โมรารัตติกาล {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

-------------------------
ยังเคยยินเรื่องราวของหินโมราแห่งรัตติกาล
พลอยโบราณล้ำค่าที่อาจนำพาใครบางคนหวนสู่อดีตกาล เรื่องของมันอาจถูกกลบฝัง
กร่อนกลืนไปกับเงื้อมเงาแห่งกาลเวลาที่ค่อยๆเปลี่ยนความรับรู้ของผู้คน
แต่กับเขา...
ผู้ซึ่งมีเพียงความแค้น ไม่มีแม้ร่างกาย เป็นแต่เพียงวิญญาณที่ล่องลอยไปในราตรี
เฝ้าเพรียกหาให้อดีตหวนคืนกลับ เพื่อเปลี่ยนวันแห่งความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นชัยชนะ
เวลาผ่านเนิ่นนานนับสิบๆปีจากวันที่เขาตาย
โลกเปลี่ยนแปร แต่ใจของเขาไม่เคยเปลี่ยนตาม
เขายังคงไม่ไปไหน
แม้จำได้ว่าตนเองเคยมีนาม เคยเป็นใครคนหนึ่งที่ถูกเรียกขานว่าชามัล เมห์ฮรา
แต่ตอนนี้แทบไม่รู้สึกว่านามนั้นคือตนเอง ไม่ได้มีใครเรียกชื่อเขานานมากแล้ว
ตั้งแต่เขากลายเป็นชีวิตไร้ตัวตนในความมืด ที่ยังจำได้ดีคือความแค้นต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่เว้นแม้กระทั่งแค้นตัวเอง ที่พ่ายแพ้ และต้องตาย...
วิญญาณของเขายังรอคอยวันที่มือซึ่งมองไม่เห็นคู่นี้จะเอื้อมคว้าไปถึง
อัญมณีเม็ดนั้นที่จะพาเขากลับไปแก้ไขอดีต
...โมราแห่งรัตติกาล
และคนที่จะนำพาเขาไปถึงมันได้ มีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น


------------------------------------
เรื่องเริ่มต้นที่ร้านอัญมณีเก่าคร่ำคร่า หลายคนเดินผ่านเลยไป แต่มีบางคน...
คนที่ตามหาเท่านั้นจึงจะค้นพบการมีอยู่ของร้าน และเปิดประตูเข้ามา
ตัวร้านเดินทางอยู่ในระหว่างมิติเวลา บางทีมันอาจไปโผล่ที่ตรอกโทรมๆสักตรอกในอนาคต
หรือในซอยคับคั่งย่านเยาวราชที่คนพลุกพล่านเดินผ่าน แต่จะไม่มีใครหยุดสนใจ
นอกเสียจากคนผู้มีชะตาผูกพันกับพลอยทรงอำนาจลึกลับสักเม็ดในร้าน
ท่านจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าของร้านที่ชื่อ มิตร เมห์ฮรา

Tags: มนตราอัญมณี มายาไฟในดวงตา ชามัล มิตร สิตารา มัชฌิม์ รัตติดารา สิงหรานี ราศีที่สิบสาม ม่านทิวาพชร มรกตสนธยา

ตอน: บทที่ ๑๑ ชายผู้ทอดทิ้งดวงดาว...(...จบบท)

แต่แล้ววันหนึ่งวันนั้นกลับมาเยือนอย่างน่ากลัวยิ่งกว่าที่คิด ...เวลาบ่ายคล้อย
ทว่าท้องฟ้าเหนือป่าพลันกลายเป็นทะมึนครึ้มลางร้าย มวลเมฆหนาหนักเกลื่อนลอยมาต่ำเต็มฟ้า
ลมกระโชกแรงพัดป่าไหวเอน แม้แต่หยาดหยดจากผาหยดน้ำที่เคยงดงามเสมอก็ดูจะถูกกลืนด้วย
ความมัวหมองให้จมหายไปท่ามกลางบรรยากาศชวนสะพรึง

ผู้อาวุโสตั้งสติมั่น รอคอยอยู่ภายในมิติแยกที่ใจกลางลำต้นไม้ใหญ่ รู้สึกถึงเลือด
ที่สูบฉีดแรงขึ้นตามจังหวะที่มันใกล้เข้ามา ...เสียงไม้แตกปริ ลำต้นกำลังถูกอะไรบางอย่าง
ขนาดมหึมารัดแน่นเข้าทุกขณะบ่งบอกให้รู้ มันมาแล้ว!
ไม้ใหญ่ลั่นเปรี๊ยะ ก่อนหักกลางต้นล้มครืนลงฟาดพื้นกวาดพาเอาไม้เล็กที่อยู่รายรอบล้มตาม
สนั่นระนาว พชรมุนินกระเด็นออกมาท่ามกลางลมแรงอู้ที่ปลิดขั้วใบไม้น้อยใหญ่ฉีกขาดเป็นริ้ว
ทว่าก่อนจะได้ลุกขึ้นตั้งหลัก ชายกลางคนพลันตะลึงกับงูมหึมาสีดำปลาบซึ่งพรวดเข้าหา!
คมเขี้ยวแหลมโง้งพุ่งเข้าถึงต้นแขน กัดติดชนิดจมเขี้ยว

“อ๊าก--- ” จ้าวแห่งราศีเมษร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ไม่อาจสะบัดหลุดจากคมเขี้ยวฝังลึก
จนต่อเมื่อทั้งร่างถูกเหวี่ยงทิ้งด้วยแรงอันมหาศาลกลิ้งไปไกล ชายกลางคนรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว
ด้วยพิษแล่นเข้าสู่กาย เมื่อกระเสือกกระสนเงยมอง ต่อหน้านั้นปรากฏชายงดงามผู้มีริมฝีปากเปื้อนเลือด
เลือดของเขาเอง! ร่างสง่าอยู่ในชุดดำคอปิดรัดรูปเหมือนเกราะเกล็ดงู ไหล่ตั้ง ทั้งเข็มขัดข้อรัดดำปลาบ
ดูกระชับแน่นไปทั้งตัว ทั้งส่วนมือก็ยังมีเกราะเกล็ดมาหุ้มเป็นถุงมือมิดชิด ดูไม่มีส่วนใดที่จะโจมตีได้เลย
นอกจากหัว!

พชรมุนินเร่งลุกขึ้น มือกุมจี้เพชรที่คอ ใช้มนตร์เรียกแสงสว่างขาวโพลนมาในพริบตานั้น
ช่วงที่แสงเจิดจ้ายาวนาน หากเป็นศัตรูธรรมดาแม้หลับตาก็ไม่อาจป้องกันแสงได้
ชายแห่งราศีเมษฉวยจังหวะชักดาบเล่มขาวเรียวที่เหน็บเอวไว้พุ่งเข้าแทง

ทว่า...เป็นการพาตัวเองเข้าสู่มือแข็งแกร่งที่ตะครุบจับลำคอเขาไว้ได้
อีกมือที่ถือดาบถูกบิดกลับจนอาวุธร่วงหล่น ก่อนผู้มาเยือนจะเอ่ยออกมาเป็นคำแรก
กดต่ำ คุกคาม
“ข้า...เคยเป็นส่วนหนึ่งของแสงสว่าง และเจ้า...คงจะแก่เกินไปแล้ว สำหรับการต่อสู้”

“อสรพิษ! มาที่นี่ทำไม ที่นี่ไม่มีสิ่งที่เจ้าต้องการ”

“มีสิ อย่างน้อยเจ้าก็เคยมี” ชามัลเอ่ยเหยียดๆ “ถึงตอนนี้มันจะไม่ได้อยู่กับเจ้าแล้ว
แต่อย่างน้อยเจ้าก็ยังมี...ความจริง ที่จะต้องสารภาพกับข้า ข้าถึงได้ฉีดพิษอย่างเบาะๆ
ให้เจ้ายังมีชีวิตอยู่นานพอจะตอบได้ทัน ไหนลองบอกซิ ที่ผ่านมาจ้าวแห่งราศีเมษที่ควรจะ
เป็นคนของรัตติดาราได้ให้ที่พักพิงซุกหัวนอนกับพวกเมห์ฮราศัตรูของเรา ใช่หรือเปล่า ตอบ!”
ปลายเสียงกดกระชากพร้อมมือหุ่มเกราะแข็งที่จิกเค้นลงตรงลำคอเหยื่อ

“เจ้าเอง...ก็ เป็นเมห์ฮรา”

“เคยเป็น! ไม่ใช่หน้าที่เจ้าจะสะเออะมาพูด ตอบให้ตรงคำถาม” มือของชามัลยิ่งออกแรงกด
“ได้ยินว่าคนอย่างพชรมุนินไม่เคยโกหก ทำอะไรไว้ก็น่าจะยืดอกรับแต่โดยดี ก็ในเมื่อเชื่อว่า
ไอ้ที่ทำมันคือสิ่งถูกต้องไม่ใช่หรือไง” อสรพิษหนุ่มตวาดกร้าวแล้วผลักพชรมุนินทิ้ง

“จะ จะพูดอย่างนั้นก็ใช่” ชายกลางคนผู้ถูกปล่อยร่วงลงถึงพื้นนั่งกุมคอหอยสำลักคำพูดออกมา
“ใช่! ข้าให้ความช่วยเหลือเด็กชื่อมัชฌิม์ เลี้ยงดูเขาให้แข็งแกร่งพอที่วันหนึ่งจะโตมาเป็นแสงสว่าง
แห่งพระเพลิง เป็นเสี้ยนหนามของปีศาจชั่วช้า...อย่างเจ้า”

“ใครตัดสินกันว่าแสงสว่างคือฝ่ายดี ความมืดคือฝ่ายชั่ว” ชามัลหัวเราะ

“คงไม่มีใครตัดสินได้ นอกจากตัวเจ้าเองที่รู้แก่ใจ” พชรมุนินกัดฟันตอบพลางกระอักเอา
เลือดสดๆออกมา ที่เคยคิดจะสู้ พลังปราณมันหดหายไปไหนหมด หรือเพราะคมเขี้ยว
ที่ฉีดพิษเข้าสู่ร่างกาย และเวลานี้สายตาของเขาก็เริ่มพร่าเลือน รู้ดีอยู่นานแล้วว่าวันสุดท้าย
ของตัวเองกำลังมาเยือนจึงได้จัดการสะสางทุกอย่างจนเรียบร้อย ไม่มีการสั่งเสีย ไม่มีใคร
เอะใจว่าวันนี้ชะตาชีวิตของเขาจะต้องมาสิ้นสุด

“ไอ้แก่ รู้อะไรไหม...ในขณะที่เจ้ากำลังคลานหนีเงามืดเข้าสู่แสงสว่าง หากหนีไม่ทัน
เงานั้นจะกลืนกินเจ้าเข้าไปทั้งตัว”

ผู้นำแห่งราศีเมษพยายามกระถดร่างหนีในท่าคว่ำหน้าลง ก่อนจะหยุดสำลัก
กระอักกระไอเลือดอยู่กับพื้น ...แม้เจ็บปวด แต่ในนาทีนี้ เขากำลังเร่งเปิดประตูมิติ
ด้วยจี้เพชรรัตน์ที่ตนเพิ่งแอบกระชากขาดหลุดจากคอตอนจังหวะที่ถูกเล่นงาน!
จะต้องเปิดประตูมิติขนาดเล็กขึ้นมาให้ได้ และส่งเพชรเม็ดนี้ผ่านไปสู่แดนทิวา
เพื่อให้มันปลอดภัย อย่างน้อยก็จากมือชั่วๆของชามัล
{ภายหลังมิตรได้พบชลันธรแขกรายสำคัญของร้านกาลเวลา ผู้คู่ควรกับกำไลเพชรหงส์ทิวาที่เขาเก็บงำความลับไว้
หญิงสาวจะใช้มันข้ามไปสู่แดนทิวาได้อย่างไร...ติดตามจากเรื่องม่านทิวาพชร (เขียนโดย บุลินทร)}

“แม้รู้ว่าเงามืดจะกลืนกินถึงตัว ข้าก็เลือกแสงสว่างอยู่ดี ถึงได้ช่วยเด็กนั่นไว้”

“เมื่อเจ้ายอมรับก็ดี แต่โทษของการใช้ความช่วยเหลือศัตรูของข้า คือตาย!” ชามัลย่างสามขุมเข้าหาเหยื่อ
“บอกก็ตาย ไม่บอกก็ตาย แต่ว่าที่ข้าต้องการอีกอย่าง คือของมีค่าที่อยู่กับตัวเจ้า! จี้เพชรนั่น
เจ้าคงไม่ต้องใช้มันอีกแล้ว”

ชามัลก้มลงคุกเข่ากระชากคนที่ทำท่าหมอบฟุบอยู่กับพื้นให้หันมาเผชิญ จึงทันได้เห็นประตูมิติ
ขนาดเล็กที่ตรงพื้นวูบวับลับหายปิดสนิทลงไปต่อหน้าต่อตา แล้วเขาก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น

“สายไปแล้ว เจ้าคนสารเลว... จากนี้ไปจะมีเพียงมือของแสงสว่างและผู้ที่คู่ควรเท่านั้น
ที่สามารถใช้เพชรนั่น...” ผู้ครองราศีเมษเอ่ย ดวงตาเบิกค้างเริ่มจะมองไม่เห็นภาพตรงหน้า

ชามัลที่โกรธจัดคำรามอย่างดุร้าย มือข้างหนึ่งเรียกดาบเขี้ยวออกมา เงื้อมันขึ้น
แทงทะลวงลงไปตัดขั้วหัวใจพชรมุนินที่ยังลืมตาโพลง ชายกลางคนกระตุกค้างหลายที
ก่อนจะแน่นิ่งสิ้นใจลง พญาอสรพิษในร่างคนผุดลุก เตะร่างไร้ชีวิตกลิ้งไปด้วยแรงโกรธา

“ทิ้งไอ้ลูกเสือลูกตะเข้นั่นไว้เป็นเสี้ยนหนามรึ แล้วเราจะต้องได้รู้ ว่าไอ้ลูกหมานั่นกับข้า ใครจะตายก่อนกัน!”



ชามัลตามหาไม่พบวี่แววของมัชฌิม์ จึงได้แต่เดาว่ามันคงจะมีของดีติดตัวจากพชรมุนินไว้ช่วยอำพรางกาย
“คงเดินทางได้เร็วด้วยร่างสมิง หนีหัวซุกหัวซุนไปถึงไหนกันป่านนี้ จะเพิ่มพูนพลังเพื่อมาต่อกร
กับข้าคนนี้งั้นหรือ ก็ดี! จะได้ไม่ต้องพ่ายแพ้อย่างอนาถนัก ถ้าอยากดิ้นรนหนีตายขนาดนั้น
ข้าเองก็จะเอาเวลาไปจัดการเรื่องอื่นรอไปพลางๆ”

ชั่วขณะที่หวนมายังดินแดนสยามใกล้ชายฝั่งทะเล ชามัลก็ให้นึกถึงเกาะเงาที่ตนเอาเด็กอย่าง
สิตาราไปซ่อนไว้เสียนาน พรตยังส่งข่าวมาสม่ำเสมอสองสามเดือนครั้ง มีเพียงช่วงหลังที่ดูจะเงียบไปบ้าง
และนี่ก็ใกล้เวลาที่สิตาราจะอายุถึงเกณฑ์รับมอบอำนาจราศีที่สิบสามเข้ามาทุกทีแล้ว เมื่อไม่มีเขาเคียงข้าง
อำนาจของสิตาราก็ไม่สมบูรณ์... เป็นหน้าที่ของเขา ที่จะต้องอยู่ใกล้ชิดกับเธอในเวลานั้น
ก่อนจะรับเอาอำนาจมาถือครองเสียแทน

คำแนะนำสำคัญที่วาเลนติโน่สหายราศีกุมภ์บอกกับเขา ชามัลอดยิ้มกึ่งขำในใจไม่ได้ยามเมื่อนึกถึง
‘หากเป้าหมายคือกุมอำนาจแห่งรัตติดารา บางทีท่านควรแต่งงาน คงไม่ต้องให้เอ่ยปากหรอกนะ...ว่าแต่งกับใคร’

คำแนะนำนั้นน่ากลัวว่าจะต้องเร่งทำให้เป็นจริง เพราะเขาเองก็คิดมาก่อน ถ้าไม่กันที่ไว้
วันหนึ่งอาจต้องลำบาก ก่อนหน้านี้ก็เคยมีมาแล้ว ข่าวแจ้งมาว่าจ้าวราศีมังกรแห่งเกาะลังกาวี
หมายส่งขบวนสู่ขอมายังเกาะเงา มันพยายามเสนอตัวไปอยู่ตรงที่ที่เป็นของเขา ดังนั้นชามัลจึง
ต้องลงมือ ด้วยการส่งกำลังภูตดาราจากสหายและจากราศีกรกฎที่ตนเพิ่งครอบงำไว้ได้
ไปจมขบวนเรือเหล่านั้นลงเสีย

อะไรที่เขาคิดแล้วว่าดีก็ต้องเป็นไปตามนั้น และจะไม่ยอมให้ใครขวางทางได้เลย!


จากสัมผัสที่เชื่อมโยงทาสรับใช้ถึงโมรารัตติกาล เขารู้ตลอดเวลาว่าเธอยังอยู่ดี สบายดีมากๆเสียด้วย
แต่ไม่ได้เห็นกับตาเท่านั้นเอง เพราะตลอดเวลากว่าห้าปีมานี้ เขามีเรื่องมากมายต้องทำจนลืมเจียดเวลา
ไปหาเด็กที่ยังไงก็ไปไหนไม่ได้ เป็นของตายรอคอยเขาอยู่บนเกาะแห่งนั้นจนกว่าเขาจะกลับไป

ชามัลกะเวลาให้คืนแรมใกล้เข้ามา ก่อนเริ่มมุ่งไปยังเกาะเงาด้วยร่างอสรพิษที่มีความเร็ว
เหนือขีดจำกัดของสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง ขณะเดินทางอยู่เหนือเกลียวคลื่น ห้วงความคิด
กระหยิ่มยิ้มย่องหวนคิดถึงเจ้าของโมรารัตติกาล ก็ต้องนับว่าเด็กนั่นผูกพันกับเขาอย่างลึกซึ้ง
ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะโตไปถึงไหน จะอ้วน จะผอม ปากจัดขึ้น หรือว่าขี้แยยิ่งกว่าเดิม จากแววตา
ละโหยไห้ก่อนเขาจะจากมา ใครจะรู้ เด็กนั่นอาจมาเตรียมตัดพ้อรอคอยเขาอยู่ที่หาดทุกๆคืนแรม
รอคอยให้หนทางเข้าสู่เกาะเปิดออก เพื่อที่จะได้เห็นเขากลับมา

เขาไปถึงน่านน้ำใกล้ประจันต์คิรีเขตต์พอดิบพอดีคืนแรมตามที่คำนวณไว้
ฟ้ามืดขาดแสงเดือนเด่นระยับด้วยแสงดาวสกาวใส และในพิกัดแห่งแดนรัตติกาลนั้น
ภาพของเกาะเงาทะมึนก็ค่อยๆปรากฏให้เห็น ชามัลไปถึงยังชายหาดอันวาวประหนึ่ง
โรยด้วยเกล็ดดาว ท่ามกลางบรรยากาศละมุน สายลมแผ่วไหวลูบไล้หาด คลองจักษุ
คล้ายวาบเห็นเงาร่างเพรียวบางวอบแวบรำไร

“สิตารา” ชายผู้ซ่อนร่างอสรพิษพึมพำออกไปทั้งรอยยิ้มซึ่งไม่รู้สาเหตุ

ทว่าสุดท้าย เมื่อสำรวจไปทั่วจึงค่อยตระหนัก ประสาทสัมผัสคล้ายจะหลอนลวงไปเอง
ไม่มีใครมารอเขาที่หาดนั่น นอกจากเงาก้อนหินและแสงสะท้อนของคลื่นล้อรัศมีดาว


ชายหนุ่มมุ่งเข้าสู่ใจกลางปล่องภูเขาด้วยย่างก้าวอย่างมนุษย์พลางใช้สายตาสำรวจ
ที่นี่แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะภาพศาลาเงาแลคล้ายวัด อยู่เคียงใกล้กับ
เวิ้งทะเลสาบนิ่งสงัดซึ่งไม่สะท้อนเงาของสิ่งใดเลย ภาพอันงดงามเยียบเย็นยิ่ง
ไม่ว่าจะในทิวาหรือราตรีกาล

ณ ศาลาโอ่โถงริมน้ำ ปรากฏเงาร่างของสตรีหนึ่ง ดวงตางดงามวาดไว้คมกริบตวัดหางแหลมยาว
แต่สีหน้าเย็นชาดั่งน้ำแข็ง นิ่งเหมือนน้ำในทะเลสาบ ...แม่ชีดำคลี่ยิ้มราวกับรอคอยการมาของเขาอยู่แล้ว

ผมทรงหางแมงป่องส่งให้นางดูสง่า ผิวคล้ำนวลเนียนไร้ที่ติ งามนักหากสงบเกินไป
จนกลายเป็นความราบเรียบแสนน่าเบื่อหน่าย ชามัลไม่เคยให้ความสนใจสตรีตรงหน้า
นอกเหนือผลประโยชน์เกี่ยวกับรัตติดารา ...ไม่ช้า นักบวชดำก้าวออกมาเคียงกายนางประดุจเงา
ไม่แม้แต่แสดงกิริยาทักทาย ในสายตาอสรพิษเห็นว่าออกจะไร้มารยาท แต่ตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์ใส่ใจ

หญิงเจ้าของสถานที่เป็นผู้เอื้อนเอ่ยวาจาทำลายความเงียบ “ยินดีที่ได้พบกันใหม่
อสรพิษผู้งามสง่า เรารู้แน่อยู่แล้วว่าเมื่อใกล้เวลาสถาปนาตำแหน่งราศีที่สิบสามท่านต้องมา
ข้าแจ้งในเจตนาของท่าน รวมทั้งยามที่ท่านส่งสายลมมรณะไปถล่มกองเรือแห่งราศีมังกรเสียจนราบคาบ”

“เข้าใจก็ดี นอกจากข้า ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดใครอื่นควรคู่กับนาง” ใช่...ใครเล่าจะคู่ควรกับ
อำนาจมากไปกว่าเขา ผู้ห่างหายไปเสียนานเหยียดยิ้ม “ข้ามาเพื่ออยู่เคียงข้างผู้ที่ข้า
ฝากฝังไว้กับเจ้า สิตาราอยู่ไหนล่ะ ไม่เจอนาน ป่านนี้คงโตขึ้นมาก”

“เสียดายที่ท่านชามัลไม่ได้อยู่เห็น ช่วงเวลาที่นางเติบโตขึ้นที่นี่
ใจคอเป็นตัวของตัวเองไม่เหมือนใคร และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความงามแห่งดวงตานาง
แทบทำให้ทั้งโลกนิ่งสนิทด้วยลืมหายใจ”

ชามัลเลิกคิ้วยิ้มๆ จะจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่าสักแค่ไหน แต่สำหรับเขา
ยังไงสิตาราก็เป็นเด็กเมื่อวานซืนจอมกวนประสาทอยู่วันยังค่ำ
ชักอยากเห็นว่าเด็กน้อยของเขาจะงดงามสมราคาคุยหรือไม่
“งั้นคงไม่ต้องไปตามให้ชักช้าแล้ว ข้าจะไปดูด้วยตาของข้าเอง”
คนพูดสะบัดร่างหันกลับไปตามทาง

“จริงอยู่ความงามของนาง สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” แม่ชีดำเอ่ยยิ้มๆ
“แต่น่าเสียดายที่ต้องบอกท่าน...เวลานี้ท่านสิตาราน่ะไม่ได้อยู่ที่นี่ให้ท่าน‘เห็น’เสียแล้ว”



บทที่ ๑๒ พบเพื่อพราก จากเพื่อเจอ
“นางจากไปพร้อมกับผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง รวมทั้งคนสนิทของท่านชื่อพรต...
พากันไปจากเกาะเมื่อไม่นานนี้เอง”

ชามัลขมวดคิ้ว นิ่งไปเป็นครู่ รู้สึกว่าไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่ได้ยิน
นี่มันไม่ใช่อย่างที่คิด... อีกอย่าง คนอย่างพรตมีอะไรก็จะต้องบอกเขาก่อนทุกเรื่อง
ยิ่งทางนี้มีโมรารัตติกาลอยู่ การจะหาทางส่งข่าวถึงเขา อย่างน้อยก็เป็นกระแสความรู้สึก
ที่ส่งออกไปย่อมไม่ยากเย็น แม้ที่ผ่านมาตัวสิตาราจะประท้วงด้วยการแทบจะตัดการสื่อสาร
ทางความรู้สึกกับเขา แต่พรตนี่แหละ ที่ชามัลเชื่อว่าจะไม่มีทางแปรเป็นอื่นไป

แล้วที่อุตส่าห์จินตนาการภาพเธอรอให้เขากลับมา ถึงจะมีเชิดใส่บ้างนิดหน่อย
แต่สุดท้ายก็คงแอบดีใจเมื่อเห็นเขา มันไม่ใช่อย่างที่คิดเลย
อีกฝ่ายไม่ได้รอเขาอยู่บนเกาะบ้านี่แล้วด้วยซ้ำ

“ไปไหน” ชามัลแค่นเสียงถามทั้งรอยยิ้ม แต่เป็นยิ้มที่ออกจะน่ากลัวเอามากๆ

“ท่านโปรดใจเย็นและฟังก่อน คำพูดของข้าอาจทำให้ตกใจ อันที่จริงนางก็แค่อยากไปเที่ยว
และห้ามคนของท่านไม่ให้ส่งข่าวในคราวนี้ เพราะถ้าบอกเกรงจะไม่ได้ไป ท่านชามัลคงหาทาง
ขัดขวางไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”

“ดูเหมือนว่าคนของข้าจะไม่เหลือความเป็นคนของข้าเสียแล้ว ช่างน่าผิดหวัง
แต่นั่นคงเป็นเรื่องดีของพวกเจ้า เอาเถอะ ข้าจะจัดการทีหลัง ว่าแต่เด็กข้าไปไหน
ข้าต้องการรู้เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ให้ไปงมหาเอาเอง!” ชามัลเริ่มอดรนทนไม่ได้
การตามหาสิตาราคงไม่ยากสำหรับผู้ที่เชื่อมโยงกับโมราอย่างเขา
แต่ตอนนี้เขาต้องการฟังความจริงจากปากแม่ชีดำ

“ไปตามคำเชิญของจ้าวราศีตุลย์ ตุลาการเชิญนางไปเที่ยวพักผ่อนยังศาลาวิกาล
ออกเดินทางกันไปเมื่อหลายวันก่อน ยังไม่มีกำหนดกลับ”

“ทั้งที่ใกล้จะอายุสิบเก้าอยู่เดือนหน้านี่แล้ว ข้าเคยคิดว่าเจ้าจะเข้มงวดกว่านี้”

“ข้าเชื่อว่าท่านสิตารารู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร” แม่ชีดำกล่าวสำรวม แต่ในขณะที่นางก้มศีรษะลง
ผมเปียหางแมงป่องแข็งชี้นั้นกลับทำให้รู้สึกว่าไม่ได้นอบน้อมอันใดเลย

ชามัลถอนใจแรง เพราะเขาเองไม่เฝ้าเหยื่อให้ดี จะโทษใคร “เอาเถอะ...ข้าจะไปตามเด็กนั่นด้วยตัวเอง”


เขตพระนครยามค่ำคืน เคหสถานโอ่อ่าถูกซุกซ่อนไว้ในแหล่งอาคารร้านตลาด
ตัวตึกทึบช่วยปิดบังแสงสีจากการมองเห็นของผู้คนภายนอกจนสิ้น
แต่เสียงที่ดังออกมาก็เป็นตัวบอกเล่าเรื่องราวต่างๆที่ดำเนินไปภายในนั้นได้ดี
ทั้งจากการเข้าออกของผู้คน พวกชาวบ้านจึงรู้อยู่เสมอ
ที่อาศัยคหบดีนี้เป็นแหล่งสังสรรค์ของข้าราชการและพวกคนรวย
ทว่าในสายตาชามัล บรรยากาศอึมครึมหอมเอียนด้วยกลิ่นดอกราตรีฉุนจัด
ชวนให้คิดไปว่าที่อาศัยกว้างขวางแบ่งเป็นซอกเล็กห้องน้อยนี่คือซ่องชั้นสูง
แห่งนครโสเภณีเสียละมากกว่า

ศาลาวิกาล ที่พักพิงของคนเหงายามค่ำคืน
แต่มันก็ไม่ได้เปิดออกต้อนรับทุกคน ชามัลก้าวเข้าไปที่นั่นด้วยวิธีที่ไม่ปกติ
แต่เมื่อผ่านเข้าไปแล้ว เขาพยายามทำตัวเป็นปกติ เพียงใช้พลังปิดตาอำพรางอำนาจของตนไว้
ไม่ให้คนที่นี่รู้ถึงการมา ผนังตึกสูงแคบภายในฉาบทาด้วยสีหมากสุก มีทั้งสวนสวยถูกโอบไว้ใน
วงล้อมของตึกและสวนใหญ่อยู่ด้านหลัง สายตาของผู้มาเยือนสอดส่ายไปพบ ทว่าชามัล
สนใจภายในอาคารมากกว่า

แต่ละซุ้มโค้งแต่ละระเบียงที่ก้าวผ่านชวนให้นึกไปว่าอยู่ในเมืองแถบสเปน
ถ้าไม่ติดงานนากลงยาสลักเสลาลายไทยประณีตแต่งเชิงคานและเสา และถ้าทำนองดนตรี
ครวญคลอแผ่วไหวอยู่ในบรรยากาศจะไม่ใช่เพลงไทยเดิมอันแว่วระบายเสียงเบาแสนเบา
มาจากช่องห้องหับ มันคงจะถูกเปิดจาก‘แผ่นครั่ง’แผ่นเสียงแบบเก่าซึ่งก่อเกิดอารมณ์สุนทรีย์

สถานที่แบบนี้วาเลนติโน่คงชอบ แต่สหายของเขาไม่คบค้ากับพวกตุลาการ
คำที่อีกฝ่ายนิยามหยามเหยียดออกมาชามัลยังจำติดหู

‘ใช้ชื่อว่าตุลาการทั้งที่ความเที่ยงธรรมต่ำเตี้ยที่สุด มันทำให้ข้าสับสนแยกสีไม่ออก
คนอย่างข้าเป็นพวกนิยมความสุดขั้ว ชอบกลิ่นเลือดที่ซ่อนในราตรีดำมืด
หรือบางทีก็อาจจะซึ้งในรสพระธรรมแห่งแสงขาวก็ได้ แต่ไม่เคยพิสมัย
ปลักตมเทาๆขุ่นๆที่ซ่อนใต้น้ำครำ เนื้อแท้แล้วมันมีสีอะไรปะปนอยู่บ้างก็ไม่รู้ได้เลย’

ผู้คนในชุดงามสมสมัยรัชกาลที่ ๗ กรายผ่าน ส่วนใหญ่เป็นชายมากกว่าหญิง
ชามัลเองก็ทำตัวให้อยู่ในรูปลักษณ์กลมกลืนไปด้วยชุดกึ่งไทยกึ่งสากล
ใจยังคิดว่าการที่เด็กสาวอย่างสิตาราจะถูกเชิญมาที่นี่มันออกจะดูไม่เหมาะสม
อย่างน้อยควรมีที่พักแยกสัดส่วนออกไป ไม่ใช่อาคารหรูหราแต่มืดหม่นคล้ายแหล่งซ่องสุม
เขารู้ว่าตนเข้าใกล้กลิ่นอายของโมราเม็ดนั้นเต็มที สิตาราไม่ได้ออกมาสังสรรค์กับแขกเหรื่อ
อาจเพราะดึกมากแล้วเธอจึงเก็บตัวอยู่ในห้องแต่ลำพัง

สิตารามากับพรตและนิลละ หนึ่งในแฝดคนคู่ซึ่งปวารณาตัวติดตามเธอ ต่อหน้า
ฝาแฝดอาจดูไม่มีพิษมีภัยจนเกือบจะวางใจได้ แต่ข่าวลับซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จที่ได้ยินมา
หนึ่งในสองฝาแฝดนี่เองอาจเป็นผู้ลงมือฆ่าบิดาจ้าวราศีเมถุนหรือราศีคนคู่รุ่นก่อน
ด้วยเหตุที่บิดาหมายปันใจไปสนับสนุนข้างแสงสว่างอย่างเมห์ฮราฝ่ายศัตรู แม้จะเชื่อว่า
วรรณะที่อยู่กับเขามีความเลวมากกว่านิลละหลายสิบส่วน แต่ชามัลก็ยังไม่ปักใจตัดสินว่า
เรื่องที่ได้ยินมาเป็นฝีมือคนไหน
กับนิลละที่ยังไว้ใจไม่ได้ สิตาราก็เหลือแค่พรตซึ่งไม่ได้มีพลังในการสู้รบปรบมืออะไร
แต่กลับกล้าพาสิตาราออกมาเผชิญโลกกว้างเช่นนี้ภายใต้เงื้อมมือตุลาการที่อาจเป็นศัตรู
เป็นความหละหลวมหรือจงใจของแม่ชีดำที่ปล่อยมา นี่เขายังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
กับคนของตนเองที่คราวนี้ไม่ส่งข่าว เรื่องความผิดนั้นคงจะต้องเก็บไว้ก่อน
แต่สำหรับเด็กหนีเที่ยว ชามัลนึกอยากตีเสียให้ก้นลาย ทั้งที่ว่าไปแล้วเขาก็ไม่เคยห้ามเธอสักคำ
ว่าอย่าออกมาจากเกาะ เพราะคาดผิดว่าคนพวกนั้นจะไม่ปล่อย นี่คือการให้เธอได้เปิดหูเปิดตา
เรียนรู้โลกอย่างที่อ้าง หรือแฝงจุดประสงค์อื่นใด...

ที่เที่ยวเหมาะๆของเด็กผู้หญิงสักคนคงไม่ใช่การมาเยี่ยมเยือนคนอย่างตุลาการแน่
แม้อีกฝ่ายจะเคยช่วยขวางสิงหรานีไว้และเปิดทางสะดวกให้เขาพาสิตาราจากไป
ไม่จำเป็นเลยสักนิด เขาฆ่าผู้หญิงคนนั้นได้อยู่แล้ว ...ไม่ว่าอย่างไรชามัลก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง
ดุจหินผาของตุลาการ ปักใจเชื่อว่าคนที่มีพลังมหาศาลเช่นนั้นมีหรือจะไม่ต้องการอำนาจไว้เอง


สิตารายังไม่นอน เธอออกมายืนรับลมยังระเบียงห้องซึ่งหันแยกเป็นสัดส่วนจากวงล้อม
ของสถานพักอาศัยซึ่งเป็นบ่อนพนันอยู่กลายๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอออกจากเกาะ
โดยขู่พรตอีกว่าถ้าฟ้องชามัล คราวหน้าคราวหลังจะไม่ให้สัมผัสพลอยเพื่อสื่อสารกับเจ้านาย
ไม่เพียงเท่านั้นยังยกเรื่องร้ายกาจต่างๆมาพูดมากมายจนพรตต้องยอมปิดความลับไว้ทุกที

จากบนตึกซึ่งสูงที่สุดในย่านนี้ สิตารามองออกไปเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาอยู่ห่างไปไม่ไกล
ลมพัดผมเป็นคลื่นยาวสยายถึงสะโพกปลิวเล่นลม ทั้งยังช่วยกลบสรรพสำเนียง
ของคนราตรีซึ่งแว่วมาให้ยิน

ค่ำนี้เธอเองยังเพิ่งสนทนาสนุกสนานอยู่ในห้องสมุดกับพี่รตีน้องสาวของตุลาการรดิศ
หญิงสาวแต่งกายทันสมัย ตัดผมบ๊อบสั้นดัดเป็นคลื่นรับรูปหน้าสวยหวาน
ทั้งยังใจเย็นอารมณ์ดีตลอดเวลา

‘เขี้ยวแก้วที่ท่านสิตาราใส่อยู่ได้มาจากไหนหรือคะ ถ้ามองไม่ผิด มันคงเป็นของมีค่ามาก
ประกายสวยจริงๆ’ รตีเป็นรัตติดาราคนเดียวที่เจรจาเป็นภาษาไทยกับสิตารา

‘มีคนให้มาค่ะ’ สิตาราตอบไปพร้อมรอยยิ้มเศร้าๆ

‘ขอฉันดูชัดๆได้หรือเปล่าคะ’

‘คงต้องให้ดูทั้งอย่างนี้ค่ะพี่รตี เพราะฉันไม่สะดวกที่จะถอดมัน’

แต่ก่อนนั้นแม้ปราการเกาะเงาจะแน่นหนา ทว่าครั้งหนึ่งเคยมีกลุ่มคนเร้นลับสามสี่คน
บุกเข้าถึงตัว มันทำอะไรสิตาราไม่ได้เพราะเขี้ยวแก้วนี้เองที่ทำให้แทงฟันไม่เข้า
ซ้ำร้ายเมื่อพวกมันหมายจะแตะต้องยื้อแย่งก็พบว่าตัวเธอเหมือนมีพิษร้ายอาบอยู่
ได้แต่ร้องโอดโอยทุรนทุรายล่าถอยออกไป

สร้อยเส้นนี้ ของที่คนคนนั้นเหลือเศษความเมตตาไว้ให้ แล้วมันก็ช่วยเธอได้จริงๆ
...ในความมืดลำพัง สิตารากลับคิดถึงเขาขึ้นมาอีก ผู้ชายร้ายกาจที่ไม่เคยคิดถึงใคร
คนที่ทิ้งเธอไป นี่เธอไม่ได้อกหักจากเขาใช่หรือเปล่า

“ป่านนี้จะไปตกส้วมตายที่ไหนแล้วก็ไม่รู้” คำสบถติดปากได้มาตั้งแต่หัดต่อว่ามิตร
เวลาเขาชอบเข้าไปโงกหลับอยู่ในห้องน้ำยามปลดทุกข์ แล้วก็จำติดปากมาใช้ว่าคนอื่นด้วย
...ไม่เพียงแค่เรื่องนี้ เธอมันพวกไม่ลืมอดีต ไม่เคยลืม ตอนนี้ก็เลยต้องมานั่งจำเรื่องใครอีกคนที่ไม่อยากจำ
เสมือนว่าชามัลเป็นความหวังเพียงหนึ่งเดียวที่ใจโหยหา เป็นตัวเชื่อมรวมเอาความทรงจำในอดีต
และปัจจุบันของสิตาราเข้าด้วยกัน “พาเรามาติดแหง่กอยู่นี่คนเดียว ตัวเองหนีไปทำอะไรก็ไม่รู้ งูบ้า!”
ถ้าเป็นมิตรที่พาเธอกลับมา ทุกอย่างต้องดีกว่านี้แน่ เธออยากจะเกลียดๆๆ เกลียดชามัลให้มากขึ้นไปอีก

คนถูกด่าซึ่งอำพรางพลังของตนจากการรับรู้ของอีกฝ่ายยิ้มขำ ตาเป็นประกายวาววามจากในความมืด
งูบ้านั่น ตอนนี้ก็อยู่ข้างหลังเธอนี่แล้วไง




-------------
คนอ่านหายไปหมดแล้วหรือวันหยุด แงงงงงงงง ถ้ายังอยู่ขอเสียงบ้างสิคะ
เหงาๆๆ
ป.ล. ตอนต่อไปมาวันจันทร์



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ธ.ค. 2556, 02:24:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ธ.ค. 2556, 02:24:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1445





<< บทที่ ๑๑ ชายผู้ทอดทิ้งดวงดาว...   บทที่ ๑๒ พบเพื่อพราก จากเพื่อเจอ >>
อสิตา 27 ธ.ค. 2556, 02:25:40 น.
คุณเกดซ่าร่าเริง – ในที่สุดทั้งสองก็ยังไม่เจอกัน ยังไม่ได้มองหน้า นี่เรียกว่ายังไม่เจอนะ หุหุ เจอแล้วจะเป็นไงน้า
ในลมหนาวมีแต่เกดซ่าที่อยู่เคียงข้างเรา ซับน้ำตา... เลิฟยูๆๆ วันนี้มาก่อนนอนเพื่อที่เกดซ่าจะได้ไม่ต้องรอนะ
คุณหนอนด้น – แหมใครจะรอดใครจะตายล่ะ ชามัลเป็นพระเอกไม่ใช่เหรอ ที่สำคัญฮีตายไปแล้วจนขนาดนี้
คงไม่ตายอีก แหมๆๆ หนอนจังดูถูกชาจัง ตอนนี้ก็มาด้อมมองสาวอยู่ไม่ไกล แต่ยังรีรอที่จะเข้าไปสะกิด
ยังไงซะก็ลูกไก่ในกำมือใช่ไหมชาจัง
คุณยิ้มยิ้ม – เฮ้ หนาวหนาวนี้ ร.ร.ยังเปิดแอร์ใส่เด็กอีกเหรอ ทำไมไม่อนุรักษ์ทรัพยากรเลย บอกครูได้ไหม
ยินดีด้วยที่สอบเสร็จแล้ว แต่ถ้าตั้งใจเรียนมาตลอดการสอบก็ถือเป็นช่วงเวลาที่สนุกนะ55
คุณโกลเด้นซัน – หยุดยาวไปเที่ยวไหนไหมคะ ขอให้มีความสุขในช่วงปีใหม่และตลอดไปทั้งปีและชั่วกาลนาน
จะอวยพรครอบจักรวาลไปไหนกันนี่เรา ตอนนี้คนเขียนก็พักหาอะไรอ่านเหมือนกันค่ะ จะได้พัฒนาตัวเอง
เดี๋ยวรอดูว่าชามัลจะได้เจอมัชฌิม์ตอนไหนกันน้า

คุณดวงมาลย์ – โผล่มาฉีกยิ้มให้กำลังใจน้องในสภาพร่อแร่ น่ารักเป็นที่สุด สู้เค้านะเจ้
คุณก้อนหิน – เสือน้อยก็อาจเป็นพระเอกได้เหมือนกัน เวลาเขียนเรื่องที่มีตัวเอกหลายตัว
ใจจริงคนเขียนไม่ค่อยอยากคิดว่าตัวไหนมีตำแหน่งอะไรในเรื่อง คิดแต่ว่าเราอยากเล่าเรื่อง
ของคนเหล่านี้อย่างไร ยิ่งถ้าเรื่องไหนมีหลายคู่ด้วยแล้ว... อย่างเช่นเรื่องนี้เป็นต้นค่ะ หุหุ
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ – สนามหญ้าที่บ้านชุ่มเลยเหรอคะ *.* คอจะแห้งเอานะ...
มีคนบอกว่าคนเขียนนิสัยคล้ายๆสิงหรานีเหมือนกันค่ะ 55ส่วนเรื่องชามัลเป็นผู้ร้าย
น่าจะตอบคล้ายๆกับที่เพิ่งตอบคุณก้อนหินไป เวลาเขียนมักไม่มีตำแหน่งให้ตัวละคร
คิดไว้ก่อนว่าตัวนี้ นิสัยแบบนี้ ในความเป็นจริงเขาจะเลือกทำอย่างไหน
แล้วทำให้เรื่องดำเนินไปอย่างที่เราอยากเล่า อะไรประมาณนั้น...
คนเลวก็มีความรักได้นะคะ แต่ความรักนั้นจะทำให้เปลี่ยนแปลงไปได้สักแค่ไหน นั่นคือสิ่งที่น่าสนใจ
ขอบคุณนะคะที่ยังอยู่เป็นเพื่อนกันแม้ในช่วงหยุดยาว


ketza 27 ธ.ค. 2556, 06:12:34 น.
เกดซ่าท้าลมหนาวมาแว้วว....คุ้นๆแฮะคำนี้ 555....


ketza 27 ธ.ค. 2556, 06:26:12 น.
โอ๊ยๆๆๆ ทิ้งค้างไว้แบบนี้ได้ไง... ค้างๆๆๆ ... แต่ไม่เป็นไรพรุ่งนี้วันจันทร์แว้ววว โฮ๊ะๆๆๆๆ
.... แหมๆๆๆ นู๋สิโตเป็นสาวแล้ว ตอนหน้ามีเฮ กิ๊วๆๆ >////<
.... ท่านพี่ฝันหวานเชียวนะว่าจะมีคนมารอ... เหอๆๆ มัวแต่ไม่ตกส้วมที่ไหนมา นู๋สิหนีไปเที่ยวแบ้ววว >_< รักนะจุ๊บๆ....


yimyum 27 ธ.ค. 2556, 06:55:43 น.
ส่งเสียงค่า วื้ด วิ้ว...
เย้สอบเสร็จแล้ว ฉลองปีใหม่ ที่โรงเรียน กีฬาสี เย้ๆๆ!!!!
ปล. ทำไมลงจบตอนแบบให้ลุ้นค้างอีกแล้ว


lovemuay 27 ธ.ค. 2556, 07:07:43 น.
อีตาชามัลทำเป็นพูดอย่างงู้อย่างงี้ ที่จริงก็คิดจะกินเด็กนั่นแหละค่ะ


บุลินทร 27 ธ.ค. 2556, 11:09:44 น.
ทำไมหม่องยีไม่ออกล่ะ แสยะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 27 ธ.ค. 2556, 13:43:19 น.
ที่ผ่่านมา ตาเมาคงห่างไกลจากหญิงที่รักสินะ ถึงได้โหดเหี้ยม โหดร้าย ฆ่าคนแบบนี้ ถ้าอยากเป็นพระเอกก็มาอยู่ใกล้ๆ หนูสิเซ่ ทำตัวเป็นจระเข้ขวางคลอง จอมอันธพาลอยู่ได้


ริญจน์ธร 27 ธ.ค. 2556, 20:19:14 น.
อ้าว เมื่อวันพุธลืมเข้ามาส่อง น้องมูนตามอ่านมาทีหลังนะ


ดังปัณณ์ 27 ธ.ค. 2556, 20:28:14 น.
ง่ะ! ชาจังนี่ กะรวบหัวรวบหางเลยใช่มะ คุณแป้งงงงงงงงงงงงงงง 5555+


konhin 27 ธ.ค. 2556, 21:48:50 น.
เฮ้อ สิตา ทำไมต้องรักอีตาชามัลด้วยไม่เข้าใจ ทำใจไม่ได้ๆๆๆๆ


Chii 27 ธ.ค. 2556, 22:42:29 น.
....โถ... สิต้าาาาาาา ไม่น่าเลยยยยยยยยยยยยยย
//หรือผู้หญิงชอบคนเลววววว

มันเป็นเรื่องของแรงดึงดูดและความผูกพันสินะ
//คนอ่านไม่เข้าใจ
//หาน้ำร้อนราดรอบตัวสิต้า กำจัดสิ่งไม่พึงประสงค์ที่เรียกว่ามานนี่


ดวงมาลย์ 28 ธ.ค. 2556, 18:23:39 น.
สู้ๆๆๆๆๆๆ ส่งงานเมื่อไหร่ไปฉลองกันน้าาาาาาาาา


Zephyr 28 ธ.ค. 2556, 21:05:42 น.
เหยยยยยย สิต้าโตแล้วววว สวยด้วยยยย
ฮ่าๆๆๆๆ มารี่ต้องตะลึงแน่ๆๆๆ ชิชะ ทิ้งไปตั้งเกือบหกปี ชดเชยซะ
มีวางแผนจะแต่งงานล่วงหน้า อัยยะ นายคิดจะมีคู่ด้วยรึ
ไส้เดือนตาแดง มาแล้วก็หลบๆซ่อนๆอยู่ได จะเซอร์ไพร์สรึจะปอดแหกกันแน่อ่ะ
สมน้ำหน้าไม่มีคนรอ สมน้ำหน้า สมๆๆๆๆๆๆ


goldensun 29 ธ.ค. 2556, 10:01:42 น.
ทำแบบนี้ ใช้ได้เลย สิตารา จะให้ชามัลจอมโหด เห็นเป็นของตายได้ไง
ฆ่าพชรมุนีซะโหดเชียว เจอกันเต็มๆ น่าลุ้นสิตาราจะมีท่าทางยังไง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account