ม่านทิวาพชร {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

Tags: โมรารัตติกาล มรกตสนธยา มนตรามุกจันทรา มายาไฟในดวงตา ม่านธาราเร้นดาว อัญมณีเหนือกาล มนตราอัญมณี

ตอน: บทที่ 13 งานเต้นรำใต้แสงดาว

๑๓

งานเต้นรำใต้แสงดาว





หลังจากกลับมายังบ้านพักซึ่งมีสองห้องนอน สองห้องน้ำ หนุ่มสาวทั้งสี่ก็แยกย้ายกันเข้าห้องของตนเพื่อพักผ่อนตามอัธยาศัย หลังเหนื่อยกับการเดินทางขึ้นเขา

เมื่อพักเอาแรงแล้ว ตอนเย็นจิณลี ชลันธร รติ และลียาจึงมาพบกันหน้าบ้านอีกครั้งในชุดใหม่ เตรียมตัวไปเที่ยวงานเต้นรำใต้แสงดาวซึ่งจะจัดขึ้นตอนประมาณสามทุ่มเมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า

มื้อเย็นทุกคนฝากท้องไว้ที่ร้านป้าเภตราเช่นเดิม จากนั้นจึงเดินชมวิวของภูปีรากันต่อ พลางพูดคุยอย่างไม่รู้เบื่อ

ครู่ต่อมาเมื่อแสงทิวาจางไป ทั้งหมดก็เดินไปยังลานกว้าง ซึ่งตอนนี้คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มารอร่วมงานเต้นรำกับคนในพื้นที่

“เชื่อกันว่าถ้าได้เต้นรำใต้แสงดาวกับคนที่เรารู้สึกดี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน…หรือคนรัก จะทำให้ความสัมพันธ์ยืนยาวตลอดไปครับ” จิณลีหันไปบอกชลันธรเสียงนุ่ม

“เอ แล้วแบบนี้คุณชลันธรจะเต้นรำกับนายในฐานะอะไร” หนุ่มผมตั้งชงอีกระลอก

“เพื่อนแน่นอนอยู่แล้วค่ะ” หญิงสาวชิงตอบก่อนที่คนถูกถามจะได้เอ่ยอะไรที่ทำให้ใจไหวหวั่น ขณะนั้นเสียงดนตรีจังหวะสนุกสนานจากวงดนตรีพื้นเมืองก็บรรเลงขึ้นพร้อมกับชาวบ้านและนักท่องเที่ยวที่จับคู่ออกไปจับจองพื้นที่บนลานกว้างเพื่อเต้นรำ

ดวงดาวดารดาษอยู่เต็มผืนฟ้าสีเข้มแข่งกันกะพริบแสงระยิบระยับราวกับกำลังเริงระบำไปพร้อมจังหวะเพลง จันทร์เต็มดวงส่องแสงสีเหลืองนวลตา ไอหมอกสีขาวยังคงโรยตัวบางเบา พาให้บรรยากาศดูโรแมนติกราวกับอยู่ในเทพนิยายสักเรื่อง

“จะฐานะอะไรก็ช่างเถอะ เพราะยังไงเธอก็ต้องเต้นรำกับฉัน” จิณลียิ้มพราย ก่อนจะหันไปโค้งตัวเชื้อเชิญชลันธรพร้อมยื่นมือหนาออกไปเบื้องหน้า

“ฉันเต้นไม่เป็นนะคะ” ชลันธรนิ่วหน้าอย่างลำบากใจ

“ไม่เป็นไรครับ ผมสอนเอง ไปเถอะเอลลา” ดวงตาสีน้ำตาลเข้มมองมาอย่างออดอ้อน

สุดท้ายหญิงสาวจึงพยักหน้าตกลงอย่างเสียไม่ได้ “ก็ได้ค่ะ” มือบางวางลงบนมือใหญ่ แล้วปล่อยให้เขาจูงออกไปยังลานหญ้าสีเขียวสด

ลียามองภาพบาดใจนั้นอย่างรวดร้าว ทั้งที่ทำใจล่วงหน้าไว้แล้วว่าคืนนี้คนที่จิณลีจะชวนออกไปเต้นรำคือชลันธร ไม่ใช่เธอเหมือนครั้งก่อนๆ แต่พอเห็นภาพเขาจูงมือหญิงสาวอย่างทะนุถนอมก็อดน้อยใจไม่ได้

ที่สุดน้ำตาก็ไหลออกมาจนได้ ทว่า…ไหลอยู่เพียงข้างใน เมื่อนักวาดภาพสาวเห็นจิณลีซื้อมงกุฎดอกไม้ไปสวมลงบนศีรษะของชลันธรด้วยดวงตารักใคร่เปิดเผย ใครก็รู้ว่าการที่ผู้ชายซื้อมงกุฎดอกไม้ให้หญิงสาวตอนเต้นรำใต้แสงดาวหมายถึงการบอกรัก ที่ผ่านมาแม้เธอจะได้เต้นรำกับจิณลี แต่เขาก็ไม่เคยซื้อมันให้เธอ เพราะว่ารู้สึกดีต่อกันในฐานะเพื่อนเท่านั้น

“ไปเต้นรำกับฉันก็ได้นะ คราวก่อนๆฉันเต้นกับชาวบ้านตลอดเลย อยากเต้นกับเพื่อนสนิทบ้าง” รติชวนด้วยท่าทีปกติ ไม่ได้ยียวนแต่อย่างใด

“ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า” ลียาตอบโดยไม่สบตาเขา ดวงตาของหญิงสาวเริ่มแดงๆ แต่ก็พยายามสะกดกลั้นก้อนแข็งๆที่แล่นขึ้นมาจุกอยู่กลางอกเอาไว้

“อ้าว ทำไมล่ะ ปกติฉันเห็นเธอชอบเต้นนี่” ชายหนุ่มดูออกว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกเช่นไร แต่แกล้งถามไปอย่างนั้น

“วันนี้เหนื่อยน่ะ อยากนอนพักผ่อนมากกว่า นายอยู่สนุกต่อเถอะ” หญิงสาวหันหลังกลับ ก่อนจะสาวเท้าเดินจากบริเวณนั้นไปโดยไว

“เดี๋ยวสิลียา”

หญิงสาวไม่ทัดทานต่อเสียงเรียก เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว น้ำอุ่นๆก็พรั่งพรูออกมาจากดวงตาราวกับทำนบพัง ความเจ็บปวดที่กักเก็บไว้แสนนานระบายออกมาไม่ขาดสาย ความรู้สึกสับสนประดังประเดเข้ามาราวกับพายุ จากขาที่ก้าวช้าๆ เริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นวิ่ง วิ่งที่ดูราวกับจะหนีความเสียใจ แม้รู้ดีว่าอย่างไรก็หนีไม่พ้น

ทำไมนะ ทำไมเธอต้องรักจิณลีด้วย การเป็นเพื่อนกับเขาน่าจะดีที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าเธอจะเดินกลับไปยังจุดนั้นได้ไหม เมื่อหัวใจถลำมาไกลเกินกว่าจะคาดคิด วันนี้เธอตั้งใจจะบอกรักเขา แต่เอาเข้าจริงก็ไม่กล้าไปทำลายความสุขของชายหนุ่มกับชลันธร เธอควรมีความสุขที่เขามีความสุข ไม่ใช่ร้องไห้เสียใจเช่นนี้

บางทีสิ่งที่รติพูดอาจจะถูกต้องที่สุด เธอไม่ควรดันทุรังทั้งที่ไม่เห็นความเป็นไปได้ เธอควรจะถอยออกมาทำใจเพียงลำพัง…ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป



หลังจากสวมมงกุฎดอกไม้ให้ชลันธรแล้ว จิณลีก็เริ่มสอนวิธีเต้นให้หญิงสาว เขาขยับเข้าไปยืนข้างเธอพร้อมยื่นแขนบึกบึนให้

“เอาแขนคุณมาคล้องแขนผมไว้สิครับ”

ชลันธรทำตามอย่างไม่อิดออดก่อนถาม “แล้วยังไงต่อคะ”

“จากนั้นก็แค่กระโดดโลดเต้นไปตามจังหวะเพลงครับ คุณเพิ่งเริ่มเต้น เอาง่ายๆแค่นี้ละ แต่ถ้าชำนาญเมื่อไหร่ เราค่อยเต้นท่าที่ยากกว่านี้กัน” เขาว่าพลางพยัดพเยิดไปยังชาวบ้านชายหญิงวัยกลางคนที่เต้นอย่างคล่องแคล่วและมีลีลาพลิกแพลงหลากหลาย

“ให้หมุนติ้วขนาดนั้นฉันคงไม่ไหวแน่ค่ะ เอาง่ายๆแบบที่คุณว่านี่ละ” หญิงสาวยิ้มกว้าง

“งั้นเต้นกันดีกว่าครับ” ดวงตาสีเข้มทอดมองหญิงสาวผู้อยู่ในชุดเสื้อคอวีแขนสามส่วนสีชมพูและกระโปรงยาวสีขาวซึ่งกำลังพลิ้วไปตามแรงลมอ่อนๆที่พัดมา ผมยาวสีดำขลับที่สยายถึงกึ่งกลางของแผ่นหลังบางนั้นทำให้เธอดูอ่อนหวานน่าทะนุถนอมยิ่งนัก

“ค่ะ”

สิ้นคำ การเต้นรำใต้แสงดาวระหว่างจิณลีกับชลันธรก็เริ่มต้นขึ้น แม้ตอนแรกจะยังเก้ๆกังๆไปบ้าง แต่พอจับจังหวะได้ ความสนุกสนานก็บังเกิด

“คุณจำที่ป้าเภตราพูดที่ร้านอาหารได้ไหมครับ” ชายหนุ่มชวนคุย

สายตาที่กรุ้มกริ่มผิดปกตินั้นเป็นสัญญาณว่าเขากำลังจะพูดอะไรชวนใจสั่น ชลันธรจึงรีบตัดบท “จำไม่ได้แล้วค่ะ แต่อาหารที่ร้านป้าเภตราอร่อยดีนะคะ ก่อนกลับต้องทานให้ได้ทุกรายการ ว่าแต่คุณมีรายการอาหารอะไรอยากแนะนำเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”

“โธ่ คุยเรื่องอาหารจะสนุกอะไรครับ นี่เรากำลังเต้นรำอยู่ในบรรยากาศชวนฝันนะเอลลา” เขาเอ่ยเสียงอ่อน ดวงตาปรอย

“ก็ฉันอยากคุยเรื่องอาหารนี่คะ” หญิงสาวยืนยันเสียงหนักแน่น แต่แอบขำท่าทางขัดใจของเขาที่ดูก็รู้ว่าแกล้งทำ

“พระเอกคงยังไม่ผ่านการประเมินสินะครับ” จิณลีตัดพ้อ

ชลันธรหัวเราะเสียงใส ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องอีกครั้ง “คุณลียากับคุณรติหายไปไหนแล้วคะ ตอนแรกนึกว่าจะมาเต้นรำด้วยกันเสียอีก” ดวงตากลมโตสอดส่ายไปมา แต่ก็ไม่เห็นทั้งสองอยู่บริเวณนี้

“ผมอยู่กับคุณตรงนี้ จะไปมองหาสองคนนั้นทำไมล่ะครับ สนใจผมดีกว่า” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงโน้มน้าว สบนัยน์ตาสีดำขลับอย่างลึกซึ้ง

“คุณมีอะไรให้สนใจคะ”

“ก็ทั้งหมดเลยละ” จิณลีขยิบตาใส่ ไฝสีแดงเล็กๆใต้ดวงตาข้างขวายังทำให้ใบหน้าของเขามีเสน่ห์ชวนมองเสมอ

“หลงตัวเองจริง” เธอย่นจมูกใส่อย่างหมั่นไส้

“ขอบคุณครับ” เจ้าตัวยิ้มรับคำประชดหน้าตาเฉย ก่อนถาม “รู้ไหมครับว่าการซื้อมงกุฎดอกไม้ให้คู่เต้นรำในงานเต้นรำใต้แสงดาวหมายความว่ายังไง”

“มีความหมายด้วยเหรอคะ” ชลันธรเลิกคิ้วขึ้นอย่างประหลาดใจ เมื่อมองไปยังหญิงสาวคนอื่นๆบนลานกว้างก็พบว่าบางคนใส่มงกุฎดอกไม้ แต่บางคนก็ไม่ใส่

“มีสิ อยากรู้หรือเปล่าครับ” เขาทำเสียงมีลับลมคมใน

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้าเร็วๆ

จิณลีหยุดเต้นชั่วคราว ก่อนจะโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูเสียงนุ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆจากเรือนกายและเส้นผมของหญิงสาวทำให้เขาอยากจะกดปลายจมูกลงบนแก้มใสและซอกคอขาวเหลือเกิน แต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้

“คุณพูดภาษาที่ฉันเข้าใจสิ” ชลันธรเอ่ยเสียงขึ้นจมูกหลังจากฝ่ายนั้นกระซิบจบ

“ไม่ละ ปล่อยให้อยากรู้ไปก่อน” เขายิ้มยั่วเย้า

“แล้วจะพูดให้อยากรู้ขึ้นมาทำไมเนี่ย”

“อยากแกล้งคุณ เวลาคุณงอนแล้วน่ารักดี” เขามองปลายจมูกที่เชิดขึ้นของหญิงสาวแล้วอมยิ้มอย่างพึงพอใจ ขณะหญิงสาวส่งค้อนมาให้อีกหลายวง



ลียาไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตนเองวิ่งมาไกลเพียงใด เมื่อมองไปรอบกายอีกครั้ง หญิงสาวก็พบว่าออกมานอกเส้นทางเสียแล้ว แถมยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน นี่ละ…โทษฐานที่ปล่อยให้ความเสียใจครอบงำความคิดจนขาดสติ

“ยายลียาเอ๊ย ไม่ดูหน้าดูหลังเลยว่าตัวเองวิ่งไปไหน” หญิงสาวบ่นทั้งที่ใบหน้ายังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา เธอกวาดตามองไปรอบๆ เพื่อจะหาทางกลับ ทันใดนั้นดวงตาก็สะดุดเข้ากับของบางอย่างที่ตกอยู่บนพื้น เมื่อก้มลงดูก็เห็นปิ่นปักผมเงินดูมีค่าส่องแสงวิบวับ แม้บรรยากาศในบริเวณที่เธออยู่นั้นจะค่อนข้างมืดสลัว “ของใครกันนะ”

ลียารำพัน ขณะนั้นก็เห็นแผ่นหลังของหญิงคนหนึ่งในชุดสีดำสนิทไวๆ ต้องเป็นของเธอคนนั้นแน่ คิดได้ดังนั้นจึงสาวเท้าตามไป พลางเรียก “คุณคะ ทำปิ่นปักผมหล่นหรือเปล่าคะ”

ดูเหมือนหญิงคนนั้นจะไม่ได้ยินเสียงเรียกเมื่อเจ้าหล่อนยังคงเดินหน้าต่อไป จนลียาตามไปทันในที่สุดตอนอีกฝ่ายหยุดเดิน

“ขอโทษนะคะ ไม่แน่ใจว่านี่ใช่ปิ่นปักผมของคุณหรือเปล่า” นักวาดภาพสาวแอบขนลุกขึ้นอย่างประหลาดเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่แผ่ออกมาจากกายของอีกฝ่าย คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อไม่เห็นท่าทีว่าเจ้าตัวจะหันหน้ามา “คุณคะ…”

ยังไม่ทันจะได้เอ่ยต่อ เธอคนนั้นก็ถามด้วยเสียงห้วนที่มีแววประหลาดใจ “มองเห็นฉันด้วยรึ”

ลียาเริ่มหวาดหวั่นในความไม่ชอบมาพากล หญิงสาวก้าวถอยหลังออกมาเล็กน้อย “ค่ะ แต่ท่าทางปิ่นปักผมนี้คงไม่ใช่ของคุณ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” แล้ววินาทีนั้นเอง เธอก็เพิ่งเห็นว่าเบื้องหน้าของตนมีหลุมฝังศพอยู่สองหลุม

“เดี๋ยว!”

น้ำเสียงมีอำนาจทำให้ลียาชะงักกึกราวกับถูกตะปูตอกตรึง

“เธอเป็นใคร” ผู้พูดถามพร้อมหันหลังกลับมา วินาทีแรกที่เห็นหน้าลียา ดวงตาของหญิงวัยประมาณสี่สิบปลายก็ฉายแววตกใจ ก่อนหรี่ลงมองอย่างจับผิดเมื่อเห็นลียาตวัดสายตามองไปยังหลุมศพ “อย่าบอกนะว่าเธอ…มองเห็น”

“ฉันขอตัวก่อนนะคะ” นักวาดภาพสาวตัดบท หันหลังกลับและสาวเท้าเดินหนีไป ทว่าก็ต้องผงะเมื่อสาวใหญ่เข้ามาตัดหน้าไว้ ลียาหันขวับกลับไปมองด้านหลังของตนอย่างไม่เชื่อสายตา เพราะเมื่อครู่อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนั้น แต่ทำไมถึงมายืนอยู่หน้าเธอได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที

“ไม่มีใครมองเห็นหลุมศพนั้นถ้าไม่ใช่เชื้อสายของตระกูลปัตติยะ แสดงว่าเธอก็เป็นลูกหลานคนหนึ่งในตระกูลของเรา” ดวงตาของสาวใหญ่เป็นประกายพราวด้วยความยินดี เสียงแข็งอ่อนลง ทว่ายังคงน่าเกรงขาม “ฉันชื่อดารัน”

ลียาไม่เชื่อที่อีกฝ่ายพูดเลยแม้แต่น้อย “ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าฉันคือสายเลือดของตระกูลคุณหรือเปล่า เพราะฉันไม่มีพ่อแม่ ตั้งแต่จำความได้ ฉันก็อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและโตมากับที่นั่น ก่อนจะออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองหลังเรียนจบ”

“งั้นก็รู้ไว้เสียว่าเธอคือทายาทคนหนึ่งของตระกูลปัตติยะ เรามีภารกิจที่จะต้องสะสาง” ดารันยิ้มเหี้ยมน่าขนลุก

ลียาหัวเราะแก้เก้อ “ไม่ใช่หรอกค่ะ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เธอไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องมายืนคุยกับคนแปลกหน้านานเกินจำเป็น

“อย่าเพิ่งไป!” สาวใหญ่ร้องห้าม “มาฟังเรื่องราวของบรรพบุรุษเราก่อนไหม ฉันคิดว่าถ้าฟังจบแล้ว เธอคงไม่เดินจากไปง่ายๆ” น้ำเสียงของเจ้าตัวโน้มน้าว

เฮ้อ ไม่น่าวิ่งเตลิดมาไกลแบบนี้เลย วุ่นวายแล้วไหมล่ะยายลียา “ฉันไม่มีเวลาค่ะ ขอโทษจริงๆ” อดคิดไม่ได้ว่าอีกฝ่ายอาจเป็นคนสติไม่ดี ดังนั้นรีบปลีกตัวให้เร็วที่สุดจะดีกว่า

“กลัวรึ” ดารันตามไปดักหน้าหญิงสาวเอาไว้อีก “เธอกลับไม่ได้หรอก จนกว่าจะฟังฉันจบ การฟังเรื่องราวของต้นตระกูลตัวเองคงไม่ทำให้เสียเวลามากนักหรอก” ใบหน้าของสาวใหญ่จริงจัง ไม่มีอะไรบ่งบอกว่าเจ้าหล่อนเป็นคนไม่สมประดี

ลียาหวาดหวั่นมากขึ้นเรื่อยๆ เธอมองหาทางหนีทีไล่ แต่นึกได้ว่า ไม่ว่าจะวิ่งหนีไปทางไหน ดารันก็คงตามมาดักทันอยู่ดี แล้วจะทำยังไงดี เธอถึงจะกลับไปบ้านพักได้อย่างปลอดภัย วินาทีนี้หญิงสาวเริ่มแน่ใจว่าผู้หญิงปริศนาคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา จะยอมฟังดารันเล่าเรื่องให้จบๆไปดีไหม หรือว่าจะรีบวิ่งหนีไปแม้โอกาสหนีพ้นจะมีน้อยก็ตามที

“ว่าไง” สาวใหญ่ถามซ้ำเมื่อเห็นหญิงสาวเงียบไป

ลียาเม้มริมฝีปากอย่างครุ่นคิด ที่สุดนักวาดภาพสาวก็พยักหน้าเบาๆ พลันใบหน้าของรติก็ลอยเข้ามาในหัว ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมา เขาคงสมน้ำหน้าแน่ เพราะความเสียใจจนขาดสติ ทำให้ตกอยู่ในความเสี่ยงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงเช่นนี้



บุลินทร
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ธ.ค. 2556, 17:59:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ธ.ค. 2556, 17:59:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 1303





<< บทที่ 12 ระหว่างทางสำคัญไม่ต่างจากจุดหมาย   บทที่ 14 ความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ >>
บุลินทร 20 ธ.ค. 2556, 18:16:43 น.
คุณ ketza
มาเจิมคนแรกๆตลอดเบยยย ฮ่าๆๆ

คุณ อสิตา
เรียกเอลลาเฟอร์แล้วน่าชังเนอะ ฮ่าๆๆๆๆ มันดูมุ้งมิ้ง

คุณ lovemuay
ต้องลองไปภูปีราดูนะครับ อาจจะเจอที่นั่นก็ได้ อิอิ

คุณ yimyum
วันนี้ม่านทิวาตีเสมอได้รึยังเนี่ย ฮ่าๆๆ แต่ความหวานทั้งเรื่องยังไงก็ขอยกให้มรกตฯครับ

คุณ Zephyr
ไม่อยากมาภูทิวารึ ฮ่าๆๆๆ ตารติก็อยากให้เพื่อนคิดได้ไง อย่าไปทำให้คู่พระนางเขาต้องบาดหมางไรงี้ ตอบคำถามไม่รู้เรื่องอะไรรึ มันตอบไม่ได้นี่นา เดี๋ยวสปอยล์ก่อน ต้องอุบไว้ก่อน ฮ่าๆๆๆ

คุณ goldensun
ตอนนี้จิณลีแอบมีลับลมคมในด้วยครับ ฮ่าๆๆ ส่วนลียาตัดใจแล้วครับ แต่ดันไปเจอดีเข้า จะเป็นยังไงต่อไปต้องลุ้นกันครับ

คุณ ใบบัวน่ารัก
ฮ่าๆๆ บรรยากาศเหมือนที่เคยไปเหรอครับ คุณใบบัวเก่งมาก พิชิตยอดภูสำเร็จด้วย

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ
มีแต่คนเคยไปภูกระดึงนะเนี่ย อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศมาภูปีราบ้างมั้ยครับ ไปคราวหน้าต้องหาคนขี่หลังไปด้วยนะ

คุณ ริญจน์ธร
ช้าอีกแว้ววววว

คุณ patok
มีฉากน่ารักๆมาให้อ่านอีกแล้วครับ ส่วนคู่นั้นไม่รู้จะลงเอยรึเปล่านะ เค้าเป็นเพื่อนกันนี่นา


yimyum 20 ธ.ค. 2556, 18:35:00 น.
อารายแล้วยายยิ้มเป็นไรเนี่ย......
ยังไง้ ยังไงก็เลือฟไม่ถูก ทั้งสามเล่มหวานเท่ากันเลย 555
ต้องรอดูเป็นเล่ม ^^ ><


yimyum 20 ธ.ค. 2556, 18:35:14 น.
เลือก


อสิตา 20 ธ.ค. 2556, 18:36:06 น.
เออ เอลล่าเฟอร์มุ้งมิ้งไป ให้เป็นลียาแล้วกัน
หญิงที่โดนพระเอกมองข้าม555


goldensun 20 ธ.ค. 2556, 20:36:40 น.
หวานก็หวานหรอกนะ จิณลีกับลัน แต่มาฝั่งลียา แล้วสงสาร
ลียาดูตัดใจแล้ว แต่ถ้ารู้อดีตตระกูลตัวเอง ลียาจะเปลี่ยนไปรึเปล่า
ไหนจะความลับที่จิณลีแอบเก็บอีก จะเกี่ยวกับตระกูลพินทะรึเปล่า


yimyum 20 ธ.ค. 2556, 20:59:30 น.
วันนี้พี่ Ketza หายไปไหน?!?


lovemuay 20 ธ.ค. 2556, 21:22:57 น.
อ้าว เพิ่งรู้ว่าดารัณเป็นผีนะคะเนี่ย


patok 20 ธ.ค. 2556, 23:03:41 น.
หวังว่าดารัณ คงไม่ทำให้ลียากลายเป็นนังมารร้ายนะคะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 20 ธ.ค. 2556, 23:46:14 น.
จิณลีรุกเร็วจิงนะ
แล้วๆๆๆ ธนัญยา กะหนุ่มองค์รักษ์มะออกมาแล้วเหรอ หายไปเบยยย


ริญจน์ธร 21 ธ.ค. 2556, 11:15:20 น.
จิณลีนี่ขยันหยอดจริง


ketza 21 ธ.ค. 2556, 20:31:14 น.
เกดซ่าให้ผ่านคร๊า.....ยกบทพระเอกให้เบยยยย


ฤดูฝัน 23 ธ.ค. 2556, 13:04:04 น.
ไม่อยากให้ลียาร้ายเลย ขอให้รติตามมาทันด้วยเถอะ


Zephyr 28 ธ.ค. 2556, 07:51:48 น.
จะโดนล้างสมองแล้วง่ะ
ป้าดารันน่ากลัวอ่ะ แค่ปิ่นเอง คนเขาอุตส่าห์วิ่งเอาไปให้
ป้าช่างไม่มีมนุษยสัมพันธ์เลย
ยายลียาอย่าบ้าจี้ตามนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account