ม่านทิวาพชร {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

Tags: โมรารัตติกาล มรกตสนธยา มนตรามุกจันทรา มายาไฟในดวงตา ม่านธาราเร้นดาว อัญมณีเหนือกาล มนตราอัญมณี

ตอน: บทที่ 10 ภูปีรา

๑๐
ภูปีรา





จิณลีพาชลันธรมาทานอาหารเที่ยงที่ร้านริมน้ำแห่งหนึ่งซึ่งตกแต่งแบบโปร่งสบายตา รูปภาพธรรมชาติที่ติดอยู่ตามมุมต่างๆทำให้บรรยากาศสดใสเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสองเลือกนั่งที่ซุ้มส่วนตัวซึ่งสร้างยื่นลงไปกลางน้ำ

การได้มาเปิดหูเปิดตาทำให้หญิงสาวลืมเรื่องเครียดไปชั่วคราว ดวงตาของเธอเป็นประกายกระจ่างด้วยความเพลิดเพลินกับการรับประทานอาหาร พลางมองปลาที่แหวกว่ายไปมาในน้ำใสเบื้องล่าง สายลมอ่อนๆที่พัดมาทำให้เย็นสบายโดยไม่ต้องเปิดพัดลม

“ปกติถ้าไม่ทานอาหารที่ร้านขายรูป ผม รติ กับลียาก็มาทานกันที่นี่ครับ” ชายหนุ่มเล่าพลางตักกับข้าวใส่จานให้คนนั่งตรงข้าม

ชลันธรค้อมศีรษะน้อยๆเป็นการขอบคุณ “พวกคุณเรียนจบมาด้วยกันใช่ไหมคะ” หญิงสาวเดาจากความสนิทสนมของเพื่อนทั้งสาม

“ใช่ครับ พวกเราเรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน พอเรียนจบรติก็เปิดร้านขายรูป ส่วนลียากับผมวาดรูปส่งให้รติประจำ” ดวงตาสีเข้มเต็มไปด้วยประกายมีความสุข

“พวกคุณโชคดีนะคะที่รู้ว่าตัวเองชอบอะไรและมีโอกาสทำในสิ่งที่รัก” ชลันธรยิ้มชื่นชม

“คุณเองก็เหมือนกัน ถ้ามีโอกาส ผมคงได้อ่านผลงานของคุณบ้างนะครับ” เจ้าของเสียงนุ่มบอกพร้อมยิ้มอบอุ่น ไม่ได้รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มของตนทำให้หัวใจดวงน้อยของหญิงสาวสั่นไหวเล็กๆ

ชลันธรเสก้มหน้าตักอาหารใส่ปาก แล้วถามขึ้นโดยไม่มองหน้าเขา “คุณจะพาฉันไปไหนต่อคะ”

“อยากไปดูห้างของปาณษาหรือเปล่าครับ”

“ก็น่าสนใจนะคะ อยากรู้ว่าจะต่างจากห้างที่มิติของฉันไหม” เท่าที่ใช้ชีวิตมาเกือบเดือน ชลันธรก็พบว่าเธอไม่ต้องปรับตัวมากนัก เพราะวิถีชีวิตของคนในประเทศภูทิวาคล้ายกับประเทศทางตะวันออกซึ่งเธอคุ้นเคยอยู่แล้ว ทว่าสิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่มีรูปแบบไปทางสถาปัตยกรรมตะวันตกในโลกของเธอมากกว่า แต่ผสมผสานลงตัวได้อย่างน่าประหลาด

เมื่อจัดการกับมื้อเที่ยงเสร็จ ทั้งสองก็เดินกลับมายังรถเพื่อจะมุ่งหน้าต่อไป ระหว่างทางนั้นเอง ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหาจิณลี ใบหน้าเก๋ไก๋ที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางเนียนกริบนั้นระบายไปด้วยรอยยิ้ม ทรงผมซอยสั้นทำให้เธอดูกระฉับกระเฉงไม่น้อย

“มาทานข้าวเหรอคะจิณลี” เจ้าหล่อนปรายตามองหญิงสาวที่อยู่ในชุดเรียบๆ ใบหน้าปราศจากเครื่องสำอาง ก่อนตวัดสายตากลับไปมองชายหนุ่ม “เธอสวยดีนะคะ” แม้จะเอ่ยปากชม ทว่าน้ำเสียงนั้นราวกับค่อนแคะ

“ชลันธรเป็นเพื่อนผมเอง คุณมาทานข้าวเหมือนกันเหรอครับ” จิณลีทักทายตามมารยาท

“ค่ะ ฉันมากับแฟนใหม่ ว่าแต่…คุณบอกว่าเธอเป็นเพื่อนคุณ งั้นคงหมายถึงเป็นแค่คู่ควงแก้เหงาใช่ไหมคะ” เจ้าตัวยิ้มเยาะและมองชลันธรด้วยหางตา

หญิงสาวได้แต่ยืนฟังเงียบๆด้วยความงุนงง ยายนี่เป็นอะไรมากหรือเปล่านะ

“เธอมีค่ามากกว่านั้นครับ ถ้าคุณไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ” ชายหนุ่มบอกอย่างสุภาพ พลางเอื้อมไปจับมือชลันธรและจูงออกมาจากจุดนั้น ขณะที่หญิงสาวก็เดินตามไปแบบมึนๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครคะ” ชลันธรถามขึ้นเมื่อได้จังหวะ

“แฟนเก่าผมเอง เลิกกันไปนานแล้ว เพราะทัศนคติหลายอย่างไม่ตรงกัน” เขาเล่าโดยไม่ปิดบัง และมองชลันธรด้วยดวงตาวิบวับ “ตอนนี้ผมโสดนะครับเอลลา”

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มที่ทอประกายวิบวับนั้นทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นผิดจังหวะในทันใด “แล้วคุณมาบอกฉันทำไมคะ” เธอพยายามข่มอาการประหม่าเอาไว้

“เผื่อคุณจะสนใจเป็นเอยาของผมไงล่ะ” เขายิ้มกว้าง ใบหน้าคมพราวด้วยความสดใส

“คุณจิณลี” ชลันธรเอ็ดเขาเบาๆ

ชายหนุ่มหัวเราะร่วนด้วยความพอใจ “ผมแค่แหย่เล่นนิดเดียวเอง ไปกันต่อดีกว่า”

“คุณนี่” นั่นสินะ เขาคงแค่ยั่วเธอเล่นสนุกๆ และเธอเองก็ยังไม่อยากคิดเรื่องอื่นนอกจากหาวิธีกลับบ้านด้วย เฮ้อ แต่เขาก็ขยันทำให้หัวใจเธอเต้นบ่อยเหลือเกิน ไม่รู้ตัวเลยหรือไงนะว่าคำพูดที่มาพร้อมกับสายตาคมกริบละลายใจแบบนั้นทำให้เธออดหวั่นไหวไม่ได้



บรรยากาศภายในห้างสรรพสินค้าวันนี้ค่อนข้างคึกคัก ชายหนุ่มให้เธอเลือกว่าจะไปที่แผนกไหน ตอนแรกเขาเดาว่าหญิงสาวคงอยากไปแผนกเสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับตามประสาผู้หญิง แต่ก็ผิดคาดเมื่อได้ฟังคำตอบ

“ฉันอยากไปร้านหนังสือค่ะ” ดวงตากลมโตสีดำขลับเป็นประกายกระตือรือร้น

“ได้ครับ” จิณลีพยักหน้ารับ ก่อนจะเดินนำไปพลางยิ้ม เขาลืมไปว่าเธอคือนักเขียน

ร้านหนังสือขนาดใหญ่ของห้างตั้งอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ชลันธรเลือกดูหนังสืออย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน แม้ส่วนใหญ่จะเป็นภาษาที่เธออ่านไม่ออก เพราะภาพประกอบในเล่มก็บอกเล่าเรื่องราวได้มากมายแล้ว

“คุณอยากได้เล่มไหนเลือกเลยนะครับ ผมซื้อให้เอง” เสียงทุ้มของคนที่เข้ามายืนด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ดังขึ้น

ชลันธรที่กำลังมองภาพในหนังสือตกใจเล็กน้อย แต่จะถอยหลังก็ไม่ได้ เพราะเขายืนประกบอยู่ ความใกล้ทำให้เธอใจเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ

“ไว้ค่อยซื้อทีหลังก็ได้ค่ะ” หญิงสาวไม่อยากรบกวนเขาโดยไม่จำเป็น

“ผมเต็มใจซื้อให้” จิณลีบอกเสียงอ่อน

“ฉันรู้ค่ะ แต่แค่ดูก็พอแล้วละ ไม่ต้องซื้อเก็บหรอกค่ะ” เมื่อเอ่ยจบชลันธรจึงหันกลับไปบอกเขา “แล้วคุณก็ถอยไปด้วยค่ะ มายืนเบียดอยู่ได้” เธอพยายามทำเสียงให้ดุเข้าไว้

“โทษทีครับ ผมลืมตัว” ชายหนุ่มยิ้มพราย ดวงตาสีเข้มเป็นประกาย ดูก็รู้ว่าเขาไม่ได้ลืมตัวอย่างที่บอก

หญิงสาวค้อนเล็กน้อย พลางเดินหนีไปดูหนังสือที่มุมอื่น เมื่อออกจากร้านจึงรู้ว่าจิณลีแอบซื้อหนังสือเล่มที่เธอสนใจเป็นพิเศษให้

“บอกแล้วไงคะว่าไม่ต้องซื้อก็ได้” ชลันธรเอ่ยอย่างเกรงใจ

“แต่ผมซื้อมาแล้ว ทางร้านไม่รับคืนครับ ถ้าไม่อยากให้ผมเสียเงินไปฟรีๆ คุณต้องรับไว้นะเอลลา” ชายหนุ่มพูดจบก็คว้ามือบางขึ้นมาก่อนจะยัดเยียดหนังสือใส่มือให้

หญิงสาวต้องรับมาโดยไม่มีทางเลือก คิดว่ายิ่งเขาดีกับเธอมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งต้องตอบแทนเขาให้มากขึ้นเท่านั้น

“ต้องพูดง่ายๆแบบนี้สิถึงจะน่ารัก” ดวงตาคมเรียวฉายแววเอ็นดู

ชลันธรรีบเดินต่อโดยไม่รอเขา รู้สึกร้อนใบหน้าวูบวาบด้วยความเขิน หวังว่าความร้อนคงไม่ทำให้แก้มของเธอแดงขึ้นมานะ

“รอผมด้วยสิครับ”

เสียงของคนตัวโตตามหลังมา จะตามมาแหย่เธออีกไหมนั่น หญิงสาวเดินเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทว่าระหว่างทางนั้นเอง สายตาก็ไปสะดุดเข้ากับร้านหนึ่ง ชลันธรหยุดเดิน พร้อมๆกับจิณลีที่ตามมาทันพอดี

“นั่นมันร้านกาลเวลานี่!” ดวงตากลมโตเป็นประกายพราวพร่างด้วยความหวัง

“คุณว่ายังไงนะครับ” ชายหนุ่มมองตาม

สาวน้อยหันกลับมามองหน้าเขาและบอก “ร้านกาลเวลาค่ะ ร้านกาลเวลาอยู่ที่นั่น” ทว่าเมื่อหันไปมองจุดที่ร้านอัญมณีตั้งอยู่อีกครั้ง ชลันธรก็พบว่ามันหายไปแล้ว

“ผมไม่เห็นมีร้านอะไรอยู่ตรงนั้นเลยครับ” จิณลีหรี่ตาลง

“ไม่มีจริงๆด้วย แต่เมื่อกี้ฉันเห็นร้านกาลเวลาตั้งอยู่ตรงนั้น…” หญิงสาวถอนหายใจหนักหน่วง จะบอกว่าตัวเองตาไม่ฝาดก็ไม่ได้ เพราะตอนนี้ตรงนั้นเป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่า มีป้ายเขียนด้วยอักษรภูทิวาที่เธออ่านไม่ออกติดไว้ด้านหน้าเท่านั้น

มือหนาคว้ามือบางขึ้นมากุมไว้อย่างอบอุ่น ดวงตาคมสีเข้มสบตากลมโตอย่างให้สัญญา

“เอลลา รู้ไว้นะ ยังไงผมก็จะไม่ทิ้งคุณ ผมจะช่วยคุณหาทางกลับบ้านให้ได้”

ชลันธรพยักหน้ารับรู้เบาๆพลางยิ้มให้เขาอย่างตื้นตัน จิณลีคือแสงสว่างซึ่งเข้ามาในวันที่เธอหลงทางอยู่ในความมืดอันเหน็บหนาว หากไม่พบเขา ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้เธอจะเป็นยังไง

“ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณจริงๆ”



“ไปภูปีราเหรอ” จิณลีเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นเมื่อเพื่อนสนิทอย่างรติชวนมาตามสาย ขณะรับประทานอาหารเช้าอยู่กับชลันธร

“ใช่ มะรืนนี้ชวนคุณชลันธรไปด้วยกันนะ” เจ้าของร้านขายรูปหนุ่มว่า

ป่านนี้เจ้าตัวก็คงตื่นเต้นอยากไปไม่แพ้เขา เพราะแต่ไหนแต่ไรหากมีเวลาว่าง เขา รติ และลียามักไปเดินป่าหรือเดินขึ้นเขาด้วยกันบ่อยๆ เป็นกิจกรรมที่ท้าทายและสนุกไปในเวลาเดียวกัน เพราะนอกจากจะภูมิใจกับการพิชิตยอดเขาแล้ว มากกว่านั้นคือการเอาชนะใจตัวเองที่สามารถฝ่าฟันผ่านเส้นทางสูงชันและยากลำบากได้โดยไม่ย่อท้อระหว่างทางเสียก่อน

“ได้เลย” ชายหนุ่มนัดหมายเวลาและสถานที่กับเพื่อน ก่อนวางสายและชวนหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงข้าม “ไปเดินขึ้นเขาด้วยกันนะครับ”

“จะดีเหรอคะ…”

“ไม่ต้องเกรงใจครับ รติกับลียาอยากให้คุณไปด้วย ไปนะครับ ผมไม่อยากให้คุณอยู่บ้านคนเดียว” จิณลีพยายามโน้มน้าวเต็มที่

หญิงสาวใช้เวลาตัดสินใจอยู่ครู่ เห็นว่าอย่างน้อยการได้ทำกิจกรรมอื่นก็ทำให้เธอหายเครียดเรื่องการหาทางกลับบ้านได้ สุดท้ายจึงพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ”

“ถ้างั้นวันนี้ผมจะพาคุณไปซื้อชุดใหม่ เพราะที่มีอยู่ไม่เหมาะกับการผจญภัยเลย” เขารู้ว่าหญิงสาวจะต้องปฏิเสธ จึงรีบดักคอไว้ก่อน “อย่าบอกว่าไม่นะครับ สิ่งที่ผมทำทุกอย่าง ผมเต็มใจและไม่เคยลำบากใจเลยสักครั้งที่จะทำเพื่อคุณ”

“ถ้าถึงคราวคุณไปโลกของฉัน ฉันคงต้องดูแลคุณให้ดีไม่แพ้กัน” ชลันธรยิ้มด้วยความประทับใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจิณลีเอาเงินที่ไหนใช้ เพราะค่าภาพวาดที่เขาส่งให้ร้านขายภาพของรติก็ยกให้การกุศลหมด

“ขอบคุณล่วงหน้าครับ” จิณลีค้อมศีรษะเล็กน้อยพลางสบตาหญิงสาวราวกับต้องการเปิดเผยบางอย่างในแววตา

ดวงตาสีน้ำตาลเข้มทอประกายนั้นทำให้ชลันธรต้องเสก้มหน้ารับประทานอาหารพร้อมกับอาการสั่นไหวในอกอีกครา



เมื่อถึงวันนัดหมาย จิณลีพาชลันธรออกจากบ้านตั้งแต่ตีสาม แล้วขับรถไปรับเพื่อนทั้งสองที่บ้านพัก มุ่งหน้าสู่ภูปีรา ยอดเขาสูงในเขตปาณษาซึ่งผู้คนนิยมไปเดินเพราะเส้นทางที่ท้าทาย และระหว่างทางยังมีธรรมชาติงดงามให้ได้ชื่นชม

ทุกคนอยู่ในชุดรัดกุม พร้อมสำหรับการผจญภัยเต็มที่ แม้แต่ลียาที่ชลันธรเคยเห็นในเสื้อผ้าปราดเปรียวและเซ็กซี่นิดๆ บัดนี้ก็ดูทะมัดทะแมงในชุดสีเข้ม ผมยาวสีน้ำตาลแดงรวบเก็บเรียบร้อย

“ปกติคุณชลันธรเคยเดินขึ้นเขามาก่อนหรือเปล่าครับ” รติซึ่งนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ หันไปคุยกับหญิงสาวที่นั่งอยู่เบาะตอนหลังของรถเก๋งกับลียา

“เคยบ้างค่ะ แต่ไม่ได้เป็นภูเขาสูงแบบนี้ คงต้องภาวนาให้ตัวเองไม่เดี้ยงระหว่างทางนะคะ” คนถูกถามเอ่ยพลางยิ้ม

“ไม่เดี้ยงหรอกค่ะ เมื่อก่อนฉันก็คิดว่าตัวเองจะไม่ไหวตอนจิณลีกับรติชวนไปเดินเขาครั้งแรก แต่หลังจากพิชิตยอดภูปีราได้และเห็นความสวยของธรรมชาติข้างบน ก็ทำให้ลืมความเหนื่อยไปจนหมด ตอนนี้เลยไปเดินเขากับหนุ่มๆสองคนแทบจะตลอดเลย” ลียาบอกด้วยแววตาพร่างพราว

“ถ้าเดี้ยงจริงๆก็ไม่เป็นไร ผมอุ้มเอง” จิณลีขยิบตาให้ชลันธรผ่านกระจกมองหลัง แต่ถึงอย่างนั้นประกายจากดวงตาสีเข้มก็ทำให้คนมองหน้าร้อนวูบวาบขึ้นได้ทันที

“ดี งั้นฉันจะแกล้งเดี้ยงให้นายอุ้มเป็นไง” นักวาดภาพสาวเอ่ยแทรกขึ้นอย่างนึกสนุก

จิณลีหัวเราะพลางยิ้มดวงตาสดใส “ให้รติอุ้มแล้วกัน”

“ทำไม อุ้มฉันไม่ได้เลยหรอ” ลียาแกล้งทำเสียงดุ ทว่าภายในใจเจ็บเสียดราวกับถูกคมมีด

“รติอุ้มดีกว่า เกิดฉันต้องอุ้มทั้งเธอทั้งชลันธรคงไม่ไหว” คนขับรถบอกเสียงทะเล้น

“แบบนี้นี่เอง” ใบหน้าผู้พูดระบายไปด้วยรอยยิ้ม แต่นัยน์ตาซ่อนความเศร้าไว้ลึกๆ

รติลอบถอนหายใจเบาๆอย่างอึดอัดแทนเพื่อนสาว ลียาจะพยายามไปทำไมนะ ในเมื่อไม่เห็นวี่แววว่าจิณลีจะมีใจให้เธอเลย

การพูดคุยดำเนินไปอีกครู่หนึ่ง ชลันธรและลียาก็เริ่มง่วงจนผล็อยหลับไปในที่สุด เหลือเพียงคนขับรถอย่างจิณลีและรติซึ่งอยู่คุยเป็นเพื่อน ประมาณตีห้าจึงมาถึงจุดจอดรถซึ่งอยู่ก่อนจะถึงทางขึ้นเขา

รติหันไปปลุกคนข้างหลังเบาๆ ไม่นานสองสาวก็ตื่นขึ้นมาด้วยความงัวเงีย

“ถึงแล้วเหรอ” ลียายืดเส้นยืดสาย ดวงตาหรี่ปรือมองออกไปด้านนอกที่เต็มไปด้วยแสงไฟจากร้านอาหารและร้านขายของ แม้ตอนนี้จะยังไม่เช้า แต่บรรยากาศก็คึกคักไปด้วยผู้คนที่เตรียมตัวจะเดินทางขึ้นเขา

“ถึงแล้ว เดี๋ยวลงไปทานข้าวกันก่อน” หนุ่มผมตั้งส่ายหน้าไปมากับความขี้เซาของอีกฝ่าย ก่อนจะหันไปชวนหญิงสาวอีกคน “ไปครับคุณชลันธร ใครอยากนอนต่อก็ปล่อยให้นอนไป เราขึ้นเขาก่อนเลย ไม่ต้องรอ”

“คุณรติใจร้ายนะคะเนี่ย” ชลันธรว่าขำๆ

“พูดไปงั้นละครับ เดี๋ยวลียาก็วิ่งแจ้นตามเราลงรถเอง”

จิณลี รติ และชลันธรลงจากรถ ขณะลียาซึ่งยังคงง่วงงุนเปิดประตูลงมาพลางโวยวาย

“โอ๊ย รอด้วยสิ”

สองหนุ่มต่างหัวเราะกับท่าทางวีนเหวี่ยงของเพื่อนสาว ก่อนที่จิณลีจะแซว “โวยวายแบบนี้ไงถึงไม่มีแฟนสักที”

“ฉันเป็นของฉันแบบนี้ละ ถ้าจะชอบ ก็ต้องชอบที่ตัวตนของฉัน” ลียาเชิดหน้าทั้งที่ยังง่วงไม่สร่าง

จิณลีส่ายหน้าไปมาอย่างขำไม่หาย “เดี๋ยวไปล้างหน้าล้างตากันก่อนดีกว่า จะได้สดชื่น แล้วกลับมาเจอกันตรงนี้นะ” เขาบอกรติและลียา พลางหันมาถามชลันธรด้วยความห่วงใย “เอลลา จะให้ผมพาไปหรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไปกับคุณลียาได้” ชลันธรส่ายหน้าแทบจะทันที เธอไม่ใช่เด็กที่จะให้เขาตามประคบประหงมขนาดนั้นนี่นา

“ใช่ นายไม่ต้องห่วงหรอก ฉันดูแลคุณชลันธรได้” ลียาจับแขนชลันธร พาเดินไปยังห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัวตามประสาผู้หญิง

สองสาวเดินแหวกผู้คนมาเรื่อยๆ ระหว่างทางลียาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “คุณโชคดีมากๆเลยนะคะที่ได้เป็นเจ้าของหัวใจจิณลี”

“คะ?” คนฟังอุทานเสียงสูงด้วยความประหลาดใจ

“ทำไมต้องทำท่าตกใจด้วยล่ะคะ อย่าบอกนะคุณไม่รู้ว่าจิณลีรู้สึกยังไงกับคุณ” นักวาดภาพสาวเลิกคิ้วสูง

“คุณเข้าใจผิดแล้วละค่ะ ฉันกับจิณลีเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ไม่มีทางที่เขาจะรู้สึกอย่างนั้นกับฉัน”

“ฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้เข้าใจผิดนะคะ มันไม่แปลกหรอกค่ะที่คนเราจะรู้สึกมั่นใจว่าใครคนนั้นคือคนที่ใช่ในเวลาอันรวดเร็ว ความรักไม่มีเหตุผล ไม่ได้มีเงื่อนไขเรื่องเวลา อาจเรียกได้ว่ารักคือปาฏิหาริย์ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอธิบายได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ยังไง” นักวาดภาพสาวกล่าวพร้อมยิ้มให้อย่างจริงใจ

ชลันธรพยักหน้ารับรู้เบาๆ และไม่ได้แย้งต่อ เพราะดูเหมือนอีกฝ่ายจะปักใจไปแล้วว่าจิณลีรู้สึกลึกซึ้งกับเธอจริงๆ แต่เธอไม่อยากคิดแบบนั้น เพราะเขายังไม่เคยบอกเลยสักคำว่ารู้สึกยังไง

หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว ชลันธรและลียาก็กลับไปหาสองหนุ่มที่จุดนัดหมาย แล้วไปยังร้านอาหารร้านหนึ่งเพื่อเติมพลังก่อนเดินขึ้นเขา

เมื่อจับจองโต๊ะได้แล้ว จิณลีและรติก็ปล่อยให้หญิงสาวสองคนเลือกอาหารได้ตามใจชอบ เพราะพวกเขาทานอะไรก็ได้ ระหว่างทานอาหาร ปฏิบัติการขุดคุ้ยเรื่องน่าอายก็เริ่มขึ้น ขณะชลันธรนั่งฟังพวกเพื่อนสนิทของจิณลีเผากันแล้วก็อดยิ้มตามไม่ได้

“มานั่งทานข้าวที่นี่ทีไร อดนึกถึงตอนลียามากับพวกเราครั้งแรกไม่ได้เนอะจิณลี” รติหันไปพยักพเยิดกับเพื่อนหนุ่ม

“ที่ลียาไม่ยอมทานข้าวก่อนเดินทางน่ะเหรอ” ชายหนุ่มเอ่ยกลั้วยิ้ม

“ใช่ ตอนนั้นดื้อดีนัก เลยต้องหิ้วท้องกว่าจะถึงจุดพักระหว่างทาง” รติหัวเราะอย่างสะใจ

“เอาอีกแล้วสองคนนี้ ก็ตอนนั้นมันเช้ามาก ฉันไม่หิว เลยไม่อยากทาน แต่ใครจะรู้ว่าเดินไปไม่ทันไรจะหิวมากขนาดนั้น” ลียาย่นจมูกใส่ “อย่าให้พวกนายพลาดบ้างแล้วกัน”

“ไม่มีทาง พวกเราไม่พลาดแน่นอน” รติกอดอกเก๊กหน้าหล่อ

“หึ ถ้าพลาดละก็ จะซ้ำให้หนัก!” นักวาดภาพสาวบอกอย่างหมั่นไส้

“คุณจิณลีกับคุณรติร้ายกว่าที่คิดนะคะเนี่ย” ชลันธรหันไปหาลียาพลางยิ้มกว้าง “สงสัยงานนี้ฉันต้องรอบคอบมากๆ เดี๋ยวพลาดขึ้นมาจะโดนเผา”

“ไม่ต้องห่วง ผมไม่เผาคุณหรอกเอลลา” จิณลีบอกเสียงนุ่มนวล “ผมเผาแต่เพื่อนตัวเองเท่านั้นละ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายลึกล้ำยามสบตาหญิงสาว

“แล้วคุณไม่นับฉันเป็นเพื่อนเหรอคะ” ชลันธรถามโดยไม่ทันคิดว่านั่นจะเป็นการเปิดโอกาสให้เขาเอ่ยประโยคที่ทำให้ใจสั่นหวั่นไหวอีกครา

“คุณไม่ใช่เพื่อนผม แต่เป็นมากกว่าเพื่อน” ริมฝีปากหยักสีแดงระเรื่อกระตุกยิ้มกรุ้มกริ่ม

“หมายความว่ายังไงเหรอจิณลี” ลียาถามเสียงตื่นเต้น ทำทีสนใจในคำพูดที่เป็นปริศนาของเพื่อนสนิท ทว่ารอยยิ้มของเธอแฝงไปด้วยรอยเจ็บปวด

“ต้องถามอีกรึ ฉันชัดเจนขนาดนี้” เจ้าตัวเลิกคิ้วหนาขึ้นพลางเอ่ยโดยไม่เกรงใจชลันธรที่กำลังนั่งหน้าแดงด้วยความเขินเลยแม้แต่น้อย

ลียาก้มหน้าลงแสร้งทำตักอาหารใส่ปาก เพราะรู้สึกร้อนผะผ่าวที่ขอบตาขึ้นมา เห็นแบบนี้แล้ว เธอยิ่งสับสนว่าควรเดินหน้าเพื่อบอกความรู้สึกที่มีต่อจิณลี หรือถอยหลังออกมาและหลบไปทำใจเพียงลำพังคนเดียวดี



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 12 ธ.ค. 2556, 13:33:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 12 ธ.ค. 2556, 14:13:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1301





<< บทที่ 9 ทวงคืน   บทที่ 11 รากแห่งความแค้น >>
ketza 12 ธ.ค. 2556, 13:34:05 น.
มาอีกคนแว้ววว ^_^


ริญจน์ธร 12 ธ.ค. 2556, 13:39:51 น.
อ้าว วันนี้มาเร็วกันหมดเลย


บุลินทร 12 ธ.ค. 2556, 13:48:08 น.
ฮ่าๆๆๆ บังเอิญมาเร็ว


บุลินทร 12 ธ.ค. 2556, 14:00:57 น.
คุณ ketza
วันนี้มาบ่าย หรือตอนหน้าจะมาเย็นหว่า ฮ่าๆๆ

คุณ lovemuay
ลียายังไม่ใช่ตัวร้ายครับ เพียงแต่เป็นคนแสดงออกมากไปนิดดด ยกเว้นเรื่องรัก อิอิ

คุณ ดวงมาลย์
วันนี้มาพร้อมมรกตสนธยา อสิตาชิงลงตอนเช้าตรู่แล้วก็สลบไป ฮ่าๆๆ

คุณ yimyum
วันนี้มาเกือบพร้อมกันเลยครับ อ่านตอนนี้ได้คำใบ้เพิ่มมั้ยว่าจิณลีเป็นใคร

คุณ goldensun
เฉลยปมไหนก่อนดีนะ ฮ่าๆๆ เอาพลังพิเศษแล้วกัน จิณลีมีครับ ส่วนทำไมมีเงินใช้ อันนี้นางเอกก็แอบสงสัยเหมือนกันครับ ส่วนที่จิณลีไม่รู้อาจเป็นเพราะลียาเก็ลอาการมิดชิดมากนั่นละครับ เดี๋ยวดารันจะเริ่มโผล่ออกมาเรื่อยๆแล้วครับ

คุณ patok
จิณลีเป็นพระเอกงายยยยคุณแพท ฮ่าๆๆๆ โดนตบ ชลันธรยังไม่มีวี่แววจะได้กลับบ้านเบย แต่ยังไงจิณลีก็คอยดูแลน้า ตอนนี้ยังเจอธศิญาไม่ได้คร้าบ เดี๋ยวมีเฉลย

คุณ nako
ระหว่างรอเฉลยซึ่งใกล้จะมาถึง เดาเล่นไปพลางๆก่อนนะครับ อิอิ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ
ดารันเพิ่งออกมาเป็นฉากแรกครับ เรื่องนี้เดาถูกแว้ววว ตาจิณลีนี่ละพระเอก ฮ่าๆๆ ส่วนชามัลก็พระเอกเหมือนกัน รอดูชามัลกลับใจนะครับ

คุณ Zephyr
จิณลีเป็นลูกชายตามาร จ๊าก ไม่ใช่ละ แล้วจะให้ร้องเพลงอะไรนั่น ภูทิวาไม่มีเพลงช่างไม่รู้เลยสักหน่อย ไปหาเพลงภาษาภูทิวามาเลย ฮ่าๆๆๆ มีการให้ยกพระเอกให้ยายลันเพราะเห็นแก่ที่ข้ามมิติมาอีกต่างหาก ดารันแค้นเฟอร์นั่นละ เอลลาเฟอร์ สายเลือดตระกูลพินทะ ถ้าอยากสิงโอปอลต้องไปถามมะม้า เพราะมะม้าะมีใช้โอปอลด้วย

คุณ ริญจน์ธร
ปล่อยให้พระนางสร้างสัมพันธ์มาพักหนึ่งก็เริ่มปล่อยปมบ้าง ฮ่าๆๆ


yimyum 12 ธ.ค. 2556, 17:21:28 น.
อร๊ายตายแล้ว2เรื่องนี้ มรกต กับ ม่านทิวา หวานขนาดว่า..คนอ่านถึงกับต้องทำใจอ่านต่อไปเลย><


ใบบัวน่ารัก 12 ธ.ค. 2556, 20:06:48 น.
เป็นประเทศที่แปลกๆๆ
เข้านะแต่อยากกลับบ้านอ่ะ ได้ปะ


Zephyr 12 ธ.ค. 2556, 20:35:00 น.
ตอนนี้ไม่หวาน แต่สื่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน
อืม ลียา เธอจะร้ายมั้ยนะ
เห็นแล้วยังงี้ จะพยายามอีกมั้ยนะ
สงสารก็นิดนึง แต่จิณลีของยายลันย่ะ


lovemuay 12 ธ.ค. 2556, 20:50:58 น.
แอบสงสารลียานะคะเนี่ย นางเอกอย่าเล่นตัวมากนะคะ อิจฉาค่ะ อิอิ


นักอ่านเหนียวหนึบ 13 ธ.ค. 2556, 00:08:43 น.
ลียา ชั้นชอบเธอนะ เธออย่าร้ายเลยนะ
ขุ่นลีข่าาาาาาา พูดแบบนี้กับสาวมากี่คนแล้วข่าาาาาา
ดูไม่เคอะเขินเลยนะข่าาาา
ถามความเห็นสาวๆ หน่อยมั้ย อรั๊ยยยยย เขิล


อสิตา 13 ธ.ค. 2556, 01:50:23 น.
พี่มิ้งค์กะลังอ่านมายาไฟ รีบๆๆๆ


ดวงมาลย์ 13 ธ.ค. 2556, 15:21:30 น.
อร้ายยยยยย


patok 13 ธ.ค. 2556, 22:04:03 น.
รู้จ้าว่าเป็นพระเอก แหม่><
แอบเห็นใจลียาเนอะ


ฤดูฝัน 14 ธ.ค. 2556, 14:50:47 น.
สงสารลียาอะ จิณลีพูดตรงไปนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account