โมรารัตติกาล {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

-------------------------
ยังเคยยินเรื่องราวของหินโมราแห่งรัตติกาล
พลอยโบราณล้ำค่าที่อาจนำพาใครบางคนหวนสู่อดีตกาล เรื่องของมันอาจถูกกลบฝัง
กร่อนกลืนไปกับเงื้อมเงาแห่งกาลเวลาที่ค่อยๆเปลี่ยนความรับรู้ของผู้คน
แต่กับเขา...
ผู้ซึ่งมีเพียงความแค้น ไม่มีแม้ร่างกาย เป็นแต่เพียงวิญญาณที่ล่องลอยไปในราตรี
เฝ้าเพรียกหาให้อดีตหวนคืนกลับ เพื่อเปลี่ยนวันแห่งความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นชัยชนะ
เวลาผ่านเนิ่นนานนับสิบๆปีจากวันที่เขาตาย
โลกเปลี่ยนแปร แต่ใจของเขาไม่เคยเปลี่ยนตาม
เขายังคงไม่ไปไหน
แม้จำได้ว่าตนเองเคยมีนาม เคยเป็นใครคนหนึ่งที่ถูกเรียกขานว่าชามัล เมห์ฮรา
แต่ตอนนี้แทบไม่รู้สึกว่านามนั้นคือตนเอง ไม่ได้มีใครเรียกชื่อเขานานมากแล้ว
ตั้งแต่เขากลายเป็นชีวิตไร้ตัวตนในความมืด ที่ยังจำได้ดีคือความแค้นต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่เว้นแม้กระทั่งแค้นตัวเอง ที่พ่ายแพ้ และต้องตาย...
วิญญาณของเขายังรอคอยวันที่มือซึ่งมองไม่เห็นคู่นี้จะเอื้อมคว้าไปถึง
อัญมณีเม็ดนั้นที่จะพาเขากลับไปแก้ไขอดีต
...โมราแห่งรัตติกาล
และคนที่จะนำพาเขาไปถึงมันได้ มีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น


------------------------------------
เรื่องเริ่มต้นที่ร้านอัญมณีเก่าคร่ำคร่า หลายคนเดินผ่านเลยไป แต่มีบางคน...
คนที่ตามหาเท่านั้นจึงจะค้นพบการมีอยู่ของร้าน และเปิดประตูเข้ามา
ตัวร้านเดินทางอยู่ในระหว่างมิติเวลา บางทีมันอาจไปโผล่ที่ตรอกโทรมๆสักตรอกในอนาคต
หรือในซอยคับคั่งย่านเยาวราชที่คนพลุกพล่านเดินผ่าน แต่จะไม่มีใครหยุดสนใจ
นอกเสียจากคนผู้มีชะตาผูกพันกับพลอยทรงอำนาจลึกลับสักเม็ดในร้าน
ท่านจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าของร้านที่ชื่อ มิตร เมห์ฮรา

Tags: มนตราอัญมณี มายาไฟในดวงตา ชามัล มิตร สิตารา มัชฌิม์ รัตติดารา สิงหรานี ราศีที่สิบสาม ม่านทิวาพชร มรกตสนธยา

ตอน: บทที่ ๙ คู่ผจญกรรม (...ต่อ) งวดนี้มีตัวะครที่จะมีผลกับเรื่องม่านทิวาพชร กับมรกตสนธยาโผล่มาทักทายกันด้วยค่ะ

“ฟังก่อน...” ร่างที่เพิ่งจะชันตัวขึ้นแสดงสีหน้ารวดร้าว มือกุมลำคอซึ่งเพิ่งถูกงูรัดที่ยังปวดหนึบ
แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าอื่นใด เขาพูดออกมาเป็นภาษาเฉพาะของรัตติดารา!

เด็กหญิงนั้นตะลึงไปกับภาษาส่วนตัวของเธอที่ได้ยิน ส่วนชามัล ในยามนี้เขาเป็นรูปจิต
ทรงพลังมหาศาลที่เข้าถึงการสื่อสารทุกอย่างที่แล่นมากระทบจิตอยู่แล้ว โดยไม่ต้องมี
พื้นฐานมาก่อนก็สามารถเข้าใจ

สิตาราเพ่งพิจารณา เด็กหนุ่มมีผ้าโพกรัดผมและศีรษะช่วงเหนือหูขึ้นไป ผิวค่อนข้างขาว
ช่วงล่างที่เลยผ้าโพกลงมาเผยผมหยักศกไม่ยาวนักสีน้ำตาลเข้ม ที่โดดเด่นก็คือตรงติ่งหูของเขา
มีตุ้มหูมุกสีทองติดอยู่ข้างหนึ่ง

“ข้าก็แค่มีธุระกับพวกท่าน ข้ามาดี แต่ไม่กล้าเข้ามาโต้งๆ จำต้องดูท่าทีก่อน”

“เป็นใคร ชื่ออะไรก็รีบพูด ก่อนที่จะไม่มีโอกาส เพราะให้ข้ารอนานเกิน”
อสรพิษในร่างคนผู้ยืนตระหง่านอยู่กระซิบขู่เสียงไม่เบา

สิตาราดึงข้อมือชามัล คล้ายอยากลากให้เขาถอยออกมา ไม่ให้ทำอันตรายแขกหน้าตาละอ่อนสดใส

ชายผู้มีร่างอสรพิษนึกขำ “เธออยากสัมภาษณ์เจ้านี่เองหรือ เอ้า อย่างนั้นก็เชิญ แต่ยืนอยู่นี่แหละ
ไม่ต้องเข้าไปอยู่ใกล้มัน” ว่าแล้วเขาก็ขยุ้มหลังคอเสื้อเด็กหญิงไว้ เหมือนกำลังดึงลูกสุนัขซนๆไว้นิ่งๆกับที่

สิตาราเม้มปากอย่างขัดใจกับการกระทำนั้น แต่ก็ไม่ได้ดิ้นรน “เธอมาจากไหน รีบบอกมาเร็วๆเถอะ
ตอบตามความจริงด้วย ไม่งั้นคนคนนี้จะฆ่าเธอ เขาบ้า ใครห้ามก็ไม่ค่อยจะฟังเสียด้วย”

ชายหนุ่มที่ยืนคุมแจปล่อยให้เงาแห่งความคาดเดาไม่ได้ตกลงบังสีหน้าอยากหัวเราะของตน
ยายตัวเล็กนี่เข้าใจเอาเขามาขู่ฝ่ายตรงข้าม เหมือนจะใจดีไม่อยากให้อีกฝ่ายถูกฆ่า แต่ที่แท้ก็ร้ายอยู่พอตัว

เด็กหนุ่มที่ถูกงูรัดคอเมื่อครู่ผุดลุกขึ้นนั่งชันเข่าข้างหนึ่ง ก่อนจะสบตาเด็กหญิงตรงหน้า เอ่ยจริงจัง
“จุดมุ่งหมายของข้า คือมาเชิญท่านสิตาราไปด้วยกัน คนของทะเลสาบไร้เงาและศาลาวิกาล
กำลังรอคอยท่านอยู่ เรารอคอยท่านมานานเหลือเกินแล้ว”



พชรมุนินกับกลุ่มพวกพ้องราศีเมษกำลังเริ่มเดินทางอพยพตัดตรงข้ามแนวภูผากั้นเขตประเทศ
มุ่งสู่ทิศเอเชียบูรพา ด้วยกระสาถึงกลิ่นอายศัตรูที่เชื่อได้ว่าจะต้องมีมาขวางเส้นทางทะเล
ตอนนี้ต้องระวังให้จงหนัก ไม่เพียงพวกเขา ยังมีเด็กหนุ่มผู้ซึ่งตกมาจากอนาคตอีกคนเร้นกายมาด้วย

แม้เปลี่ยนเครื่องห่อหุ้มกายจากดำเป็นขาว ...แต่ภายในนั้น ความรู้สึกของมัชฌิม์กลับเป็นสีเทา
เทาที่หม่นหมองมากเสียด้วย เขารู้ดีถึงเงื่อนไขการใช้โมรารัตติกาล และในวินาทีแห่งการต่อสู้ชุลมุน
ภาพสร้อยประคำขาดกระจายยังติดตรึงในห้วงสำนึก ตอนนั้นเขามีแต่สะใจที่ได้ทำลายแผนของชามัล
ทว่าพอตกมาอยู่ในอดีตทั้งอย่างนี้ ความรู้สึกรับไม่ได้ก็ประดังประเดขึ้นมาเหมือนตาน้ำที่เพิ่งถูกขุดให้ทะลุ
เขาต้องจากพ่อแม่ จากพี่ จากน้อง ทุกคนที่เคยรู้จัก

ยังโชคดีที่ได้พบท่านผู้ครองราศีเมษ นอกจากช่วยชีวิต ชายวัยกลางคนยังมีเมตตากับเขา
อย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะได้รับจากคนแปลกหน้า ท่านพชรมุนินเคยเอ่ยอย่างห่วงใย...

‘เด็กน้อย เจ้าไม่มีที่ไปแล้ว แม้การมีเจ้าไว้อาจนำภัยมาสู่ แต่ข้าคิดว่าหากเราระวังให้ดี
การมีตัวตนของเจ้าจะช่วยเราไม่น้อย สีดำไม่อาจบดบังแสงสว่างในตัวเจ้าได้
ข้ามองเห็นอนาคตที่รุ่งโรจน์ชัชวาลของเจ้า’

‘ข้าจะมีวันนั้นได้จริงหรือท่านพชรมุนิน ตอนนี้ข้าไม่เหลือใคร มองไม่เห็นทางข้างหน้าเลย’

จริงอยู่ แม้ในห้วงเวลาที่จากมาเขาจะรู้ดี ตนไม่ได้ต่างจากเด็กมีปัญหาคนหนึ่ง
รู้สึกตลอดเวลาว่าด้อยกว่าพี่ชายผู้ใจเย็น สุขุม เก่งกล้า เพียบพร้อมทุกอย่าง
เป็นที่ชื่นชมของเหล่าผู้ดูแลในตระกูลและครูบาอาจารย์ แต่มัชฌิม์ก็รู้อยู่ลึกๆ
ทุกคนทั้งรักและห่วงตน ...มาตอนนี้สิ่งที่เคยไม่พอใจ รวมถึงคนพวกนั้นก็หายไปหมดแล้ว
เขาไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง คงเป็นผลตอบแทนจากการไม่เคยเห็นคุณค่าเมื่อมีมันอยู่

ไม่มีอะไรเสียใจเท่าเรื่องพ่อ ท่านพ่อว่าเขาดื้อรั้นเสมอ แต่ก็ยังไว้ใจให้มาทำงานนี้
ท่านว่ามันเป็นงานของเขา แต่สุดท้าย...ถึงไม่ทำทุกอย่างพัง ถึงขัดขวางชามัลได้ส่วนหนึ่ง
แต่เขาได้ทำชีวิตตัวเองพังไปแล้ว ด้านชามัลนั่นก็ยังไว้ใจไม่ได้ บางทีคงจะมีโมรารัตติกาล
เหลือติดมือมันอยู่บ้างกระมัง

ถ้าทำลายโมราสักเม็ดได้ มัชฌิม์ก็จะได้กลับไปยังที่ที่จากมา จากนี้เขาจะไม่อ่อนแออีก
ไม่ดื้อรั้นต่อต้าน แต่จะซึมซับความปรารถนาดีของคนที่หวังดีกับตน และมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพื่อจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว...ทำลายโมรารัตติกาล!


ธารเวลารินไหลดุจสายน้ำ จากเทือกเขาหิมาลัยอันเชื่อว่าเป็นที่สถิตแห่งทวยเทพสู่ป่าเขา
กระแสแห่งชีวิตนั้นไหลผ่านเมืองใหญ่ จนที่สุดก็หลั่งล้นออกทะเล น้ำจืดผสานเป็นหนึ่งกับน้ำเค็ม
ระลอกคลื่นนั้นก็แล่นริ้วไปกับลม ไกลแสนไกลสู่ห้วงสมุทรกว้างใหญ่ ผ่านวงล้อมของแนวเกาะ
อันดามันและนิโคบาร์ที่เรียงรายแบ่งตัดช่วงทะเลออกจากมหาสมุทรอินเดียอันไพศาล ณ ที่นั้น
ยังมีเกาะเกาะหนึ่งในน่านน้ำของพม่า รูปร่างคล้ายหัวสิงโตหมอบเห็นเพียงไหล่ ส่วนลำตัว
ทอดจมสงบอยู่ในทะเลแห่งนี้มาเนิ่นนานแล้ว เกาะ...ซึ่งมีชื่อว่าเกาะสิงห์

เหล่าโจรสลัดกลุ่มใหญ่ครองความมืดมิดแห่งน่านน้ำ เดินทางออกล่า บางคราไกลโพ้นคาบสมุทร
ลงไปจนผ่านช่องแคบมะละกา อ้อมแหลมมลายูมุ่งไปถึงทะเลจีนใต้ บางทีก็วกเข้าอ่าวไทย
โดยมีจุดหมายยังเมืองตราด ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของจ้าวผู้ครองเกาะสิงห์เอง

เกาะโจรสลัดที่ไม่มีใครกรายใกล้ ทำให้น่านน้ำช่วงนั้นเสมือนหนึ่งต้องสาป
และถ้าจะมีเรือสักลำผ่านทางมา ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่มีลำใดได้กลับออกไป
โดยมีผู้โดยสารชุดเดิมอีก ตัวเรือจะถูกนำมาปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นสมบัติของพวกมัน
คนทะเลที่แทบจะไร้อารยะ นอกจากเป็นเขตอันตรายแล้ว ทางเข้าสู่เกาะนั้นยังมีทางเดียว
...ช่วงหว่างขาหน้าของสิงโตที่เห็นอยู่ครึ่งๆนั้นมีเวิ้งอ่าวลึกเข้าไป บนเกาะมีป่า
และในป่าก็มีทางเข้าสถานใต้ดินอันเป็นถ้ำซ่องสุมของเหล่าโจรเถื่อน

ข่าวลืออันสะพัดไปในหมู่เกาะน้อยใหญ่นั้นมีอยู่ว่าโจรสลัดประหลาดหลุ่มนี้มีอาคมแรงกล้า
เดินทางในทะเลว่องไวเหมือนเงาผี ไม่มีใครตามรอยของมันพบ พวกมันจะออกเดินเรือ
ในยามเย็นย่ำสนธยา ปรากฏกายต่อหน้าเหยื่อเพียงในราตรีที่พลังของมันเพิ่มขึ้นสูงสุด
ปล้นชิง ทำลายทุกสิ่ง ทั้งหายไปไร้ร่องรอยก่อนตะวันของวันใหม่มาเยือน ดูเหมือนจะ
เป็นจริงอย่างคำลือ ด้วยตัวราชันของเหล่าโจรนั้นที่แท้ก็เป็นจ้าวผู้ครองราศีสิงห์
หนึ่งในรัตติดาราที่ทรงพลังกร้าวแกร่งที่สุดไม่เป็นสองรองใคร มีอัญมณีศักดิ์สิทธิ์
ที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นคือมรกตสนธยา พลอยเขียวรูปหัวใจทรงอำนาจเร้นลับ
ซึ่งทอประกายแสงแห่งยามเย็น

แต่เรื่องกิตติศัพท์นั้นก็ผ่านมานมนานแล้ว ตอนนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปร ชั่วขณะนี้ เวลานี้
เมื่อราชันแห่งสิงห์คนเก่าป่วยกระเสาะกระแสะใกล้ลาโลกนี้ไป ผู้ที่กำลังจะได้ขึ้น
สืบทอดอำนาจใหม่กลับไม่คู่ควร!

ไม่มีใครเลยล่วงรู้ เวลาก่อนส่งต่ออำนาจเช่นนี้คือช่วงที่กลุ่มโจรอ่อนแอลงเพียงใด
เพราะผู้สืบทอดที่เอาแต่หมกมุ่นลุ่มหลงในราคะกามรมณ์ ทุกคืนทุกวัน ราชันแห่งเหล่าโจร
ต้องนอนตรอมใจอยู่ยังคูหา ยามได้ยินเสียงการดื่มกินร้องเล่นเต้นรำในงานเลี้ยงดังแว่วมาเข้าหู
เสียงดาบกระทบดาบ มีดกระทบมีด เสียงโหยหวนเมื่อเลือดพวกเดียวกันต้องหลั่งริน
แต่ผู้ชราก็จนปัญญาจะออกไปห้ามปรามอันใดได้

ทว่าสายตาหนึ่งที่จดจ้องใกล้ชิดยิ่งกว่ามาจากมุมอับแสงในถ้ำ ก็แทบจะทนดูพวกพ้องของตนไม่ไหวเช่นกัน

“ถุด! กัดกันเหมือนหมา!” หญิงสาวร่างสูงโปร่งผมทรงพองฟูคล้ายขนแผงคอสิงโตตัวผู้
เอ่ยวาจากร้าวกระด้าง ขณะยืนกอดอกอิงผนัง มองภาพมะรุมมะตุ้มฟัดกันนัวเนีย
ในโถงถ้ำซึ่งอยู่ส่วนกลางของรังโจรอย่างสุดจะหน่าย

“นายหญิง เราก็มีแต่ท่านเท่านั้นที่พอจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงให้กลุ่มราศีสิงห์ของเราได้”
ผู้ติดตามหนึ่งในสี่ห้าคนที่รายล้อมนางสิงห์คำรามแน่นหนัก มิใช่อยากเอาใจสอพลอ
แต่ทั้งหมดล้วนรู้ตรงกัน ความจริงเป็นดั่งนั้น

“พี่ชายข้าเหลวแหลกไร้สาระทั้งวันคืน ตะกละตะกลามกินเหมือนหมู ส่งเสียงเรอ สำราก
พอเมาก็เคล้านารีมั่วไปหมด ข้ายังสงสัยว่าพวกเจ้าเฉียดเข้าใกล้ก็อาจจะโดนคว้าไปทำเมียด้วย
คลำดูไม่มีหางก็เอาแล้ว” คนพูดยักไหล่ทั้งปลายเสียงกดต่ำดูถูกระคนแดกดัน

“ท่านคิดว่าเราควรทำอย่างไรกันเล่านายหญิง หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสิงห์คงไม่อยู่เป็นสิงห์
ราศีอื่นเขมือบกลืนเราแน่ ยิ่งเข้าใกล้จุดปั่นป่วนของรัตติดาราที่ทุกผู้ต่างสัมผัสได้ตรงกัน”
ชายอีกคนที่อยู่เบื้องหลังของร่างอรชรงามสง่าเอ่ยร้อนรน

“เจ้าดูสารรูปพี่ข้าสิ เน่าเหม็นสิ้นดี ให้มานั่งตำแหน่งหัวหน้าและกัปตันของพวกเจ้าได้ละหรือ?
ข้าว่า...หมูก็ควรอยู่ในคอกส่วนหมู”

ชายคนแรกผงะคล้ายตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“เช่นนั้นนายหญิงจะให้พี่ชายรองของท่านขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มเราแทนรึท่าน”

หญิงสาวเจ้าของใบหน้าคมกริบกับทรงผมฟูสยายที่ส่งให้นางดูสูงส่งยิ่งไปกว่าที่เป็น
หันไปมองคนกล่าว ก่อนหรี่ตา ทำหน้าคล้ายเหม็นอาจมใส่ผู้ติดตาม “ชึ...เจ้าคิดได้แค่นี้หรือ
หากไม่พัฒนาไอ้ก้อนสมองที่อยู่ในกะโหลก สักวันข้าจะโละเจ้าด้วย ไอ้พวกพี่ชายไม่เอาไหน
ข้าจะจับขังลืมมันทั้งพี่ใหญ่พี่รองน่ะแหละ หากสิ้นท่านพ่อข้าจะเป็นสิงห์ต่อจากท่านเอง!”
นางว่าพลางใช้กำปั้นทุบผนังถ้ำอย่างมาดหมาย “ไป...เราต้องออกเดินทางกันเดี๋ยวนี้
ไปหากำลังคนที่ซ่องสุมอยู่ตามเกาะต่างๆ พวกที่เกลียดพี่ชายจอมเขมือบของข้าเป็นทุนเดิม”

“พวกข้าขอติดตามท่านไปจนวันสุดท้าย ยินดียิ่งแล้วที่จะให้นางสิงห์เขี้ยวเล็บคมเป็นผู้นำแห่งเรา
แต่ยังกังขาอยู่อย่าง”

“พูดมาอย่าพิรี้พิไร” หญิงสาวกดเสียงต่ำ

“เมื่อได้ตามนั้นแล้ว หากวันใดพี่ชายเล็กของท่านกลับมาล่ะ”

“ถ้าเขากลับมาถึงก่อน ถ้าเขาปรับปรุงความคิดตัวเองแล้ว ข้าอาจให้โอกาส...
แต่บังเอิญข้าถือคติมาก่อนได้ก่อน ใครมาช้าก็อด ของที่ได้มาแล้วข้าจะไม่ปล่อยมือ
ถ้าข้าได้ขึ้นเป็นใหญ่แล้วเขายังอยากครองเกาะนี้กับรัตติดารา ถึงเวลานั้นก็ต้องข้ามศพข้า
แล้วเจ้าก็รู้ หน้าอย่างนั้นคงไม่มีปัญญา” คนพูดแสยะยิ้ม “ไป! ไปเตรียมออกเรือ
บอกพี่ข้าว่าเราจะไปหาสาวชาวเกาะมาให้ไอ้พวกเวรนี่ฟัด ไม่ต้องขยายความนะว่าเป็นสาวๆ
พร้อมอาวุธครบมือ พร้อมตัดไอ้จ้อนพวกมันไปโยนให้ฉลามกิน!”


ชามัลและสิตาราได้ออกเดินทางร่วมกับเด็กหนุ่มที่พวกเขาเจอ อันที่จริงจะเรียกว่า
‘เดินทางร่วมกัน’ เสียทีเดียวคงไม่ถูก แต่เพราะบังเอิญไปทางเดียวกันมากกว่า
และชายผู้มีร่างอสรพิษเองไม่รู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะทำอะไรสิตารา หรือถึงคิด
ก็คงไม่ผ่านมือเขาที่คุมแจอยู่ไปได้ ที่รู้ก็คือ เด็กหนุ่มถูกส่งมาจากพวกที่เป็นแกนสำคัญ
ของรัตติดารา ทั้งยังเป็นคนของราศีคนคู่ ตามที่อีกฝ่ายบอกให้เขาฟัง

“อย่างที่ข้าบอกท่านแล้ว ตัวข้าวรรณะยังมีแฝดอีกคนซึ่งแยกไปอีกทาง ชื่อนิลละ
เขาจะเอาเรือมารอเราอยู่ที่ปากน้ำใหญ่ ถึงตอนนั้นคงได้พบกัน”

เด็กหนุ่มพูดแล้วก็ทำท่าคล้ายเจ็บหน้าอกจนต้องจับหัวใจ ซึ่งไม่ใช่ครั้งแรกในรอบวัน
ชามัลเห็นเข้าอีกครั้งจึงอดถามออกมาอย่างรำคาญไม่ได้

“ป่วยรึ... เป็นโรคหรืออะไร ถ้าเป็นอย่างนั้นก็อย่าบังอาจมาเข้าใกล้สิตารา”
อสรพิษหนุ่มเอ่ยวาจาร้ายกาจออกไปทั้งรอยยิ้ม

“ข้าแค่ไม่ถูกกับอากาศแปรปรวน บางทีก็ต้องรับการรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายเลือด”

“หึ ความเข้าใจผิดของหมอสมัยเก่า เอาเลือดออกอย่าคิดว่าหาย มีแต่จะตายไม่รู้ตัว”

“ของข้า...คงไม่เหมือนคนปกติ” วรรณะเอ่ยอธิบาย

ชามัลหันไปทางอื่นคล้ายคร้านจะฟังเรื่องส่วนตัวของเด็กหนุ่มต่อ
เห็นดังนั้นผู้ที่ถูกให้เข้าร่วมกลุ่มอย่างเสียไม่ได้จึงเหลือแค่สิตาราที่สนใจนั่งฟังเขาต่อไป

ตอนนี้อยู่ในช่วงพักกินอาหารเที่ยง ไม่เพียงแต่สิตาราหรือวรรณะเท่านั้นที่นั่งพักกินอาหาร
แม้แต่ชามัลเองก็กินด้วย เขาเป็นร่างที่เกิดจากธาตุพลังแห่งโมรารัตติกาลที่มีชีวิตเป็นอิสระ
อยู่ยงได้โดยไม่ต้องกินอย่างมนุษ์ แต่เขาอยากจะรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิต ไม่ต่างจากคนคนหนึ่ง

“ทำไมถึงกินเรียบร้อยจัง” เสียงทักจากเด็กหญิงที่คุยกับวรรณะเสร็จก็หันมาหาเรื่องต่อเปรยทัก

ชามัลเหลือบตามอง ก่อนจะตอบ “เคยเป็นผู้ดี”

“ก่อนจะเป็นผีน่ะเหรอ...อืมๆ” สิตาราได้จังหวะแกล้งยวน

“ขอโทษนะ จะให้ตะกรุมตะกรามแบบไอ้ตัวที่เลี้ยงเธอมาน่ะคงไม่ไหว ผู้ชายที่ไม่มีใครเลี้ยงดู
อบรม สั่งสอนแบบมัน เธอเองก็คงไม่ต่างกันสักเท่าไหร่” ชามัลอดเยาะไม่ได้

สิตารากลับยักไหล่ “อันนั้นต้องโทษพ่อของมิตรมากกว่ามั้งที่ทิ้งลูกไป รู้ๆกันอยู่แล้วนี่ว่าใคร
ส่วนฉัน พ่อแม่ตายไปแล้ว มีคนให้อยู่ด้วยก็นับเป็นบุญคุณ โดยเฉพาะคนดีๆอย่างมิตร
อย่างน้อยฉันก็อยู่กับเขาอย่างเต็มใจ”

จากนั้นสงครามเย็นระลอกที่ร้อยก็เริ่มขึ้น... เป็นเรื่องช่วยไม่ได้เลยที่ทั้งสองจะต้องทะเลาะกัน
เมื่อสิตารายังกรุ่นๆอยู่ตลอดเรื่องที่ต้องตกมายังอดีต แถมชามัลยังยึดร่างเธอไปเป็นหลายเดือน

ทั้งหมดเดินทางมาตามสายน้ำพรหมบุตร จนกลายเป็นแม่น้ำยมุนา ผ่านชุมชนหลายแห่ง
ยามได้พบผู้คนชามัลเพียงแค่ศึกษาด้วยสายตาและกระแสจิต มิพักสนทนากับใคร
มีเพียงแต่สิตาราที่ทำท่าอยากคุย แต่เธอก็พูดภาษาของคนแถวนี้ไม่ได้ เพราะรู้แค่
ภาษาไทยกับภาษาพูดเฉพาะของพวกรัตติดาราเท่านั้น มีเพียงวรรณะที่ยอมตัวเป็นล่าม
ช่วยให้ถามนั่นไถ่นี่ได้บ้างแม้ชามัลก็ไม่หยุดให้นานนัก แต่ในความไม่ตามใจนั้นมือของ
ชายหนุ่มกลับไม่เคยปล่อยเจ้าของมือเล็กให้เดินลำพัง ยามผ่านร้านตลาดก็คอยเอาตัว
และแขนกันไม่ให้ใครเดินชนหรือกระแทกคนตัวเล็ก ดังนั้นไม่ว่าสิตาราจะกัดจะกวนเขาอย่างไร
ในยามว่าง ลึกๆแล้วเด็กหญิงก็อดรู้สึกไม่ได้ ว่าผู้ชายที่ร้ายกาจกับคนอื่นสารพัดคนนี้กำลัง‘ดูแล’เธอ

“ดูแม่น้ำสิท่านสิตารา จากนี้ไปกระแสนทีนี้จะไหลลงรวมกับพระแม่คงคาผู้เปรียบประดุจ
เส้นเลือดใหญ่ เราใกล้ทางออกสู่ทะเลเข้าไปทุกที” วรรณะเอ่ยทั้งรอยยิ้ม

สิตาราไม่ใช่คนที่จะมองใครที่รูปลักษณ์ แต่ความสดใสของคนมาใหม่มีบางอย่างที่ทำให้เธออารมณ์ดี
เด็กหญิงจึงหัวเราะร่วนได้กับหลายสิ่งที่เขายกมาพูดเอาใจให้สนุก ต่างกับชามัลซึ่งดูจะเงียบลงหลายครั้ง
รอดูท่าทีคนมาใหม่ แต่เมื่อสิตาราหัวเราะมากเข้าดวงตาเจ้าเล่ห์เหมือนงูร้ายก็หรี่ลง
คล้ายไม่พอใจอยู่ในที ก่อนเขาจะเอ่ยคล้ายดูแคลนขำๆ

“จะว่าไปก็ชักสงสัย ว่าพวกรัตติดารามีแต่คนยังไงแน่ ถึงได้เลี้ยงพวกตัวตลกหน้าเป็น
ที่คอยหลอกล่อเด็กเอาไว้ด้วยอย่างนี้ ในที่ของพวกเจ้า มีพรรคพวกแบบไหนอยู่กัน”

“ข้ายังเป็นวัยรุ่นละอ่อน ประสบการณ์ไม่พอจะแสดงสีหน้ากร้านๆ ก็เลยมีสิทธิ์ใช้ชีวิตเริงร่าไปก่อน”
วรรณะยิ้มย่องยามเอ่ยคล้ายประชดด้วยสีหน้าสีตาไม่รู้เรื่อง

เขารู้ว่าตนไม่ใช่ตัวตลกหน้าเป็นตามคำกล่าวเกินจริงนั่น เขาก็แค่คนมีความสุขและมีอารมณ์ขันเท่านั้น
ซึ่งในที่นี้เด็กหนุ่มก็สรุปเอาว่าผู้มีนัยน์ตากร้าวเหมือนแบกโลกไว้ทั้งใบอย่างชามัลไม่เข้าใจและอิจฉา
เพราะวรรณะไม่รู้ ยังมีบางเวลาที่ชามัลอาจยั่วเย้าอารมณ์ดีได้ยิ่งกว่าตนเสียอีกหากว่าต้องการ

“รอให้โอกาสเหมาะๆ ข้าคงได้แนะนำทุกคนให้ท่านรู้จัก คนแรกก็นิลละ...แฝดของข้า
เราไม่นับว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้อง นั่นนับว่ายุติธรรมที่สุดแล้ว แต่ดูเหมือนพระเป็นเจ้า
จะไม่ได้มอบแสงสว่างให้มันมากมายสักเท่าไหร่ ต่างจากข้า” คนพูดละคำว่ามืดหม่น
เหมือนท่านเอาไว้แต่เพียงในใจ เพราะที่จริงแล้วชามัลเองก็ไม่ได้มีบุคลิกต้องกับสีดำ
ถึงขนาดนั้น ที่เหมาะสมน่าจะเป็นเลือดมากกว่า เลือดข้นๆน่ากลัวที่ไหลนองพื้นในราตรี...

“คนที่ชอบพูดแต่เรื่องของตัวเอง มันน่ารำคาญ เจ้ารู้หรือเปล่า
เอาแต่พูดเรื่องแฝดที่ไม่ต่างจากส่วนหนึ่งของตัวก็นับเป็นประเภทเดียวกัน”

“งั้นข้าอยากนำเสนอท่าน... ที่ทะเลสาบไร้เงา ผู้ครองราศีพิจิกทั้งสอง ท่านนักบวชดำกับแม่ชีดำรอคอยท่านอยู่”

“แม่ชี เป็นผู้หญิงแก่ๆงั้นหรือ” สิตาราถามอย่างสนใจ

“เปล่า ท่านสิตารา เป็นหญิงสาว งามเลิศล้ำทีเดียว”

“ค่อยฟังน่าสนใจขึ้นมาหน่อย” ชามัลยกมุมปากขึ้นยามเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป

สิตารามองคนพูดอย่างหมั่นไส้ พ่นลมออกปากดังพรืด มิตรเคยสอนแล้วเชียวว่าโตขึ้น
อย่าไว้ใจพวกผู้ชายง่ายๆ นี่ขนาดยังไม่ทันจะโตก็ต้องมาได้เห็น ผู้ชายที่ทั้งนิสัยแย่ เห็นแก่ตัว
เจ้าชู้ รวมอยู่ในตัวคนคนเดียวเสร็จสรรพ ในตัวเขาจะมีความดีซ่อนอยู่ตรงไหน อยากจะรู้เหลือเกิน

“ผู้ชายเจ้าชู้...น่ารังเกียจ” เด็กหญิงเปรยกวนๆ

“หึ เด็กจะไปรู้อะไร” ปกติเขาเป็นคนช่างเลือก แต่กลายเป็นผีมาตั้งยี่สิบปี
มันก็ต้องมีบ้างที่จะโหยหาอะไรที่ขาดๆหายๆ ชามัลไหวไหล่อย่างไม่อยากใส่ใจ
ก่อนจะหันไปสบตาวรรณะ “ว่าแต่นักบวชดำนั่นสามีนางรึ คนพวกนี้แต่งงานได้หรือเปล่า
หรือต้องครองตัวเคร่งครัดตามเพศนักบวช”

“ย่อมแต่งงานได้หากต้องการ รัตติดาราเป็นกลุ่มราศีที่ทำตามใจตัวเองมาตลอด
ตอนนี้ พูดตรงๆก็อาจเรียกได้ว่าเราแตกแยก ก็ยิ่งทำให้อำนาจที่จะทำสิ่งใด
ตามต้องการยิ่งเปี่ยมล้น แต่ทั้งนักบวชและแม่ชีดำ ทั้งสองเป็นสหายที่สามัคคี
กันเป็นอย่างดีต่างหาก ทั้งสามารถยิ่งในด้านพลังเร้นลับ ท่านต้องปีติ
เหมือนได้พบองค์เทวะหากได้พบคนเช่นทั้งคู่”

แม้รู้ว่าวรรณะสรรเสริญคนฝั่งตนเพื่อกระตุ้นให้อยากรู้ และทั้งแกล้งให้ฟังขวางหูอยู่ส่วนหนึ่ง
แต่ชามัลก็เห็นว่าไร้ค่าเกินจะเอาความ แม้ใจจะเก็บความระคายเคืองที่สั่งสมดุจเม็ดกรวด
ละเอียดยิบเอาไว้ รอเอาออกมานับทีเดียวเมื่อถึงเวลาเหมาะควร

“เอาเถอะ ถึงตอนนั้นแล้วข้าจะบอกเองว่ายินดีหรือเปล่า เมื่อได้สมาคมกับใครต่อใครที่เจ้าอวดอ้างมา”



บางคราเมื่อหมายเลี่ยงชุมชนเมืองริมแม่น้ำ หนทางที่ต้องผ่านจึงเป็นป่า
มีโบราณสถานสร้างด้วยศิลปะอย่างแขกฮินดูอยู่ให้เห็น บ้างเป็นวัดร้าง
ศาลาของเทพเจ้าซึ่งผู้คนนับถือ ดูน่ากลัวคล้ายว่าเป็นสถานสถิตของบางอย่าง
ที่จับจ้องมองมาไม่ลดละ ...อาจเป็นเพราะนี่คือการผ่านมาของชามัล วิญญาณร้าย
พรายรับใช้ที่ซ่อนเขี้ยวคมแห่งพิษไว้ ชีวิตจากความมืดที่ถูกโมราสีเลือดชุบให้ฟื้นคืนขึ้นมา

บรรยากาศอึมครึมโรยตัวลงครอบงำทั้งกลุ่ม แม้วรรณะทำตัวสนิทสนม
เมื่อเดินทางด้วยกันยามวัน ทว่าในยามวิกาลเขากลับปลีกตัวห่างออกไป
อ้างว่าชอบนอนคนเดียวมืดๆเงียบๆ สิตาราจำต้องตกอยู่กับชามัลสองคนดังเดิม
ในเวลาแบบนั้น รู้สึกได้ว่าวรรณะกลัวชายที่มากับเธอ เด็กหญิงปรายตามองชามัลยิ้มยั่วเย้ามา
แสงไฟสะท้อนเข้านัยน์ตาน้ำตาลทองแลบประกายสวย แล้วเขาก็เอนกายฟังเธอเล่นดนตรี
สิตาราส่งเสียงร้องคลอไปเสียด้วย เธอไม่สนใจเขา หรือว่าถ้าเขารำคาญก็จะดีเข้าไปใหญ่
แต่กลับกลายเป็นว่าบางเพลงที่เด็กหญิงจำเนื้อร้องไม่ได้ชายหนุ่มที่ซ่อนร่างอสรพิษไว้
ข้างในก็ฉวยไปเล่นและร้องให้ดูเป็นตัวอย่างเสียอีก

ยามอารมณ์ดียิ้มของเขามีเสน่ห์ชวนให้วางใจ แต่สิตาราก็รู้อยู่ดีว่าชายคนนี้อันตราย
...ทุกๆครั้งที่เธอหลับใหล ลืมตาขึ้นมาเห็นทีไรก็ทีนั้น เขามักกลายร่างเป็นงูมหึมา
ตาแดงฉานเหมือนเลือด แลบลิ้นยาวสองแฉกออกมาแผลบๆน่าสะพรึง คล้ายว่า
การทำเช่นนั้นจะช่วยปลดปล่อยแค้นที่สุมไว้เหมือนลาวาเดือดในใจให้ทุเลา
ความพลุ่งพล่านลง เขารอคอย เหมือนงูจ้องกลืนเหยื่อที่จินตนาการไปถึง
ซึ่งหนึ่งในนั้นอาจเป็นเธอ...

ความสัมพันธ์ของสิตารากับทาสแห่งโมรารัตติกาลเป็นไปอย่างเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายจนน่าใจหาย
บางทีชามัลก็รำคาญสิตารา ใช้อำนาจกักตัววรรณะไว้ไม่ให้ช่วย ปล่อยเธอหลงป่าอยู่คนเดียว
จนร้องไห้ ยิ่งถ้าเมื่อไหร่พูดถึงเรื่องมิตรหรือมีการเปรียบเทียบ เมื่อสิตาราหมดความอดทน
ยิ่งเป็นต้องทะเลาะกันใหญ่โต เห็นได้ชัดเลยว่าเขาแกล้งดีกับเธอเพราะมีจุดประสงค์
ไม่ได้ห่วงใยหรือหวังดีจริงจังแม้แต่นิดเดียว

“ท่านสิตารา...ทำไมไม่ลองใช้ความอ่อนแอให้เป็นประโยชน์ บางทีอ่อนแอกว่าก็อาจเป็นฝ่ายชนะ”
วรรณะแอบแนะยิ้มๆ

“จะทำงั้นได้ไงกัน” เด็กหญิงหน้าบึ้ง เอนตัวหลบมือที่เอื้อมมาสัมผัสไหล่ปลอบใจ
ทั้งที่กับชามัลเธอไม่เคยระแวงระวังตัวเหมือนอย่างนี้

“อะเอ่อ ข้าขออภัย” วรรณะดูกระดากเก้อเขินกับการกระทำของตน
เด็กหนุ่มจึงกลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะ
“เรื่องนั้นแต่ละคนก็มีวิธีที่ต่างกัน ท่านต้องหาทางของท่านให้เจอด้วยตัวเอง”

คืนเดือนแรมที่ฟ้าเปิดเห็นดาวสกาวบนฟากฟ้า คืนนั้นสิตาราเคลิ้มฝัน
กลิ่นและความอบอุ่นของกองไฟเตือนความจำ เสมือนยามกลิ่นกายของพี่สาว
ที่กอดเธอเอาไว้กรุ่นมาอยู่ตรงปลายจมูก เมื่อไร้พ่อแม่ มีกันสองคนพี่น้องที่กระเซอะกระเซิงหนีตายมา

สิตาราเป็นคนไทย พี่ดาราบอกว่าบ้านเดิมของเธอและพี่อยู่แถวพิษณุโลก
พ่อแม่เป็นคนค้าขายของกินของใช้ทั่วไปไม่มีอะไรพิเศษ ปลูกผักขายบ้าง จับปลาบ้าง

ทว่าเช้าวันหนึ่ง...เธอและพี่ตื่นขึ้น พบว่าตัวเองมานอนอยู่ข้างบ้าน
แต่บ้านไม้นั้นถูกไฟเผาวอดไปแล้ว แปลกที่ดูเหมือนไฟจะแรงร้อน
จนป่นทุกอย่างลงแทบไม่เหลือโครงร่างเดิม ใครกันที่เอาตัวเธอและพี่ออกมา
มีเค้าว่าพ่อแม่ก็คงจะสลายกลายเป็นเถ้าไปพร้อมบ้านนั้นด้วย พี่ดาราบอกสิตารา
หากพ่อกับแม่ที่แสนรักลูกๆยังอยู่ คงไม่มีวันหายไปไร้วี่แววเช่นนั้น ที่สุด
พวกเธอก็ต้องทำใจว่าถูกทิ้งไว้ลำพัง ไร้ญาติขาดมิตร

‘พี่จ๋า พ่อแม่ไปไหน แล้วเราจะไปไหน’ เสียงของเด็กหญิงในอดีตถามพี่สาว
ทั้งคู่ร้องไห้ไม่หยุด แต่ก็กอดกันไว้ มีเพียงกันและกัน

‘พ่อแม่ตายไปแล้ว จะไม่กลับมาหาเราอีก แต่พี่ยังอยู่ทั้งคน ไม่ต้องกลัว...’
แล้วพี่ก็กอดเธอแน่น ทำอย่างนั้นอยู่เนิ่นนาน ตัวของพี่สั่นอย่างระงับไม่อยู่
ในขณะที่สิตาราซึ่งยังเล็กมากจับต้นชนปลายไม่ถูก ดูเหมือนคำที่บอกว่า
ไม่ต้องกลัวนั้นพี่สาวจะบอกตัวเองมากกว่าเธอ

ตอนนั้นสิตารายังแค่สี่ขวบ จำความอะไรได้ไม่ได้ชัดเจนด้วยซ้ำ
แต่พี่ดาราที่โตกว่าเธอเป็นสิบปีเล่าภายหลังว่ารู้สึกถึงอันตราย
จึงพาน้องดั้นด้นหนีมาเรื่อยไม่ยอมอยู่ติดที่ ใช้ชีวิตหลบๆซ่อนๆ
กันสองคนโดยซ่อนน้องสาวเอาไว้ ขณะที่ตัวเองไปหาอะไรทำในชุมชน
ทำงานแลกอาหารและเงินนิดๆหน่อยๆ จนเมื่อสิตาราอายุได้แปดขวบ
พวกเธอย้ายมาถึงตราด รู้สึกว่าจนมุม อันตรายจากกลุ่มคนลึกลับที่คุมเชิง
ห่างๆก็คล้ายจะบีบล้อมเข้าหา ทว่า...มือหนึ่งได้ยื่นเข้ามาช่วย มือของราศีพิจิก
แม่ชีดำกับนักบวชที่วรรณะพูดถึง! จากแววตาที่สบกัน เขารู้ว่าเธอจำสองคนนั่นได้
ทั้งสิตาราและวรรณะ ไม่มีใครเอ่ยถึงจุดนี้ต่อหน้าชามัล
เขายังไม่รู้...แม้จะเคยเข้ามาอยู่ในร่างเธอนานจนจิตสองดวงแนบชิดกันยิ่ง
แต่ใจของสิตารานั้นยังมีมุมมืดดำเร้นลับที่แยกไว้ในจิตใต้สำนึกโดยสิ้นเชิง

กลุ่มไล่ล่าตัดสินใจโจนเข้าหาสองพี่น้องผู้เป็นเหยื่อในทันที
ส่วนหนึ่งอาจเพราะเห็นมีคนยื่นมือเข้ามาช่วยพาพวกเธอหนีจาก
ในเวลานั้นพวกเธอถูกพาหนีข้ามไปสู่เขตแดนเขมร
แม่ชีดำบอกว่าจะพาไปยังเกาะที่ปลอดภัย ...แต่แล้วก่อนจะไปถึงเรือ
ศัตรูตามมาทัน! เกิดการต่อสู้ ทุกอย่างถูกเผา ในความชุลมุนนั้นมีแต่เสียงตะโกน
หากันด้วยภาษารัตติดารา พี่ดาราเคยบอก กลุ่มคนเหล่านี้มาจากหลายเชื้อชาติ
จึงต้องมีภาษากลางไว้พูดกัน

ยามนั้นใครบางคนพุ่งเข้ามาชนสิตาราล้มกลิ้ง เธอถูกกระชากตัวไปอีกทาง
แยกจากพี่สาวที่ส่งเสียงกรีดร้อง เปลวไฟลามเลีย คนที่ดึงตัวเธอมาถูกฆ่า...
แล้วสุดท้ายก็เหลือเด็กหญิงตัวคนเดียวในวงล้อมแห่งไฟ

กลิ่นของไฟ
อบอุ่น ปลอบโยน เหมือนอ้อมกอดของพี่สาว แต่บางครั้ง...กลิ่นไฟก็โหดร้าย
ชวนนึกถึงคืนแห่งชะตากรรมเมื่อหลายปีมาแล้วนั่น สิตาราหวาดกลัวจนเปลือกตาสั่นกระตุก
ที่สุด ดวงตาคู่สวยก็ค่อยๆหรี่ลืม

ท่ามกลางความสลัวของกองไฟใกล้หรี่ดับ ภาพที่เห็น เจ้างูตัวนั้นอีกแล้ว
งูยักษ์ขดเป็นวงใหญ่เหมือนวงยางรถดำทะมึนซ้อนขึ้นไป แผ่แม่เบี้ยอวดเกล็ดมะเมื่อม
สะท้อนรับเปลวแสงไฟอ่อนจางที่ส่องกระทบ กับแสงของเดือนดาวซึ่งสาดลงมาหา
พังพานซึ่งแผ่ขยายจนบานร่าของมันหันชูร่อนส่ายช้าๆไปในอากาศ คล้ายระแวดระวัง
ดูสิ่งต่างๆในความมืดรอบกาย แสดงให้เห็นชัดว่าจิตแห่งจงอางร้ายไม่เคยสงบลงได้เลย

สิตาราขบริมฝีปาก ข่มสติก่อนจะลุกขึ้นนั่งแล้วบ่นออกมาดังๆ
“โอ๊ย จะหลับจะนอนกับใครเขาบ้างไม่เป็นหรือไง มากองม้วนเป็นไส้เดือนตาวาวอยู่ได้
ทำคนอื่นเขานอนไม่หลับรู้ไหม” เด็กหญิงค่อนข้างพาลอยู่มาก ช่วงนี้ความสัมพันธ์แย่ลงอีก
อาจเพราะเมื่อเย็นชามัลสั่งงดอาหารเธอฐานพูดจาไม่เข้าหู แล้วนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก

ฉับพลัน งูยักษ์ที่คล้ายกองสงบอยู่เลื้อยปราดเข้าถึงตัวสิตารา! เด็กหญิงผวาจะลุกวิ่งหนี
แต่ไม่ทันเสียแล้วเมื่อทั้งร่างถูกรัดไว้ในพริบตา แขนสองข้างถูกบีบแน่นติดลำตัว
เจ้าของเกล็ดดำมันลื่นม้วนกระหวัดพันขึ้นมาจนถึงไหล่บอบบาง
ออกแรงรัดแน่นเสียจนเหยื่อรู้สึกคล้ายกระดูกใกล้จะลั่นร้าว
ดวงตาแดงโรจน์บนหัวที่แผ่พังพานส่ายต่ำลงมาลงจ้องใกล้ชิด
ก่อนจะพูดให้ได้ยินชัดเจนอย่างกับมาดังอยู่ในใจ

“ปกติงูจงอางมันรัดเหยื่อไม่เป็น! แต่บังเอิญว่าฉันไม่ใช่งูจริงๆ
แล้วก็ไม่ชอบเด็กก้าวร้าวที่จะมาคอยออกคำสั่ง”

“จ...จะฆ่ากันหรือไง” สิตารารู้สึกว่าเลือดแล่นขึ้นหน้า คั่งอยู่อย่างนั้น
แทบเอ่ยอะไรไม่ออก ขณะที่ศีรษะงูจงอางยักษ์ขยายใหญ่ขึ้น ใหญ่ยิ่งขึ้นทุกที
ปากอ้ากว้าง เห็นเขี้ยวขาววาวเหมือนดาบเล่มโง้งสองเล่มคมเฉียบแทบจะทิ่มหน้าเธออยู่แล้ว
เด็กหญิงสั่นเทิ้มแต่ก็ไม่กล้าปริปากร้องขอความเมตตา นี่หรือ อำนาจอันมหาศาล
ที่เกิดจากพลอยอย่างโมรารัตติกาล

“จำไว้! ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของใคร ...แล้วรู้ไหม ถ้าโกรธหนักๆ
ฉันอาจลืมเรื่องการล้างแค้นทั้งหมดไปเลยก็ได้ เพราะเมื่อไหร่ที่อยากฆ่าเธอเอามากๆ
แถมเห็นเป้าหมายอยู่ตรงหน้า คงคิดอะไรไกลกว่านั้นไม่ไหว”

“ระ รู้แล้ว ขอโทษก็ได้” สิตาราเป็นพวกรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง
เอาตัวรอดไว้ก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากัน นั่นละที่มิตรสอนเธอ

ร่างของเด็กหญิงถูกปล่อยทิ้งลงพื้น เร่งรีบหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอด
เธอมองเขาด้วยสายตาหวั่นระแวง งูใหญ่ยักษ์นั้นหายไปแล้ว บัดนี้เป็นชามัลที่ยืนอยู่แทน
ในแสงดาวเขาดูสง่างามและแสนจะโหดร้ายเลือดเย็น ชายหนุ่มยังสวมเสื้อกั๊กเปิดอก
เห็นเขี้ยวแก้วนาคาที่สะท้อนแสงวาบ นอกจากจะมีอำนาจของงูในตัวตนแล้ว
ยังมีเขี้ยวแก้วที่ว่าช่วยเรื่องอยู่ยงคงกระพันนั่นอีก
แบบนี้ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตเธอจะหนีพ้นมือเขาไปได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย


---------
ถ้าชอบใจ รบกวนข่วยกันคนละไลค์สองไลค์นะฮ๊าฟฟฟ
ส่งจูบ ^3^



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ธ.ค. 2556, 07:17:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 ธ.ค. 2556, 09:05:21 น.

จำนวนการเข้าชม : 1409





<< บทที่ ๙ คู่ผจญกรรม   บทที่ ๙ คู่ผจญกรรม(...จบบท) เริ่มบทที่ ๑๐ ชิงราศีที่สาบสูญ! >>
ketza 18 ธ.ค. 2556, 07:19:25 น.
จุ๊บๆๆ ตื่นมารอท่านพี่ชามัล >////<


yimyum 18 ธ.ค. 2556, 07:24:02 น.
อร๊ายย...วันนี้อัพแต่เช้าเลย ...กำลังจะไปโรงเรียนแล้ว
ขอแว้บมาอ่านก่อนแป๊บนึงก่อน 555><


อสิตา 18 ธ.ค. 2556, 07:30:31 น.
คุณเลิฟหมวย – มาคนแรกเลยยยย ลุ้นว่าใครคู่ใครไปก่อนก็ได้นะคะ แต่รับรองมีคู่ทุกคน เรื่องนี้ไม่มีเหงา
คุณเกดซ่าน่ารัก – เกดซ่ามาที่สองเป็นครั้งแรก เพราะเราลงวันอาทิตย์ มัวนอนอืด 55 ชามัลกับหนูสิต้าเริ่มตีกันอีกแล้ว หุหุ เปิดตัวหนุ่มสาวคนใหม่ละ เร้าใจทั้งคู่นะขอโบกเรย
คุณใบบัวน่ารัก – เรื่องนี้มีทั้งงูทั้งเสือค่ะ คนกลายเป็นเสือดำก็มี ตอนนี้ขาดก็แค่รอใครสักคนมาเล่นขนฟูของเค้า ชะอุ๊ยยย
คุณหนอนน้อยดังปัณณ์ – มัชฌิม์โตแล้วก็เร้าใจอยู่นา รอดูไป*0* ชาจังยังนิสัยไม่ดีได้เรื่อยๆ สักวันต้องได้บทเรียนหนักแน่นอนละ
ป.ล. หนาว อยากห่มขนเสือ

คุณเฟอร์ เมห์ฮรา – เสือแก่ก็นุ่มได้นา ฮิๆๆ เอาไปสระ ไดร์ อบแห้ง ตากแดด เป่าลม อ๊ะๆๆ ... แหม มารี่ก็ไม่อยากตกนรกหรอกนะ ดีดดิ้น เฟอร์จะกินงูหรือ แล้วสิต้าจะเอาไออุ่นจากใครล่า อย่านะอย่า งูโกรธนะ
คุณผักชีต้นเขียวสดใส – ผักชีน่ารัก แป้งซี่ไม่มีอะไรจะบอกค่ะ นอกจากเค้ารักตัวเองนะ //โยนงูใส่ทั้งยวง 55
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ – ตอนนี้ยังเด็ก ลวนลามไม่ได้ เดี๋ยวเจอข้อหา แต่ก็แอบใจอ่อนกะเด็กคนนี้เกินกว่าใครคนไหนอยู่แล้วน่ะนะ
คุณเรือใบ – วันนี้เปิดตัวมัชฌิม์ในมาดตั้งหลักใหม่เตรียมพัฒนาตน กับอีกหนึ่งตัวละครหญิงที่คนเขียนชอบสุดๆค่ะ
คุณริญจน์ธร – เลี้ยงต้อยลำบากจัง เอาใจช่วยหน่อยนะ แต่โตเมื่อไหร่พ่อเอาคืนคุ้มแน่นอน
คุณดวงมาลย์ – พี่จ๋า น้องเป็นอิสระแล้ว โดดขึ้นตัก ออดอ้อน บดเบียด เคล้าคลอ หงิงๆๆ

คุณยิ้มยิ้ม – ภาษารัตติดารา เป็นโค้ดลับ เอาไว้พูดกันคนนอกจะได้ไม่เข้าจาย555 เค้ามีกันหลายเชื้อชาติ ต้องมีภาษากลางไว้ด้วย ไม่งั้นเว้ากันไม่รู้เรื่องแน่
คุณบุลินทร – มาเลยตามิตร มาเลย ตามารจะจับตุ๋ยซะ หึหึ หุหุ หิหิ เดี๋ยวตุ๋ยมี่ด้วยเลย
คุณโกลเด้นซัน – กว่าจะเปลี่ยนได้ก็งอแงกันไปไม่น้อยละค่ะ มาตามดูพัฒนาการของคู่นี้กัน แต่ฮีใจอ่อนกับสิตารามากกว่าใครแหละ แฝดคนคู่ก็ยังทำตัวมีความลับอยู่นะเนี่ย... งดนี้ ฝากสิงหรานีด้วยนะคะ คนเขียนรักนางมาก หลงนางมากจริงๆ

ตอบเม้นนานไปหน่อย มาไม่ทันเกดซ่ากับน้องยิ้มเลยค่ะ


ketza 18 ธ.ค. 2556, 08:31:58 น.
เหอๆๆๆๆ... ตอนนี้คืออะไรเนี่ย เกดซ่าอ่านแล้วอาการเหมือนคนจะบ้า นั่งขำอยู่คนเดียว โฮ๊ะๆๆๆๆ...
....เคยเป็นผู้ดีมาก่อนงี้
.... ม้วนตัวเป็นไส้เดือนตาวาวงี้ กร๊ากกก... ช่างเหมาะสมกันเสียนี่กระไร เอิ้กๆๆๆ... หยอกกันน่ารักเชียว (หรอ 55..)
>_< เสือน้อยน่าสงสาร สงสัยจะได้ป่ะกับนางสิงห์สุดสวยหรือเปล่าน๊าาา
.... ปล. ตอนนี้ท่านพี่ชามัลน่ารักเกิ้น ครบเลย... ทั้งโหด ดุ กวน แอบๆน่ารักนิดนึง >///< มามะ มาจุ๊บทีนึง เหอๆๆๆ
....


ริญจน์ธร 18 ธ.ค. 2556, 09:37:16 น.
มาไวจริง


ดังปัณณ์ 18 ธ.ค. 2556, 11:02:50 น.
ง่ะ! ขอมุดคอมฯเอาเชือกกล้วยไปรัดอิชาจังให้หนูสิ ตื้บๆๆๆๆๆๆๆ และตื้บบบบบบบบบบบบ หึ้ยยยยยยย นิสัยไม่ดีอ่ะ ชาจังหล่อนนี่มันอร๊ายยยยย หงุดงี้หงุดหงิด

ว่าแต่คุณแป้ง วรรณะเป็นผีดิบชิมิ ถึงได้แอบหนีไปนอนคนเดียวตอนกลางคืน ไม่งั้นเดี๋ยวเผลอจิ้มคอหนูสิ ดูดเลือดอ่า

ปูลม.เย็นยะเยือกเข้ากระดูกเลย ให้อารมณ์เหมือนตอนยุบ้านหน้าหนาว ดีนะไม่มีหมอก กับน้ำค้างหยด ไม่งั้นล่ะแหม! กรุงเตบก็กรุงเตบเหอะ เหมือนไปยุบ้านเยยทีเดียว ว่าแต่ ถลกหนังงูมาทำเสื้อนี่จะอุ่นมะค่ะ แง้งๆๆๆ ถลกหนังชาจัง


ดวงมาลย์ 18 ธ.ค. 2556, 13:11:31 น.
เจ๊ยยยยยยยย ทำไมโผล่มาวันนี้

มายั่วอีก เหลือเราคนเดียวสินะ ที่ต้องเผชิญชะตากรรมนรกในช่วงเทศกาลรื่นเริงต่อไป แงๆๆๆๆๆ


บุลินทร 18 ธ.ค. 2556, 16:05:11 น.
ท่านพชรมุนิน สิงหรานี ตัวละครใหม่ม่ม่ม่ม่ม่ ขำตามาร โดนว่าเป็นไส้เดือน ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


lovemuay 18 ธ.ค. 2556, 16:06:09 น.
แหม ดุจริง ใจอ่อนกะเด็กมั่งก้ได้


yimyum 18 ธ.ค. 2556, 17:40:17 น.
555 ตามารกลายเป็นไส้เดือนจากงูจงอางไปแล้ว555


goldensun 18 ธ.ค. 2556, 20:14:50 น.
พลอยทั้งสามสีนี่ พาข้ามเวลา ข้ามมิติได้ทั้งนั้นเลยนะคะ แต่ของโมราจะชัดว่า พาย้อนอดีตเม็ดละร้อยปี
ชามัลหยอกแรง รัดแรงนะนั่น ทั้งที่บางทีเหมือนจะแอบหวง ส่วนวรรณะ ไปๆ มาๆ ดูจะไว้ใจไม่ได้แล้ว สิตารารู้สึกนี่
มัชฌิม์จะมีอนาคตดีหรือคะ ยังไง ที่ไหน ทำไมในอนาคต อัคนิถึงไม่รู้ล่ะคะ


SunSeed 18 ธ.ค. 2556, 20:18:04 น.
งืมๆๆ เป็นตัวอะไรก็น่ารักนะ ชามารของเค้า


นักอ่านเหนียวหนึบ 18 ธ.ค. 2556, 22:22:30 น.
แหมมมมมม ไรเตอร์พยายามอวยตาชาเมามากๆ เลยนะเนี่ย
ในที่สุดก็รู้สึกได้ถึงรังสีความเป็นพระเอกออกมาจากตัวฮีซะที รอมานานนนนน 555
แต่ท้ายบทก็แอบร้ายอีกละนะเคอะ
ทำไมเคอะ เวลาอยู่ร่างงูเนี่ย จิตใจจะดุร้ายขึ้นหรือไงนะ


Zephyr 18 ธ.ค. 2556, 23:21:05 น.
ไส้เดือนตาวาว ฮะฮ่าๆๆๆๆๆ เออ ดี เหมาะนะเนี่ย
สิต้า เก่งมากลูกกกกกกก
กองยางมิชลินเน้อ ดำๆ ลืนๆ ซ้อนเป็นวงๆ ฮุฮิ
กลายร่างกลางคืนนี่หวังดี คอยระวังภัย รึว่า วางแผนชั่วร้ายร้บแสงจันทร์เพิ่มพลังฮะ มารี่ เอ๊ะ ไส้เดือนตาแดง สินะ
สิต้า มาเอาเชือกกล้วงยม่ะ เค้าบอกงูกลัวเชือกกล้วย เด๊่ยวเฟอร์หาให้ เอาไว้นัดไส้เดือนนะสิต้า
ปล.นางสิงห์หัวบานมากกว่าฟูนะ มะม้า มันบานนนนนนนนนนนนนนนนนนนน มากมายอ่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account