เธอเชื่อแล้วว่าสองคนนั้นไม่ได้คิดมุ่งร้ายจริงๆ เพราะแม้แต่อาวุธ อาโนกับเลไอยังไม่มีติดตัวเลยสักชิ้น และท่าทางของเด็กน้อยยังดูมีอัธยาศัยมากกว่าจะมีพิษภัย
‘ตกลงพวกเจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่’ อาโนถามอีกครั้งเมื่อยังไม่ได้คำตอบ
ชวาลีหันกลับไปมองผู้เป็นนายขอคำปรึกษา หญิงสาวจึงเดินขึ้นมายืนข้างเขา ก่อนที่เธอจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เด็กสองคนฟัง ทว่าไม่เปิดเผยว่าแท้จริงแล้วตนเองคือลูกสาวผู้ว่าการเขตราศิ
เลไอฟังสาเหตุของการหนีเข้ามาถึงในป่าลึกของหญิงสาวแล้วอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ ‘โถ น่าสงสาร ทำไมพ่อแม่ของเจ้าถึงใจร้ายเช่นนี้ ที่หมู่บ้านของเราไม่เคยมีการบังคับเรื่องแต่งงานหรอก ถ้าจะแต่งงานก็ต้องแต่งเพราะความรัก’
‘เจ้ารักผู้ชายคนนี้สินะ ถึงไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่พ่อแม่เลือกให้’ อาโนคาดเดาพลางมองชวาลีสลับกับธศิญา
‘ไม่ใช่อย่างนั้น’ / ‘ไม่ใช่นะจ๊ะ’ องครักษ์หนุ่มและผู้เป็นนายปฏิเสธแทบจะพร้อมกัน
‘อ้าว ข้าเดาผิดรึ’ เด็กชายหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
‘ถ้าไม่ใช่คนรักกัน แล้วพวกเจ้าเป็นอะไรกัน’ เลไอถามต่อเพราะยังสงสัยไม่หาย
‘ผมเป็นองครักษ์ของเธอ’ ชายหนุ่มหันไปมองผู้เป็นนายด้วยสายตาสรรเสริญ และไม่คิดจะเปลี่ยนฐานะตนเองให้เป็นอื่น
หลังจากคุยกันพักหนึ่ง ชวาลีและธศิญาก็รู้ว่าเด็กชายและเด็กหญิงเป็นพี่น้องกันและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกแห่งนี้ นอกจากนั้นอาโนและเลไอยังชวนให้ทั้งสองไปพักที่บ้านด้วยชั่วคราว ระหว่างหาทางออกเรื่องการถูกจับแต่งงาน
เมื่อแรกชวาลีและธศิญาปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่อีกฝ่ายก็ยืนยันว่ายินดีช่วยเหลือ ท้ายที่สุดเขาและเธอจึงตกลงรับน้ำใจของเด็กทั้งสอง
ทั้งสี่เดินเท้ามาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่บริเวณชายแดนเขตราศิในเวลาต่อมา อาโนและเลไอบอกว่าที่นี่คือชุมชนของชาวโกพัน ชนเผ่าโบราณซึ่งใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสงบเรียบง่ายมาเนิ่นนานหลายชั่วอายุคนแล้ว
ระหว่างทางชาวบ้านที่สัญจรไปมาด้วยการเดินเท้า ต่างมองชวาลีและธศิญาด้วยความสงสัย อาโนและเลไอจึงแนะนำว่าชายหนุ่มและหญิงสาวคือเพื่อนใหม่ของพวกเขา
‘ปกติไม่ค่อยมีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านน่ะครับ พวกเขาเลยสนใจพี่สองคนมาก’ เด็กชายหันมาอธิบาย เพราะกลัวเพื่อนต่างวัยทั้งสองจะรู้สึกอึดอัดกับสายตาเหล่านั้น
‘พี่เข้าใจจ้ะ’ ธศิญายิ้มกว้าง เด็กอะไรน่ารักจริงๆ รู้จักใส่ใจความรู้สึกผู้ใหญ่ด้วย เห็นดังนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่ามีสิ่งที่ต้องถามเด็กๆเช่นกัน ‘แล้วนี่พ่อแม่ของอาโนกับเลไอจะว่ายังไงที่พาพี่กับชวาลีไปพักที่บ้าน”
‘พ่อแม่ของพวกหนูใจดี พวกท่านต้องเห็นใจพี่ธศิญาแน่ค่ะ’ เลไอเอ่ยอย่างอยากให้สบายใจ
‘พี่ไม่รู้จะเอาอะไรเป็นหลักประกัน แต่รับรองได้ว่าเราสองคนไม่คิดจะทำสิ่งเลวร้ายกับครอบครัวอาโนและเลไอเด็ดขาด’ ชวาลีบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
บ้านของเด็กชายหญิงทั้งสองสร้างจากไม้ทั้งหลัง มีสองชั้น ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก อาโนและเลไอแนะนำให้ชายหนุ่มกับหญิงสาวรู้จักพ่อแม่ของพวกเขา ก่อนจะเล่าสาเหตุที่ทำให้ธศิญาต้องมาพักที่นี่เป็นการชั่วคราว
‘พวกเจ้าสองคนอยู่ที่นี่ไม่ต้องเกรงใจนะ’ ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างเป็นมิตร
‘ขอบคุณค่ะ’ ธศิญาค้อมศรีษะ ก่อนจะควานหาบางอย่างในกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเอง และยื่นให้เจ้าของบ้าน ‘รับไว้นะคะ ตอบแทนน้ำใจที่พวกคุณให้ที่พักกับฉันและชวาลี’
พ่อของอาโนและเลไอมองแหวนทองคำขาวที่กำลังเปล่งประกายระยิบระยับในกล่องกำมะหยี่แล้วก็ส่ายหน้าทันที ‘เก็บไว้เถอะ ถ้าเจ้าอยากจะตอบแทนน้ำใจของพวกข้าก็จงตอบแทนด้วยน้ำใจ’
‘ใช่ เราไม่ต้องการสิ่งของราคาแพงหรอก’ แม่ของเด็กๆเสริม ก่อนจะหันไปบอกลูกชายกับลูกสาวตัวน้อย ‘ให้ชวาลีพักกับอาโนนะ ส่วนธศิญาพักกับเลไอ’
‘ครับท่านแม่’ / ‘ค่ะท่านแม่’ ทั้งสองรับคำพร้อมกัน
คืนนั้นเป็นอีกคืนที่ธศิญานอนไม่หลับ เพราะมีเรื่องมากมายวิ่งวนอยู่ในสมอง โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกลึกซึ้งซึ่งก่อเกิดขึ้นในหัวใจแต่ไม่อาจเปิดเผยให้คนต้นเหตุรับรู้ หญิงสาวค่อยๆลุกออกจากเตียง เดินลงมาชมวิวที่หน้าบ้าน ปล่อยความคิดให้ล่องลอยอยู่พักใหญ่จึงเดินไปนั่งลงที่ม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไม้ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงคุ้นตา
‘ชวาลี’ คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กๆ
องครักษ์หนุ่มเดินเข้ามาหาเธอด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ‘คุณธศิญาลงมาทำอะไรครับ’
‘ฉันนอนไม่หลับ แล้วคุณล่ะคะ มานานหรือยัง’ ไม่รู้ว่าเขาจะทันได้ยินหรือเปล่าว่าก่อนหน้านั้นเธอถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
‘สักพักแล้วครับ แต่เหมือนคุณธศิญาคิดอะไรอยู่ ผมเลยไม่อยากรบกวนสมาธิ’ ชวาลีก้มหัวลงเล็กน้อยอย่างขอลุแก่โทษ
ธศิญาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะแหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าเงียบๆ ทหารหนุ่มยืนอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง แล้วจึงเดินมานั่งลงอีกด้านบนม้านั่งตัวเดียวกัน
ท้องฟ้าสีดำสนิทเบื้องบนดูราวกับกำมะหยี่เนื้อดี แสงวิบวับของดวงดาวน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วผืนฟ้า งดงามยิ่งกว่าภาพวาดในจินตนาการของศิลปินมือหนึ่ง ชายหนุ่มและหญิงสาวต่างอยู่กับความคิดของตัวเอง เป็นครู่ก่อนที่เสียงของใครคนหนึ่งจะดังขึ้น
‘ชายคนหนึ่งเฝ้ามองดาวที่แสนสวยงามดวงนั้นทุกค่ำคืน บางครั้งคิดอยากจะเก็บดาวมาชื่นชมเพียงผู้เดียว แต่ก็ทำได้แค่ฝัน เพราะดาวอยู่สูงเกินไป ถึงแม้จะมองเห็น แต่ความจริงเอื้อมคว้าไม่ได้’ น้ำเสียงทุ้มเจือไปด้วยความเศร้าหม่น
หญิงสาวหันไปมองคนที่เพิ่งเอ่ยจบด้วยความรู้สึกหน่วงๆในใจราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบคั้น และพบว่าสายตาของเขากำลังมองไปบนฟากฟ้า ‘คุณหมายถึงอะไรคะ’
ชวาลีหันมายิ้มให้ แต่เป็นยิ้มที่ดูเศร้าแปลกๆ ‘ไม่มีอะไรหรอกครับ พอเห็นดาวบนท้องฟ้าสวย จู่ๆผมก็พูดออกมาได้เอง อย่าถือสาเลย’
ดวงตาสองคู่สบประสานกันนิ่งราวกับตกอยู่ในภวังค์ ความรู้สึกล้ำลึกเกินกว่าจะอธิบายอัดแน่นอยู่ในแววตา แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดเอื้อนเอ่ยออกมา
สายตาปลอบโยนของชวาลีทำให้ธศิญารู้สึกอบอุ่นไปทั้งดวงใจ สายตาที่บ่งบอกว่าจะปกป้องเธอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
‘ลองสมมติอะไรเล่นๆดีไหม’ ธศิญาเปรย
‘ครับ?’ ชวาลีเลิกคิ้วหนาขึ้นเมื่อเห็นแววตานึกสนุกของอีกฝ่าย
‘ตกลงเล่นแล้วนะ’ หญิงสาวรวบรัดก่อนจะถาม ‘ถ้าสมมติว่า ฉันกับคุณไม่ได้อยู่ในฐานะเจ้านายกับองครักษ์ หนึ่งประโยคที่คุณอยากพูดกับฉันคืออะไร’
ชวาลียิ้มอบอุ่น ‘ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ผมก็คงพูดคำเดิมว่าจะดูแลคุณตลอดไป’
ลูกสาวผู้ว่าการพยักหน้าช้าๆ ‘ฉันก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว อีกอย่าง…ยังไงเราก็คงเปลี่ยนฐานะเป็นอื่นไม่ได้ ขนาดจะให้คุณคิดว่าฉันเป็นเพื่อน คุณยังไม่เอาด้วยเลย’ น้ำเสียงนั้นราวกับตัดพ้อ
‘ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร แต่ถ้ามีความปรารถนาดีต่อกัน ผมว่าเท่านั้นก็เป็นเรื่องดีๆแล้ว’
ธศิญาหันไปมองหน้าคนพูดพร้อมยิ้มจางๆ ‘จริงของคุณ’
‘ผมว่าเรากลับไปบนบ้านดีกว่าครับ ดึกมากแล้ว’ องครักษ์หนุ่มชวนพร้อมลุกขึ้นจากม้านั่งหินอ่อน
หญิงสาวลุกขึ้นตามและกล่าว ‘ขอบคุณมากที่มานั่งคุยเป็นเพื่อน อ้อ ไม่ใช่ มานั่งคุยเป็นองครักษ์’ คราวนี้เธอเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง น้ำเสียงไม่ได้มีแววตัดพ้อประชดประชันแต่อย่างใด ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมหัวใจอันหนักอึ้งราวกับถูกหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้
ชวาลียืนถอนหายใจเบาๆ มองเจ้าของร่างบอบบางจนอีกฝ่ายลับสายตาไป แต่ระหว่างที่เขากำลังจะเข้าบ้านนั้นเอง สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับเงาตะคุ่มหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
องครักษ์หนุ่มหรี่ตามองอย่างตั้งใจเพื่อให้รู้แน่ชัดว่าไม่ได้ตาฝาด ทว่าทันใดนั้นปลายแหลมของบางอย่างก็พุ่งมาปักเข้าที่แขนข้างขวา เมื่อก้มลงไปดูก็พบลูกดอกสีแดง ไม่ทันได้ทำอะไร ชวาลีก็เริ่มสายตาพร่าเลือน มึนหัว แข้งขาอ่อนแรงจนทรงตัวแทบจะไม่อยู่ ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
ภาพในสำนึกสุดท้ายคือใบหน้าของธศิญา…
กว่าสัปดาห์ที่ไม่สามารถติดต่อชลันธรได้ และจนถึงเช้าวันนี้หญิงสาวก็ยังไม่ติดต่อมา ทำให้ชลธิศและมาริณกังวลหนักกว่าเดิม ช่วงที่ผ่านมาชายหนุ่มโทรศัพท์หาปริญญ์ ไตร และเพื่อนของน้องสาวหลายคน แต่ทุกคนก็ล้วนบอกว่าชลันธรไม่ได้อยู่กับตน นั่นทำให้ชลธิศและมาริณร้อนรนใจมากขึ้นหลายเท่า ยังดีที่ทุกคนรับปากว่าจะช่วยติดต่อหาชลันธรอีกแรง
“มีใครที่เรายังไม่โทร.หาอีกไหมนะ” ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงเมื่อวางสายจากเพื่อนของน้องสาวและได้รับคำตอบว่าไม่ได้เจอชลันธรเหมือนกับหลายสายก่อนหน้า
“เพื่อนของคุณลันที่เรารู้จักก็มีแค่นี้ละค่ะ” มาริณวางมือลงบนไหล่สามีอย่างให้กำลังใจ
ขณะนั้นเสียงของใครคนหนึ่งก็แว่วมาเข้าหูมาริณ ‘มีน’
หญิงสาวจำเสียงนั้นได้แม่นยำ คิ้วเรียวเลิกสูงขึ้น ก่อนส่งเสียงถามกลับในใจ ‘มีอะไรคะลุง’
‘มาหลังบ้านได้ไหม ฉันมีเรื่องจะบอก’
ได้ยินดังนั้น มาริณจึงบอกชลธิศ “คุณเชนคะ มีนขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะคะ”
เมื่อผู้เป็นสามีพยักหน้าตอบรับ หญิงสาวก็รีบเดินมายังหลังบ้าน ก่อนจะพบชายหนุ่มหน้าคม ผิวสีแทนจัด ผมถักเป็นเดร็ดล็อกส์ยืนยิ้มกว้างรออยู่ ซึ่งปกติเขาก็ผลุบๆโผล่ๆมาได้แบบนี้จนไม่น่าแปลกใจแล้ว
“มีอะไรคะลุงมิตร” มาริณเอ่ยถามชายหนุ่มที่ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเรียกว่าพี่มากกว่าลุง
หญิงสาวบังเอิญรู้จักเขาตอนรถเสียระหว่างเดินทางไปทำข่าวแถวสาทร วันนั้นมิตรขับรถผ่านมาพอดีและได้ลงมาช่วยซ่อมรถจนใช้งานได้ มาริณจึงอาสาเลี้ยงข้าวเขาเป็นการตอบแทน น่าแปลกเหมือนกันที่เธอรู้สึกผูกพันกับมิตรอย่างประหลาดแม้จะเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก และยิ่งได้มีโอกาสคุยกันก็ยิ่งถูกคอ อาจเป็นเพราะบุคลิกเฮ้วๆกวนๆของเขาที่ทำให้เธอหัวเราะได้บ่อยครั้ง ด้วยความที่คุยกันถูกอัธยาศัย มาริณจึงติดต่อกับมิตรเรื่อยมา และได้ทราบว่าเขาเองก็เป็นพวกที่มีพลังอำนาจพิเศษเช่นกัน และอาจมากกว่าเธอด้วยซ้ำ
เมื่อคุยถึงเรื่องอัญมณีที่สะสม มาริณก็ได้ทราบว่ามิตรทำร้านขายอัญมณีชื่อร้านกาลเวลาซึ่งเขาบอกว่าถ้าพร้อมให้ไปเมื่อไหร่จะพาไปเอง อาจเป็นเพราะเขาและเธอมีหลายอย่างคล้ายกันนี่ละ ทำให้เข้ากันได้เป็นอย่างดี
ชลธิศเคยเจอชายหนุ่มสองสามครั้งแล้ว ถ้าเป็นคนอื่น สามีของเธอคงจะหึง แต่น่าแปลกที่กับมิตร เขากลับไม่ว่าอะไร ซึ่งจริงๆก็สมควรที่ชลธิศจะไม่หึง เพราะมิตรไม่ได้แสดงท่าทีกับเธอไปในด้านชู้สาว ทำให้มาริณคบกับเขาในฐานะรุ่นพี่ได้อย่างสนิทใจ และด้วยอีกฝ่ายชอบสอนเธอที่เป็นคนใจร้อนอยู่บ่อยๆ จากตอนแรกเรียกพี่มิตรก็เปลี่ยนเป็นลุงมิตรไปโดยปริยาย
‘ทำไมถึงเรียกคุณมิตรว่าลุงล่ะ’ ชลธิศเคยถามหญิงสาวระหว่างรับประทานอาหารกับมิตรซึ่งผ่านมาแถวจันทบุรีและแวะมาเยี่ยมมาริณ
‘อืม เป็นที่เสียงของลุงมิตรมั้ง เวลาคุยกันรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็ก ถ้าฉันมีโอกาสโตมากับพ่อ คิดว่าพ่อฉันก็คงให้ความรู้สึกคล้ายๆตอนอยู่กับคนอย่างลุงมิตรนี่แหละ’ เธอตอบสามีและหันไปมองชายหนุ่มเจ้าของผมเดร็ดล็อกส์ที่นั่งยิ้มอยู่ ‘อันนี้สารภาพครั้งแรกนะคะ ว่านอกจากเรียกเล่นๆว่าลุงแล้ว มีนยังรู้สึกว่าลุงมิตรเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่จริงๆ’
มิตรพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยกับสามีของมาริณ ‘ดูแลหลานสาวผมให้ดีๆนะครับ คุณชลธิศ’ แววตานั้นเหมือนมีความลับที่เจ้าตัวรู้คนเดียว แต่หญิงสาวก็ขี้เกียจจะถาม เพราะรู้ว่ายิ่งอยากรู้ อีกฝ่ายมักจะเลี่ยงไม่ตอบทุกที แถมยังอาจจะโดนกวนกลับอีก
‘ผมจะดูแลหลานของลุงมิตรไปจนวันสุดท้ายของชีวิตเลยละครับ’ สามีของเธอยังมิวายรับมุก จากนั้นจึงสนทนากันต่ออย่างเพลิดเพลิน
“ว่าไงคะลุงมิตร มีเรื่องอะไร” มาริณถามอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ตอบ
“มีเรื่องสำคัญมาบอก” มิตรตอบคำถามด้วยใบหน้าเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน
“สำคัญจริงเหรอคะ” มาริณเขม้นมองชายหนุ่มอย่างจับผิด สำหรับเธอตอนนี้เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องชลันธร
“เรื่องชลันธร”
“คะ?” หญิงสาวขมวดคิ้วเรียวเข้าหากัน ทั้งงุนงงและตกใจที่มิตรพูดราวกับรู้ความคิดของเธอ
“ก็เธอกับสามีกำลังกลุ้มใจเรื่องชลันธรกันอยู่ไม่ใช่รึ” เจ้าของผมเดร็ดล็อกส์ยกมือขึ้นมากอดอกพลางยิ้มมีเลศนัย
“ค่ะ แล้วเรื่องสำคัญของลุงมิตรเกี่ยวกับคุณลันเหรอคะ”
“ใช่” มิตรหัวเราะหึๆ เขาเคยเห็นภาพชลันธรจากอัลบั้มงานแต่งงานที่มาริณเอามาให้ดู และก็รู้ทันทีว่าพบคนที่ตามหามานานแล้ว!
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำลีลาไม่ยอมปริปาก มาริณก็ขอร้องแกมขู่ “ลุงมิตรรู้อะไรคะ รีบบอกมานะ ไม่งั้นมีนจะอธิษฐานขอให้ลุงมิตรไม่สมหวังกับผู้หญิงคนนั้น”
“ผู้หญิงคนไหน รู้มากจริงหลานคนนี้ อยากโดนตีหรือไง” มิตรเอ่ยเสียงดุ แต่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ ไม่ยักกะรู้ว่าแม่นี่จะประสาทไวถึงกับสังเกตได้ตอนไหน ถึงอาการเผลอคิดถึงใครบางคนของเขา
มาริณเองคงไม่รู้ว่าแท้ที่จริงเธอก็คือหลานสาวแท้ๆของเขานั่นละ เพราะเขาคือมิตร เมห์ฮรา ลูกชายคนแรกของย่าเธอ ตอนแรกมิตรก็คิดจะบอกว่าตัวเองเป็นใคร แต่ไปๆมาๆรู้สึกสนุกกับการคบหากันแบบนี้ซึ่งเหมือนได้แอบมาดูหลานตัวเอง ก่อนจะมีการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการพร้อมหน้ากันในอนาคต เขาจึงปิดบังสถานะตัวเองต่อไป
“คิดเหรอว่ามีนจะกลัว ลุงมิตรไม่กล้าลงโทษมีนร้อก” เธอยิ้มกว้างทำตาแป๋ว
“ก๋ากั่นจริงๆ” ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา
“ลุงมิตร บอกมาเถอะน้า อยากรู้จนใจจะขาดแล้วเนี่ย” มาริณใช้ไม้อ่อนบ้างและคราวนี้ได้ผล
“บอกก็ได้ๆ”
“เร็วเลยค่ะ” หญิงสาวเร่ง ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ
“ก็…แค่จะมาบอกว่าไม่ต้องห่วงชลันธร เธอปลอดภัยดี ไปละนะ” มิตรเตรียมจะโบกมือลา แต่มาริณรีบคว้าแขนเอาไว้
“เดี๋ยวสิคะ อะไรจะมาไวไปไวแบบนี้ เล่ามาให้ละเอียดเลยค่ะ ไม่งั้นไม่ปล่อย” หญิงสาวมองอย่างคาดคั้น
“วุ้ย หลานคนนี้นี่ สงสัยชะตาฉันจะไม่ถูกกับคนอายุน้อยกว่า อยู่ร้านก็โดนเด็กบ่น มานี่ก็โดนเด็กขู่” เจ้าของร้านกาลเวลาบ่นอย่างไม่จริงจังนัก
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ” มาริณว่าก่อนจะเร่งอีกรอบ “เล่าเรื่องคุณลันมาได้แล้วค่ะ มีนมานานเกินไปเดี๋ยวคุณเชนจะสงสัย”
“อย่างที่บอกไง ชลันธรปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะมาบอกแค่นี้จริงๆ” เจ้าของใบหน้ากวนๆง่วงๆตอบเสียงเรียบเรื่อย
“ไม่เอา เล่ามาให้หมดเลย ไม่งั้นมีนโกรธนะ” หญิงสาวทำหน้างอตาคว่ำ จับแขนลุงแน่นกว่าเดิม
มิตรส่ายหน้าไปมา เห็นทีคงจะหลบเลี่ยงยาก ท้ายที่สุดชายหนุ่มจึงต้องเล่า “ชลันธรกำลังทำภารกิจสำคัญอยู่ เธอเป็นคนที่ลุงตามหามานาน ตอนนี้ชลันธรอยู่ประเทศภูทิวาที่ตั้งอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ลุงดูแล้วยังไม่มีอะไรน่าห่วง”
“ภารกิจอะไรคะ ทำไมลุงต้องเลือกคุณลัน แล้วถึงตอนนี้จะปลอดภัย แต่อนาคตลุงแน่ใจได้ยังไงว่าคุณลันจะไม่มีอันตราย” มาริณถามเป็นชุด
“มีน บางอย่างเราควบคุมได้ แต่บางอย่างก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามที่โชคชะตากำหนด ยังไงลุงจะพยายามช่วยดูแลชลันธรให้มากที่สุด” มิตรบอกเพื่อให้หญิงสาวสบายใจ ที่บอกว่ามากที่สุด เพราะเขาเองก็ไม่สามารถปรากฎตัวได้ทุกครั้งที่ชลันธรมีอันตราย
“ตกลงภารกิจนั้นคืออะไรคะ แล้วภารกิจจะเสร็จเมื่อไหร่” มาริณยังไม่หายข้องใจ
“เป็นคำถามที่ตอบไม่ได้อีกแล้ว”
“ลุงมิตรน่ะ ทำอะไรไม่บอกมีนก่อนเลย”
“ขืนบอกจะให้ทำรึ” มิตรบ่นเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้าง “เอาน่า ทำใจให้สบายๆนะ บอกชลธิศว่าน้องสาวเขาไปเขียนนิยายที่ต่างจังหวัดก็ได้ เดี๋ยวไม่นานก็กลับมา ลุงจะมาเล่าเป็นระยะๆแล้วกันว่าชลันธรเป็นยังไงบ้าง”
“แต่มันแปลกนะคะที่ติดต่อคุณลันไม่ได้ ยังไงคุณเชนก็ต้องสงสัย”
“เรื่องนั้นลุงมีวิธี แต่ตอนนี้ต้องไปจริงๆแล้วละ ทิ้งร้านมานาน เดี๋ยวยายเด็กชื่ออัคนีมายาจะบ่นมากกว่าเดิม ปกติก็ชอบบ่นอยู่แล้ว”
“ลุงมิตรต้องมาเล่าเรื่องคุณลันจริงๆนะ”
“สัญญา”
มาริณจนใจที่จะรั้งมิตรไว้เพื่อซักไซ้ เพราะรู้ดีว่าไม่อาจขัดชายหนุ่มได้ สุดท้ายจึงยอมปล่อยแขนเขาทั้งที่ยังไม่สบายใจนัก ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งของบ้าน
ขณะนั้นเสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือของชลธิศก็ดังขึ้น ชายหนุ่มรีบคว้ามาและเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายดีใจ หันมาบอกมาริณด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ลันส่งข้อความมาแล้ว”
แทนที่จะยิ้ม มาริณกลับขมวดคิ้วงุนงง แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของมิตรที่บอกว่ามีวิธีทำให้ชลธิศไม่สงสัย หญิงสาวก็เข้าใจทุกอย่าง
วางแผนเก่งนักนะลุงมิตร แต่ผลของแผนการจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ถ้าเกิดชลันธรเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบเนี่ย!
--------------------------------------------------------------------------------------
ตามไปพูดคุยกันได้ที่เพจ "บุลินทร" นะครับ และตอนนี้ปกชุดอัญมณีเหนือกาลก็เผยโฉมออกมาให้เห็นแวบๆแล้ว ตามไปชมได้ที่เพจของพวกเราเช่นกันครับ
คนที่ตามหา
‘ชวาลี ช่วยฉันด้วย!’
ยังไม่ทันสิ้นเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ชวาลีก็วิ่งเข้ามาถึงใต้ต้นไม้ที่ธศิญารออยู่ด้วยท่าทางขึงขัง องครักษ์หนุ่มกวาดตามองไปรอบบริเวณ แต่ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ
‘เกิดอะไรขึ้นครับคุณธศิญา’ น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยระคนร้อนรน
‘มัน…มันอยู่หลังพุ่มไม้นั่น’ นิ้วเรียวชี้ไปยังพุ่มไม้สูงประมาณเอว ไม่ไกลจากจุดที่เธอและเขายืนอยู่
‘เสือ งู หรือว่าอะไรครับ’ ดวงตาคมกริบมองตรงไปยังที่ที่ผู้เป็นนายว่า
‘ไม่ใช่ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร รูปร่างหน้าตาของมันประหลาดมาก มันอาจจะเป็นปิศาจ!’ ธศิญาบอกหน้าตื่น ดวงตากลมเรียวหวาดหวั่น
‘คุณธศิญารออยู่ที่นี่นะครับ เดี๋ยวผมจะเข้าไปดู’
ขณะที่กำลังจะก้าวออกไปนั้น หญิงสาวก็คว้าแขนเขาเอาไว้เสียก่อน ‘เดี๋ยว’
‘ครับ?’ ชวาลีหันกลับไปมองเจ้าของร่างบอบบางพลางเลิกคิ้วเข้มขึ้น
‘ฉันไปด้วยดีกว่า เกิดพวกปิศาจโผล่มาตรงนี้ฉันก็แย่สิ’ เธอไม่ยอมปล่อยแขน ขณะที่สายตามองไปรอบกายอย่างไม่ไว้วางใจ
‘ก็ได้ครับ’ ชายหนุ่มพยักหน้าตกลง แล้วทั้งสองจึงค่อยๆก้าวไปยังพุ่มไม้ต้องสงสัยนั้น
หัวใจของธศิญาเต้นรัวด้วยความลุ้นระทึก ทันใดนั้น พุ่มไม้ก็ขยับไหวทำเอาหญิงสาวเกือบจะส่งเสียงกรี๊ดออกมา แต่โชคดีที่ยกมือขึ้นมาปิดปากตนเองไว้ได้ทัน
ชวาลีหยุดเดินเพื่อดูลาดเลา เมื่อเหลือเพียงความเงียบ องครักษ์หนุ่มก็ได้ยินเสียงลมหายใจดังมาจากหลังพุ่มไม้ เขาชักปืนออกมาจากเอว ขึ้นลำกล้อง เตรียมพร้อมยิงป้องกันตัว แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็มีเสียงเล็กๆดังมาจากหลังพุ่มไม้เสียก่อน
‘อย่ายิงพวกข้านะ!’
‘พวกข้าไม่ใช่ปิศาจ’ อีกเสียงดังตามมา
มือหนาสองข้างยังคงกระชับปืนแน่นอย่างดูเชิงแม้จะได้ยินชัดเจนว่านั่นคือเสียงของเด็กชายและเด็กหญิง ‘แล้วแกสองคนเป็นใคร!’
‘สัญญาก่อนสิว่าจะไม่ยิงพวกข้า แล้วพวกข้าสองคนจะออกจากหลังพุ่มไม้’ เจ้าของเสียงเล็กๆบอก
เมื่อได้ยินข้อเสนอ ชวาลีก็ชั่งใจอยู่ครู่ ก่อนจะเอ่ยปาก ‘ได้’
‘ระวังนะชวาลี’ ธศิญาที่ยืนอยู่ด้านหลังบอกอย่างห่วงใย ใบหน้าหวานละมุนยามนี้เต็มไปด้วยรอยวิตก
หลังจากทำข้อตกลงระหว่างสองฝ่ายเรียบร้อยแล้ว เจ้าของเสียงที่อยู่หลังพุ่มไม้ก็ค่อยๆก้าวออกมา ชวาลีและธศิญาเบิกตากว้างเมื่อเห็นเด็กหญิงและเด็กชายร่างเล็ก ใบหน้ามีขนปกคลุม มองเห็นเพียงดวงตา จมูก และปาก สวมเสื้อผ้าสีเข้มเหมือนเป็นชุดของชนเผ่าอะไรสักอย่าง ยืนอยู่เบื้องหน้าตน
‘ข้าชื่ออาโน’ เด็กชายแนะนำตัวเอง
‘ส่วนข้าชื่อเลไอ เราสองคนเป็นคนปกติ ไม่ได้เป็นปิศาจแบบที่พวกเจ้าคิด แล้วก็ไม่คิดจะทำร้ายพวกเจ้าด้วย’ เจ้าของเสียงเล็กๆชี้แจง
‘แล้วทำไมทั้งสองคนถึง…’ ธศิญายังไม่ทันได้เอ่ย เลไอก็แทรกขึ้น
‘เพราะพวกข้าใส่หน้ากากอยู่น่ะสิ’ เด็กหญิงบอกพลางหัวเราะเสียงใส หันไปพยักหน้ากับเด็กชายและถอดหน้ากากยางออกพร้อมกัน
ธศิญาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง เพราะตอนอาโนและเลไอสวมหน้ากากนั้นดูเหมือนใบหน้าจริงมาก
‘พ่อของพวกข้าทำหน้ากากนี้ให้ เหมือนจริงมากเลยใช่ไหมล่ะ’ เลไอเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ
‘พวกเจ้าสองคนเป็นใคร มาทำอะไรในป่าลึกเช่นนี้’ อาโนถามกลับบ้าง ไม่บ่อยนักหรอกที่คนจะเข้ามาถึงจุดที่พวกเขาอาศัยอยู่
‘พี่ชื่อชวาลี ส่วนนี่คุณธศิญา เราสองคนไม่ได้มาร้ายเหมือนกัน’ องครักษ์หนุ่มกล่าวเสียงเป็นมิตร
ด้านธศิญาก็หายใจได้อย่างสะดวกเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย เธอเชื่อแล้วว่าสองคนนั้นไม่ได้คิดมุ่งร้ายจริงๆ เพราะแม้แต่อาวุธ อาโนกับเลไอยังไม่มีติดตัวเลยสักชิ้น และท่าทางของเด็กน้อยยังดูมีอัธยาศัยมากกว่าจะมีพิษภัย
‘ตกลงพวกเจ้าเข้ามาทำอะไรที่นี่’ อาโนถามอีกครั้งเมื่อยังไม่ได้คำตอบ
ชวาลีหันกลับไปมองผู้เป็นนายขอคำปรึกษา หญิงสาวจึงเดินขึ้นมายืนข้างเขา ก่อนที่เธอจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เด็กสองคนฟัง ทว่าไม่เปิดเผยว่าแท้จริงแล้วตนเองคือลูกสาวผู้ว่าการเขตราศิ
เลไอฟังสาเหตุของการหนีเข้ามาถึงในป่าลึกของหญิงสาวแล้วอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ ‘โถ น่าสงสาร ทำไมพ่อแม่ของเจ้าถึงใจร้ายเช่นนี้ ที่หมู่บ้านของเราไม่เคยมีการบังคับเรื่องแต่งงานหรอก ถ้าจะแต่งงานก็ต้องแต่งเพราะความรัก’
‘เจ้ารักผู้ชายคนนี้สินะ ถึงไม่ยอมแต่งงานกับผู้ชายที่พ่อแม่เลือกให้’ อาโนคาดเดาพลางมองชวาลีสลับกับธศิญา
‘ไม่ใช่อย่างนั้น’ / ‘ไม่ใช่นะจ๊ะ’ องครักษ์หนุ่มและผู้เป็นนายปฏิเสธแทบจะพร้อมกัน
‘อ้าว ข้าเดาผิดรึ’ เด็กชายหัวเราะร่วนอย่างอารมณ์ดี
‘ถ้าไม่ใช่คนรักกัน แล้วพวกเจ้าเป็นอะไรกัน’ เลไอถามต่อเพราะยังสงสัยไม่หาย
‘ผมเป็นองครักษ์ของเธอ’ ชายหนุ่มหันไปมองผู้เป็นนายด้วยสายตาสรรเสริญ และไม่คิดจะเปลี่ยนฐานะตนเองให้เป็นอื่น
หลังจากคุยกันพักหนึ่ง ชวาลีและธศิญาก็รู้ว่าเด็กชายและเด็กหญิงเป็นพี่น้องกันและอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งซ่อนตัวอยู่ในป่าลึกแห่งนี้ นอกจากนั้นอาโนและเลไอยังชวนให้ทั้งสองไปพักที่บ้านด้วยชั่วคราว ระหว่างหาทางออกเรื่องการถูกจับแต่งงาน
เมื่อแรกชวาลีและธศิญาปฏิเสธด้วยความเกรงใจ แต่อีกฝ่ายก็ยืนยันว่ายินดีช่วยเหลือ ท้ายที่สุดเขาและเธอจึงตกลงรับน้ำใจของเด็กทั้งสอง
ทั้งสี่เดินเท้ามาถึงหมู่บ้านซึ่งอยู่บริเวณชายแดนเขตราศิในเวลาต่อมา อาโนและเลไอบอกว่าที่นี่คือชุมชนของชาวโกพัน ชนเผ่าโบราณซึ่งใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างสงบเรียบง่ายมาเนิ่นนานหลายชั่วอายุคนแล้ว
ระหว่างทางชาวบ้านที่สัญจรไปมาด้วยการเดินเท้า ต่างมองชวาลีและธศิญาด้วยความสงสัย อาโนและเลไอจึงแนะนำว่าชายหนุ่มและหญิงสาวคือเพื่อนใหม่ของพวกเขา
‘ปกติไม่ค่อยมีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านน่ะครับ พวกเขาเลยสนใจพี่สองคนมาก’ เด็กชายหันมาอธิบาย เพราะกลัวเพื่อนต่างวัยทั้งสองจะรู้สึกอึดอัดกับสายตาเหล่านั้น
‘พี่เข้าใจจ้ะ’ ธศิญายิ้มกว้าง เด็กอะไรน่ารักจริงๆ รู้จักใส่ใจความรู้สึกผู้ใหญ่ด้วย เห็นดังนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่ามีสิ่งที่ต้องถามเด็กๆเช่นกัน ‘แล้วนี่พ่อแม่ของอาโนกับเลไอจะว่ายังไงที่พาพี่กับชวาลีไปพักที่บ้าน”
‘พ่อแม่ของพวกหนูใจดี พวกท่านต้องเห็นใจพี่ธศิญาแน่ค่ะ’ เลไอเอ่ยอย่างอยากให้สบายใจ
‘พี่ไม่รู้จะเอาอะไรเป็นหลักประกัน แต่รับรองได้ว่าเราสองคนไม่คิดจะทำสิ่งเลวร้ายกับครอบครัวอาโนและเลไอเด็ดขาด’ ชวาลีบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
บ้านของเด็กชายหญิงทั้งสองสร้างจากไม้ทั้งหลัง มีสองชั้น ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก อาโนและเลไอแนะนำให้ชายหนุ่มกับหญิงสาวรู้จักพ่อแม่ของพวกเขา ก่อนจะเล่าสาเหตุที่ทำให้ธศิญาต้องมาพักที่นี่เป็นการชั่วคราว
‘พวกเจ้าสองคนอยู่ที่นี่ไม่ต้องเกรงใจนะ’ ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างเป็นมิตร
‘ขอบคุณค่ะ’ ธศิญาค้อมศรีษะ ก่อนจะควานหาบางอย่างในกระเป๋าเสื้อผ้าของตนเอง และยื่นให้เจ้าของบ้าน ‘รับไว้นะคะ ตอบแทนน้ำใจที่พวกคุณให้ที่พักกับฉันและชวาลี’
พ่อของอาโนและเลไอมองแหวนทองคำขาวที่กำลังเปล่งประกายระยิบระยับในกล่องกำมะหยี่แล้วก็ส่ายหน้าทันที ‘เก็บไว้เถอะ ถ้าเจ้าอยากจะตอบแทนน้ำใจของพวกข้าก็จงตอบแทนด้วยน้ำใจ’
‘ใช่ เราไม่ต้องการสิ่งของราคาแพงหรอก’ แม่ของเด็กๆเสริม ก่อนจะหันไปบอกลูกชายกับลูกสาวตัวน้อย ‘ให้ชวาลีพักกับอาโนนะ ส่วนธศิญาพักกับเลไอ’
‘ครับท่านแม่’ / ‘ค่ะท่านแม่’ ทั้งสองรับคำพร้อมกัน
คืนนั้นเป็นอีกคืนที่ธศิญานอนไม่หลับ เพราะมีเรื่องมากมายวิ่งวนอยู่ในสมอง โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกลึกซึ้งซึ่งก่อเกิดขึ้นในหัวใจแต่ไม่อาจเปิดเผยให้คนต้นเหตุรับรู้ หญิงสาวค่อยๆลุกออกจากเตียง เดินลงมาชมวิวที่หน้าบ้าน ปล่อยความคิดให้ล่องลอยอยู่พักใหญ่จึงเดินไปนั่งลงที่ม้านั่งหินอ่อนใต้ต้นไม้ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นร่างสูงคุ้นตา
‘ชวาลี’ คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นอย่างประหลาดใจเล็กๆ
องครักษ์หนุ่มเดินเข้ามาหาเธอด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ‘คุณธศิญาลงมาทำอะไรครับ’
‘ฉันนอนไม่หลับ แล้วคุณล่ะคะ มานานหรือยัง’ ไม่รู้ว่าเขาจะทันได้ยินหรือเปล่าว่าก่อนหน้านั้นเธอถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า
‘สักพักแล้วครับ แต่เหมือนคุณธศิญาคิดอะไรอยู่ ผมเลยไม่อยากรบกวนสมาธิ’ ชวาลีก้มหัวลงเล็กน้อยอย่างขอลุแก่โทษ
ธศิญาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะแหงนหน้ามองดวงดาวบนท้องฟ้าเงียบๆ ทหารหนุ่มยืนอยู่ที่เดิมพักหนึ่ง แล้วจึงเดินมานั่งลงอีกด้านบนม้านั่งตัวเดียวกัน
ท้องฟ้าสีดำสนิทเบื้องบนดูราวกับกำมะหยี่เนื้อดี แสงวิบวับของดวงดาวน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วผืนฟ้า งดงามยิ่งกว่าภาพวาดในจินตนาการของศิลปินมือหนึ่ง ชายหนุ่มและหญิงสาวต่างอยู่กับความคิดของตัวเอง เป็นครู่ก่อนที่เสียงของใครคนหนึ่งจะดังขึ้น
‘ชายคนหนึ่งเฝ้ามองดาวที่แสนสวยงามดวงนั้นทุกค่ำคืน บางครั้งคิดอยากจะเก็บดาวมาชื่นชมเพียงผู้เดียว แต่ก็ทำได้แค่ฝัน เพราะดาวอยู่สูงเกินไป ถึงแม้จะมองเห็น แต่ความจริงเอื้อมคว้าไม่ได้’ น้ำเสียงทุ้มเจือไปด้วยความเศร้าหม่น
หญิงสาวหันไปมองคนที่เพิ่งเอ่ยจบด้วยความรู้สึกหน่วงๆในใจราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบคั้น และพบว่าสายตาของเขากำลังมองไปบนฟากฟ้า ‘คุณหมายถึงอะไรคะ’
ชวาลีหันมายิ้มให้ แต่เป็นยิ้มที่ดูเศร้าแปลกๆ ‘ไม่มีอะไรหรอกครับ พอเห็นดาวบนท้องฟ้าสวย จู่ๆผมก็พูดออกมาได้เอง อย่าถือสาเลย’
ดวงตาสองคู่สบประสานกันนิ่งราวกับตกอยู่ในภวังค์ ความรู้สึกล้ำลึกเกินกว่าจะอธิบายอัดแน่นอยู่ในแววตา แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดเอื้อนเอ่ยออกมา
สายตาปลอบโยนของชวาลีทำให้ธศิญารู้สึกอบอุ่นไปทั้งดวงใจ สายตาที่บ่งบอกว่าจะปกป้องเธอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
‘ลองสมมติอะไรเล่นๆดีไหม’ ธศิญาเปรย
‘ครับ?’ ชวาลีเลิกคิ้วหนาขึ้นเมื่อเห็นแววตานึกสนุกของอีกฝ่าย
‘ตกลงเล่นแล้วนะ’ หญิงสาวรวบรัดก่อนจะถาม ‘ถ้าสมมติว่า ฉันกับคุณไม่ได้อยู่ในฐานะเจ้านายกับองครักษ์ หนึ่งประโยคที่คุณอยากพูดกับฉันคืออะไร’
ชวาลียิ้มอบอุ่น ‘ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร ผมก็คงพูดคำเดิมว่าจะดูแลคุณตลอดไป’
ลูกสาวผู้ว่าการพยักหน้าช้าๆ ‘ฉันก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว อีกอย่าง…ยังไงเราก็คงเปลี่ยนฐานะเป็นอื่นไม่ได้ ขนาดจะให้คุณคิดว่าฉันเป็นเพื่อน คุณยังไม่เอาด้วยเลย’ น้ำเสียงนั้นราวกับตัดพ้อ
‘ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะอะไร แต่ถ้ามีความปรารถนาดีต่อกัน ผมว่าเท่านั้นก็เป็นเรื่องดีๆแล้ว’
ธศิญาหันไปมองหน้าคนพูดพร้อมยิ้มจางๆ ‘จริงของคุณ’
‘ผมว่าเรากลับไปบนบ้านดีกว่าครับ ดึกมากแล้ว’ องครักษ์หนุ่มชวนพร้อมลุกขึ้นจากม้านั่งหินอ่อน
หญิงสาวลุกขึ้นตามและกล่าว ‘ขอบคุณมากที่มานั่งคุยเป็นเพื่อน อ้อ ไม่ใช่ มานั่งคุยเป็นองครักษ์’ คราวนี้เธอเอ่ยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง น้ำเสียงไม่ได้มีแววตัดพ้อประชดประชันแต่อย่างใด ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้านพร้อมหัวใจอันหนักอึ้งราวกับถูกหินก้อนใหญ่ถ่วงเอาไว้
ชวาลียืนถอนหายใจเบาๆ มองเจ้าของร่างบอบบางจนอีกฝ่ายลับสายตาไป แต่ระหว่างที่เขากำลังจะเข้าบ้านนั้นเอง สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับเงาตะคุ่มหลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
องครักษ์หนุ่มหรี่ตามองอย่างตั้งใจเพื่อให้รู้แน่ชัดว่าไม่ได้ตาฝาด ทว่าทันใดนั้นปลายแหลมของบางอย่างก็พุ่งมาปักเข้าที่แขนข้างขวา เมื่อก้มลงไปดูก็พบลูกดอกสีแดง ไม่ทันได้ทำอะไร ชวาลีก็เริ่มสายตาพร่าเลือน มึนหัว แข้งขาอ่อนแรงจนทรงตัวแทบจะไม่อยู่ ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
ภาพในสำนึกสุดท้ายคือใบหน้าของธศิญา…
กว่าสัปดาห์ที่ไม่สามารถติดต่อชลันธรได้ และจนถึงเช้าวันนี้หญิงสาวก็ยังไม่ติดต่อมา ทำให้ชลธิศและมาริณกังวลหนักกว่าเดิม ช่วงที่ผ่านมาชายหนุ่มโทรศัพท์หาปริญญ์ ไตร และเพื่อนของน้องสาวหลายคน แต่ทุกคนก็ล้วนบอกว่าชลันธรไม่ได้อยู่กับตน นั่นทำให้ชลธิศและมาริณร้อนรนใจมากขึ้นหลายเท่า ยังดีที่ทุกคนรับปากว่าจะช่วยติดต่อหาชลันธรอีกแรง
“มีใครที่เรายังไม่โทร.หาอีกไหมนะ” ชายหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วงเมื่อวางสายจากเพื่อนของน้องสาวและได้รับคำตอบว่าไม่ได้เจอชลันธรเหมือนกับหลายสายก่อนหน้า
“เพื่อนของคุณลันที่เรารู้จักก็มีแค่นี้ละค่ะ” มาริณวางมือลงบนไหล่สามีอย่างให้กำลังใจ
ขณะนั้นเสียงของใครคนหนึ่งก็แว่วมาเข้าหูมาริณ ‘มีน’
หญิงสาวจำเสียงนั้นได้แม่นยำ คิ้วเรียวเลิกสูงขึ้น ก่อนส่งเสียงถามกลับในใจ ‘มีอะไรคะลุง’
‘มาหลังบ้านได้ไหม ฉันมีเรื่องจะบอก’
ได้ยินดังนั้น มาริณจึงบอกชลธิศ “คุณเชนคะ มีนขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะคะ”
เมื่อผู้เป็นสามีพยักหน้าตอบรับ หญิงสาวก็รีบเดินมายังหลังบ้าน ก่อนจะพบชายหนุ่มหน้าคม ผิวสีแทนจัด ผมถักเป็นเดร็ดล็อกส์ยืนยิ้มกว้างรออยู่ ซึ่งปกติเขาก็ผลุบๆโผล่ๆมาได้แบบนี้จนไม่น่าแปลกใจแล้ว
“มีอะไรคะลุงมิตร” มาริณเอ่ยถามชายหนุ่มที่ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเรียกว่าพี่มากกว่าลุง
หญิงสาวบังเอิญรู้จักเขาตอนรถเสียระหว่างเดินทางไปทำข่าวแถวสาทร วันนั้นมิตรขับรถผ่านมาพอดีและได้ลงมาช่วยซ่อมรถจนใช้งานได้ มาริณจึงอาสาเลี้ยงข้าวเขาเป็นการตอบแทน น่าแปลกเหมือนกันที่เธอรู้สึกผูกพันกับมิตรอย่างประหลาดแม้จะเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก และยิ่งได้มีโอกาสคุยกันก็ยิ่งถูกคอ อาจเป็นเพราะบุคลิกเฮ้วๆกวนๆของเขาที่ทำให้เธอหัวเราะได้บ่อยครั้ง ด้วยความที่คุยกันถูกอัธยาศัย มาริณจึงติดต่อกับมิตรเรื่อยมา และได้ทราบว่าเขาเองก็เป็นพวกที่มีพลังอำนาจพิเศษเช่นกัน และอาจมากกว่าเธอด้วยซ้ำ
เมื่อคุยถึงเรื่องอัญมณีที่สะสม มาริณก็ได้ทราบว่ามิตรทำร้านขายอัญมณีชื่อร้านกาลเวลาซึ่งเขาบอกว่าถ้าพร้อมให้ไปเมื่อไหร่จะพาไปเอง อาจเป็นเพราะเขาและเธอมีหลายอย่างคล้ายกันนี่ละ ทำให้เข้ากันได้เป็นอย่างดี
ชลธิศเคยเจอชายหนุ่มสองสามครั้งแล้ว ถ้าเป็นคนอื่น สามีของเธอคงจะหึง แต่น่าแปลกที่กับมิตร เขากลับไม่ว่าอะไร ซึ่งจริงๆก็สมควรที่ชลธิศจะไม่หึง เพราะมิตรไม่ได้แสดงท่าทีกับเธอไปในด้านชู้สาว ทำให้มาริณคบกับเขาในฐานะรุ่นพี่ได้อย่างสนิทใจ และด้วยอีกฝ่ายชอบสอนเธอที่เป็นคนใจร้อนอยู่บ่อยๆ จากตอนแรกเรียกพี่มิตรก็เปลี่ยนเป็นลุงมิตรไปโดยปริยาย
‘ทำไมถึงเรียกคุณมิตรว่าลุงล่ะ’ ชลธิศเคยถามหญิงสาวระหว่างรับประทานอาหารกับมิตรซึ่งผ่านมาแถวจันทบุรีและแวะมาเยี่ยมมาริณ
‘อืม เป็นที่เสียงของลุงมิตรมั้ง เวลาคุยกันรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็ก ถ้าฉันมีโอกาสโตมากับพ่อ คิดว่าพ่อฉันก็คงให้ความรู้สึกคล้ายๆตอนอยู่กับคนอย่างลุงมิตรนี่แหละ’ เธอตอบสามีและหันไปมองชายหนุ่มเจ้าของผมเดร็ดล็อกส์ที่นั่งยิ้มอยู่ ‘อันนี้สารภาพครั้งแรกนะคะ ว่านอกจากเรียกเล่นๆว่าลุงแล้ว มีนยังรู้สึกว่าลุงมิตรเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่จริงๆ’
มิตรพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอ่ยกับสามีของมาริณ ‘ดูแลหลานสาวผมให้ดีๆนะครับ คุณชลธิศ’ แววตานั้นเหมือนมีความลับที่เจ้าตัวรู้คนเดียว แต่หญิงสาวก็ขี้เกียจจะถาม เพราะรู้ว่ายิ่งอยากรู้ อีกฝ่ายมักจะเลี่ยงไม่ตอบทุกที แถมยังอาจจะโดนกวนกลับอีก
‘ผมจะดูแลหลานของลุงมิตรไปจนวันสุดท้ายของชีวิตเลยละครับ’ สามีของเธอยังมิวายรับมุก จากนั้นจึงสนทนากันต่ออย่างเพลิดเพลิน
“ว่าไงคะลุงมิตร มีเรื่องอะไร” มาริณถามอีกครั้งเมื่ออีกฝ่ายยังไม่ตอบ
“มีเรื่องสำคัญมาบอก” มิตรตอบคำถามด้วยใบหน้าเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน
“สำคัญจริงเหรอคะ” มาริณเขม้นมองชายหนุ่มอย่างจับผิด สำหรับเธอตอนนี้เรื่องอะไรก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องชลันธร
“เรื่องชลันธร”
“คะ?” หญิงสาวขมวดคิ้วเรียวเข้าหากัน ทั้งงุนงงและตกใจที่มิตรพูดราวกับรู้ความคิดของเธอ
“ก็เธอกับสามีกำลังกลุ้มใจเรื่องชลันธรกันอยู่ไม่ใช่รึ” เจ้าของผมเดร็ดล็อกส์ยกมือขึ้นมากอดอกพลางยิ้มมีเลศนัย
“ค่ะ แล้วเรื่องสำคัญของลุงมิตรเกี่ยวกับคุณลันเหรอคะ”
“ใช่” มิตรหัวเราะหึๆ เขาเคยเห็นภาพชลันธรจากอัลบั้มงานแต่งงานที่มาริณเอามาให้ดู และก็รู้ทันทีว่าพบคนที่ตามหามานานแล้ว!
เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำลีลาไม่ยอมปริปาก มาริณก็ขอร้องแกมขู่ “ลุงมิตรรู้อะไรคะ รีบบอกมานะ ไม่งั้นมีนจะอธิษฐานขอให้ลุงมิตรไม่สมหวังกับผู้หญิงคนนั้น”
“ผู้หญิงคนไหน รู้มากจริงหลานคนนี้ อยากโดนตีหรือไง” มิตรเอ่ยเสียงดุ แต่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ ไม่ยักกะรู้ว่าแม่นี่จะประสาทไวถึงกับสังเกตได้ตอนไหน ถึงอาการเผลอคิดถึงใครบางคนของเขา
มาริณเองคงไม่รู้ว่าแท้ที่จริงเธอก็คือหลานสาวแท้ๆของเขานั่นละ เพราะเขาคือมิตร เมห์ฮรา ลูกชายคนแรกของย่าเธอ ตอนแรกมิตรก็คิดจะบอกว่าตัวเองเป็นใคร แต่ไปๆมาๆรู้สึกสนุกกับการคบหากันแบบนี้ซึ่งเหมือนได้แอบมาดูหลานตัวเอง ก่อนจะมีการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการพร้อมหน้ากันในอนาคต เขาจึงปิดบังสถานะตัวเองต่อไป
“คิดเหรอว่ามีนจะกลัว ลุงมิตรไม่กล้าลงโทษมีนร้อก” เธอยิ้มกว้างทำตาแป๋ว
“ก๋ากั่นจริงๆ” ชายหนุ่มส่ายหน้าไปมา
“ลุงมิตร บอกมาเถอะน้า อยากรู้จนใจจะขาดแล้วเนี่ย” มาริณใช้ไม้อ่อนบ้างและคราวนี้ได้ผล
“บอกก็ได้ๆ”
“เร็วเลยค่ะ” หญิงสาวเร่ง ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ
“ก็…แค่จะมาบอกว่าไม่ต้องห่วงชลันธร เธอปลอดภัยดี ไปละนะ” มิตรเตรียมจะโบกมือลา แต่มาริณรีบคว้าแขนเอาไว้
“เดี๋ยวสิคะ อะไรจะมาไวไปไวแบบนี้ เล่ามาให้ละเอียดเลยค่ะ ไม่งั้นไม่ปล่อย” หญิงสาวมองอย่างคาดคั้น
“วุ้ย หลานคนนี้นี่ สงสัยชะตาฉันจะไม่ถูกกับคนอายุน้อยกว่า อยู่ร้านก็โดนเด็กบ่น มานี่ก็โดนเด็กขู่” เจ้าของร้านกาลเวลาบ่นอย่างไม่จริงจังนัก
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องนะ” มาริณว่าก่อนจะเร่งอีกรอบ “เล่าเรื่องคุณลันมาได้แล้วค่ะ มีนมานานเกินไปเดี๋ยวคุณเชนจะสงสัย”
“อย่างที่บอกไง ชลันธรปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะมาบอกแค่นี้จริงๆ” เจ้าของใบหน้ากวนๆง่วงๆตอบเสียงเรียบเรื่อย
“ไม่เอา เล่ามาให้หมดเลย ไม่งั้นมีนโกรธนะ” หญิงสาวทำหน้างอตาคว่ำ จับแขนลุงแน่นกว่าเดิม
มิตรส่ายหน้าไปมา เห็นทีคงจะหลบเลี่ยงยาก ท้ายที่สุดชายหนุ่มจึงต้องเล่า “ชลันธรกำลังทำภารกิจสำคัญอยู่ เธอเป็นคนที่ลุงตามหามานาน ตอนนี้ชลันธรอยู่ประเทศภูทิวาที่ตั้งอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ลุงดูแล้วยังไม่มีอะไรน่าห่วง”
“ภารกิจอะไรคะ ทำไมลุงต้องเลือกคุณลัน แล้วถึงตอนนี้จะปลอดภัย แต่อนาคตลุงแน่ใจได้ยังไงว่าคุณลันจะไม่มีอันตราย” มาริณถามเป็นชุด
“มีน บางอย่างเราควบคุมได้ แต่บางอย่างก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามที่โชคชะตากำหนด ยังไงลุงจะพยายามช่วยดูแลชลันธรให้มากที่สุด” มิตรบอกเพื่อให้หญิงสาวสบายใจ ที่บอกว่ามากที่สุด เพราะเขาเองก็ไม่สามารถปรากฎตัวได้ทุกครั้งที่ชลันธรมีอันตราย
“ตกลงภารกิจนั้นคืออะไรคะ แล้วภารกิจจะเสร็จเมื่อไหร่” มาริณยังไม่หายข้องใจ
“เป็นคำถามที่ตอบไม่ได้อีกแล้ว”
“ลุงมิตรน่ะ ทำอะไรไม่บอกมีนก่อนเลย”
“ขืนบอกจะให้ทำรึ” มิตรบ่นเบาๆ ก่อนจะยิ้มกว้าง “เอาน่า ทำใจให้สบายๆนะ บอกชลธิศว่าน้องสาวเขาไปเขียนนิยายที่ต่างจังหวัดก็ได้ เดี๋ยวไม่นานก็กลับมา ลุงจะมาเล่าเป็นระยะๆแล้วกันว่าชลันธรเป็นยังไงบ้าง”
“แต่มันแปลกนะคะที่ติดต่อคุณลันไม่ได้ ยังไงคุณเชนก็ต้องสงสัย”
“เรื่องนั้นลุงมีวิธี แต่ตอนนี้ต้องไปจริงๆแล้วละ ทิ้งร้านมานาน เดี๋ยวยายเด็กชื่ออัคนีมายาจะบ่นมากกว่าเดิม ปกติก็ชอบบ่นอยู่แล้ว”
“ลุงมิตรต้องมาเล่าเรื่องคุณลันจริงๆนะ”
“สัญญา”
มาริณจนใจที่จะรั้งมิตรไว้เพื่อซักไซ้ เพราะรู้ดีว่าไม่อาจขัดชายหนุ่มได้ สุดท้ายจึงยอมปล่อยแขนเขาทั้งที่ยังไม่สบายใจนัก ก่อนจะเดินกลับเข้ามาในห้องนั่งเล่นชั้นหนึ่งของบ้าน
ขณะนั้นเสียงเตือนข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือของชลธิศก็ดังขึ้น ชายหนุ่มรีบคว้ามาและเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายดีใจ หันมาบอกมาริณด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ลันส่งข้อความมาแล้ว”
แทนที่จะยิ้ม มาริณกลับขมวดคิ้วงุนงง แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของมิตรที่บอกว่ามีวิธีทำให้ชลธิศไม่สงสัย หญิงสาวก็เข้าใจทุกอย่าง
วางแผนเก่งนักนะลุงมิตร แต่ผลของแผนการจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ ถ้าเกิดชลันธรเป็นอะไรขึ้นมา ใครจะรับผิดชอบเนี่ย!
--------------------------------------------------------------------------------------
ตามไปพูดคุยกันได้ที่เพจ "บุลินทร" นะครับ และตอนนี้ปกชุดอัญมณีเหนือกาลก็เผยโฉมออกมาให้เห็นแวบๆแล้ว ตามไปชมได้ที่เพจของพวกเราเช่นกันครับ
บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ธ.ค. 2556, 12:47:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 ธ.ค. 2556, 21:15:05 น.
จำนวนการเข้าชม : 1435
<< บทที่ 6 หนี | บทที่ 8 ความบังเอิญหรือพรหมลิขิต >> |
ริญจน์ธร 3 ธ.ค. 2556, 12:49:06 น.
มาแล้วๆ วันนี้สามพี่น้องมาพร้อมกัน
มาแล้วๆ วันนี้สามพี่น้องมาพร้อมกัน
ketza 3 ธ.ค. 2556, 12:50:10 น.
ตามมาแว้ววววววววววววววววววว >////////<
ตามมาแว้ววววววววววววววววววว >////////<
อสิตา 3 ธ.ค. 2556, 12:50:17 น.
หมูสามตัว
หมูสามตัว
บุลินทร 3 ธ.ค. 2556, 12:57:53 น.
คุณเกตซ่าไวมากกกกก ฮ่าๆๆๆ ยังไม่ได้ตอบคอมเมนต์เบย
คุณเกตซ่าไวมากกกกก ฮ่าๆๆๆ ยังไม่ได้ตอบคอมเมนต์เบย
ดวงมาลย์ 3 ธ.ค. 2556, 12:59:34 น.
มาจิ้มๆๆๆๆๆ
มาจิ้มๆๆๆๆๆ
บุลินทร 3 ธ.ค. 2556, 13:11:15 น.
คุณ อสิตา
คนเขียนก็แสยะบ่อยเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ
คุณ Zephyr
อะไรกานนนนน กรีดร้องซะยาวเลย แค่ให้เป็นเอยาของวิโอมาร วิโออัคนิเค้ามีคู่แล้ว มีลูกแล้วด้วย วิโออัคราไม่รู้ว่างมั้ย ฮ่าๆๆๆ ว่าแต่มันภาษาภูทิวาจริงๆด้วยอะ ทำไมคนเขียนสับสนเองเนี่ย เอลลาเฟอร์ต้องไปสู้กับเอลลาสิตาราเพื่อแย่งตามาร เอ๊ะ หรือแย่งผลักไสตามาร มาฟินกับชวาลีกับธศิญากันต่อ อย่าอ่านชวาลานะ ฮ่าๆๆ ตอนจบน้ำเดือดมาเอง กรี๊ดดดมาเลย
คุณ ริญจน์ธร
คราวนี้มาเร็วแล้วนะะะ พี่มูนแหละช้า เฟอร์คลั่งจริงๆ ฮ่าๆๆๆ
คุณ lovemuay
ใช่ครับ ถึงขนาดยอมละทิ้งหน้าที่เพื่อหาหนีเบย แต่ว่าคู่นี้จะเป็นยังไงต่อต้องติดตามครับ
คุณ ดวงมาลย์
มาต่อแว้ววว เจอ...นั่นเอง ฮ่าๆๆๆ
คุณ konhin
มาเอาใช่วยความรักของคู่นี้กันต่อนะครับ
คุณ ใบบัวน่ารัก
ฮ่าๆๆๆ มีช่วยกรี๊ดด้วย ตอนท้ายถูกจับไปจริงหรือเปล่าน้าาา รอลุ้นกันนะครับ
คุณ nako
ตอนที่แล้วเฉลยแล้ว ตอนใหม่ก็มีให้ตามต่ออีกครับ อิอิ
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ
ไม่ช่ายผีนะ ฮ่าๆๆ แต่ว่าเป็น... เรื่องนี้จะมีผีมั้ยรอดูกันครับ
คุณ goldensun
ยังฝันต่อครับ แต่ว่าจะฝันไปถึงตอนไหนอันนี้ต้องรอลุ้นกันครับ รวมถึงความรักของลูกสาวผู้ว่าการกับองครักษ์หนุ่มด้วย
คุณ อสิตา
คนเขียนก็แสยะบ่อยเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆ
คุณ Zephyr
อะไรกานนนนน กรีดร้องซะยาวเลย แค่ให้เป็นเอยาของวิโอมาร วิโออัคนิเค้ามีคู่แล้ว มีลูกแล้วด้วย วิโออัคราไม่รู้ว่างมั้ย ฮ่าๆๆๆ ว่าแต่มันภาษาภูทิวาจริงๆด้วยอะ ทำไมคนเขียนสับสนเองเนี่ย เอลลาเฟอร์ต้องไปสู้กับเอลลาสิตาราเพื่อแย่งตามาร เอ๊ะ หรือแย่งผลักไสตามาร มาฟินกับชวาลีกับธศิญากันต่อ อย่าอ่านชวาลานะ ฮ่าๆๆ ตอนจบน้ำเดือดมาเอง กรี๊ดดดมาเลย
คุณ ริญจน์ธร
คราวนี้มาเร็วแล้วนะะะ พี่มูนแหละช้า เฟอร์คลั่งจริงๆ ฮ่าๆๆๆ
คุณ lovemuay
ใช่ครับ ถึงขนาดยอมละทิ้งหน้าที่เพื่อหาหนีเบย แต่ว่าคู่นี้จะเป็นยังไงต่อต้องติดตามครับ
คุณ ดวงมาลย์
มาต่อแว้ววว เจอ...นั่นเอง ฮ่าๆๆๆ
คุณ konhin
มาเอาใช่วยความรักของคู่นี้กันต่อนะครับ
คุณ ใบบัวน่ารัก
ฮ่าๆๆๆ มีช่วยกรี๊ดด้วย ตอนท้ายถูกจับไปจริงหรือเปล่าน้าาา รอลุ้นกันนะครับ
คุณ nako
ตอนที่แล้วเฉลยแล้ว ตอนใหม่ก็มีให้ตามต่ออีกครับ อิอิ
คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ
ไม่ช่ายผีนะ ฮ่าๆๆ แต่ว่าเป็น... เรื่องนี้จะมีผีมั้ยรอดูกันครับ
คุณ goldensun
ยังฝันต่อครับ แต่ว่าจะฝันไปถึงตอนไหนอันนี้ต้องรอลุ้นกันครับ รวมถึงความรักของลูกสาวผู้ว่าการกับองครักษ์หนุ่มด้วย
ketza 3 ธ.ค. 2556, 13:54:07 น.
ลุงมิตรโดนเด็กสาวๆดุตลอดเลย ...........ยังดีนะลุงมิตรจิตใจดีรักเด็ก(มั้ง) 55..
.....ชวาลี........ม่ายยยน๊าาาาาา
ลุงมิตรโดนเด็กสาวๆดุตลอดเลย ...........ยังดีนะลุงมิตรจิตใจดีรักเด็ก(มั้ง) 55..
.....ชวาลี........ม่ายยยน๊าาาาาา
นักอ่านเหนียวหนึบ 3 ธ.ค. 2556, 19:43:40 น.
ขอสารภาพ....แอบหลงรักลุงมิตรอ่ะ ฮีเป็นยิ่งกว่าพระเอกอีกอ่ะ ดูเหมือนฮีจะมีบทเด่นกว่าพระเอกทั้งสามเรื่องเลยนะ
ตาชลาวาโดนลูกดอกอาบยาพิษรึเปล่านะ แล้วใครเป็นคนยิง คนนอกจะเข้ามาได้ง่ายๆ เลยเหรอ เอ๊ะ หรือคนในเป็นคนทำ
ตามๆๆๆ
ขอสารภาพ....แอบหลงรักลุงมิตรอ่ะ ฮีเป็นยิ่งกว่าพระเอกอีกอ่ะ ดูเหมือนฮีจะมีบทเด่นกว่าพระเอกทั้งสามเรื่องเลยนะ
ตาชลาวาโดนลูกดอกอาบยาพิษรึเปล่านะ แล้วใครเป็นคนยิง คนนอกจะเข้ามาได้ง่ายๆ เลยเหรอ เอ๊ะ หรือคนในเป็นคนทำ
ตามๆๆๆ
Zephyr 3 ธ.ค. 2556, 20:56:44 น.
เห็นมะ มีคนพิมพ์ผิดเหมือนเค้า
ตะเองตั้งชื่อใกล้เคียงชวาลาเองนี่ เค้าไม่ผิด
เค้าจะเรียกชวาลีว่าชวาลา ชลาวา ชลาวี เฮ้ยยยย มั่ว ชวาลีก็อ ชวาลี
ธศิญา อุตส่าห์ทอดสะพานและให้โอกาส แต่ดันไม่เดินข้ามไป โฮๆๆๆๆๆ
ลุงมิตรมาโผล่แย่งซีนอ่า มาแว้บๆๆๆ แถม ใช้เอสเอมเอสเป็นด้วยอ่ะ
เอ รึลุงเล่นไลน์ส่งมาให้ตาพี่เชนนะ
แล้วลันละไปไหนละ
ทำไมชวาลาโดนยิงอ่า ใครทำ
เห็นมะ มีคนพิมพ์ผิดเหมือนเค้า
ตะเองตั้งชื่อใกล้เคียงชวาลาเองนี่ เค้าไม่ผิด
เค้าจะเรียกชวาลีว่าชวาลา ชลาวา ชลาวี เฮ้ยยยย มั่ว ชวาลีก็อ ชวาลี
ธศิญา อุตส่าห์ทอดสะพานและให้โอกาส แต่ดันไม่เดินข้ามไป โฮๆๆๆๆๆ
ลุงมิตรมาโผล่แย่งซีนอ่า มาแว้บๆๆๆ แถม ใช้เอสเอมเอสเป็นด้วยอ่ะ
เอ รึลุงเล่นไลน์ส่งมาให้ตาพี่เชนนะ
แล้วลันละไปไหนละ
ทำไมชวาลาโดนยิงอ่า ใครทำ
เพียงพลอย 3 ธ.ค. 2556, 21:14:15 น.
"ให้จิณลีพักกับอาโนนะ ส่วนธศิญาพักกับเลไอ" ตรงนี้ต้องเป็น ชวาลา ... เอ่อ ชวาลี รึเปล่าคะ
ตามมาเรื่อยๆ ค่ะ
"ให้จิณลีพักกับอาโนนะ ส่วนธศิญาพักกับเลไอ" ตรงนี้ต้องเป็น ชวาลา ... เอ่อ ชวาลี รึเปล่าคะ
ตามมาเรื่อยๆ ค่ะ
konhin 3 ธ.ค. 2556, 21:23:55 น.
ว่าแต่เมื่อไหร่นางเอกจะได้เจอธศิญา
ว่าแต่เมื่อไหร่นางเอกจะได้เจอธศิญา
goldensun 3 ธ.ค. 2556, 21:34:06 น.
ชวาลีกลายเป็นจิณลีซะแล้ว แถมโดนลูกดอกอาบยาของใครส่องกัน กลางหมู่บ้านซะด้วย
ญาติเยอะจริงๆ เมห์ฮรา แถมพันกันให้ยุ่ง อัคนีมายาก็หลานมีนนี่นา แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับมิตรถ้านับทางพ่อ ถ้านับทางแม่ก็กลายเป็นหลานตา มึนจริงๆ มีนนี่ช่างสังเกต จับความลับลุงมิตรได้ด้วย
ชวาลีกับธศิญาจะได้หน้ากากช่วยพรางตัวรึเปล่า
ชวาลีกลายเป็นจิณลีซะแล้ว แถมโดนลูกดอกอาบยาของใครส่องกัน กลางหมู่บ้านซะด้วย
ญาติเยอะจริงๆ เมห์ฮรา แถมพันกันให้ยุ่ง อัคนีมายาก็หลานมีนนี่นา แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับมิตรถ้านับทางพ่อ ถ้านับทางแม่ก็กลายเป็นหลานตา มึนจริงๆ มีนนี่ช่างสังเกต จับความลับลุงมิตรได้ด้วย
ชวาลีกับธศิญาจะได้หน้ากากช่วยพรางตัวรึเปล่า
patok 3 ธ.ค. 2556, 21:40:31 น.
กำ ตอนแรกจิ้นว่ามิตรเมห์ฮราจะหล่อและหนุ่มนะเนี่ย
กำ ตอนแรกจิ้นว่ามิตรเมห์ฮราจะหล่อและหนุ่มนะเนี่ย
lovemuay 3 ธ.ค. 2556, 21:48:41 น.
ฮ่าๆๆ นึกว่ามิตรเป็นหนุ่มหล่อมาตลอดเลยนะคะเนี่ย
ฮ่าๆๆ นึกว่ามิตรเป็นหนุ่มหล่อมาตลอดเลยนะคะเนี่ย
อสิตา 3 ธ.ค. 2556, 22:05:40 น.
มิตรหล่อนะค้าาาาาาาา หน้าตาราว 30 เองงงง กินยาอัพหล่อมาตลอด
แค่เซอร์ พผมเดร็กล็อกส์ มีเคราเล็กน้อยพองาม
มิตรหล่อนะค้าาาาาาาา หน้าตาราว 30 เองงงง กินยาอัพหล่อมาตลอด
แค่เซอร์ พผมเดร็กล็อกส์ มีเคราเล็กน้อยพองาม
บุลินทร 3 ธ.ค. 2556, 22:48:32 น.
เข้ามายืนยันอีกคน ลุงมิตรยังไม่แก่นะครับ เป็นลุงที่หนุ่มมากกกก ฮ่าๆๆ
ขอบคุณคุณเพียงพลอยและคุณ goldensun สำหรับคำผิดนะครับ แก้ไขเรียบร้อยแล้วครับ
เข้ามายืนยันอีกคน ลุงมิตรยังไม่แก่นะครับ เป็นลุงที่หนุ่มมากกกก ฮ่าๆๆ
ขอบคุณคุณเพียงพลอยและคุณ goldensun สำหรับคำผิดนะครับ แก้ไขเรียบร้อยแล้วครับ
Zephyr 3 ธ.ค. 2556, 23:12:05 น.
ใครว่ากินยาอัพหล่อ นอนอัพหล่อมากกว่า
ยิ่งนอนมากก็ยิ่งเด็กสินะ ไม่ต้องใช้พลังงานและความคิด ไม่เครียดก็ไม่แก่
ฮุฮุ ให้อัคน้อยนอนมากๆนะ มะม้า จะได้เด็กกว่ายายมิ้งค์ พอถึงเวลาอันสมควร ยายมิ้งค์ไปก่อน เฟอร์จะโฉบเสือส้มๆๆๆๆ หุหุ
โฮะๆๆๆๆๆๆ
ใครว่ากินยาอัพหล่อ นอนอัพหล่อมากกว่า
ยิ่งนอนมากก็ยิ่งเด็กสินะ ไม่ต้องใช้พลังงานและความคิด ไม่เครียดก็ไม่แก่
ฮุฮุ ให้อัคน้อยนอนมากๆนะ มะม้า จะได้เด็กกว่ายายมิ้งค์ พอถึงเวลาอันสมควร ยายมิ้งค์ไปก่อน เฟอร์จะโฉบเสือส้มๆๆๆๆ หุหุ
โฮะๆๆๆๆๆๆ