โมรารัตติกาล {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

-------------------------
ยังเคยยินเรื่องราวของหินโมราแห่งรัตติกาล
พลอยโบราณล้ำค่าที่อาจนำพาใครบางคนหวนสู่อดีตกาล เรื่องของมันอาจถูกกลบฝัง
กร่อนกลืนไปกับเงื้อมเงาแห่งกาลเวลาที่ค่อยๆเปลี่ยนความรับรู้ของผู้คน
แต่กับเขา...
ผู้ซึ่งมีเพียงความแค้น ไม่มีแม้ร่างกาย เป็นแต่เพียงวิญญาณที่ล่องลอยไปในราตรี
เฝ้าเพรียกหาให้อดีตหวนคืนกลับ เพื่อเปลี่ยนวันแห่งความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นชัยชนะ
เวลาผ่านเนิ่นนานนับสิบๆปีจากวันที่เขาตาย
โลกเปลี่ยนแปร แต่ใจของเขาไม่เคยเปลี่ยนตาม
เขายังคงไม่ไปไหน
แม้จำได้ว่าตนเองเคยมีนาม เคยเป็นใครคนหนึ่งที่ถูกเรียกขานว่าชามัล เมห์ฮรา
แต่ตอนนี้แทบไม่รู้สึกว่านามนั้นคือตนเอง ไม่ได้มีใครเรียกชื่อเขานานมากแล้ว
ตั้งแต่เขากลายเป็นชีวิตไร้ตัวตนในความมืด ที่ยังจำได้ดีคือความแค้นต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่เว้นแม้กระทั่งแค้นตัวเอง ที่พ่ายแพ้ และต้องตาย...
วิญญาณของเขายังรอคอยวันที่มือซึ่งมองไม่เห็นคู่นี้จะเอื้อมคว้าไปถึง
อัญมณีเม็ดนั้นที่จะพาเขากลับไปแก้ไขอดีต
...โมราแห่งรัตติกาล
และคนที่จะนำพาเขาไปถึงมันได้ มีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น


------------------------------------
เรื่องเริ่มต้นที่ร้านอัญมณีเก่าคร่ำคร่า หลายคนเดินผ่านเลยไป แต่มีบางคน...
คนที่ตามหาเท่านั้นจึงจะค้นพบการมีอยู่ของร้าน และเปิดประตูเข้ามา
ตัวร้านเดินทางอยู่ในระหว่างมิติเวลา บางทีมันอาจไปโผล่ที่ตรอกโทรมๆสักตรอกในอนาคต
หรือในซอยคับคั่งย่านเยาวราชที่คนพลุกพล่านเดินผ่าน แต่จะไม่มีใครหยุดสนใจ
นอกเสียจากคนผู้มีชะตาผูกพันกับพลอยทรงอำนาจลึกลับสักเม็ดในร้าน
ท่านจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าของร้านที่ชื่อ มิตร เมห์ฮรา

Tags: มนตราอัญมณี มายาไฟในดวงตา ชามัล มิตร สิตารา มัชฌิม์ รัตติดารา สิงหรานี ราศีที่สิบสาม ม่านทิวาพชร มรกตสนธยา

ตอน: บทที่ ๑๒ พบเพื่อพราก จากเพื่อเจอ(...ต่อ)

เรือของตุลาการลอยเข้าใกล้จุดหมายตั้งแต่ยังไม่ทันถึงคืนที่แรมจันทร์จะเปิดทางสู่เกาะ
จะว่าไปก็เหมือนฝัน บนเรือที่ถูกเนรมิตมาด้วยอำนาจเงินตราทั้งยังควบคุมโดยกลุ่มผู้มีพลังเร้นลับ
เหนือมนุษย์ อาจกลายเป็นเรื่องเล่า เป็นหนึ่งในอาถรรพณ์ทางทะเล เรือซึ่งผู้สามารถพบเห็น
และติดตามรอยได้ต้องมีอำนาจปานกันเท่านั้น

ยามเย็นที่ฟ้าเป็นสีส้มอมทอง สิตาราเอากีตาร์ละตินตัวเก่งออกมาจากหีบห่อ
หาที่นั่งเล่นตรงมุมดาดฟ้าท้ายเรือ เธอไม่ได้เชื้อเชิญใคร แต่สุดท้ายท่วงทำนอง
ก็เรียกให้ชามัลปรากฏตัวขึ้น

“ไม่ลงไปสนุกในบ่อนข้างล่างต่อหรือ คุณอสรพิษหนุ่มผู้เจนสังคม
งานเลี้ยงสังสรรค์เพิ่งจะเริ่มเองนะ” คนกำลังง่วนอยู่กับการบรรเลงเพลงจากเส้นสายในมือ
ปรายตามองคนที่ก้าวเข้ามาใกล้

ชามัลหรี่ตาลงน้อยๆ ตาเธอโดดเด่นจริงอย่างว่า แม้สิตาราไม่ใช่ผู้หญิงสวยหยดย้อย
แต่ถ้าเป็นดวงตาแล้ว เขายังไม่เคยเจอใครที่ตาสวยเท่านี้ เหมือนฟ้าได้มอบประกายของแสงดาว
ลงมาวางไว้ในตาคู่ตรงหน้า และตอนนี้สายตานั้นก็จับจ้องมายังเขา ถ่ายทอดความรู้สึกซึ่ง
ดึงดูดให้จมลึกเข้าไปอย่างบอกไม่ถูกจนเขาต้องเมินหลบก่อนจะต้องมนตร์

“ก็ไม่ได้ชอบเข้าสังคมถึงขนาดนั้น แค่เวลาได้เล่นเกมกับพวกมนุษย์คนอื่นมันก็สนุกดี
ยิ่งถ้าเจอคู่ต่อสู้เก่งๆด้วยแล้ว แต่บางทีอยู่สงบๆบ้างดีกว่า”

สิตาราบรรเลงของเธอต่อไป พยายามทำไม่สนใจครึ่งอสรพิษครึ่งคนที่เข้ามานั่งเสียใกล้
บนลังโลหะเคียงเธอ แม้ลมทะเลยามย่ำค่ำสนธยาจะเย็น แต่เธอกลับรู้สึกคล้ายจะหนาวๆร้อนๆ
อย่างไรบอกไม่ถูก

“เล่นเก่งขึ้นมากนี่” ชามัลกระซิบอยู่ใกล้ๆ ใช้มือจับปอยผมยาวที่สยายไปตามลมทัดหูให้
สาวน้อยตัวเล็กข้างกายจนเธอต้องหันมาช้อนตามองเขาอีก ชายหนุ่มจึงออกตัว
“ทำไม ก็ฉันอยากจะดูแลเธอตอนนี้ไง ชดเชยที่หายไปเสียนาน”

“ชิ...” สิตาราร้องพลางตีหน้ากึ่งขำกึ่งบึ้ง ถ้าชามัลทำอย่างนั้นด้วยความหวังดีจริงก็แปลกละ
แต่ถึงรู้ว่าเขาแกล้ง ใจก็คล้ายจะคิดเข้าข้างตัวเอง เขาคงเอ็นดูเธอบ้าง ไม่มากก็น้อยกระมัง

“ว่าแต่ทำไมพลังของเธอถึงไม่ก้าวหน้า วันๆแม่ชีดำได้ให้ฝึกอะไรต่อมิอะไรที่ช่วยเพิ่งพูนพลังบ้างไหม”
ไม่อยากพูดชี้โพรงให้กระรอก ตอนเขาปะทะกับสตรีราศีสิงห์ที่เมาะตะมะ สิตาราเคยเกือบจะควบคุมเขาได้
เมื่อตอนพยายามจะยับยั้งการต่อสู้ด้วยซ้ำ หรือว่านั่นเป็นเพราะพลังของน้ำตกในสระมรกตช่วยเธอ
“ฝึกสิ ฝึกจนเบื่อเลย แต่สงสัยจะไม่มีพรสวรรค์ก็เลยไม่กระเตื้องสักที”

เมื่อชามัลยื่นมือมาขอกีตาร่า ลาติน่าไปเล่นบ้างสิตาราก็ส่งให้แต่โดยดี ทั้งยังเขยิบเข้ามาช่วย
จัดแจงท่าให้จนดิบดีตามที่ตนศึกษามาแล้ว แสงสนธยากำลังลาลับไป เมื่อชามัลหัวเราะเสียงดัง
อย่างที่ไม่เคยได้หัวเราะจากใจเช่นนี้มานานมากแล้ว

“เอ้า เอาคืนไป เพลงนี้ตาเธอ...ช่วยเล่นเพลงในยุคสมัยของ‘เรา’ให้ฉันฟังหน่อยสิ”

สิตาราเกือบจะบอกออกไปว่ายุคของเขาตะหาก ไม่ใช่ของเธอ แต่พอนึกๆไป
จากช่วงเวลาหลากหลายอันปนเปอยู่ในความทรงจำเหมือนสีสันพร่างพราย
ในสีสันเหล่านั้นมีช่วงเวลาเดียวกันกับที่มิตรและชามัลมีชีวิตอยู่โดดเด่นขึ้นมากว่าเวลาใดๆ
ดังนั้นมันก็คงจะเรียกว่าเป็นยุคสมัยของสิตาราได้เหมือนกัน และในเวลานี้เธออยากจะเล่น...
I've been searching for you
I heard a cry within my soul
I've never had a yearning quite like this before
Now that you are walking right through my door

ชามัลเผยยิ้มออกมา เด็กนี่เล่นเพลงนี้เพราะอะไรกัน หรือว่ารอที่จะพบเจอกันกับเขาอีกครั้งอยู่ตลอด
“เล่นเพลงนี้นึกยังไง คิดถึงใคร คิดถึงอะไรขึ้นมาหรือ...” คนฟังถามออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
แต่ก็แอบคิดว่ารอยยิ้มบนหน้าตนคงบอกเธอได้ ว่าตอนถามนั้นเขาคาดหวังคำตอบแบบไหน

“ไม่รู้สิ” สิตาราถอนใจ “คิดถึงคนที่สอนให้เล่นเพลงนี้มั้ง มิตร...คงไม่ได้เจออีกแล้ว”
สิตาราตอบออกไปอย่างไม่คิดอะไร เพราะส่วนหนึ่งในใจเธอมันก็เป็นจริงเช่นนั้น
All of my life
Where have you been?
I wonder if I'll ever see you again
And if that day comes
I know we could win
I wonder if I'll ever see you again

สาวน้อยไม่ทันได้เงยมอง จึงไม่ได้เห็นว่าสายตาชามัลเปลี่ยนไปวูบ
จากอ่อนโยนเป็นกร้าวกระด้างอย่างถึงที่สุด

ทั้งที่เกือบจะคิดแล้วเชียว ว่าไม่ว่าเขาจะจากไปนานแค่ไหน ก็ยังมีใครคนหนึ่งรอเขา
แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องให้ความสำคัญกับใครในโลกนี้!
เพราะคนที่เห็นเขาสำคัญ...ก็คงไม่มีเหมือนกัน

สิตาราขมวดคิ้ว เมื่อจู่ๆคนที่นั่งฟังเธอเล่นอยู่ดีๆก็ลุกพรวด ผลุนผลันจากไปเงียบกริบ
โดยไม่พูดจาแม้แต่คำเดียว ทว่าในอารมณ์นั้นเธอหยุดเล่นไม่ได้

คนบรรเลงไม่ทันได้เห็นสีหน้าของคนเดินหนี เสียงเพลงที่เธอยังเล่นต่อกลับตอกย้ำ
ว่าสิตาราใส่ใจที่จะคิดถึงใครอีกคนมากกว่าเขา ท่วงทำนองไล่ส่งจากเบื้องหลัง
ยิ่งทำให้ชามัลอยากจะก้าวให้พ้นไปไกลๆ

ทว่าในขณะนั้นเอง เสียงกลับเป็นตัวดึงดูดใครอีกคนหนึ่งเข้ามาแทนที่...

A sacred gift of heaven
For better, worse, wherever
And I would never let somebody break you down
Nor take your crown, never...
คนฟังคนใหม่พาร่างสูงใหญ่เข้าใกล้สาวน้อยที่กำลังหลับตาพริ้มดื่มด่ำในเสียงดนตรี
เขารู้สึกผ่อนคลายก็จริง แต่คิ้วเข้มกลับขมวดเข้าหากันน้อยๆอย่างไม่รู้ตัว นึกสงสัยว่า
ตัวเองกำลังเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในยุคอดีตแน่หรือ ทำไมจึงมีคนเล่นเพลงของปีสองพันได้

แล้วดูความโหยหาในเสียงเพลงของเธอสิ มันสะกดเขาให้ก้าวเข้ามา
ทั้งที่มิตรไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะแสดงตัวต่อหน้าใครที่นี่ว่าเขามาจากยุคสมัยอื่น
แต่สำหรับสาวน้อยคนนี้ เขาคิดว่าคงไม่เป็นไร...

All of my life
Where have you been?
I wonder if I'll ever see you again
And if that day comes
I know we could win
I wonder if I'll ever see you again

“อะเกน ของเลนนี่ คราวิซ...อยากพบใครมากหรือ ถึงได้แสดงความหมายของคำว่า
‘อยากเจอกันอีกสักครั้ง’ผ่านเพลงออกมาได้ขนาดนั้น” น้ำเสียงสนุกสนานอยู่เป็นนิจ
เอ่ยออกไปไม่รู้ตัว แต่เขาก็ยิ่งฉงนเข้าไปใหญ่ ทำไมแม่สาวน้อยลืมตามาเห็นเขาแล้วนิ่งค้าง
ก่อนที่น้ำตาจะหล่นเผาะลงมาจากดวงตาคู่สวยราวกับไข่มุกล้ำค่าที่ขาดหลุดจากสาย

“มิตร...”

เสียงเรียกแผ่วหวิวคล้ายมีบางส่วนกระชากใจให้เศร้าสร้อยตามอย่างประหลาด

“เธอเป็นใคร ทำไมถึงรู้จักชื่อฉันได้” ชายหนุ่มถามออกไปอย่างฉงนใจ ตาสีสนิมเหล็กหรี่ลง
หรือเพราะร้านที่ทำให้เธอรู้จักเขา บางทีมันอาจเคยพาเขาย้อนไปไกลกว่านี้ ไปเจอเธอ
ตอนเป็นเด็กน้อยตัวเล็กๆหรืออะไรแบบนั้น

มิตรไม่ได้รู้เลยว่าตนไม่ได้เพียงเคยผ่านพบกับอีกฝ่ายอย่างที่เข้าใจ
แต่เป็นผูกพันกันอย่างลึกซึ้งในช่วงเวลานานหลายปีต่างหาก ชายหนุ่มกะพริบตายิ้มๆ
ก้าวเข้าไปใกล้สาวน้อยที่ยกมือขึ้นปิดปาก ร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น
เมื่อเธอวางเครื่องดนตรีในมือก่อนพุ่งเข้าหาเขา กระโจนขึ้นมากอดเกาะไว้ทั้งตัว!

“เฮ้ย! เดี๋ยวสิ ใจเย็นก่อน เราเคยรู้จักกันที่ไหน ยังไง”

“รู้จักสิ ฉันรู้จักมิตรดีที่สุดในโลกเลย!”

จากนั้น ถ้อยคำพรั่งพรูจากปากของสิตาราราวสายน้ำไหล แขกที่ไม่ได้รับเชิญ
ให้ขึ้นมาบนเรือได้แต่อึ้งตะลึงแข็งค้างไปแทบจะจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เขาก็
พอเข้าใจได้ว่าแม่สาวน้อยร่างเล็กตาสวยคนนี้พยายามบอกว่าเคยอยู่กับเขามาก่อน
ทั้งยังต้องจากกันโดยไม่ได้ลา จากนั้นก็ยังพร่ำพูดความเป็นมาเป็นไปตลอดหลายปี
ของตัวเองใส่หูเขาจนแทบไม่หยุดพักหายใจ

“อะไรนะ เธอว่าเคยอยู่กับฉันตอนเธอแปดขวบ แล้วมันเรื่องอะไรฉันถึงต้อง
รับเด็กสักคนมาเลี้ยง นั่นมันไม่น่าจะเป็นการกระทำของฉันเลย”

สิตาราหัวเราะกับเสียงตื่นๆปนเคอะเขินที่ไม่ค่อยจะได้ยินบ่อยนัก แต่เธอก็ไม่เคืองเขาเลย
“นั่นน่ะสิ คนไร้ความรับผิดชอบ ไร้ระเบียบ ไม่ควรจะเป็นพี่เลี้ยงเด็กสักนิด”

“เออ พูดแบบนี้เลยชักจะเชื่อขึ้นมาหน่อยว่ารู้จักกันจริง” มิตรกลอกตา
พยายามเบนหน้าออกห่างจากอ้อมกอดติดหนับเหมือนตุ๊กแก

...สิตาราเพิ่งเข้าใจ สำหรับมิตรคนที่เธอจากมา มิตรคนที่อยู่ในอนาคต
เขาคนนั้นอาจไม่ได้เจอเธออีกแล้ว แต่สำหรับมิตรคนตรงหน้านี้เป็นมิตรในอดีต
เขาไว้ผมเดร็ดล็อกส์เหมือนที่เธอจำได้แต่ตอนนี้มันยังสั้นแค่บ่า
หน้าตามิตรยังหนุ่มอยู่มาก อายุน่าจะสักยี่สิบห้า ไม่มีหนวดมีเคราสักนิด
ถ้าจำไม่ผิด จากที่เขาเคยเล่า มิตรตอนหนุ่มขนาดนี้ยังไม่ได้นอนจำศีลอยู่ในร้านด้วยซ้ำ
เขาก็แค่ใช้ชีวิตอยู่กับร้านกาลเวลา ท่องเที่ยวไปตามใจบงการ

“นี่แปลว่าตอนนี้ยังไม่ป่วยเป็นโรคกลัวผู้หญิงละสิ ยังไม่อกหักใช่ไหม”
นั่นแหละ เขาเคยบอกสิตารา ว่าต้องหลับอยู่ในร้านเพื่อรอเจอผู้หญิงคนหนึ่ง
ในอนาคตอันไกลออกไป เธอคนที่หักอกเขาอย่างจัง

“พูดอะไรของเธอ อย่างฉันเนี่ยนะจะกลัวผู้หญิง พูดเป็นเล่น”

สิตาราเหลือบมองเล็บมือของเขา จริงเสียด้วย ตอนนี้มิตรยังไม่ได้ทาสีดำไว้บนเล็บ
แปลว่าไม่ได้ไว้ทุกข์ให้ผู้หญิงที่เขารักผู้จากไป แต่เรื่องนั้นเธอคงพูดไม่ได้เด็ดขาด...
“กลัวสิ หลังจากอกหักก็เข็ดผู้หญิงไปเลย แต่ชอบแกล้งทำเป็นเข้าหาสาวๆ
กลบเกลื่อนความกลัวของตัวเอง”

“เฮอะ ไม่จริงหรอก แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบน้อยหน่า”

“พุทรา...” สิตาราแก้ให้พลางยิ้มอย่างเบื่อๆ นี่ละน้า ตามิตรชอบมั่วนิ่ม
ไม่ว่าจะอดีตหรืออนาคต มั่วไปได้น้ำขุ่นๆตลอดเวลา

“จะพุทรา น้อยหน่า หมามุ่ยอะไรก็ช่างก่อนเถอะ ปล่อยฉันแล้วมานั่งคุยกันดีๆ
บอกมาหน่อยซิว่าทำไมฉันถึงจะต้องเชื่อเธอ” ว่าดังนั้นแล้วคนตัวสูงใหญ่ก็หิ้วปีกสิตารา
ไปวางแปะลงที่เดิม “ก่อนอื่นเลย แนะนำตัว...”

“ฉัน...สิตารา”

“ชื่อเพราะดี แบบนี้เป็นนางเอกนิยายได้สบาย... เออๆเอา! แล้วไงต่อ ว่ามาอีก”
ชายหนุ่มไหวไหล่ พยายามไม่พาเรื่องออกทะเลมากไปกว่าที่ปากเพิ่งแกว่งวิพากษ์วิจารณ์ไปตามประสา

สาวน้อยยังไม่คลายยิ้มแก้มแทบปริ ความดีใจตอนนี้ไม่เหมือนดีใจที่เจอชามัล
เพราะกับมิตรเธอรู้สึกอบอุ่น เหมือนเพื่อน เหมือนพี่ และแทบว่าจะเป็นพ่อที่เธอ
ไม่เคยได้มีเลยด้วยซ้ำไป ถ้าเขาไม่ทำตัวบ้าๆบอๆอย่างที่ทำมาตลอด
เธอมีโอกาสได้เจอเขาแล้ว ต่อจากนี้ไปก็ต้องเริ่มต้นสร้างมิตรภาพขึ้นมา
เรื่องราวที่ผ่านมาแล้วของเธอ แต่สำหรับคนตรงหน้ามันคือเรื่องที่ยังไม่เกิด
แต่กำลังจะเกิด...
สิตาราเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนเธอไปอยู่ด้วยใหม่ๆมิตรถึงได้มองเธออย่างสนิทสนมมากมาย
ราวกับเป็นเพื่อนกันมานมนานแต่ครั้งไหนๆ ที่แท้ก็เพราะแบบนี้ แล้วอีกฝ่ายก็ไม่ยอมแย้ม
บอกกันบ้างเลย มันน่านักเชียว

มิตรมองสิตารายังทำหน้าเหมือนคนเห็นฝันเป็นจริง เล่าไปยิ้มไปจนเขาไม่อยากจะปลงใจเชื่อ
แม้ที่เธอเกริ่นมาจะมีทางเป็นไปได้ ตัวเขาเองเพิ่งหัดเป็นนักเดินทางข้ามกาลเวลาด้วยร้าน
อันแสนแปลกประหลาด มีคนบอกเขาว่ามันจะเป็นที่อยู่อันปลอดภัยและแสนสงบ
เหมาะสำหรับคนรักอิสระอย่างเขามากที่สุด แต่ดูแล้วท่ามันจะพาเขามาเจอชะตากรรมแปลกๆ
เสียละมากกว่า อย่างเช่นตอนนี้ ต่อหน้าเด็กสาวโก๊ะๆที่มีดวงตาสวยเหมือนแสงดาว
ซึ่งกำลังจุดขึ้นเต็มไปหมดเหนือท้องฟ้าที่มืดสนิทลงแล้ว...

“ที่ว่ามาก็พอเป็นไปได้ แต่เรื่องร้านเธออาจได้ยินจากคนอื่น หลักฐานที่ชัดกว่านี้ล่ะมีไหม”
คนตัวสูงหัวเราะในคอ

“มีใครบางคนเกลียดการล้างจานที่สุด ก็เลยชอบหมกจานข้าวที่เอาไปกินในห้องนอนไว้ใต้เตียง
ขนออกมาทีได้เป็นกระบุง”

“เอ่อ” ชายหนุ่มชะงักก่อนจะยักไหล่ “เธอเห็นฉันดูซกมกอาจจะมั่วถูกก็ได้นี่
แล้วมันก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นสักหน่อย...แหม”

“ไม่ชอบกินแตงกวากับถั่วงอก บอกว่าเหม็นเขียว ของชอบก็คือแมลงทอด
พวกตั๊กแตนอะไรแบบนี้จะโปรดเป็นพิเศษ เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม!”

มิตรเกาคางแกรกๆ ขณะเหลือบตามองขึ้นบนทำไม่รู้ไม่ชี้
“พวกสาวๆที่ปลื้มฉันก็รู้กันทุกคน เพราะฉันชอบให้ใครๆเอาใจ”

“กลัวจิ้งจก งู สัตว์เลื้อยคลานทุกชนิด เข้าใกล้ทีไรฉี่แทบราด แต่ก็ทำเป็นเก๊กทั้งที่เหงื่อแตกซิ่กๆ
หน้าซีดเป็นไก่ต้ม”

“อ่า...” มิตรเบะปาก หน้าตาเริ่มจะแดงๆขึ้นมาแต่ก็ยังกัดฟันยืนกราน
“อาจมีคนชี้จุดอ่อนของฉันให้เธอรู้ก็ได้นี่ แค่คำพูดลอยๆ ถ้ารู้จักกันจริงต้องรู้อะไรมากกว่านี้”

สิตาราถอนใจกับคนหัวดื้อ อันที่จริงเธอไม่ได้รู้แค่นี้ แต่รู้เยอะจนไม่รู้จะยกเรื่องไหนมาพูด
ก่อนเลยด้วยซ้ำ เรื่องไหนกันนะ ที่จะทำให้เถียงไม่ออก แต่แล้วเธอก็นึกได้! ท่าทีรื่นเริงถูกระงับไว้
แทนที่ด้วยความจริงจัง

“วันใดหนทางปริศนาที่เชื่อมใจคนสู่อัญมณีมืดบอด...”
สาวน้อยก้มหน้าพึมพำด้วยเสียงต่ำดุจคำกระซิบของสายลม
“วันที่เหลี่ยมเจียระไนของหินมีค่าในมือไม่อาจสะท้อนรับแสง”

ตาของชายหนุ่มหรี่ลง ทว่ากลับวาบประกายทึ่งระคนพึงใจเร้นลับ
ท่าทีต่อล้อต่อเถียงเลือนหายไปในบัดดล เขาค่อยๆเอื้อมไปแตะกลางหน้าผากมน
ของสิตาราด้วยปลายนิ้ว ก่อนกล่าวต่อคำมนตร์ซึ่งแทบเป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ
คำที่ยังไม่เคยคิดจะบอกกับใคร
“วันนั้นข้าจะมา
...เพื่อเปิดเนตรของทายาทแห่งผู้ควบคุมมนตราอัญมณี
อำนาจเหนือกาล
ผ่านสามโลกา
ช่วยให้แสงสว่างกลับคืนอีกครั้ง
เมื่อนั้น วันที่มาถึงก็คงไม่มืดมิดจนเกินไป”

สิตาราส่งยิ้มล้อๆให้เขาด้วยดวงตาใสกระจ่างพราวระยับแข่งกับดาว
“คนที่สอนฉัน เขาบอกว่าจากรุ่นสู่รุ่น ผู้ควบคุมอัญมณีจะไม่บอกคำมนตร์นี้ต่อใคร
มีเพียงทายาทเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะได้ยินมันจากปาก แค่นี้เป็นหลักฐานที่มากพอหรือยัง
ว่าเราเคยรู้จักกันดีแค่ไหน คุณมิตร เมห์ฮรา”

“นั่นสินะสิตารา... ตอนนั้นฉันคงบอกเธอใช่ไหม ในเวลาที่เหมาะสม
ให้เธอพูดประโยคมนตราท่อนแรกอันเป็นเสมือนกุญแจกับฉัน และเมื่อฉัน
แตะหน้าผากเธอ เอ่ยคำที่เหลือจนจบ นั่นคือวันที่เนตรแห่งดวงดาวนั้นจะเปิดออก
ให้เธอได้กลายเป็นทายาทแห่งผู้ควบคุมอัญมณีที่อยู่เหนือกาลจริงๆ ...ซึ่งก็คือวันนี้เอง”


มิตรแยกมาสู่มุมที่เงียบเชียบของเรือตามลำพัง ความรู้สึกหลากหลายแล่นสู่ใจ
แต่ยิ่งคุยกันก็ยิ่งถูกชะตาเธอมาก เมื่อได้สัมผัสถึงตัวตนความเป็นเธอ
สัญชาตญาณและทุกสิ่งทุกอย่างร้องบอกเขา สาวน้อยคนนี้พูดความจริง
ในคำพูด ในทุกอย่างของเธอมีร่องรอยความเป็นตัวเขาฉายออกมา
เขาเคยเลี้ยงสิตารามาจริงๆนั่นแหละ นอกจากนั้นยังผูกพันกันมากมาย
และตอนนี้มิตรก็ยังระลึกถึงคำเตือนของเธอที่บอกเขาอย่างห่วงใย

‘แล้วทิ้งร้านอัญมณีมานานๆแบบนี้ไม่เป็นไรหรือ เกิดร้านมันหนีข้ามไปเวลาอื่น’

‘ไม่ต้องห่วง มันเป็นร้านของฉัน มันรอคอยให้ฉันกลับไปเสมอ’

‘อ้าว...งั้นที่ชอบอ้างว่าต้องรีบกลับไปร้านนั่นก็คือโกหก’

‘ก็ใช่ โกหกน่ะสิ’ ชายหนุ่มมองสิตาราถอนใจระอาอย่างขำๆ

‘ยังไงก็ต้องซ่อนตัวตนจากการรับรู้ของชามัลให้ดีๆนะ ถ้าเขารู้ว่ามิตรอยู่บนเรือนี้
แถมยังจะไปถึงเกาะเงาด้วยกันต้องลำบากแน่’

‘ไม่ต้องห่วง ถึงเรื่องต่อสู้ฉันจะไม่เอาไหน แต่เรื่องพลังอำพรางรับรองไม่เป็นรองใคร’

‘จริงสิ เรื่องหนีศัตรูกับเอาตัวรอดน่ะมิตรเก่งจะตาย’

‘นั่นชมหรือว่าอะไร’

เมื่อแรกที่เขาขึ้นเรือลำนี้มา เป็นเพราะความอยากรู้อยากเห็น
ร้านของเขาไม่ใช่ว่าจะไปถึงได้ทุกที่ บางสถานที่หากอยากจะไปเยือนเขาก็ต้องเสี่ยง

มิตรรู้ชัดเลยว่าเรือที่ตนบังเอิญได้พบเข้าลำนี้ รวมทั้งผู้ที่โดยสารมาไม่ใช่คนธรรมดา
แต่เป็นการรวมตัวของกลุ่มผู้มีอำนาจเหนือคนปกติ เมื่อท่องเที่ยวไปในกาลเวลา
มิตรก็สงสัยว่าจะมีเรื่องสำคัญอย่างไหนเกิดขึ้นในอดีต บางทีเขาก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของมัน
อย่างน้อยแค่ได้รับรู้ก็ยังดี แต่สิ่งที่ได้ฟังจากสาวน้อยที่ชื่อสิตารา
บางทีเขาคงกำลังพาตัวเองเข้ามาเกี่ยวข้องกับอะไรที่ใหญ่เกินตัวไปมาก
แต่อัญมณีหลากหลายที่อยู่บนเครื่องประดับ กับพลังอำพรางกายช่วยกำบังเขาไว้
รวมถึงการแต่งตัวปกปิดร่างกาย ศีรษะและใบหน้ามิดชิดเปิดแค่ช่วงตาอย่างภูตดาราบนเรือคงช่วยได้

มิตรจะไม่ยอมถูกใครจับได้ ก่อนเรื่องสำคัญที่สิตาราขอร้องให้เขาช่วยจะสำเร็จลงด้วยดี!



ต่อหน้าเวิ้งนภาแห่งความมืด ต่อหน้าทะเลสาบที่เหมือนกระจกสีดำอันไม่สะท้อนเงาสิ่งใด
ณ ศาลาทำพิธี ม่านขาวมัวถูกแสงไฟส่องทะลุโอบล้อมเสาศาลาทั้งสี่ทิศ เงาร่างบอบบาง
ของหญิงสาวคุกเข่าอยู่ในนั้นลำพัง วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสิบเก้าปีของเธอ
แต่ดูเหมือนจะมีแต่คนสนใจเปลือกอันห่อหุ้มเธออยู่มากกว่าจะสนตัวสิตาราจริงๆ

เจ้าของร่างหลังม่านสดับเสียงนักบวชดำ หนุ่มใหญ่ผิวคล้ำหน้าเข้มจมูกงอคุ้มผู้อบรมสั่งสอน
เลี้ยงดูเธอมาในช่วงหลายปีหลัง อีกฝ่ายกำลังกล่าวคำพิธีต่อหน้าเหล่าราศีที่มาเป็นแขก
เสียงของนักบวชเข้มแข็ง หนักแน่น ชวนให้คิดถึงวันเก่าๆที่เขาเข้มงวดกับเธอมาตลอด
แต่สิตาราก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นหนึ่งในคนที่ซื่อตรงต่อหน้าที่ และเธอก็นับถือเขาในส่วนนั้น
รับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งซึ่งสำคัญในชีวิตตน

“ตอนนี้เราเหลือกันเพียงเจ็ดราศีที่มารวมตัว พิจิกแห่งข้าและแม่ชีดำ... ตุลย์แห่งตุลาการ...
เมถุนหรือคนคู่กับผู้สืบทอดฝาแฝดผู้เยาวัย วรรณะ นิลละ... เราคือทั้งสามราศีที่ร่วมมือกัน
ตามหาราศีที่สิบสามมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว กับสหายผู้มาเป็นสักขีพยานจากราศีกุมภ์ มีน พฤษภ
และกรกฎ เท่านี้ก็เกินครึ่งของทั้งสิบสองราศี เพียงพอจะประกอบพิธีสถาปนาและสาบานตน
ต่อราศีที่สิบสามคนใหม่ได้”

สิตารายิ้มให้ตัวเอง พยายามผ่อนคลายอยู่หลังม่านกั้นบางพลิ้ว วันนี้เธอสวมชุดดำ
เหมือนอนาคตข้างหน้าที่ไม่รู้จากนี้จะเป็นอย่างไร จะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา
รู้อยู่แต่เฉพาะในส่วนของตนหญิงสาวได้เริ่มเตรียมการไว้แล้ว ทั้งที่มิตร
แตะหน้าผากเธอวันนั้น ทำให้รับรู้ได้ บางอย่างในตัวตนกำลังเริ่มเปลี่ยนไป...

“จากวันนั้นที่เราค้นพบดวงดาวทั้งสอง ดวงพี่และดวงน้อง ในวันซึ่งแสงของดาวตกนำทางเราไป...
เราก็รู้ว่านั่นคือราศีมืดที่รอคอย จึงจะขอสถาปนาราศีที่สิบสาม ณ บัดเดี๋ยวนี้ จากหนึ่งในสองสตรี
ที่เราค้นพบ...
เมื่อสิ้นดาราดวงพี่ ดวงน้องสิตาราจะขึ้นเป็นผู้ครองความมืด ราศีที่สิบสาม ผู้ชี้นำหนทางอันมืดมิดแก่รัตติดารา”

เมื่อนักบวชกล่าววาจานั้นจบลง ม่านเบื้องหน้าสิตาราถูกแหวกออก
แม่ชีดำเป็นผู้นำถาดวางจอกใหญ่สีทองจุน้ำศักดิ์สิทธิ์มาให้ พลันสายตาของหญิงสาว
เหลือบไปสังเกตเห็นรอยหยดน้ำอย่างที่ไม่น่าจะมีชัดเจนอยู่บนถาด ทว่าก็ได้แต่
เก็บความสงสัยนั้นไว้ขณะจุ่มปลายนิ้วลงในจอกแทนสั่งสัญญา

แม่ชีดำรับน้ำสั่งสาบานไปยื่นให้ผู้ครองทั้งเจ็ดราศี ซึ่งรวมทั้งตัวนางเองและนักบวชดำ
ได้ดื่มเพื่อแสดงสัตย์ปฏิญาณว่าจะภักดีต่อราศีที่สิบสามตลอดไป หากใครทำผิดไป
จากคำสั่งของราศีที่สิบสามจะต้องทุรนทุรายถึงชีวิตในทันทีด้วยอาคมที่ผูกไว้กับน้ำศักดิ์สิทธิ์
จากทะเลสาบไร้เงา

วรรณะสบตานิลละเมื่อยกถ้วยทองคำใบเล็กขึ้นจรดริมฝีปากพร้อมกัน เห็นได้ชัด
แววตาเศร้าขรึมของแฝดตนมีกระแสแฝงเร้น แต่ทั้งคู่ก็จำต้องกระดกถ้วยขึ้นพร้อมกัน
เมื่อเอามือลง เหลือเพียงร่องรอยหยดน้ำที่เปียกตรงริมฝีปากนิลละที่วรรณะเห็นแล้วก็เผยยิ้มออกมา

ผู้นำราศีทุกคนวางถ้วยว่างเปล่าลงคืน จากนั้นน้ำในจอกใหญ่ที่เหลือจึงถูกเทลงรวมกับน้ำในอ่างทองคำ
นำแจกจ่ายให้กองกำลังภูตดาราจากราศีต่างๆที่แต่ละราศีมีอยู่หลายร้อยได้ดื่ม โดยมีผู้ควบคุมใกล้ชิด
คอยดูแลให้ครบถ้วนแบบตัวต่อตัว

สิตาราที่ยังสงบอยู่หลังม่านถอนใจ ไม่รู้สึกว่าตัวเธอก่อนพิธีเริ่มและหลังจากมันจบลงแตกต่างกันอย่างไร
แม้จากนี้ทุกอย่างคงไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมอีกแล้วก็ตาม



งานฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืนเริ่มขึ้นหลังพิธีเป็นทางการจบลง ใบหน้าของชามัล
ระบายไปด้วยรอยยิ้มแห่งความสาสมใจ ถึงเวลาที่จะได้ถ่ายโอนอำนาจมาเป็นของตนเองเสียที
ถ้าความรู้เรื่องรัตติดาราที่เคยค้นคว้ามาและถามจากวาเลนติโน่เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง
...คู่สมรสผู้ได้รับมอบแหวนหินดำ จะมีอำนาจเต็มอย่างไม่มีข้อแม้ หากไม่มีคำสั่ง
ระงับจากตัวราศีที่สิบสามโดยตรง ทุกคนก็ต้องเชื่อเขา

ข้างกายของสาวน้อยผู้กลายเป็นราศีที่สิบสาม บัดนี้ผู้คนรายล้อม
แต่พรตและนิลละก็ยังเฝ้าสิตาราไม่ห่าง ชามัลมองภาพพรตที่กลายเป็นคนสนิทของสิตารา
ไปแทนเสียแล้วอย่างพึงใจ ก็ดี เพราะเขาไม่เคยต้องการใครมาติดหน้าตามหลังตน
ไปอยู่ไกลตัวก็ได้ แค่ยังทำตามสั่งเท่านั้นพอ อย่าได้มีเรื่องปิดบังเขาอย่างที่เคยยอมให้
สิตาราออกไปเที่ยวนอกเกาะอีก

“ไง สหายอสรพิษผู้งดงาม...” วาเลนติโนเดินล้วงกระเป๋าเข้ามาใกล้ชามัล
ที่ปลีกตัวมาเร้นเงาอยู่ยังรอบนอกของแสงสว่างไสวจากงานเลี้ยงรื่นเริง

“คืนนี้ท่านไม่ดื่มเหล้าหรือ” ชามัลเปรยถาม ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ชอบอัธยาศัยของชาย
ที่ระบุว่าตัวตนของคนไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพศคนนี้

แปลกที่วันนี้คู่หูปีศาจราตรีต่างพร้อมใจกันปฏิเสธอาหารชั้นเลิศ สุรานารี
รวมถึงความรื่นรมย์ทุกอย่าง เหมือนรู้ตรงกันว่าเสียงสัญญาณบอกให้เอาจริงเริ่มขึ้นแล้ว

“ข้าเมาน้ำจากทะเลสาบไร้เงาตั้งแต่ในพิธีแล้ว เสี่ยงเกินไปที่จะลอบเททิ้ง
เพราะหากมีการทดสอบว่าเราอยู่ใต้อำนาจราศีที่สิบสามจริงหรือไม่
ผู้เลี่ยงพิธีคงโดนรุมสกรัมจนตายในไม่กี่อึดใจ ข้าไม่ชอบโดนรุมเสียด้วย”
วาเลนติโน่เอ่ยติดตลก “มีคนมารวมกันมาก ข้าคงต้องขอใช้เวลาจับตาเหล่าราศีต่างๆ
ภูตดาราราศีกุมภ์ของข้าจับกลุ่มกับกรกฎไร้จ่าฝูงที่ท่านคุม พวกมีนเข้ากับพฤษภ
แต่ก็มีบ้างที่หันมาตีสนิทกับทางเรา ไม่ว่าอย่างไรเจ็ดราศีที่มาในคราวนี้ก็ดู
มีน้ำมิตรเป็นปึกแผ่นกว่าไอ้พวกไม่มา”

“ในบรรดาพวกนั้น ที่เป็นอันตรายกับเราที่สุด คือราศีสิงห์และเมษ” ชามัลเอ่ยยิ้มๆในความมืด

“แต่ท่านได้กำจัดพชรมุนินชายผมขาวเจ้าปัญหาไปแล้วมิใช่หรือ”

“แต่ภูตดาราของมันที่กระจัดกระจายแยกย้ายกันไปยังมีอยู่ ที่สำคัญ
มันยังคายพิษเอาไว้ให้เรา อย่าลืมสิ ศัตรูของข้าเป็นศิษย์เอกพชรมุนิน...เสือดำตัวนั้น
ตอนนี้เหลือมันเป็นแรงสำคัญของเมษ ถ้ามันเคลื่อนไหว ภูตดาราราศีนั้นอาจเคลื่อนตาม”

“ก็ไม่เสมอไป เราจะคอยจับตาดูมันให้ดี”

“ที่อยากให้จับตาดูไม่ใช่แค่ภัยจากพวกไกลตัว เกมอำนาจก็คล้ายๆเกมการเมือง
ส่วนใหญ่พังเพราะคนในที่แย่งกระดูกกันเองทุกที”

“นั่นสิ นี่แหละมนุษย์” ชายผมซีดเจ้าของร่างโปร่งเอ่ยแล้วก็ไหวไหล่ “กลับเข้าไปในงานกันเถอะ
ไปคลุกกลิ่นอายมนุษย์กันสักหน่อย จะได้ติดกลิ่นให้ดูเหมือนว่าเป็นฝูงเดียวกัน ...อ้อ เดี๋ยวก่อน
ข้าลืมเรื่องสำคัญไปได้ แล้วเรื่องนั้นที่ท่านสิตารายังไม่รู้ ท่านได้เตรียมการไว้ดีแน่แล้วรึยัง”

“อย่าห่วงเลยสหาย” ชามัลขยิบตาน้อยๆให้ชายเพียงคนเดียวที่เขายอมรับเป็นเพื่อนในเวลานี้
แม้จะเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ก็ยังเข้าตากว่าพวกโง่เง่าใช้การไม่ได้ที่ดีแต่ทำให้หงุดหงิดรำคาญใจ
“เรื่องนั้นข้าเตรียมจัดการไว้ยิ่งกว่าที่ท่านคิดเสียอีก ไม่กี่วันนี้แหละ
ข้าจะให้นางจะเป็นของข้า ของข้าคนเดียว!”


ผู้ก้าวขึ้นเป็นราศีที่สิบสามได้พบแขกจากทุกสารทิศ พวกเขาสนทนากันรู้เรื่องด้วยภาษารัตติดารา
ซึ่งเป็นสำเนียงที่ฟังไพเราะสำหรับสิตารา ท่วงทำนองสูงต่ำแผ่วไหวเหมือนถ้อยคำกระซิบกระซาบ
กันนั้นชวนให้คิดถึงแสงของดาราที่สว่างพริบพราวเป็นประกายในคืนเดือนมืด

แขกเหรื่อล้วนภูมิฐานสง่างาม ทั้งจ้าวราศีพฤษภหรือวัวฉกรรจ์กำยำที่สวมหน้ากากเกราะรูปวัว
มีเขาบนศีรษะ ไม่เว้นสักคน ตั้งแต่ผู้ครองราศีลงไปจนถึงเหล่าภูตดาราที่ติดตามมาด้วยกัน
ดูราวกับฝูงมินะทอร์แห่งเกาะครีต

ตัวแทนจากราศีมีนมาจากแดนอาทิตย์อุทัย มิยาซากิผู้นำร่างเล็กและเหล่าภูตดารา
ไว้ผมชวนให้นึกถึงซามูไร ตัวจ้าวราศีใส่หมวกเกราะ พอถอดออกจึงได้เห็นว่าเขาโกนผมด้านหน้า
ส่วนข้างหลังผูกรัดไว้เป็นทรงอย่างสวยงาม ที่สำคัญเจ้าตัวเป็นหนุ่มน้อยที่อายุคงจะไม่เกิน
สิบห้าสิบหกอย่างแน่นอน

งานฉลองดำเนินเรื่อยไปจนถึงคืนที่หก ถึงตอนนี้สิตาราก็ไม่ต้องตากหน้าอยู่ในงานเลี้ยงจนดึกอีก

ข้างนอก...ที่ชายหาดนั้นมีทั้งการร้องเล่นเต้นระบำ การประลองทั้งกำลังและเชิงอาคมถึงเลือดถึงเนื้อ
มีทั้งคนบ้าคนเมาถูกจับไปโยนน้ำเป็นที่สนุกสนาน แม้เกาะเงาเป็นสถานอันศักดิ์สิทธิ์ก็จริง แต่รัตติดารา
นับเป็นขั้วอำนาจฝั่งมืด เน้นทำอะไรสุดโต่งตามใจตัวมากกว่าพิธีรีตอง ยิ่งงานฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืนด้วยแล้ว
ยิ่งปลดปล่อยกันอย่างไม่รู้จักพอดี
ที่เธอห่วงก็แค่มิตรเท่านั้น กลัวว่าใครจะพบเขาเข้า ในช่วงหลายวันมานี้สิตาราได้เห็นเขาสองสามครั้ง
อีกฝ่ายก็เพียงยักคิ้วหลิ่วตาให้ บ่งบอกว่าเขายังไปได้สวยกับสิ่งที่เธอมอบหมายให้ช่วยจัดการ

สิตาราได้เปลี่ยนห้องนอนใหม่ เธอชอบห้องนี้ มันเป็นส่วนหนึ่งของศาลาเงาอันซุกซ่อนอยู่ในปล่องภูเขาสีดำ
แต่กลับมีหน้าต่างกว้างเจาะช่องไว้อย่างพิเศษ ที่ตรงนี้เป็นทำเลดีเอามากๆ มีระเบียงซึ่งเขียวชอุ่มด้วย
สุมทุมพุ่มไม้ใบเข้มพรางอยู่รอบๆบนทำเลสูงและชันจนไม่มีใครจะหาญปีนขึ้นมาได้ มองลงไปเห็น
ท้องทะเลสะท้อนรับแสงดาวระยิบระยับ แข่งกับผืนหาดเรืองรองราวกับสะเก็ดดาวโรยไว้

...เกาะอันเร้นแฝงในดินแดนที่มีปราการแห่งรัตติกาลเป็นเงื่อนไขของการมาเยือน
เหมือนภาพฝันแสนงามจนสิตาราอยากจะขอให้เรื่องราวของราศีต่างๆเลือนหายไป
เหลือเพียงเกาะแห่งนี้ กับตัวเธอ และใครอีกสักหลายคนที่อยากให้อยู่ด้วยกัน

ห้องใหม่ของสิตารามีสระหอมกรุ่นทั้งน้ำเย็นและน้ำร้อนให้เลือกลงอาบเป็นที่สนุกสนาน
ทุกคืนเธอเพลิดเพลินกับมัน โดยเฉพาะคืนนี้ สาวน้อยที่เพิ่งอายุสิบเก้าหมาดๆลงเล่นเกาะขอบสระ
ใช้ขาตีน้ำอย่างสนุก ห้องน้ำนี้ไม่มีหน้าต่างแต่เจาะช่องเหนือเพดานขึ้นไปให้มองเห็นดาวพราวพรายบนฟ้า
นอนแช่น้ำมองดาว เป็นนาทีแสนวิเศษสุดจริงๆ

หลังม่านพลิ้วที่กั้นแบ่งห้องอาบน้ำนั้นเอง...เงาร่างหนึ่งยืนรอคอยอยู่ นึกบ่นอยู่ครามครัน
ทำไมคนที่ตนรอจึงช้านัก พอเห็นภาพเงารางๆบวกกับได้ยินเสียงเล่นน้ำแล้วก็ถึงกับส่ายหน้า

“อายุก็ตั้งเท่านี้แล้ว ไม่ได้โตขึ้นเลยหรือยังไง”
ชายผู้ซ่อนร่างอสรพิษยังไม่คิดบุกเข้าไปทำลายความสุนทรีย์ส่วนตัวของเจ้าของห้อง
ไหนๆเขาก็รอมาได้จนถึงเดี๋ยวนี้ รออีกหน่อยจะเป็นไร

สิตาราอารมณ์ดีออกมาจากห้องน้ำ แต่งกายด้วยด้วยชุดนอนเบาพลิ้วสีขาวทิ้งตัวแนบเนื้อ
คืนนี้ลมพัดแรง สิตาราก็เลยมานั่งชันเข่าข้างหน้าต่างอย่างไม่ค่อยจะเป็นกุลสตรีนัก
แต่เธออยู่คนเดียวนี่นะ ...เจ้าของร่างบอบบางใช้ผ้าเช็ดผมไปฮัมเพลงไปอยู่นานจนผมเริ่มจะแห้ง
จากนั้นจึงลงนอนเอกเขนกบนเตียง หยิบหนังสือเล่มบางที่หัวเตียงมาเปิดออกอ่านกับโคมไฟ
ที่ออกแบบไว้เหมือนไข่มุกลูกโต ทอแสงสีนวลสบายตาเรื่อเรืองลอดมาจากฝาหอยเผยอฝาเหลือบลายสวย

ควันสีหม่นทะมึนม้วนเกลียวจุดขึ้นเงียบกริบเบื้องหลังหญิงสาว
จนค่อยๆแปรเป็นร่างชายหนุ่มสูงสง่าในชุดดำเปิดเปลือยอก...
ตาคมวาวหรี่ลงเมื่อมองไล่เรื่อยไปตามเรียวขานวลเนียนอย่างคนผิวสองสีกลมกล่อมของร่างแน่งน้อย
ยามนี้เจ้าของห้องกำลังนอนคว่ำอ่านหนังสือสบายใจอยู่บนเตียง เขาจึงได้มีโอกาสพิจารณาใกล้ชิด

เวลาห้าปีกว่าที่เขาทิ้งเธอไป สิตาราเปลี่ยนจากเด็กแรกรุ่นมาเป็นสาวสิบเก้า
ตัวค่อนข้างเล็กก็จริงแต่สมส่วนกะทัดรัดไปทั้งเนื้อทั้งตัว เธอยังคงไม่รักษากิริยาเหมือนเคย
ชุดนอนเนื้อดีสีขาวพลิ้วจึงร่นขึ้นไปถึงไหนๆ ผ้าบางๆแนบไปกับเนียนสะโพกที่เห็นรำไรอยู่ข้างใต้
จุดประกายความรู้สึกแปลกๆขึ้นในใจชามัลอย่างไม่เคยมาก่อน ชายหนุ่มผู้ซ่อนร่างอสรพิษขบฟัน
ค่อยๆผ่อนลมหายใจทั้งที่ยังไม่อาจละสายตา พยายามกล้ำกลืนความรู้สึกบางอย่างลงไป

จะให้เด็กนี่รู้ไม่ได้ว่าเขากำลังตกอยู่ใต้อิทธิพลบางอย่างจากเธอ มันเป็นเพราะพักหลังมานี้
เขาห่างหายจากสตรีมากกว่า ไม่มีทางเป็นเพราะแม่ตัวยุ่งที่รังแต่จะเป็นภาระรบกวนจิตใจคนนี้แน่

สิตาราเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ อยู่ดีๆก็รู้สึกว่าใจเต้นแรง เลือดในตัวพลันระอุขึ้นมาหน่อยๆ
ทว่าหญิงสาวยังไม่ทันทำอื่นใดเตียงก็ยุบยวบลงจนต้องสะดุ้ง หันขวับกลับไปทันควัน
ใบหน้าของใครคนหนึ่งเข้ามาอยู่ใกล้จนจมูกของเขาเสียดกับแก้มทันทีที่เธอเหลียวไป
“อ๊ะ...”
ไม่ทันเสียแล้วที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อารักขา ด้วยมือใหญ่ตะครุบปิดปากเธอไว้
สิตาราเบิกตากว้าง เมื่อพบดวงตาของผู้บุกรุกที่กำลังจ้องตาเธออยู่ใกล้ชิด
ไม่ใช่ใคร...ชามัล!

“อย่าร้องนะ เรามีเรื่องจะต้องพูดกัน”

สิตาราหายใจแรง แต่เธอก็พยักหน้านิดหนึ่งพอให้ชามัลคลายมือออก
“ทำไมเข้ามาแบบนี้ ไม่บอกไม่กล่าว”

“ทำไมต้องบอก ตอนเธอไปพักอยู่กับตุลาการฉันก็อยู่ในพลอยตลอด น่าจะชินได้แล้ว
เราไม่ใช่ก็เหมือนใช่ชีวิตเดียวกัน” กระแสเสียงเจือแววขบขัน

“คนไม่มีมารยาท” สิตาราอุบอิบ...พยายามออกแรงดันเขาให้ห่างตัว ถึงเธอจะคุ้นกับชามัล
แต่เขาเข้ามาอยู่ใกล้ชิดด้วยบนเตียงแบบนี้มันแปลกๆ นี่ไม่รวมคืนที่เขากอดปลอบเธอยามหลับใหล
ตอนนั้นสิตารายังครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่นี่เธอยังไม่ทันจะง่วงเลยด้วยซ้ำไป สายตาที่จดจ้องมานั่นอีก
ส่งให้หน้าของสาวน้อยซับสีเลือดมากยิ่งขึ้นทุกที พยายามคว้าผ้าห่มมาปิดบังเนื้อตัว
แต่มือที่เอาแต่ใจของชามัลก็ตะครุบมือเธอไว้ “จะพูดอะไรก็พูดมาสิ จะได้ออกไปห่างๆเสียที”

“ทำไมล่ะ” ชามัลถามเสียงเบาคล้ายไม่รู้ไม่ชี้ แต่แววตาที่ส่งออกไปทอประกายยั่วยิ้มเต็มอารมณ์

“ก็ดูทำเข้า” สิตาราหน้าแดง คนบ้า ยังจะมีหน้าพูดเหมือนไม่มีอะไร
เข้ามาคร่อมก่ายเกยอยู่บนตัวเธอสนิทชิดเชื้อขนาดนี้ แถมสิตาราก็ใส่แค่ชุดนอนบางๆ
ในห้องนอนของเธอที่นี่ ทุกคนรู้ว่าจะล่วงเข้ามาไม่ได้เป็นอันขาด ยิ่งยามค่ำคืน
และมันก็เป็นแบบนั้นมาเนิ่นนานแล้ว นี่เขาคิดว่าเธอเด็กจนจะทำอะไรก็ไม่น่าเกลียด
หรือว่าจงใจกันแน่ เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมถอย สิตาราก็เลยดิ้นดุ๊กดิ๊ก
หันไปคว้าหนังสือที่คว่ำค้างไว้มากางแปะใส่หน้าเขาเสียเลย

“เล่นอะไรกันนี่” ชามัลดึงหนังสือเล่มเล็กนั้นโยนทิ้งไปพ้นทาง
“เธอควรจะเปลี่ยนจากสาวน้อยเป็นผู้หญิงสาวเสียที...รู้ไหม”
ว่าพลางใช้นิ้วชี้แตะเชยคางคนที่ยังพยายามดิ้นหลบขึ้นมาอย่างอยากจะแกล้ง

สิตาราเอี้ยวตัวไปมองเขา ชามัลเห็นดวงตาสวยพราวบ่งถึงความหวั่นไหว
ผิวแก้มระเรื่อยิ่งขึ้นไปอีกจากเดิมที่มีสีสันตามธรรมชาติแต่งแต้มตลอดเวลาอยู่แล้ว
ตาเธอสวยร้ายกาจ ก็แค่เด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีวันจะมัดใจเขาไว้ได้อย่างแน่นอน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาชอบแต่ผู้หญิงสาวร้อนแรงและสวยจัด ไม่ใช่เด็กน้อยท่าทีละอ่อนแบบนี้
แต่ดูเหมือนจะเป็นหน้าที่ของเขา ที่ต้องเปลี่ยนเธอให้โตเป็นสาวเสียที

มือใหญ่อุ่นระอุค่อยๆเลื่อนไล้กดแผ่วๆด้วยปลายนิ้วโป้งไปจนถึงด้านหลังเอวคอดกิ่ว
จนสิตาราสยิวกายขึ้น เอื้อมมาขยุ้มคว้ามือเขาไว้แน่นให้หยุดการรุกราน

“ไหนว่าจะคุย สรุปแล้วต้องการอะไรกัน” สิตาราถามเสียงสั่นๆ
“ฉันจะร้องให้คนเข้ามา” ขู่ไปอย่างนั้น...รู้ทั้งรู้ว่าถ้าเขาจะทำอะไร
ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ช่วยเธอไม่ได้

“ตอนนี้ทั้งห้องมีอาณาเขตมนตรากั้นไว้เรียบร้อยแล้ว ใครก็ไม่ได้ยินเสียงเรา
ไม่ว่าจะมีคนร้องดังแค่ไหน ทั้งฉันร้อง หรือว่าเธอร้อง...” ชามัลพูดกลั้วหัวเราะอย่างมีนัยแอบแฝง


-------------
ถ้ารักเค้ารบกวนคนอ่านกดไลค์คนละทีสองทีด้วยนา
หุหุ




อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ม.ค. 2557, 21:40:06 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ม.ค. 2557, 00:45:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 1400





<< อยากลงนิยายคนแรกของปี   บทที่ ๑๒ พบเพื่อพราก จากเพื่อเจอ - บทที่ ๑๓ งานวิวาห์แห่งเกาะเงา (มาต่อครบแล้วค่ะ ตะกี้จองที่) >>
อสิตา 3 ม.ค. 2557, 21:40:36 น.
คุณกระต่ายผ้าขี้ริ้ว - มาเจิมคนแรกแล้วได้อ่านบ้างรึเปล่าคะ //มึนตึง ชิ เอาแต่อ่านนิยายเกย์
คุณใบบัวน่ารัก – มัชฌิม์อายุ23 สิงหรานีแก่กว่า 5 ปี อ๊ะ อ๊าวววว คิดปีนเกลียวซะแล้วชายคนนี้
ส่วนหัวงูจอมหื่น วันนี้หื่นกว่าวันก่อน...
คุณก้อนหิน – งั้นจะลุ้นมิตรกับสิตาราแทนไหมคะ แต่น่าจะยากหน่อยนะเพราะมีงูคอยเฝ้าอยู่ใกล้ชิดเลย
คุณเลิฟหมวย – สวัสดีปีใหม่เช่นกันค่ะ คนเขียนกินมาก กลมกลิ้งอิ่มอ้วน กลับบ้านช้าเลยมาโพสต์ช้า น้องๆบ่นเลย

คุณเกดซ่า – มาดูซิว่าวันนี้เกดซ่าจะมาคนที่เท่าไหร่ 555 ท่านพี่กะเคลมน้องหนูแล้วมั้งน่ะ แหมนางสิงห์จะโดนเด็กกิน คิดคำเดียวกับคนเขียนเลยนะนั่น
คุณยิ้มยิ้ม – มัชฌิม์ เมห์ฮรา เก่งเหมือนพ่อ หุหุ ศัตรูเก่าคุณงูเค้าละ วันนี้งูก็ทำรุ่มร่ามอีกแล้ว
คุณริญจน์ธร – พี่มิ้งค์กลับมาแล้ว เกือบลืมโพส กลับมาเปิดคอมเข้าไปอ่านบทความเรื่องเกมก่อนเลย นี่มันอะไรกันนี่
คุณบุลินทร – จิ้นสิงห์ไปแทนซะ ยังไม่ทิ้งความหวังลมๆแล้งๆเรื่องตามิตรอีกนะ ชิ

คุณเฟอร์ – อุปกรณ์ตุ๋ยตามาร ก็แตงกวาไง ขอที่มีหนามนะ หรือไม่ก็มะระลูกโตๆๆๆ วาเลนไม่ฝึกให้เฟอร์เฉยๆ
แต่จะทำลายเฟอร์ จนไม่มีหน้าไปพบพวกเมห์ฮราอีกเลยนะ เจ้าสะใภ้ที่แปดเปื้อนเอ๊ยยย
เสือดำเกียมนาบแล้ว ส่วนงูก็เกียมปล้ำ พวกนี้มันอะไรกันเนี่ยยยยย แต่คงสมใจเฟอร์
คุณโกลเด้นซัน – วันนี้สิตาราได้เจอใครบางคนที่ใจโหยหาแล้ว ตามารจะทำยังไงนะ หรือว่าตามารยึดพื้นที่
ในใจได้แล้วไม่ต้องกลัว รอดูกันต่อไปเจ้างู
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ – เพลงคู่กัดดดด บ่งบอกวัยนะคะ หรือเราจะวัยเดียวกัน เหอๆ เสือดำชอบขโมยซีนงูไปเต็มๆแบบนี้แหละค่ะ
คุณหนอนน้อยกลอยสวาท – ชาจังแบบตอนนี้เป็นไงล่าหนอนนนน ฮิ้ววววเลยสิ สวัสดีปีใหม่เช่นกันหนอนที่รัก เดี๋ยวเรามาดูว่าเสือจะเด่นงูจะดัง หรือตามิตรจะครองซีน หุหุ


ketza 3 ม.ค. 2557, 21:54:59 น.
มาแว้วววว เย้ๆๆๆ


yimyum 3 ม.ค. 2557, 22:10:15 น.
มาซะเย็นเย็นเลย
ปล.คนเนี้ยรักเลย มัชฌิม์ น่ารักกว่าชามัลอีก หุหุ


ketza 3 ม.ค. 2557, 22:15:06 น.
อั๊ยย่ะ.... ตัดจบได้.... กรี๊ดดดดดดด.... วันจันทร์ๆๆๆๆๆ >////< .... ท่านพี่อ่ะ จะทำไรเค้าา เค้าจะขัดขืนแระนะ... นีดนุงพอ 55..
.. อ้อ ที่มิตรเคยบอกว่า นู๋สิเคยเจอตะเองมาก่อนตอนโตเปงสาวแว้ววว ตอนนี้นั่นเอ้งงง
ปล. มิตรเปงปู้จายที่มีคุณสมบัติครบถ้วน แก่การสงวนไว้ 555
...


ใบบัวน่ารัก 3 ม.ค. 2557, 22:23:43 น.
หื่นมากหัวงูเอ๋ย
คิดกินเด็กไปกินที่อื่นไป๋ เว้นเด็กน้อยของเราบ้าง
ไปหื่นที่อื่นเถอะ หาพระเอกใหม่เถอะแก่ก็แก่
หื่นมากๆๆ. ไม่หล่อ
หาใหม่เถอะพระเอกใหม่เถอะนะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 3 ม.ค. 2557, 23:36:28 น.
ถึงว่าสินะ ตอนนี้มิมีเสือดำมาแย่งซีนเลยซักปลายก้อย แต่ตามิตรมาแย่งโคตรซีนไปเต็มๆ
ชิ หนูสิเห็นตามิตรเป็นพ่อเลยเร๊อะ ชิงๆ แล้วฮีอาจจะรอหนูก็ได้นะเคอะ ทำร้ายจิตใจคนแก่จิงเลย
ตามารจอมหื่น หรือตาหื่นจอมมาร นายนี่นะ กะเป็นครูคนอื่นเค้าไปเรื่อย
คอยดูเถ๊อะ ตกมาตาย แพ้ทางเด็กไม่รู้ตัว
เรื่องนี้ยอมให้นะเนี่ย เห็นว่าไรเตอร์เป็นมาดามดัน ให้นายได้เป็นพระเอกกะเค้าบ้างเนี่ย
มะงั้นนะ โดนตีหัวแบะแน่


konhin 4 ม.ค. 2557, 02:00:40 น.
มิตรจ๋าาาา มาชิงสิตาไปที ไม่อยากให้ชามัลสมหวัง ฮ่าๆๆ


Zephyr 4 ม.ค. 2557, 16:51:20 น.
อ่า เอิ่บบบบบ มารี่จะทำอารายยยย
วางแผนขนาดนี้ สมควรจะถึงจุดที่ต้องการรึป่ะนะ
ว่าแต่มันสมควรแก่เวลาแล้วเหรอ มะม้า ที่จะให้สิต้าเลือกทางเดินทางนี้น่ะ เด่วงูติดใจรัดไม่ปล่อย สิต้าลำบากแน่
หาไรมาขัดจังหวะหน่อยจิ ไม่อยากให้ มารี่ สมหวัง
แต่เฟอร์ว่า ไม่สมหวังหรอกกกกก หึหึ


goldensun 4 ม.ค. 2557, 17:08:00 น.
ค้างมากมาย ตัดฉับเลย ชามัลมีแผนรวบรัดอย่างนี้นี่เอง แถมดูสิตารามีใจให้ซะด้วย
มิตรโผล่มาดีใจเล่น จะช่วยสิตาราทำอะไร แล้วสิตาราจะพ้นคืนนี้ได้รึเปล่า แต่พลังมีแล้วนี่ ท่าทางชามัลจะยังไม่รู้
ลุ้นตอนหน้าค่ะ


sunrise 4 ม.ค. 2557, 17:19:19 น.
ไม่ได้เข้าเว็บเลิฟซะนานตั้งแต่เรื่องของอัคนินู่นเลย อ่านรวดเดียว 12 ตอนเลยค่า ชูป้ายไฟเป็นติ่งพี่ชาด้วยคน


ดังปัณณ์ 4 ม.ค. 2557, 19:48:57 น.
ยิ่งกว่าฮิ้วววววววววววววววววล่ะก๊าาาาาาาาาาาาา อัลไลลลลลลลลลลลลลลลลล คุณแป้งอ่ะใจร้าย ทิ้งค้างแบบนี้อีกแว้ววววววววววววว อี๋ๆๆๆๆๆชาจังจะหื่นไปหนายยยยยยยฮ้าาาาาาาาาา

จะเสือ จะงู จะมิตรหนอนไม่สนใจฮ่ะ ขอใครก็ได้สามคนนี้มากอดจิ อั้ยยยยยยยยยยยยย 555+ หนูสิจะโดนงูกลืนลงท้องมั้ยน่ะ 555+ แต่ถ้าโดนกลืนลงท้องจิงๆ สงกะสัย งูแบบชาจังคงไม่คายกระดูกหรอก ก็กระดูกอ่อนๆมันนิ่มๆๆก๊อบกรอบใช้มะล่า


Chii 5 ม.ค. 2557, 22:02:48 น.
กรี๊ดดดดด มิตตี้จ๋าาาาาาาาาาา มาช่วยสิต้าจากอุ้งมือมาน (นี่) ใช่ม๊ายยย
//ยื่นมีดให้
ตัดที่ "7 นิ้ว" ของมานนี่เลยนะะะ (ทำตามีเลศนัย)
เพราะมานนี่ไม่สุภาพกะสิต้าเลยค่ะะะะะ


ริญจน์ธร 6 ม.ค. 2557, 11:30:06 น.
ตัดจบฉากกำลังลุ้นเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account