ม่านทิวาพชร {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

Tags: โมรารัตติกาล มรกตสนธยา มนตรามุกจันทรา มายาไฟในดวงตา ม่านธาราเร้นดาว อัญมณีเหนือกาล มนตราอัญมณี

ตอน: บทที่ 9 ทวงคืน


ทวงคืน





จิณลีช่วยประคองชลันธรออกจากห้องน้ำมายังห้องนั่งเล่น หลังจากหญิงสาวอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ บนโต๊ะรับแขกเวลานี้มีถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวบรรจุซุปข้าวโพดสีเหลืองนวลควันลอยกรุ่นวางอยู่หนึ่งถ้วย

“ทานให้หมดนะเอลลา ผมขอตัวไปอาบน้ำครู่เดียว” เขาบอกเมื่อประคองเธอนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เรียบร้อยแล้ว

“ค่ะ” ชลันธรยิ้มรับคำ และขณะที่จิณลีกำลังจะเดินออกไปจากห้องนั่งเล่นนั้นเอง หญิงสาวก็เรียกเขาเอาไว้ “เดี๋ยวค่ะ”

เจ้าของแผ่นหลังหนาหันกลับมาพร้อมเลิกคิ้วเข้มขึ้นเป็นเชิงถาม

“ขอบคุณอีกครั้งนะคะสำหรับวันนี้” หญิงสาวเอ่ยอย่างซาบซึ้งใจ

ดวงตาคมเรียวสีน้ำตาลเข้มที่ล้อมรอบด้วยแพขนตาหนาสวยเปล่งประกายล้ำลึก ก่อนที่เสียงนุ่มจะเอ่ยขึ้น “ถ้าเป็นคุณ ผมยินดีเสมอครับ” จิณลีส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ ก่อนหันหลังเดินลับไป ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำให้หัวใจดวงน้อยๆของคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าโต๊ะรับแขกไหวหวั่น



แม้ตอนแรกจิณลีบอกว่าจะให้พี่สาวเอาสมุนไพรมาประคบข้อเท้าให้ แต่หลังจากอาบน้ำเสร็จก็เป็นชายหนุ่มทำหน้าที่คุณหมอจำเป็น

เขาจับเท้าของชลันธรมาวางลงบนตัก ขณะตนเองนั่งอยู่บนพื้นและใช้ลูกประคบสมุนไพรอุ่นๆประคบลงบนข้อเท้าอย่างเบามือ ดวงตาคมตวัดขึ้นมองเธอเป็นระยะๆและถามพร้อมยิ้มอ่อนโยน

“รู้สึกดีขึ้นไหมครับ”

“ค่ะ แต่ที่จริงให้ฉันทำเองก็ได้นะคะ” หญิงสาวบอก หลังจากก่อนหน้านั้นบอกไปแล้วสองครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ฟัง

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกรงใจ อีกอย่างผมมีส่วนทำให้คุณเจ็บ เพราะงั้นให้ผมช่วยดูแลคุณเพื่อเป็นการชดใช้นะครับ” ดวงตาคมสีเข้มมองอย่างวิงวอน

ชลันธรส่ายหน้าไปมาพลางยิ้มบางๆ ก่อนบอก “งั้นวันนี้ฉันยอมคุณก็ได้ แต่พรุ่งนี้ไม่ต้องแล้วนะคะ”

“คุณยอมผม?” ใบหน้าคมมีรอยยั่วแหย่

“ยอมให้ดูแลค่ะ” หญิงสาวแกล้งทำตาดุใส่

“ผมก็ยังไม่ได้คิดอะไรสักหน่อยนะเอลลา” จิณลีทำหน้าซื่อตาใส

“ขอให้จริงเถอะค่ะ”

เขายิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินน้ำเสียงเข้มและเห็นตาวาวๆของเธอที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ ทั้งสองคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อย แล้วจู่ๆจิณลีก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้หยุดเสียก่อน

“คะ?” ชลันธรมองเขาอย่างงุนงงนิดๆ ชายหนุ่มก้มหน้าลงและหลับตา คิ้วหนาแทบจะจรดกัน ดูเหมือนกำลังใช้สมาธิกับอะไรสักอย่าง ไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นบอก

“ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีธุระสำคัญ ต้องขอตัวก่อนนะครับ” เขาเอ่ยพร้อมลุกขึ้นยืน

“ค่ะ ตามสบาย” หญิงสาวบอกอย่างเข้าใจ

“ระหว่างที่ผมไม่อยู่ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ เรียกพี่มิราได้นะครับ” เมื่อชลันธรพยักหน้ารับคำ จิณลีจึงหันหลังเดินออกจากห้องรับแขกไป



ย่างเข้าสู่ปลายสัปดาห์ที่สามที่ชลันธรมาอยู่ในภูทิวา จิณลียังคงพาหญิงสาวไปยังจุดที่เธอและเขาเจอกันครั้งแรกเพื่อพยายามค้นหาประตูลับที่จะพาชลันธรกลับสู่ถิ่นที่เธอจากมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบว่ามีประตูพิเศษใดๆซ่อนอยู่บริเวณนั้น

วันต่อมา ชายหนุ่มจึงตัดสินใจพาชลันธรมายังร้านขายรูปซึ่งเขาส่งภาพมาขายประจำ เพราะไม่อยากให้หญิงสาวหมกมุ่นและเครียดกับการที่ยังหาทางกลับบ้านไม่ได้มากเกินไป ดังนั้นการมาเปิดหูเปิดตาข้างนอกสักวัน น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

“อยากฟังเรื่องลึกลับหรือเปล่าครับ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของคนถามเป็นประกายพราวระยับ

“คุณจะเล่าเรื่องผีเหรอคะ” หญิงสาวมองเจ้าของผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อนที่หวีเสยไปด้านหลัง เผยใบหน้าคมเช่นทุกวัน

“ไม่ใช่เรื่องผีครับ เรื่องน้ำตกต่างหาก”

“น้ำตกลึกลับ?”

“ใช่แล้วเอลลา ที่ประเทศภูทิวามีน้ำตกลึกลับอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อน้ำตกดับทิวา” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงต่ำ

“เป็นยังไงเหรอคะ” ชลันธรถามด้วยความสนใจ

จิณลีเล่าให้เธอฟังระหว่างทางว่า น้ำตกดับทิวาเป็นน้ำตกสีดำสูงกว่าสี่กิโลเมตร ตั้งอยู่ในป่าลึกบริเวณชายแดนของเขตราศิซึ่งไม่ค่อยมีใครเข้าถึง ว่ากันว่าเมื่อเข้าสู่เขตน้ำตกแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีแสงสว่างมากมายเพียงใด ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นความมืดทันที เป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ความงดงามที่ผสานความน่าสะพรึงทำให้หลายคนที่ชอบความท้าทายอยากเข้าไปสัมผัส ทว่าแทบทุกคนเข้าไปแล้วไม่สามารถกลับออกมาได้อีก มีคนคนหนึ่งกลับมาพร้อมกับสมบัติมากมาย ซึ่งมีการบอกเล่าปากต่อปากว่าที่นั่นเป็นที่ซ่อนสมบัติในสมัยโบราณ

ไม่มีใครรู้ว่าตนเองจะอยู่ในกลุ่มแรกหรือกลุ่มหลัง การตัดสินใจเข้าไปยังน้ำตกดับทิวาเท่ากับแขวนชีวิตไว้บนเส้นด้าย ในตอนแรกมีหลายคนยอมเสี่ยงเพื่อความร่ำรวย แต่ต่างไม่มีชีวิตรอดกลับออกมาอีก คนที่อยากจะเข้าไปค้นหาสมบัติจึงน้อยลงเรื่อยๆในปัจจุบัน

“น่ากลัวจังเลยนะคะ” ชลันธรขนลุกวาบเมื่อฟังจบ “ถึงจะมีโอกาสได้สมบัติออกมา แต่ยังไงฉันก็ไม่ไปที่นั่นหรอก”

“แต่ผมกลับอยากรู้ว่าในน้ำตกดับทิวามีอะไรซ่อนอยู่กันแน่” จิณลีเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง

“ท่าทางคุณชอบความท้าทายนะคะเนี่ย แล้วถ้าไม่ได้กลับออกมาอีกล่ะ”

“นั่นสิ ถ้าผมไม่ได้กลับออกมาอีก คุณจะเสียใจไหมเอลลา” ดวงตาสีเข้มจ้องมองมาด้วยความอยากรู้

“ไม่เสียใจค่ะ เพราะฉันไม่ให้คุณไป จนกว่าจะช่วยให้ฉันกลับบ้านได้”

“โธ่ นึกว่าห่วงผมเสียอีก” เขาทำเสียงตัดพ้อ

“คุณอยากไปเองนี่คะ” ชลันธรทำท่าไม่ใส่ใจ

“ผมเปลี่ยนใจไม่ไปแล้วก็ได้ กลัวจะไม่ได้เห็นหน้าคุณอีก” เขาเอ่ยคล้ายไม่จริงจัง ทว่าแววตาคู่คมเปล่งประกายลึกซึ้ง

หัวใจดวงน้อยแอบไหวหวั่นเล็กๆ แต่ก็บอกตัวเองว่าเขาคงแกล้งเย้าแหย่เธอเล่นมากกว่า

เวลาต่อมา รถเก๋งสีครีมของจิณลีก็เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าอาคารคอนกรีตสองชั้นสีขาวหลังคาทรงโค้ง ดูเรียบง่ายทว่าร่วมสมัยและแข็งแกร่งอยู่ในที โดยรวมดูคล้ายสถาปัตยกรรมแบบโรมันในโลกของชลันธร

เมื่อเข้ามาถึงภายในร้านขายรูปที่ตกแต่งด้วยโทนสีสว่าง ชายหนุ่มก็เอ่ยทักทายรติ เจ้าของร้านหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับเขาด้วยความสนิทสนม

“วิโอ ฉันมีคนมาแนะนำให้รู้จัก นี่ชลันธร เอยา…” เมื่อเห็นสายตาเขียวๆของหญิงสาว จิณลีจึงต้องรีบเปลี่ยนคำพูด “เอลลาของฉันเอง”

“คุณจิณลี” ชลันธรเอ็ดเบาๆ ขนาดเธอขู่แล้ว เขาก็ยังไม่วายเรียกเธอว่าสาวน้อยต่อหน้าเพื่อนอีก

“ตกลงเอยาหรือเอลลา” รติเลิกคิ้วขึ้น เขาเป็นชายหนุ่มร่างสูงไม่น้อยกว่าจิณลี ผิวสองสี ใบหน้าคมของรติรับกับปลายคางเหลี่ยมบึกบึน ผมสีน้ำตาลอ่อนตัดสั้นจัดทรงตั้งขึ้น ทำให้เจ้าตัวดูเท่และปราดเปรียว

“ฉันเป็นเพื่อนคุณจิณลีค่ะ” หญิงสาวชิงตอบเอง

“ยินดีต้อนรับสู่ร้านของผมครับ คุณชลันธร” รติยื่นมือออกมาเบื้องหน้าอย่างมีอัธยาศัย

“เช่นกันค่ะคุณรติ” เธอสัมผัสมือตอบรับไมตรี ก่อนชม “ที่นี่ตกแต่งสวยมากเลยนะคะ” ดวงตากลมโตมองไปรอบห้องโถงที่มีเครื่องเรือนรูปทรงแปลกตาตั้งอยู่ บนกำแพงแต่ละด้านติดภาพวาดที่ดูเผินๆแล้วเรียบง่ายแต่แฝงสัญลักษณ์ให้ผู้มองต้องคิดตาม

“ขอบคุณครับ ต้องขอบคุณจิณลีด้วยที่ช่วยผมออกแบบ แถมยังส่งภาพมาขายเรื่อยๆ ลูกค้าส่วนใหญ่พร้อมจะจ่ายเพื่อภาพของจิณลี ไม่ว่าจะแพงมากแค่ไหน แต่เขาเป็นคนจิตใจดีมากที่ไม่รับค่าภาพวาดเลยแม้แต่ดัลละ[1]เดียว ได้มาแค่ไหน จิณลีมอบให้การกุศลทั้งหมด” รติเล่าด้วยน้ำเสียงยกย่อง

ชลันธรเองก็พลอยชื่นชมชายหนุ่มด้วย ส่วนคนโดนชมนั้นยิ้มอย่างปีติ

“จิณลีมาแล้วเหรอรติ ไม่เจอกันตั้งหลายวันแน่ะ” เสียงของใครคนหนึ่งดังขึ้นด้วยความดีใจ ก่อนที่เธอจะเดินเข้ามาภายในห้องโถงจัดแสดงภาพที่ทั้งสามคนยืนคุยกันอยู่

หญิงสาวผิวขาว ร่างสูงโปร่ง เจ้าของใบหน้าคมและผมสีน้ำตาลแดงดัดลอนอ่อนๆ ซึ่งอยู่ในชุดแส็คเข้ารูปทันสมัยสีม่วง มองผู้หญิงอีกคนที่ไม่เคยเห็นหน้าอย่างสงสัย

“รับลูกค้าอยู่เหรอ” เธอถามรติเสียงเบาเพราะกลัวจะเสียมารยาท

“เปล่า นี่คุณชลันธร เพื่อนของจิณลี” เจ้าของร้านขายรูปหนุ่มบอก พลางหันมาทางชลันธร “นี่ลียา เพื่อนของพวกเรา และเป็นนักวาดภาพฝีมือดีอีกคนของร้านผมครับ”

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะคุณลียา” ชลันธรยิ้มอย่างเป็นมิตร

“เช่นกันค่ะ” ศิลปินสาวยิ้มตอบอย่างจริงใจ และถามขึ้นโดยไม่เก็บความอยากรู้ “นายรู้จักคุณชลันธรมานานแล้วเหรอจิณลี ไม่เคยเห็นพาเธอมาที่นี่มาก่อน”

“ไม่นาน บังเอิญเจอกัน”

“งั้นเหรอ บังเอิญเจอกันยังไง” หญิงสาวยังไม่หายสงสัย

“จะถามอะไรนักหนานี่ลียา จิณลีจะรู้จักกับคุณชลันธรยังไงก็ช่างเถอะ รู้แค่ว่าตอนนี้เธอเป็นเพื่อนของจิณลีก็พอแล้ว” หนุ่มผมตั้งส่ายหน้าไปมากับความช่างซักของเพื่อนสาว

“ก็ฉันอยากรู้นี่นา” เจ้าตัวยังดึงดัน

“เอาเถอะรติ ฉันเล่าให้ฟังก็ได้” จิณลีตัดสินใจเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนสนิทสองคนฟังว่าเขาเจอชลันธรได้ยังไง เมื่อเล่าจบ รติและลียาก็ทำหน้าไม่อยากเชื่อ “อย่าถามต่อล่ะว่าโกหกหรือเปล่า เพราะมันเป็นเรื่องจริง”

“ไม่ถามหรอก เพราะฉันรู้ว่ารติอยากให้ฉันถาม แต่คราวนี้ฉันเชื่อนาย จิณลี” นักวาดภาพสาวหน้าคมหันไปหัวเราะเยาะเพื่อนหนุ่มที่ชอบกัดว่าเธอเป็นพวกพูดมากถามมากอยู่เรื่อย

“ฉันก็เชื่อจิณลี ไม่ได้อยากรู้อะไรอีกสักหน่อย” เจ้าของร้านขายรูปยักไหล่

“แล้วคุณชลันธรพักอยู่ที่…” ลียาเอ่ยยังไม่ทันจบ จิณลีก็ตัดบทเสียก่อน

“พักอยู่ที่บ้านพักของฉันในป่านั่นละ อ้อ รติบอกว่ามีเรื่องงานจะคุยใช่ไหม ฉันพร้อมจะคุยแล้ว” ชายหนุ่มว่าพลางหันไปบอกชลันธร “เอลลา คุณชมภาพรอผมสักครู่นะครับ ผมขอคุยธุระนิดนึง” เอ่ยจบก็หันไปขยิบตาให้เพื่อนทั้งสองเดินตามมาที่ห้องทำงานซึ่งอยู่ถัดเข้ามาด้านหลังตึก ซึ่งรติก็ลากลียาตามมาขณะที่เจ้าตัวกำลังพยายามจะถามอีก

เมื่อเข้ามาในห้องทำงานแล้ว ลียาก็ถามขึ้นทันที เพราะต่อมความอยากรู้แทบจะระเบิดอยู่แล้ว “ทำไมต้องทำตัวมีลับลมคมในด้วย”

“ฉันยังไม่อยากให้ชลันธรรู้ว่าฉันเป็นใคร” จิณลีบอกด้วยน้ำเสียงเรียบนุ่ม

“แล้วทำไมไม่อยากให้รู้” คราวนี้เป็นรติที่ถามขึ้น

“หึ ว่าแต่ฉันอยากรู้ นายก็อยากรู้ไม่แพ้กันหรอก” ลียาได้ทีหันไปค่อนแคะเพื่อนสนิท

“มันยังไม่ถึงเวลา ฉันอยากให้ชลันธรรู้จักฉันในฐานะผู้ชายธรรมดาคนนึงก่อน” รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากหยักสีระเรื่อ

“ไม่เข้าใจอยู่ดี” นักวาดภาพสาวหรี่ตาลงจับผิดเพื่อนหนุ่ม “แล้วเมื่อกี้…นายเรียกคุณชลันธรว่าเอลลา คืออะไร”

“คืออะไร” จิณลีเลิกคิ้วหนาขึ้น

“นายคงไม่เรียกเพื่อนว่าเอลลาหรอก จริงไหมรติ” เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงดัดลอนอ่อนหันไปขอเสียงสนับสนุน

“อืม ฉันเห็นด้วย แบบนี้แสดงว่า…” เจ้าของร้านขายรูปหนุ่มยิ้มและคาดเดาคำตอบอย่างมั่นใจ

“เอาละ ในฐานะที่นายและลียาเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันก็จะไม่โกหก ฉันชอบชลันธร” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงหนักแน่นพร้อมแววตามีความสุข

“อะไรนะ!” ลียาร้องเสียงสูง

“อาจจะดูเร็ว แต่สำหรับฉัน ถ้าใช่ก็คือใช่” น้ำเสียงของผู้พูดมั่นคง

ดวงตาของหญิงสาวหม่นวูบลง “นายชอบคุณชลันธรตั้งแต่ตอนไหน”

“ไม่รู้สิ อาจจะตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้ชื่อเธอด้วยซ้ำ” จิณลีหัวเราะพลางยิ้มสดใส

“พูดเกินจริงไปหรือเปล่าเพื่อน” หนุ่มผมตั้งแซวพลางหัวเราะร่วน

“นั่นละ จะเมื่อไหร่ก็ไม่สำคัญหรอก รู้แค่ว่าตอนนี้ฉันชอบเธอก็พอ แล้วนายกับลียาก็อย่าเผลอพูดล่ะว่าฉันเป็นใคร” เขากำชับอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปหาชลันธรที่อยู่ด้านนอก

ลียาเจ็บแปลบในอกเมื่อเห็นใบหน้าสุขล้นของเพื่อนสนิทหนุ่ม หญิงสาวทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ดวงตาคู่สวยที่ตกแต่งไว้ด้วยเครื่องสำอางว่างเปล่า ก่อนที่หยดน้ำใสๆจะค่อยๆคลอขึ้น

“ลียา เธอเป็นอะไร” รติถลาเข้าไปหาเพื่อนและจับไหล่บางทั้งสองข้างอย่างปลอบโยน

“ฉัน…” หญิงสาวพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลลงมา

“เธอร้องไห้ทำไม เพื่อนของเราเจอคนที่ชอบแล้ว ต้องดีใจมากกว่าสิ” ชายหนุ่มถามแม้จะรู้อยู่เลาๆ

“ฉันร้องไห้เพราะดีใจ” เธอพยายามฝืนหัวเราะร่าเริง แม้เรื่องอื่นจะกล้าพูดกล้าถามอยู่เสมอ ทว่ากับบางเรื่อง ลียาก็ขลาดเกินกว่าจะเอ่ยออกมา “ไปข้างนอกกันดีกว่า” เจ้าของร่างระหงในชุดแส็คสีม่วงลุกขึ้น ปาดน้ำตาออก เชิดหน้า ก่อนจะเดินออกไปด้วยท่วงท่ามั่นใจเช่นเคย ทิ้งให้เพื่อนหนุ่มงุนงงกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมารวดเร็วราวสายลม



จิณลีพาชลันธรเดินชมภาพภายในห้องต่างๆของร้านขายรูปอย่างเพลิดเพลินจนถึงประมาณสิบเอ็ดโมง ชายหนุ่มก็เอ่ยลาเพื่อนทั้งสอง

“ไม่อยู่ทานมื้อเที่ยงด้วยกันก่อนเหรอ” รติถามขึ้น

“ไม่รบกวนดีกว่า” จิณลียิ้มละไม

“รบกวนอะไรกัน เราเพื่อนกันทั้งนั้น” ลียาที่พยายามทำตัวให้เป็นปกติเอ่ยขึ้นบ้าง แม้ในใจจะยังเจ็บปวดไม่หายกับเรื่องที่เพิ่งได้รับรู้

“วันนี้ตั้งใจจะพาชลันธรเที่ยวในเมืองปาณษาน่ะ” ชายหนุ่มบอกแผนการของตน

“อ้อ อยากอยู่สองต่อสองนี่เอง” หนุ่มผมตั้งแซวอย่างรู้ทัน แล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่าพูดไม่ถูกเวลาเมื่อหันไปเห็นตาแดงๆของลียา

“ขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ แล้วเจอกันจิณลี คุณชลันธร” นักวาดภาพสาวหันหลังกลับก่อนจะเดินไปด้านหลังตึกอย่างรวดเร็ว

จิณลีและชลันธรพูดคุยกับรติอีกสองสามคำจึงออกมาจากร้านขายรูป ระหว่างทางกลับมายังรถ หญิงสาวจึงถามขึ้นหลังจากเก็บความสงสัยมาตั้งแต่อยู่ข้างใน

“หลังออกมาจากห้องทำงาน คุณลียาดูแปลกไปนะคะ คุณไปต่อว่าอะไรเธอหรือเปล่า จริงๆฉันไม่ได้คิดมากเลยนะคะเรื่องที่คุณลียาถาม” ชลันธรเอ่ยอย่างไม่สบายใจ

จิณลีทำท่าตกใจ “ผมไม่ได้ต่อว่าลียาเลยนะ เธอแปลกไปยังไงเหรอครับ”

“ก็…เหมือนเธอจะเศร้าๆน่ะค่ะ” เธอมั่นใจว่าดูไม่ผิดแน่ แม้ลียาจะพยายามยิ้มปกปิดรอยหม่นหมองในแววตา แต่ยังไงก็ปิดไม่มิด

“อืม…ผมก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับว่าลียามีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า งั้นผมโทร.บอกให้รติช่วยดูแลลียาดีกว่า” เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาต่อหาเพื่อนหนุ่มทันที ก่อนจะบอกรติไปตามสาย เมื่อฝ่ายนั้นรับคำแล้ว จิณลีจึงวางสายและหันมาบอกชลันธร “มีรติอยู่ทั้งคน ไม่ต้องห่วงครับ”



รติกับลียานั่งทานอาหารเที่ยงอยู่ในห้องครัวด้านหลังร้านขายรูปด้วยกันสองคน แววตาของนักวาดภาพสาวราวกับกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ ไม่พูดไม่จากับคนนั่งตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย

“ลียา คิดอะไรอยู่” ชายหนุ่มตัดสินใจทำลายความเงียบ

เจ้าของผมสีน้ำตาลแดงตวัดสายตามองเพื่อนหนุ่มพร้อมถอนหายใจพรืดด้วยความคิดไม่ตก “กำลังคิดว่าจะเอายังไงต่อไป”

“เรื่องจิณลีน่ะเหรอ” เวลานี้หญิงสาวคงไม่คิดอะไรนอกจากเรื่องนี้

“ฉันควรเดินหน้าต่อไหม” ลียาจ้องหน้ารติ ถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“เดินหน้า?” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างคาดเดา รติตัดสินใจถามออกไปตรงๆ “เธอรู้สึกกับจิณลีมากกว่าเพื่อนใช่ไหม”

“นายรู้ แต่ทำไมจิณลีไม่รู้” แววตาของหญิงสาวฉายแววน้อยใจ

“อาการของเธอชัดเจนขนาดนี้ ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ แล้วก็ไม่แปลกด้วยที่จิณลีไม่รู้ เพราะตอนอยู่กับจิณลี ฉันไม่เห็นเธอแสดงออกอะไรเกินเพื่อนเลยนี่นา”

“ฉันคงใจเย็นไปสินะ คิดว่าจิณลีคงไม่มีใครง่ายๆ เลยไม่เคยเปิดเผยให้เขารู้” เธออยากจะย้อนเวลากลับไปเหลือเกิน ถ้าเธอบอกความในใจเขาเร็วกว่านี้เพียงนิดเดียว คนที่ได้ยืนเคียงคู่ชายหนุ่มในวันนี้อาจเป็นเธอ เพียงแค่คิด ความเจ็บร้าวก็แทรกซึมขึ้นมาทุกอณูของหัวใจ

“ตัดใจเถอะลียา” รติเตือนด้วยความหวังดี

“ฉันอยากจะเดินหน้ามากกว่า เขาสองคนเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ถ้าจิณลีรักคุณชลันธรอย่างมั่นคงจริง ฉันก็จะยอมรับ” เธอก็แค่อยากให้เขาได้รู้ว่ารู้สึกยังไง ถ้าจิณลีรู้แล้วจะไม่เปลี่ยนมาชอบเธอก็ไม่ใช่ปัญหา เธอจะยอมถอยแต่โดยดี

“คิดดีๆนะลียา ถ้าทำอย่างนั้น เธอกับจิณลีอาจมองหน้ากันไม่ติดเลยก็ได้” หนุ่มผมตั้งบอกอย่างห่วงใย ยังไงเขาก็ไม่อยากให้มิตรภาพของเพื่อนที่สนิทสนมกันมานานขาดสะบั้นลงเพราะเรื่องนี้

“แต่ฉันตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็จะบอกว่าฉันรู้สึกยังไงกับเขาเร็วๆนี้” เสียงของลียาแผ่วหวิว

“อะไรที่เป็นของเรา ยังไงก็เป็นของเรา แต่อะไรที่ไม่ใช่ ต่อให้พยายามไขว่คว้าแค่ไหนก็ไม่ใช่ ฉันขอพูดแค่นี้ละ แล้วเธอจะเลือกทางไหนก็ตัดสินใจเอาเอง” รติรู้ว่าคงเปลี่ยนความคิดเพื่อนไม่ได้ แม้จะพยายามเกลี้ยกล่อมแค่ไหน เพราะงั้นอะไรจะเกิดก็คงต้องเกิด




บรรยากาศรอบกายของเธอยามนี้ปกคลุมไปด้วยความเงียบ เสียงสายลมพัดต้นไม้ใบไม้ดังหวีดหวิวยิ่งพาให้หัวใจของหญิงวัยสี่สิบปลายวูบโหวง

บัดนี้ไม่มีแล้ว คนที่คอยปลอบโยน คอยให้อภัยเมื่อเธอทำผิดพลาด คอยสอนวิธีการใช้ชีวิต เธออยากให้พวกท่านกลับมาอยู่เคียงข้างเหมือนวันเก่า อยากอยู่ในอ้อมกอดแสนอบอุ่นของบิดาและมารดาเหลือเกิน แต่ก็ทำได้เพียงนั่งคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพของบุพการีกลางป่าลึกบนภูปีราอย่างยอมรับความจริงว่าไม่มีพวกท่านอีกต่อไปแล้ว

เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ดวงตาเฉี่ยวของสาวใหญ่ก็เป็นประกายกร้าวขึ้นอย่างน่าขนลุก เรื่องราวอัปยศที่เกิดขึ้นตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ส่งผลให้เธอต้องอยู่เพียงลำพังในตอนนี้พร้อมกับตระกูลที่น่าจะยิ่งใหญ่ กลับกลายเป็นเพียงสามัญชนธรรมดา

สายเลือดของตระกูลเธอแยกย้ายไปคนละทิศละทางจนตามหากันไม่เจอ พวกเขาอาจกำลังหาทางชำระแค้นเช่นกัน แต่อาจยากหากไม่มีพลังพิเศษเพียงพอที่จะต่อสู้ ลงมือไปก็อาจได้กลับมาเพียงความพ่ายแพ้ แต่เธอเชื่ออย่างยิ่งว่าตนเองจะสามารถเข้าใกล้ความสำเร็จได้มากที่สุด

“ลูกขอเวลาอีกนิดเดียว เมื่อพลังของลูกมีมากเพียงพอ ลูกจะแก้แค้นให้ตระกูลของเราให้จงได้!” ดารันปฏิญาณต่อหน้าหลุมศพบิดามารดาพร้อมกับความเคียดแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอกและรอการสะสาง ดวงตาคู่เฉี่ยวฉายแววมั่นคงเด็ดเดี่ยวเกินกว่าสตรีหลายเท่านัก

เธอจะไม่มีวันยอมให้ศัตรูได้มีความสุขต่อไปได้นานเด็ดขาด เธอนี่ละจะทวงทุกอย่างที่ควรเป็นของตระกูลกลับมาเอง!


-------------------------------------------------------------------------------------------
[1] หน่วยเงินของประเทศภูทิวา ๑ ดัลละ มีค่าประมาณ ๑ บาท



ฝากนิยายอีกเรื่อง "แผนลับฉบับซาตาน" ที่กำลังลงด้วยนะครับ เป็นแนวโรแมนติกคอมเมดี้ครับ http://home.love-stories.net/lovestories/viewnovel/14647 และสามารถพูดคุยกันได้ที่เพจ "บุลินทร" อีกทางนะครับ



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ธ.ค. 2556, 00:03:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ธ.ค. 2556, 12:59:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1361





<< บทที่ 8 ความบังเอิญหรือพรหมลิขิต   บทที่ 10 ภูปีรา >>
บุลินทร 10 ธ.ค. 2556, 00:04:55 น.
คุณ ketza
ชวาลียังไม่มาน้า มาแต่จิณลี ให้มีกระท่อมกลางป่าเลยเหรอ ฮ่าๆๆๆๆ เดี๋ยวก่อนๆ ตอนที่แล้วปล่อยให้ลุ้นไปก่อน แต่มีของจริงแน่นอน อิอิ

คุณ lovemuay
เจอคนลุ้นฉากสุดท้ายอีกคนแล้ววว ฮ่าๆๆ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ
ฮ่าๆๆ อันนี้ออกแนวจิกกัดนางเอกไปในตัวนะนี่ แต่ยายลันก็จินตนาการไปได้เนอะ ทำไมคิดว่าจิณลีไม่ใช่พระเอกล่ะครับ แล้วเดาว่าใครเป็นพระเอกเอ่ย

คุณ ดวงมาลย์
วันนี้มาคนเดียว ไม่มีเจ้าสาวร้อยชั่งเป็นเพื่อนตอนเที่ยงคืนแว้ว

คุณ Zephyr
ให้อารมณ์เหมือนสี่ปีหรือกี่ปีผ่านไปนี่แหละ ในม่านธาราเร้นดาวมั้ย ฉากที่พี่เชนกับยายมีนกะลัง... แล้วก็ สี่ปีผ่านไป! ฮ่าๆๆๆ พี่ชายกับคนรักอาจจะเป็นมิตรกับสิตารา เย้ย จิ้นข้ามเรื่อง จ๊าก คิดได้ไงมุกสิง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่ต้องเปลี่ยนอัญมณีใหม่นะ คิดมาสิว่าจะใช้อัญมณีอะไร อิอิ

คุณ konhin
เดี๋ยวรอความจริงดีกว่าครับ ฮ่าๆๆ

คุณ nako
ทุกคนมุ่งไปฉากฝันหมดเลยนะนี่

คุณ ฤดูฝัน
ฮ่าๆๆๆ แอบให้ลุ้นนิดๆครับ แต่ว่าในต้นฉบับจริงแก้เป็นแบบอื่นแล้วน้า มันไม่ผ่านฉากนี้ อิอิ

คุณ goldensun
เป็นฝีมือจิ้นของนางเอกเราล้วนๆครับงานนี้ ตอนนี้หนุ่มอาร์ตกับสาวนักเขียนก็ได้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากขึ้นอีกแล้วครับ เกือบเดือนแล้วยังหาทางกลับบ้านไม่ได้เลย

คุณ patok
ถ้าคุณแพทไปภูทิวาเป็นเดือนจะเป็นไงเนี่ย ฮ่าๆๆๆ


ketza 10 ธ.ค. 2556, 07:14:56 น.
มาเช้าเลยวันนี้ หุหุ


lovemuay 10 ธ.ค. 2556, 08:13:57 น.
ตอนแรกปุ๊บ นึกว่าลียาจะร้ายลึก มาดูแบบนี้รู้สึกว่าไม่ร้ายแหะ ออกแนวน่าสงสารซะมากกว่า


ดวงมาลย์ 10 ธ.ค. 2556, 10:19:11 น.
แอร๊ยย วันนี้มาคนเดียวจริงด้วย 5555 สมาชิกอีก 2 คนก็ยังไม่โผล่เบย ถึงเจ๊จะหายไป แต่จะมาตามให้กำลังใจเหมือนเดิมจ้า


yimyum 10 ธ.ค. 2556, 13:34:43 น.
มากันแต่เช้าก็ไม่บอก มาบ่ายเลยง่ะ ToT


goldensun 10 ธ.ค. 2556, 16:12:41 น.
จิณลีเป็นใคร มีพลังพิเศษแน่ แต่ด้านไหนก็ไม่รู้ แต่งงว่า วาดรูปยายเป็นอาชีพ แต่รูปที่ขายได้ กลับเอาเงินไปบริจาค แสดงว่าต้องมีรายได้ทางอื่นสินะคะ โดนเลยาแอบรัก จิณลีไม่รู้จริง หรือไม่ใส่ใจกัน หรือเลยาเก็บอาการเก่ง
แล้วจิณลีเป็นญาติกับดารันรึเปล่า


yimyum 10 ธ.ค. 2556, 17:50:53 น.
จิณลีเป็นใครกันแน่ โอ๊ยยยย อยากรู้
ความอยากรู้เพิ้มสูงเกินขีดจำกัด ><


patok 10 ธ.ค. 2556, 20:37:35 น.
จิณลีเป็นใครน้อ สงสารชลันธรจัง น่าจะได้กลับบ้านบ้างนะคะ ว่าแต่ สงสัยมานานแล้ว ชลันธรไปอยู่ในประเทศของธศิญาแล้ว ทำไมยังต้องฝันถึงกันอีก เจอกันเลยไม่ได้หรอคะ


nako 10 ธ.ค. 2556, 22:14:57 น.
เอ๋... จิณลีเป็นใครสำคัญยังไง แล้วหนูลันจะได้กลับบ้านหรือเปล่า รอลุ้นตอนต่อไปค่ะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 11 ธ.ค. 2556, 01:04:53 น.
ดารัณ????? เราเคยรู้จักกันมาก่อนรึป่าววว
ตกลง จิณลีเป็นบุตรเจ้าเมืองคนปัจจุบัน ใช่ป่าวววว
คือ บอกตรงนะไรเตอร์ สามเรื่องอัญมณี เค้าเดาพระเอกผิดตลอดเบย จะเดาถูกก็คงจะเป็นตาไก่อัทธ์ แบบร้ายกำลังดีไรงี้ ตาชาเมาก็ร้ายเกิ๊นนน ส่วนตาจิณก็.....ดีเกิน 5555


Zephyr 11 ธ.ค. 2556, 01:24:17 น.
อืม เป็นลูกเจ้าเมืองปาณษาสินะ
ออกสูงส่งแต่ชอบทำตัวยาจกนะ นายจิณ
ชิชะ พระเอกชัดๆทำตัวยาจก ตามหารักแท้เรอะ
ให้มองตัวตนมิใช่เงินตรา หุหุ
.......ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ว่าเพื่อนคนนึงมันแอบมันคิดอะไรไปไกล......
ลียา มาเอาเพลงนี้ไปร้องให้ตาจิณฟังป่ะ อาจจะหาย ก๊ง และรู้ว่ามีคนใกล้ตัว หลงรัก น่ะนะ
แต่ว่า ยกให้ลันไปเถอะ นางอุตส่าห์ลำบากข้ามมาเจอแล้วนะ
ดารัณ ใครอีกละเนี่ย แล้วนางแค้นใครกัน ตระกูลตาจิณแหงมๆๆๆ


Zephyr 11 ธ.ค. 2556, 01:28:40 น.
เค้าชอบสีฟ้า เทอร์ควอยซ์ กะ สีน้ำเงิน ไพลิน
ถ้าสิงเอานี่ละ สองอันนี้ แต่ราศีเค้าบอกอัญมณีเป็นโอปอล กะทัวร์มารีน
อันแรกมี่หาสีฟ้าให้เค้านะ สีฟ้า นะ ฟ้า อันหลังเฟอร์ไม่รู้จักอ่ะ


ริญจน์ธร 11 ธ.ค. 2556, 11:03:58 น.
เริ่มซับซ้อนขึ้นทุกทีแล้ว


อสิตา 15 ธ.ค. 2556, 02:14:48 น.
ให้เฟอร์สิงไพลินละกัน ปู่ศานติมันมีไพลิน ถึงจะผัวแก่แต่ก็เมห์ฮรา...


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account