ม่านทิวาพชร {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

Tags: โมรารัตติกาล มรกตสนธยา มนตรามุกจันทรา มายาไฟในดวงตา ม่านธาราเร้นดาว อัญมณีเหนือกาล มนตราอัญมณี

ตอน: บทที่ 11 รากแห่งความแค้น

๑๑

รากแห่งความแค้น





ย้อนไปหลายร้อยปีก่อน ดินแดนแห่งแสงสว่างนี้มีชนเผ่าพื้นเมืองอยู่จำนวนหนึ่ง อาศัยตามบริเวณต่างๆที่สามารถทำมาหากินได้ ผู้นำเผ่าบ้างปกครองด้วยจิตใจอารี บ้างใช้อำนาจในทางไม่ถูกต้อง ในกรณีหลัง แม้ส่วนมากผู้ใต้ปกครองจะต้องยอมก้มหัวให้หัวหน้าเผ่าผู้มีจิตใจโหดร้าย แต่แน่นอนว่ามีคนบางกลุ่มในเผ่ากระด้างกระเดื่องเช่นกัน เขาเหล่านั้นพยายามจะโค่นล้มผู้นำเพื่อให้ตนเองและเพื่อนร่วมเผ่าหลุดพ้นจากความทรมาน ทว่าก็มีส่วนน้อยที่ทำสำเร็จ

เผ่าภารยะคือเผ่าหนึ่งที่มีคนจ้องล้างอำนาจของผู้นำซึ่งไม่มีความเมตตาปรานีต่อคนในปกครอง มีการลอบฆ่าหัวหน้าเผ่าถึงสามครั้ง แต่ก็โดนจับได้ก่อนกระทำการสำเร็จ จนกระทั่งวันหนึ่ง ชาวเมืองลุกฮือขึ้นล้อมที่พักของหัวหน้าเผ่าอย่างไม่มีใครคาดคิด ก่อนชายหนุ่มสองคนซึ่งเป็นแกนนำจะลงมือสังหารผู้นำเผ่าภารยะและคนในครอบครัวจนสิ้นซาก

พวกเขาคือปัตติยะและพินทะ สองเพื่อนรักที่เติบโตมาด้วยกัน และเห็นภาพอันน่าสลดใจของชาวเผ่าซึ่งโดนกดขี่ข่มเหงมาตั้งแต่เล็กจนโต พวกเขาไม่อยากเห็นภาพเช่นนี้อีกต่อไป จึงหมายมั่นว่าจะต้องช่วยเหลือชาวเผ่าภารยะให้เป็นอิสระให้จงได้

ปัตติยะและพินทะใช้เวลาวางแผนเนิ่นนาน และค่อยๆทำให้คนในเผ่ามาฝักใฝ่ฝ่ายตน ใช้เวลารวบรวมผู้คนทั้งสิ้นกว่าห้าปี เมื่อแน่ใจว่าตอนนี้ทุกคนพร้อมแล้วที่จะโจมตีผู้นำเผ่าไปพร้อมพวกเขา ปัตติยะและพินทะจึงลงมือ เพราะมีโอกาสเพียงครั้งเดียว และหากพลาด นั่นหมายถึงชีวิต ซึ่งไม่ใช่แค่ของพวกเขาสองคน แต่รวมถึงชาวเผ่าที่ร่วมมือกันในครั้งนี้ด้วย

‘เราสัญญาว่าจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ ช่วยเหลือกันและกัน โดยจะไม่มีวันหักหลังกัน จากนี้และตลอดไป’ นั่นคือคำสาบานที่เพื่อนรักทั้งสองให้ไว้ต่อกันในวันแห่งชัยชนะ

ชายหนุ่มทั้งสองอนุญาตให้ชาวเผ่าภารยะแยกย้ายไปทำมาหากินได้ตามแต่ใจตนโดยไม่ต้องขึ้นต่อพวกเขา ทว่าชาวเผ่าส่วนใหญ่ก็ยินดีสวามิภักดิ์ เพราะเชื่อว่าปัตติยะและพินทะเป็นผู้ปกครองที่มีคุณธรรม

เมื่อความสุขและความสงบกลับมาสู่ชีวิตของชนเผ่าภารยะแล้ว ปัตติยะและพินทะก็มีเวลาพักจากเรื่องรบเพื่อมาทบทวนเรื่องรัก ทั้งสองต่างแต่งงานกับหญิงสาวในเผ่าและมีลูกในเวลาต่อมา และยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตามคำสาบานที่ได้ให้ไว้

แต่ใครจะคิดว่าวันหนึ่งพินทะจะหักหลังเพื่อนได้ ชายหนุ่มวางแผนจะฆ่าปัตติยะและครอบครัว เพราะอยากขึ้นเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ทว่าวันนั้นเอง ปัตติยะซึ่งไปเยี่ยมพินทะที่บ้านบังเอิญได้ยินสิ่งที่เพื่อนของตนวางแผน จึงรีบกลับมายังบ้านของตนและให้ภรรยากับลูกหลบหนีไปก่อน

ปัตติยะอยู่เผชิญหน้ากับเพื่อน เพราะอยากรู้ว่าพินทะจะกล้าฆ่าตนได้ลงคอจริงหรือ ทว่าเมื่อฝ่ายนั้นมาถึงก็ไม่ได้เห็นแก่ความเป็นเพื่อนเลยแม้แต่น้อย

ด้วยความที่หัวใจถูกครอบงำด้วยความโลภไปแล้ว พินทะจึงลืมเรื่องราวความยากลำบากที่ร่วมฝ่าฟันมาด้วยกันกับปัตติยะทั้งหมด ชายหนุ่มใช้อาคมสะกดปัตติยะให้หลับใหลชั่วขณะ และนำร่างไปฝังลงใต้ดินเพื่อให้ปัตติยะสิ้นใจอย่างทรมาน

ด้านภรรยาและลูกของปัตติยะได้มาเจอครอบครัวหนึ่งโดยบังเอิญระหว่างหลบหนี เมื่อแน่ใจว่าคนเหล่านั้นไม่ใช่พวกของพินทะ เธอจึงได้ขอหลบซ่อนตัวอยู่ที่บ้านของพวกเขาเป็นการชั่วคราว

หลังจากภรรยาของปัตติยะเล่าสาเหตุที่ทำให้ต้องกระเสือกกระสนหนีมาให้ฟังแล้ว หญิงสาวเจ้าของบ้านก็บอกว่าตนมาจากดินแดนแห่งความมืด และปู่ของเธอก็โดนสังหารขณะกำลังจะข้ามมายังแดนทิวาเพื่อเริ่มชีวิตใหม่ เพราะความโลภของคนบางคนเช่นกัน

ภรรยาของปัตติยะรู้ว่าสามีของตนสิ้นใจแน่แล้วเมื่อได้ยินข่าวพินทะจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ข่าวนั้นได้สร้างความแค้นให้เกิดขึ้นในใจหญิงสาวจนอยากจะไปฆ่าพินทะด้วยน้ำมือตัวเอง แต่เมื่อนึกถึงความจริงว่าตนคงไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนี้ หญิงสาวจึงได้แต่กักเก็บความแค้นเอาไว้และถ่ายทอดมันสู่ลูกของเธอ

แม้เวลาผันผ่านไปนานไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี แต่ความแค้นจากอดีตก็ยังคงไม่จางหายไปแม้แต่เศษเสี้ยว ขณะตระกูลของปัตติยะยังอยู่ในชนชั้นผู้ถูกปกครอง ตระกูลของพินทะเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ จนผู้นำตระกูลในเวลานั้นได้ก้าวขึ้นเป็นผู้ว่าการของเขตปาณษาในประเทศที่สถาปนาขึ้นใหม่อย่างภูทิวา สร้างความชิงชังให้เกิดขึ้นในใจสายเลือดลูกหลานของปัตติยะที่รับรู้ถึงอดีตอันอัปยศของรุ่นบรรพบุรุษมากขึ้นหลายเท่าพันทวี

แม้อยากจะแก้แค้น แต่พวกเขาก็ไม่อาจต่อกรใดๆได้ เนื่องจากมีเพียงมือเปล่า ความเคียดแค้นจึงส่งต่อเรื่อยมาจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยความเชื่อว่าสักวันจะมีทายาทแห่งตระกูลปัตติยะผู้มีฝีมือเพียงพอจะสามารถต่อกรกับพวกพินทะได้มาสะสางเรื่องราวทั้งหมดให้จบสิ้น!



ดารันค่อยๆลืมตาขึ้น หลังจากนั่งฝึกพลังจิตอยู่ภายในห้องมาตลอดคืนจนถึงเช้า บทสวดโบราณที่ได้มาจากชายชราปริศนากลางป่าลึกทำให้เธอรู้สึกมีพลังมากขึ้นอย่างประหลาด ดังนั้นหากฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอทุกวัน อำนาจของเธอคงมีมากกว่าพวกลูกหลานของตระกูลพินทะ และเอาคืนพวกมันที่กำลังเสวยสุขอยู่บนความตายอย่างอนาถของรุ่นบรรพบุรุษได้

“พวกแกมีความสุขได้อีกไม่นานหรอก!” เปลวเพลิงแห่งความแค้นลุกโชนขึ้นในดวงตาเฉี่ยว พร้อมจะแผดเผาศัตรูไม่ให้เหลือแม้แต่ซากศพ

มีคนบอกว่าความแค้นสิ้นสุดได้ด้วยการให้อภัย แต่สำหรับเธอไม่มีทาง แค้นต้องชำระด้วยชีวิตเท่านั้นจึงจะสาสม

ขณะนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ดารันลุกจากเตียงและเดินไปเปิดประตู สาวใช้ที่อยู่ด้านนอกย่อตัวทำความเคารพก่อนเอ่ยอย่างสุภาพ

“วันนี้คุณดารันจะทานอาหารเช้าบนห้องหรือข้างล่างคะ”

“บนห้องแล้วกัน ยังไม่ค่อยอยากลงไปข้างล่างเท่าไหร่”

“ได้ค่ะ” สาวใช้ค้อมศีรษะ แล้วไปทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย

สาวใหญ่ปิดประตูห้องลงพลางเหยียดริมฝีปากเยาะหยัน พวกตระกูลพินทะคงไม่รู้สินะว่าตอนนี้สายเลือดตระกูลปัตติยะอย่างเธออยู่ใกล้แค่ปลายจมูก!

พึ่บ

เสียงนั้นดังขึ้นที่ริมหน้าต่างห้องนอน เมื่อหันไปดูก็เห็นนกสีขาวเกาะอยู่ มันส่งเสียงร้องน่ารำคาญหูเหลือทน แววตาของดารันลุกวาบด้วยความหงุดหงิด เธอจ้องตานกพลางสาวเท้าไปยังหน้าต่าง แทนที่จะบินหนี นกตัวนั้นกลับเกาะนิ่งราวถูกสะกด สาวใหญ่คว้าตัวของมันมาบีบโดยแรงจนกระดูกหักดังกร๊อบ เล็บแหลมจิกลงบนเนื้อหนังนกจนเลือดไหลอาบมือ ก่อนจะเหวี่ยงลงไปข้างล่างด้วยความสาแก่ใจเป็นนักหนา

“อีกไม่นานพวกแกต้องตายไม่ต่างจากนกตัวนี้!” ดวงตาเฉี่ยวฉายแววเหี้ยมโหด



หลังจากติดต่อลูกหาบให้ช่วยขนสัมภาระขึ้นเขาแล้ว ก็ถึงเวลาที่ทั้งสี่คนจะออกเดินทาง ลูกหาบบอกว่าอากาศในเวลาเจ็ดโมงเช้าค่อนข้างหนาว แต่ไม่จำเป็นต้องใส่เสื้อกันหนาว เพราะถึงอย่างไรระหว่างเดินขึ้นเขาก็ต้องถอดอยู่ดี เนื่องจากเดินไปสักพักเหงื่อจะเริ่มออก สองหนุ่มสองสาวจึงถอดเสื้อตัวนอกยัดใส่กระเป๋าสัมภาระไว้แทน

“พร้อมลุยหรือยังครับ” จิณลีถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น

ทุกคนส่งเสียงตอบรับแข็งขัน จากนั้นจึงเริ่มเดิน โดยมีลูกหาบตามมาไม่ห่าง ช่วงที่พวกเขาเดินนั้นมีกลุ่มนักท่องเที่ยวขึ้นมาพร้อมกันประมาณสี่ห้ากลุ่ม

“ก่อนถึงยอดภูปีรา เราจะต้องผ่านทั้งหมดสิบห้าด่านครับ ยิ่งสูงก็จะยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ระหว่างทางจะมีจุดพักทุกหนึ่งกิโลเมตร” จิณลีซึ่งมาที่นี่เจ็ดรอบแล้วบอกคนยังไม่เคยมาอย่างชลันธร

“สิบห้าด่านเลยเหรอคะ” หญิงสาวเบิกตากว้าง งานนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิดเลย

“ถือเป็นการวัดใจครับ เพราะสิ่งที่มากกว่าการพิชิตยอดภูคือการเอาชนะใจตัวเองนี่ละ ว่าจะถอดใจหรือว่าสู้จนถึงเป้าหมาย สิบห้าด่านอาจจะฟังดูเยอะ แต่จริงๆเดินไม่นานก็ถึงครับ ยิ่งได้เดินกับคุณ คงเพลินจนลืมระยะทาง” จิณลียิ้มหวาน ดวงตาสีเข้มเปล่งประกายวิบวับ

“พูดอะไรของคุณเนี่ย” ชลันธรส่ายหน้าไปมา ทำท่าถอนใจ ทว่าแก้มขวาแก้มซ้ายร้อนผะผ่าวขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

เมื่อเดินทางมาระยะหนึ่ง ลูกหาบที่เดินตามหลังก็ขอแซงขึ้นไปก่อน เพราะจะได้ลงไปรับจ้างขนกระเป๋าให้นักท่องเที่ยวด้านล่างต่อ ปกติแล้วพวกเขาจะขึ้นลงภูปีราวันละสามถึงสี่รอบเพื่อหารายได้เลี้ยงครอบครัว

สองข้างทางของการเดินเต็มไปด้วยสีเขียวชอุ่มของพืชพรรณหลากหลาย จิณลี ชลันธร รติ และลียาตกลงกันว่าจะเดินไปเรื่อยๆโดยไม่รีบร้อน เพื่อชื่นชมธรรมชาติอันงดงามยิ่งกว่าภาพศิลปะที่ว่าสวยที่สุด นอกจากต้นไม้ใหญ่แล้ว ยังมีต้นไม้ดอกไม้เล็กๆรูปทรงสวยงามแปลกตาขึ้นอยู่ตามโขดหินตลอดทาง น้ำค้างยามเช้าซึ่งเกาะอยู่บนยอดหญ้าให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำและสดชื่นเป็นอย่างยิ่ง

“ป่าของที่นี่อุดมสมบูรณ์มากๆเลยนะคะ” ชลันธรเอ่ยชมด้วยดวงตาพราว

“ภูปีราเปิดให้นักท่องเที่ยวขึ้นปีเว้นปีครับ เพื่อให้ธรรมชาติมีเวลาฟื้นฟูตัวเอง” จิณลีหันไปตอบคนที่เดินอยู่ข้างๆ ขณะรติกับลียาเดินอยู่ด้านหลังของเขากับชลันธร

“ดีค่ะ ธรรมชาติให้ความสุขกับเราแล้ว เราก็ต้องให้เวลาเขาได้พักผ่อนด้วย ไม่อย่างนั้นสักวันคงไม่มีธรรมชาติสวยๆให้เราชื่นชม”

จิณลียิ้มอย่างมีความสุขที่ได้ฟังแนวคิดของหญิงสาวซึ่งไปในทางเดียวกับเขา “ถ้าผมไปบ้านของคุณ อย่าลืมพาผมไปชมธรรมชาติของที่นั่นด้วยนะครับ”

“ได้ค่ะ” ชลันธรตอบรับทันที เพราะเต็มใจจะตอบแทนเขาที่ช่วยดูแลเธอขณะอยู่ในประเทศภูทิวาอยู่แล้ว

ระหว่างทางเดินขึ้นเขา กลุ่มนักท่องเที่ยวซึ่งเดินสวนลงมาส่งเสียงให้กำลังใจคนที่เดินขึ้นไปแม้จะไม่รู้จักกัน เป็นมิตรภาพที่งดงามน่าประทับใจไม่แพ้ความสวยสดของธรรมชาติ

หลังจากมุ่งหน้ามาได้ระยะหนึ่งก็ถึงจุดพักแรก ทุกคนตัดสินใจว่าจะไม่พัก เพราะยังไหวอยู่ จึงเดินต่อไปอีก เมื่อถึงจุดพักที่สองจึงแวะเข้าไปนั่งพักขาและดื่มน้ำทานของว่างเพิ่มพลัง ทั้งสี่จับจองโต๊ะใต้ต้นไม้ด้านนอกร้าน ระหว่างที่จิณลีและชลันธรขอตัวไปเข้าห้องน้ำ รติก็หันไปมองเพื่อนสาวซึ่งซึมลงทันที หลังจากที่แสร้งทำร่าเริงมาตลอดทาง

“ไง ยังจะเดินหน้าอยู่หรือเปล่า”

ลียาตวัดสายตามองคนถามแวบหนึ่ง ก่อนมองไปทางอื่น “ฉันมีคำตอบแล้วย่ะ นายไม่ต้องรู้หรอก”

“หวังว่าเธอจะเลือกคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง…และทุกคนด้วย” รติยังอยากให้เจ้าตัวเปลี่ยนใจ เพราะในเมื่อเห็นชัดเจนขนาดนี้แล้วว่าจิณลีรู้สึกดีกับชลันธรมากเพียงไร ลียายังหวังอยู่อีกหรือว่าชายหนุ่มจะเปลี่ยนใจ

“อืม” นักวาดภาพสาวตอบสั้นๆ ดวงตาเป็นประกายหม่นคู่นั้นไม่บ่งบอกว่าเธอคิดอะไร

ยี่สิบนาทีต่อมา ทุกคนก็เดินต่อด้วยจิตใจที่ยังเต็มร้อย แต่พอมาถึงด่านที่สิบ ความเหนื่อยล้าและความยากลำบากของเส้นทางก็ทำให้ชลันธรเริ่มท้อ เพราะไม่เคยเดินขึ้นภูเขาสูงเช่นนี้มาก่อน แถมข้างหน้าที่ต้องฝ่าไปคือทางเดินที่เป็นทราย ซึ่งต้องใช้พลังในการเดินเพิ่มอีกสองเท่า

“รติ ลียา ล่วงหน้าไปก่อนก็ได้ เดี๋ยวฉันตามไป” จิณลีบอกเพื่อนทั้งสอง

ตอนแรกลียาทำท่าอยากจะรอ แต่หนุ่มผมตั้งฉุดแขนเพื่อนสาวให้เดินตามไปเสียก่อน ซึ่งอีกฝ่ายก็โวยวายเล็กๆตามประสา

“ขอโทษนะคะที่ทำให้การเดินทางช้า” ชลันธรกล่าวอย่างรู้สึกผิด

“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย ตอนผมเดินขึ้นเขาครั้งแรกก็แบบนี้เหมือนกัน นอกจากพักที่จุดพักแล้ว ยังต้องแวะพักระหว่างทางบ่อยๆ เพราะขาล้ามากจริงๆ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างเข้าใจ

สายตาปลอบโยนของเขาทำให้หญิงสาวรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย

“อืม…คุณบอกว่าคุณเป็นนักเขียนนิยายใช่ไหม ชอบเขียนแนวไหนเหรอครับ” เขาถามขึ้นหลังจากคุยกันมาระยะหนึ่ง

“อยากรู้จริงเหรอคะ” ชลันธรเลิกคิ้วเรียวขึ้น

“จริงสิครับ แนวนิยายที่คุณชอบเขียนอาจทำให้ผมรู้จักคุณมากขึ้นกว่าเดิมก็ได้” ชายหนุ่มยิ้มอ่อนโยน

“ไม่เสมอไปหรอกค่ะ อย่างนักเขียนบางคน ถึงจะเขียนนิยายแนวดราม่า แต่ตัวจริงอาจไม่ได้เครียดกับชีวิตมากขนาดนั้น อย่างที่บอกละค่ะ มันเป็นโลกแห่งจินตนาการที่ทุกอย่างเกิดขึ้นได้ จะให้ใครเป็นอะไรก็ได้ตามที่ใจเราต้องการ เหมือนเราเป็นคนลิขิตชีวิตตัวละครน่ะค่ะ” ขณะเล่า ชลันธรก็นึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ได้ถามประเด็นที่เธอกำลังตอบ “ขอโทษนะคะ เกือบจะออกนอกเรื่องจนไม่ได้ตอบคำถามคุณแล้วเชียว”

จิณลีหัวเราะเบาๆอย่างพอใจ “ไม่เป็นไรครับ ผมชอบฟังคุณพูด แต่ตกลงว่าไงครับ ชอบเขียนแนวอะไร” เขาทวนคำถามอีกครั้ง

“อืม ฉันเขียนหลายแนวนะคะ ไม่อยากยึดติดอยู่แค่แนวเดียว แต่ส่วนใหญ่คงเป็นแนวโรแมนติกพาฝันหวานซึ้ง อะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยแววตามีความสุข

“แล้วนิยายแต่ละเรื่องคุณหาเรื่องราวมาจากไหนครับ” ชายหนุ่มถามต่อ

ชลันธรหรี่ตาคิด “ส่วนใหญ่มาจากเรื่องรอบตัวที่เกิดกับตัวเองหรือว่าคนรู้จักค่ะ เจออะไรน่าสนใจก็จดเอาไว้ แล้วพอถึงเวลาก็ดึงออกมาสักอย่าง เอามาคิดต่อยอด เติมสีสันความน่าติดตามเข้าไป ใส่อะไรที่เราชอบและคิดว่าคนอ่านน่าจะชอบเหมือนกัน เพ้อไปเรื่อยละค่ะ” เมื่อพูดจบก็เลื่อนสายตากลับมามองผู้ฟัง

“แล้วแบบผมพอจะเป็นพระเอกนิยายของคุณสักเรื่องได้ไหม” คนพูดเก๊กหน้าเข้ม แต่สายตาเป็นประกายวิบวับ

หญิงสาวยิ้มกว้าง “อืม…ขอพิจารณาดูก่อนค่ะ” เธอแกล้งไม่ตอบรับทันที และแอบขำอยู่ในใจ จิณลีคงไม่รู้สินะว่าเธอวางตัวเขาเป็นพระเอกนิยายเรื่องใหม่เรียบร้อยแล้ว

“แสดงว่าเป็นพระเอกของคุณไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ” เขาทำหน้าเศร้า ดวงตาคมกล้าเปลี่ยนเป็นออดอ้อนเล็กๆ

แต่ชลันธรก็ใจแข็ง “แน่นอนค่ะ พระเอกของฉันต้องคุณสมบัติครบตามที่ฉันตั้งไว้”

“อะไรบ้างครับ” เขาเอ่ยราวกับพร้อมจะนำคุณสมบัติที่เธอต้องการออกมาวางให้ดูต่อหน้า

“อันดับแรก ต้องเป็นสุภาพบุรุษและให้เกียรตินางเอกเสมอค่ะ ถัดมาต้องสามารถปกป้องดูแลนางเอกได้ อันดับสาม…” คราวนี้ใช้เวลาคิดนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ย “อืม…โรแมนติก อาจจะไม่ต้องมากก็ได้ แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย ส่วนอันดับสุดท้าย หน้าตาขอแค่พอใช้ได้ก็โอเคแล้วละค่ะ”

“แล้วผมผ่านสักข้อหรือเปล่า”

“ไม่ทราบสิคะ ยังไม่ได้ประเมินเลย” หญิงสาวแกล้งว่าด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ

“งั้นผมจะรอ แต่อย่าให้นานนักล่ะ” สายตาของเขาเป็นประกายกึ่งขอร้องกึ่งบังคับ

“ไม่รับปากค่ะ” ชลันธรกลั้นยิ้ม ทำหน้าจริงจังใส่

หลังจากนั่งพักมาครู่หนึ่งก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางต่อ จิณลีลุกขึ้นยืนพร้อมเสนอตัวอย่างยินดี “คุณจะขี่หลังผมก่อนก็ได้นะเอลลา”

“คงไม่ดีมั้งคะ แค่เดินตัวเปล่าก็ลำบากอยู่แล้ว ยังจะต้องมาแบกฉันอีก”

“ไม่ลำบากเลยสักนิด ถ้าแค่นี้ผมยังทำไม่ได้ แล้วต่อไปผมจะดูแลคุณได้ยังไงครับ” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปล่งประกายแรงกล้าบ่งบอกความนัย

หัวใจของหญิงสาวพลันเต้นผิดจังหวะ ความร้อนเย็นแล่นสลับกันไปทั้งร่าง ยิ่งอยู่ใกล้กัน ชลันธรก็ยิ่งรู้สึกหวั่นไหวมากขึ้นทุกที

หญิงสาวรีบดึงสติกลับมา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก “เลิกเล่นดีกว่าค่ะ เดินทางต่อได้แล้ว”

“คุณหายเหนื่อยแล้วเหรอครับ” เขายังอยากจะนั่งคุยต่ออีกนิด

“ค่ะ ขืนนั่งนานกว่านี้ เดี๋ยวเย็นก็ไม่ถึงกันพอดี” ชลันธรลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางแข็งขัน ก่อนจะออกเดินนำก่อนโดยมีจิณลีเดินตามมาติดๆ

ชายหนุ่มอมยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา อยากจะหนีเขาเหรอ รับรองว่าหนีไม่พ้นหรอก



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 16 ธ.ค. 2556, 18:25:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 16 ธ.ค. 2556, 18:25:55 น.

จำนวนการเข้าชม : 1307





<< บทที่ 10 ภูปีรา   บทที่ 12 ระหว่างทางสำคัญไม่ต่างจากจุดหมาย >>
บุลินทร 16 ธ.ค. 2556, 18:38:00 น.
คุณ ketza
เวลาลงแล้วลุ้นว่าคุณเกตซ่าจะมาคนแรกรึเปล่า ฮ่าๆๆๆ

คุณ ริญจน์ธร
คราวนี้มาหลังสุดเลย แต่ก็มาเร็วกว่าที่คิด ตอนแรกนึกว่าจะได้ลงสามทุ่ม

คุณ yimyum
เดี๋ยวโมรารัตติกาลก็จะมีหวานๆไม่แพ้กันนะครับ ระหว่างตามารกับสิตารา แนวกินเด็ก ฮ่าๆๆ

คุณ ใบบัวน่ารัก
ฮ่าๆๆ ไปเที่ยวได้แต่ไม่อยากอยู่ตลอดใช่มั้ยครับ

คุณ Zephyr
ตอนก่อนมีความสัมพันธ์ของเพื่อน ตอนนี้มีฉากพระนางอีกแล้ววว แต่คงหวานสู้ของพี่มูนไม่ได้ อันนี้เอาพอกรุ้มกริ่มนะ ลียาจะร้ายมั้ยเนี่ย ไหนเฟอร์ลองทายซิ

คุณ lovemuay
มีแต่คนสงสารลียานะนี่ ส่วนนางเอกยังเล่นตัวอยู่ครับ ฮ่าๆๆ หรือว่าจริงๆลันไม่รู้นะว่าจิณลีคิดยังไง

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ
รอดูกันๆ ว่าลียาจะร้ายหรือเปล่า ขุ่นลีไม่เคยพูดกับใครน้าาาา พูดกับนางเอกคนเดียว ฮ่าๆๆๆ คนอ่านจะเชื่อมั้ยเนี่ย อ่านม่านทิวาจบแล้วอย่าลืมไปอ่านยายปลาดาวต่อนะครับ

คุณ อสิตา
พี่มิ้งค์ได้ข่าวตรวจต้นฉบับจนตายลายหรือ

คุณ ดวงมาลย์
อารายพี่จุ๊บ ฮ่าๆๆๆ เดี๋ยวรอวี้ดวิ้วหมอวินทร์กับขวัญชมัย

คุณ patok
มีแต่คนให้คะแนนความสงสารลียาเยอะเบย ฮ่าๆๆ

คุณ ฤดูฝัน
ลุ้นให้ลียาทำใจให้ได้เร็วๆกันครับ


yimyum 16 ธ.ค. 2556, 20:15:35 น.
555 ตามารกินเด็ก แต่ตอนนี้ให้ม่านทิวาหวานอันดับ1ไปก่อนนะ รัวันโดนทวงตำแหน่งนะ 555 ^^


yimyum 16 ธ.ค. 2556, 20:15:49 น.
ระวัง


ดวงมาลย์ 16 ธ.ค. 2556, 20:38:30 น.
กรี๊ดดด อ่านแล้วจั๊กกะเดียม คิกคิก


ketza 16 ธ.ค. 2556, 20:43:43 น.
ว๊ายยยยย......
มัวแต่ทำความสะอาดห้อง วันนี้มาไม่ทันคนแรกเบยยย
แม่ศรีเรือนก้งี้ อิอิ


ใบบัวน่ารัก 16 ธ.ค. 2556, 21:49:02 น.
มีเรื่ิองแก้แค้นเพิ่มอื่ก โอ้ยยยยย งง


Zephyr 16 ธ.ค. 2556, 21:50:48 น.
ลียาไม่น่าจะร้ายนะ ดูยอมรับแล้วหนิ เฟอร์ให้อภัย
ถ้านางร้ายเมื่อไร ได้เจอเฟอร์ร้ายกว่า จะลองดูก็เอามา อิอิ
ภูปีรา ต้นแบบภูกระดึงป่ะนะ มีลูกหาบด้วยอ้ะ
ตอนแรกว่าจะเข้าข้างสาบปัตติยะซะหน่อย ไหนๆก็โดนทำร้ายก่อน
แต่ ป้าๆ ป้าจะโหดจิตไปหน่อยมั้ย ไม่หน่อยละ มากด้วย
นกสีขาวผิดอะไร เล่นบีบซะแตกเลย อ่า จิกจนเลือดอาบ
อึ้ยยยยยย สยองไปนะ ให้ป้าตายแบบนี้มะ กรรมตามสนอง
ตระกูลพินทะ หวังว่า จะไม่ใช่.......
ไม่มีทางอ่ะ มันต้องเกี่ยวกะจิณลีแหงๆ เลย โฮๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย


goldensun 16 ธ.ค. 2556, 22:38:22 น.
จิณลีชัดเจนมาก เดินหน้าจีบเต็มที่ ลียาไม่น่าทำอะไรให้สะเทือนความเป็นเพื่อน
ปัตติยะกับพินทะ ดูพินทะร้าย แต่ดูแล้ว ความแค้น พยาบาทที่ส่งต่อกันมา ทำให้สายเลือดปัตติยะดูโหดเหี้ยมไม่แพ้กัน


นักอ่านเหนียวหนึบ 16 ธ.ค. 2556, 23:01:21 น.
งืดดด ดารัณ นางเกิดผิดตระกูลป่าวววว อัลไลมันจิแค้นหนักหนาขนาดน้านนนน
กรรมแท้ๆ เรื่องของคนสองคนแท้ๆ ยัยคุณเมียก็ไม่น่าปล่อยวางไม่เป็นเลยจิงๆ เห้ออออ


อสิตา 17 ธ.ค. 2556, 03:56:51 น.
ทำไมชั้้นเห็นยายเอลล่าเฟอร์มาเม้นที่นี่แล้วมันใส่อารมณ์มาก
หรือว่าชอบรังแกมี่จัง พอไปทางนั้นจะดูหงิมๆ สงสัยกลัวตามารปล้ำ

อย่ารังแกน้องชายชั้นนะ หล่อนเป็นหลานตามี่


lovemuay 17 ธ.ค. 2556, 07:24:37 น.
จิณลีชัดเจนขนาดนี้ ลันยังไม่รู้ตัวอีกเหรอ
ส่วนดารัณ คนๆนี้น่ากลัวจริงๆ


ริญจน์ธร 17 ธ.ค. 2556, 10:29:59 น.
มาแล้วๆๆๆ


patok 17 ธ.ค. 2556, 21:40:42 น.
ดารัณเป็นใคร เค้าลืม555 ใช่พี่สาวจิณลีรึเปล่า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account