โมรารัตติกาล {{{ชุดอัญมณีเหนือกาล}}}สนพ.อรุณ
รัตติกาล ทิวา สนธยา สามเวลาที่อยู่คู่โลกมาแต่บรรพกาล
ตำนานบทใหม่แห่งอัญมณีเหนือกาลจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า!

-------------------------
ยังเคยยินเรื่องราวของหินโมราแห่งรัตติกาล
พลอยโบราณล้ำค่าที่อาจนำพาใครบางคนหวนสู่อดีตกาล เรื่องของมันอาจถูกกลบฝัง
กร่อนกลืนไปกับเงื้อมเงาแห่งกาลเวลาที่ค่อยๆเปลี่ยนความรับรู้ของผู้คน
แต่กับเขา...
ผู้ซึ่งมีเพียงความแค้น ไม่มีแม้ร่างกาย เป็นแต่เพียงวิญญาณที่ล่องลอยไปในราตรี
เฝ้าเพรียกหาให้อดีตหวนคืนกลับ เพื่อเปลี่ยนวันแห่งความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นชัยชนะ
เวลาผ่านเนิ่นนานนับสิบๆปีจากวันที่เขาตาย
โลกเปลี่ยนแปร แต่ใจของเขาไม่เคยเปลี่ยนตาม
เขายังคงไม่ไปไหน
แม้จำได้ว่าตนเองเคยมีนาม เคยเป็นใครคนหนึ่งที่ถูกเรียกขานว่าชามัล เมห์ฮรา
แต่ตอนนี้แทบไม่รู้สึกว่านามนั้นคือตนเอง ไม่ได้มีใครเรียกชื่อเขานานมากแล้ว
ตั้งแต่เขากลายเป็นชีวิตไร้ตัวตนในความมืด ที่ยังจำได้ดีคือความแค้นต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่เว้นแม้กระทั่งแค้นตัวเอง ที่พ่ายแพ้ และต้องตาย...
วิญญาณของเขายังรอคอยวันที่มือซึ่งมองไม่เห็นคู่นี้จะเอื้อมคว้าไปถึง
อัญมณีเม็ดนั้นที่จะพาเขากลับไปแก้ไขอดีต
...โมราแห่งรัตติกาล
และคนที่จะนำพาเขาไปถึงมันได้ มีแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น


------------------------------------
เรื่องเริ่มต้นที่ร้านอัญมณีเก่าคร่ำคร่า หลายคนเดินผ่านเลยไป แต่มีบางคน...
คนที่ตามหาเท่านั้นจึงจะค้นพบการมีอยู่ของร้าน และเปิดประตูเข้ามา
ตัวร้านเดินทางอยู่ในระหว่างมิติเวลา บางทีมันอาจไปโผล่ที่ตรอกโทรมๆสักตรอกในอนาคต
หรือในซอยคับคั่งย่านเยาวราชที่คนพลุกพล่านเดินผ่าน แต่จะไม่มีใครหยุดสนใจ
นอกเสียจากคนผู้มีชะตาผูกพันกับพลอยทรงอำนาจลึกลับสักเม็ดในร้าน
ท่านจะได้รับการต้อนรับจากเจ้าของร้านที่ชื่อ มิตร เมห์ฮรา

Tags: มนตราอัญมณี มายาไฟในดวงตา ชามัล มิตร สิตารา มัชฌิม์ รัตติดารา สิงหรานี ราศีที่สิบสาม ม่านทิวาพชร มรกตสนธยา

ตอน: บทที่ ๑๕ สายลมของการเปลี่ยนแปลง (...ต่อ)

ผ่านไปเกือบเดือนจากคืนเลือด ...จนถึงคืนแรมเวียนมาบรรจบอีกครา
ทุกอย่างเงียบสงบสงัดงัน ยินเพียงเสียงลมรินๆและคลื่นทะเลหยอกเย้าชายหาด
แต่ใจสิตารามิได้เคลิ้มหลับใหลตาม เธอกำลังนอนหลับๆตื่นๆด้วยฝันร้ายรบกวน
ที่กระทบสัมผัสคือเสียงอะไรเบาๆคล้ายลูกไม้ถูกปามากระทบขอบหน้าต่าง

สิตาราผุดลุก คล้ายหูจะแว่วไปเอง เวลานี้คงเลยเที่ยงคืนมาแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม
ตาเธอจึงสว่างขึ้นอย่างประหลาด หญิงสาวก้าวออกไปยังระเบียง ทอดตามอง
หาดทรายระยิบระยับสะท้อนรับแสงเดือน พลันสายตาเลื่อนไปพบเงาไม่ใหญ่
จนน่าสงสัยว่าเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก
เงานั้นเคลื่อนไหววอบแวบอยู่ยังชายหาด สัมผัสเร้นลับบอกเธอ เจ้าของเงานั้นเป็นสิ่งไม่ธรรมดา
แต่ตอนนี้สิตาราเพียงอยากพบเจอความสั่นไหวบางอย่างที่จะมาเปลี่ยนวันคืนน่าอึดอัด
ให้แตกหักไปเสียที ถ้ามัชฌิม์พาเธอไปจากเกาะตั้งแต่คืนนั้นได้มันคงจะดีมาก แต่ตอนนี้
ทางออกจากเกาะปิดตายแล้ว จะทำยังไงให้ได้ออกไป

ประตูแง้มเปิดเบากริบ สิตาราแผ่ขยายพลังจากโมรารัตติกาลอันเสมือนหลุมดำให้ครอบงำ
ผู้อารักขาที่หน้าห้อง ก่อนก้าวไปจากที่นั่นอย่างสะดวกดาย ตั้งแต่มิตรเปิดเนตรของผู้บงการอัญมณีให้เธอแล้ว
เมื่อมีความตั้งใจ ไม่มีสิ่งไหนที่เกินเอื้อม ยิ่งเธอเข้าใจธรรมชาติของตัวเองและโมราดี เรื่องที่ก้าวหน้ามานี่
คงจะชดเชยได้กับเรื่องที่เธอไม่อาจบังคับภูตดาราให้อยู่ในอาณัติ แต่ที่ผ่านมายังมิเคยมีใครกล้า
ขัดคำสั่งเพราะกลัวภัยถึงชีวิต ไม่มีใครกล้า นอกจากคนที่มาลอบสังหารสิตารา...
ความลับอันน่าอดสูใจของราศีที่สิบสามผู้ยังกังขาในฐานะตนเองจึงยังไม่เปิดเผยต่อผู้ใด

ร่างบอบบางเคลื่อนสู่หาด แปลก คิดว่าเงานั้นจะซ่อนเร้น ทว่าเมื่อเธอก้าวออกไป
ฝ่ายนั้นกลับยิ่งยืนเด่นเป็นสง่ารับแสงเดือนระยับที่จับต้องลงมาโดยไม่เกรงสายตาผู้ใด
แต่ในภวังค์นั้นทั้งคู่ต่างรู้ ไม่มีใครเห็นเขาและเธอ นอกจากเพียงสายตาเงียบงันของกันและกัน

สิตารามองแน่วนิ่งไปยังชายชราผู้ถือไม้เท้ายืนเดียวดายอยู่เบื้องหน้า บนผิวหนังทุกตารางนิ้ว
มียันต์สักพร้อย ไม่เว้นแม้แต่บนหน้า ราวกับลายเลื้อยไหลวนของไส้เดือนมีชีวิต ผมและหนวดเครา
ยาวกระเซอะกระเซิงกึ่งเทากึ่งดำถูกม้วนทบไว้หลายซับหลายซ้อนไม่เช่นนั้นคงลากพื้นไปแล้ว
ทุกอย่างที่รวมขึ้นเป็นชายชราตรงหน้า บ่งชี้ว่าอีกฝ่ายเป็นพวกเล่นของ ผมที่ไม่ยอมตัดทิ้งไปง่ายๆ
เพราะถือว่าวิชาความรู้ที่สั่งสมอยู่ในหัวงอกยาวออกมาเป็นเส้นผม เนื้อหนังแห้งกรังสีเทาคล้ายไร้ชีวิต
ที่ดูเหนียวจนแทบว่าแทงฟันหรือลากไปบดปี้ป่นขยี้ก็คงไม่ระคาย ทำให้ช้ำในตายเสียยังง่ายกว่า

ทว่าการพบกันที่ดูเหมือนจะสะดวกดายกลับคล้ายจะต้องสะดุดลง
เมื่อยินเสียงของพวกเวรยามสองคนร้องทัก เสียงฝีเท้าวิ่งเข้าใกล้หาดที่เธอและชายชรายืนอยู่
สิตาราหันควับไปมอง ทันได้เห็นภูตดาราที่ทำหน้าที่เป็นยามสองคนกำลังส่งเสียงอึกอักในคอ
มือกุมท้อง บิดตัวเร่าก่อนจะค่อยๆทรุดลงแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว เธอหันกลับ เห็นชายชราแปลกหน้า
แย้มริมฝีปากออกเป็นรอยยิ้มสีดำ ค่อยลดมือที่ทำท่าขยุ้มขยำอยู่กลางอากาศลง

“แค่บิดไส้อย่างเบาะๆ ไม่ถึงตายดอกเจ้า”
ผู้มาเยือนว่าก่อนจะถ่มน้ำหมากลงพื้นทราย มันซึมหายไปไร้ร่องรอยราวกับถูกน้ำทะเลสาดมาชะ
ทั้งที่ตรงนี้สูงกว่าปลายสุดท้ายของคลื่นมาโข

“ท่านปู่เป็นใคร มารอเจอข้าด้วยเหตุอันใด ข้ารู้...เสียงที่หน้าต่างนั่น คือท่านเรียกให้ข้ามา”

ชายชราหรี่ตา จะผิดอะไรที่จะเล่นเกมตามใจชอบ ตราบใดที่ไม่ขัดกับประโยชน์ของเหล่าสิงห์
เพราะตูข้าเองก็ได้แจ้งแก่นางสิงห์น้อยแต่แรกว่าจะทำการต่างๆตามวิธีของตนเอง นี่ก็ซ่อนตัวตามสบาย
รอดูทีท่าจนเวลาผ่านพ้นเป็นแรมเดือน จนที่สุด คืนนี้จึงตัดสินใจโผล่มาต่อหน้านังหนูแสนสำคัญคนตรงหน้า

“ข้าไม่ได้เพิ่งมาที่นี่”

“ท่านคงมาพร้อมคนจากราศีพวกนั้น แล้วไม่ยอมกลับไป” สิตาราเอ่ยรู้ทัน

อโพซินเต้ยิ้มในหน้า ส่งความหมายออกไปผ่านดวงตาเท่าทันโลก ตามด้วยหัวเราะเสียงเบาพร่า
“ตูข้ามาจากราศีที่ไม่ได้รับเชิญ จึงต้องแอบ ต้องพรางกาย แต่ไม่ว่าอย่างไร
เด็กเอ๋ย อย่าได้สนใจที่มาแห่งข้าเลย ก็แค่คนแก่ที่ผ่านทางมา”

ทั้งคืนนั้นและคืนต่อๆมา สิตาราใช้เวลาอยู่กับชายชราประหลาดเจ้าของนามอโพซินเต้
เพียงแค่ชื่อนี้ก็บ่งบอกว่าเขามาจากราศีสิงห์ ราศีที่สิบสามจำต้องร่ำเรียนรอบรู้เรื่องพื้นฐาน
ของทั้งสิบสองราศีที่จะมาเกี่ยวพัน ดังนั้นสิตาราจึงพอเดาได้ ทั้งอีกฝ่ายก็ไม่ได้จงใจปิด
เพียงแค่ไม่ยอมรับออกมาตามตรงเท่านั้น

สิ่งที่ชายชราผู้มาเยือนทำคือรื้อเอาก้อนอิฐจากกำแพงที่สิตาราสร้างไว้ลงทีละก้อนสองก้อน
แม้ยังไม่ไว้ใจสหายใหม่ต่างวัยมากนักเพราะเข็ดจากคราวฝาแฝด แต่สิตาราก็รู้ว่าพ่อเฒ่าผู้นี้
ทรงอาคมขลังนัก และเป็นความหวังเดียวของเธอ

“เด็กน้อย มาเถอะ ข้าจะสอนให้เจ้ามีวิชาติดตัว”

ณ คืนเพ็ญที่เห็นทุกอย่างกระจ่าง รวมถึงหมอกของวาเลนติโน่ที่บดบังเส้นขอบฟ้า
ชายชราหยิบแผ่นซากเปลือกหอยแบนๆที่จมอยู่บนหาดมาถือ ผิวปากพลางเงื้อง่าด้วยท่าที
กระฉับกระเฉงเกินรูปร่างผอมแห้งของแก ก่อนจะร่อนมันไปบนผิวน้ำ เจ้าแผ่นที่ว่าแฉลบร่อน
กระเด้งกระดอนได้อย่างสวยงามบนผิวทะเลที่ก็ไม่ได้เรียบ ไปไกลจนกระทั่งสิตารามองไม่เห็นมันแล้ว
แต่หญิงสาวก็ต้องฉงน...หมอกกำลังแหวกออกเป็นช่องเล็กแคบ แล้วเธอก็รู้ ชายชราคนนี้
สามารถส่งสิ่งใดก็ตามผ่านทะเลหมอกออกไปได้จริงๆ ทั้งอาจรวมถึงตัวเธอ

“ของทุกอย่างมีข้อยกเว้นแก้ไขกันได้ทั้งนั้น มนตราก็เช่นกัน ยอมมีช่องโหว่ละเจ้าเด็กเอ๋ย
อยู่ที่ว่าจะหามันให้เจอ หรือถอดใจยอมแพ้เสียก่อน”

“สอนข้าได้ไหม ท่าน...” สิตาราไม่รู้ตัวว่าคำที่จริงจังและจริงใจนั้นทำให้ผู้เฒ่ามองตน
ด้วยหัวใจอ่อนโยนขึ้นเพียงไร

“เรียกข้าพ่อปู่ ...เจ้าดาวน้อย เจ้าน่ะมีพลังความมืดอยู่กับตัวอยู่แล้ว
เพียงแต่เอาออกมาใช้ไม่ถูกวิธีดอก เหวยๆ ทีนี้เราก็มาดูกัน
ว่าจะดึงพลังนั่นออกมาจัดการชายที่ล้อเล่นกับชีวิตเจ้าได้เช่นไรดี”

ไม่เพียงวิชาอาคมที่ถ่ายทอดให้ สิตาราชอบพอน้ำใจของผู้เฒ่าจนออกปากให้รู้ถึงสิ่งที่ไม่คิดจะเปิดเผยกับใคร
เธอไม่กลัวอันตรายจากพ่อปู่ เพราะหากอยากทำอันตรายตน อีกฝ่ายก็ทำได้ง่ายดายยิ่งแล้ว
ง่ายกว่าเพียงกะพริบตาเสียอีก
“พ่อปู่... ทำไมหนึ่งในแฝดคนคู่จึงทำการขัดต่อคำลูกได้
หรือว่าน้ำสาบานต่อราศีที่สิบสามไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง”

คนถูกถามหัวเราะแหบพร่าแผ่วไหว “หากสาบานเป็นไปอย่างถูกต้อง ย่อมศักดิ์สิทธิ์ไร้ทางแก้ไข
ข้าเคยเห็นมาแล้ว...ผู้คนล้มตายเป็นเบือต่อหน้าทั้งกองร้อย หมู่รัตติดาราผู้ทรยศ
ล้มลงชักดิ้นชักหงายตายหมดราบคาบในคราวเดียว”

“งั้นก็แปลว่าพวกแฝดคนคู่ที่ข้าพูดถึงอาจไม่ได้ดื่มน้ำเข้าไปจริงๆ พวกเขาอาจเสี่ยงน้ำสาบานได้”

ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมา ทั้งวรรณะหรือกระทั่งนิลละที่สนิทสนมกับสิตารายิ่งกว่าล้วนปิดๆบังๆ
เรื่องพลังซึ่งพวกเขาครอบครอง แต่ก็พอจะรู้ว่าทั้งสองสามารถควบคุมและสื่อสารกับน้ำ...ในที่นี้
อาจรวมไปถึงน้ำในแก้วที่จะต้องดื่มในพิธี

“อาจมีบางอย่างผิดไปจากที่ควรจะเป็น มันอาจดื่ม...แต่คำมนตร์ในพิธีแช่งน้ำมีสิ่งแอบแฝง
มีช่องโหว่ เจ้าจงย้อนระลึกให้ถี่ถ้วน ทบทวนให้ดีๆ”

สิตาราหลับตาลง เพ่งจิตด้วยสมาธิ พยายามหวนระลึกถึงถ้อยคำในช่วงสำคัญที่จำติดตรึง
‘จึงจะขอสถาปนาราศีที่สิบสาม ณ บัดเดี๋ยวนี้ จากหนึ่งในสองสตรีที่เราค้นพบ
...เมื่อสิ้นดาราดวงพี่ ดวงน้องสิตาราจะขึ้นเป็นผู้ครองความมืด ราศีที่สิบสาม
ผู้ชี้นำหนทางอันมืดมิดแก่รัตติดารา’

หรือว่า...พี่ดารายังมีชีวิตอยู่จริงๆ แรกนั้นหญิงสาวคิดว่าเป็นแต่เพียงประโยคเกริ่น
ก่อนเข้าสู่การส่งอำนาจต่อมายังเธอ แต่ถ้าทุกถ้อยทุกคำที่กล่าวมานั้นมีผลตรงตัวล่ะ
...สิตาราพลันนึกถึงรอยน้ำสองสามหยดบนถาดที่ไม่น่าจะมี

แปลว่าพี่เคยมายังเกาะนี้ แล้วก็ถูกพาตัวออกไปอย่างนั้นหรือ ไม่น่าเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้เลย
ก่อนสิ้นคืนนั้น...เรือที่ออกจากท่า หากไม่นับเรือเดี่ยวของตุลาการเสียแล้ว ก็ยังมีเรือของ
พวกคนคู่อีกสี่ลำที่แตกหนีออกไป กับพวกพฤษภอีกสาม ต้องมีสักลำที่พาพี่ดาราหนีไปอย่างแน่นอน



ร่างโปร่งบอบบางสวมชุดมิดชิดสีเทาเหลือบเงินเงาในเนื้อถูกผู้อารักขาคุ้มกันสู่ใจกลางเกาะอันกว้างใหญ่
เกาะแห่งความเที่ยงธรรม แน่นอนว่าเธอคุ้นเคยกับที่นี่... เพราะใช้เวลาอยู่บนเกาะมาร่วมกว่าสิบปีแล้ว!
ที่ซึ่งไม่เคยมีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของมัน ก็คงคล้ายๆเกาะอื่นที่เร้นอยู่เฉพาะในแดนตน
อย่างเกาะสิงห์ที่ร่ำลือกันว่าเป็น่านน้ำต้องสาป ซ่อนอยู่หลังความกลัว
เกาะเงาอยู่เบื้องหลังรัตติกาลแห่งเดือนแรม และเกาะหมอก เกาะเล็กๆอันมีหมอกมายา
หลอกให้หลงทาง ทว่าสำหรับที่นี่หญิงสาวกลับไม่เคยรู้เลย...เงื่อนไขในการผ่านเข้าออก
เกาะแห่งความเที่ยงธรรมนี้เล่า คือสิ่งใด?

เธอถูกปิดตา ปิดหู แต่ทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของตนเองเป็นหลักใหญ่
เขาว่ายิ่งรู้น้อยก็ยิ่งปลอดภัย และหญิงสาวก็เห็นชอบด้วย เบื่อแล้วกับการถูกไล่ล่าคุกคาม
และยิ่งไปกว่านั้น เธอเชื่อ...ว่าท่านรดิศจะดูแลปกป้องตนเป็นอย่างดี

ทางเข้าสู่ที่อาศัยของเธอนั้นคงเรียกว่าแปลกตาสำหรับคนนอก
แต่พวกเขาไม่เคยกักขังเธอไว้ ทุกครั้งที่เธอปรารถนาจะออกมาเที่ยวเล่นข้างนอก
พวกเขาก็จะพาผ่านกลไกมากมายเหล่านั้นออกมาโดยไม่มีอิดออด
ให้เธอได้ชมความงามของหมู่เกาะที่มีทั้งป่าและน้ำตก แต่เวลานี้สถานการณ์ตึงเครียด
เธอออกไปทำธุระมายังโลกภายนอก ถูกพากลับมาโดยเรือคนละลำกับท่านรดิศ
เวลานี้ก็เหมาะควรแล้วที่จะรีบกลับเข้าไป

เทวสถานกลเป็นชื่อเรียกของสิ่งก่อสร้างโอฬารบนเกาะ ผ่านทางเลื่อนเองได้มาสู่หนทางน้ำ
ภายใต้โถงเพดานสูง หญิงสาวถูกอุ้มขึ้นเรือด้วยมือภูตดาราฉกรรจ์ซึ่งไม่มีสัญลักษณ์แห่ง
ความเป็นชายหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ท่านรดิศจัดหาคนเหล่านี้มาคุ้มกันให้โดยเฉพาะ
...พวกเขาใช้เรือ ทว่าไม่มีฝีพาย มีเพียงเหล่าภูตดาราแห่งความเที่ยงธรรมชุดเทา
ที่ลงว่ายน้ำพาเรือไป น้ำใสมองเห็นพื้นกระเบื้องยิบๆที่แต่ละเสี้ยวส่วนเล็กๆของมันเป็นคนละสี
ทว่าเมื่อมองรวมกันก็ออกเป็นโทนเขียวอมฟ้าสบายตาเหมือนกำลังอยู่กลางธารน้อยสีเขียวไหลเย็น
เพียงแต่เหนือขึ้นไปเป็นสถาปัตยกรรมคล้ายอย่างพวกโมร็อกโกซึ่งเป็นหนึ่งในรสนิยมเลอล้ำ
ของตุลาการผู้คุ้มครองเธออยู่

เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ทางลาดขึ้น
ภูตดาราก้าวเหยียบขั้นบันไดที่ซ่อนอยู่ใต้น้ำพาเรือขึ้นสูง ผ่านทางวน ก่อนจะเป็นทางน้ำไหลแรงลาดลงต่ำ
หนทางเร้นลับที่มีทางเลือกแตกแขนงออกไป สถานที่แห่งนี้เป็นของราศีตุลย์มาแต่โบราณแล้ว
ทว่ามีคนไม่มากนักที่ได้รับคัดเลือกให้ผ่านเข้ามาได้ มันถูกต่อเติมอย่างพากเพียรตั้งแต่รดิศยังหนุ่ม
เขาบอกว่า ที่นี่มีไว้เพื่อรอเธอคนเดียว... ลึกลงไป เรือยังลอยไปตามการประคองของภูตดาราภายในธารน้ำ
ใต้ถ้ำเพดานสูง มีเสาหินต้นผอมนับร้อยที่เกิดจากหินงอกหินย้อยบรรจบกันตามธรรมชาติดุจศิลาช่วยกัน
ค้ำจุนไว้ เสียงน้ำหยดติ๋งลงมาสะท้อนก้อง ผ่านเกาะแก่งใต้บาดาลมากมาย
จนที่สุดก็ถึงห้องอันงดงามที่สุดของเธอ

ร่างบอบบางอ้อนแอ้นถูกอุ้มลงจากเรือ แม้กระนั้นชายกระโปรงระยิบระยับยาวยิ่งก็ยังบังเอิญหล่นลง
ระไปเหนือน้ำใสสะอาดราวกระจก ก่อนคนอุ้มจะก้าวข้ามธรณีประตูหินสู่ตัวห้อง เธอต้องรออยู่ที่นี่
ในเมื่อเขาบอกให้เชื่อเธอก็จะเชื่อ เมื่อเขาบอกให้รอคอยเธอก็จะรอ เพื่อตุลาการรดิศคนเดียว
เธอได้ละทิ้งอดีต ละทิ้งตัวตน เมินเฉยต่ออนาคต มีเพียงลมหายใจที่มอบให้เขา ยิ่งกว่าทาส
ผู้จงรักจากก้นบึ้งของวิญญาณ

“ข้ากลับมารอท่านอยู่ที่นี่...รดิศ เพราะสำหรับดาราดวงนี้ เพียงท่านเท่านั้นที่เป็นความจริง”



เมื่อแรก ชามัลไม่ชอบที่จะนอนหลับบ่อยๆ...เขาไม่ต้องนอนก็ได้
และก็มีเรื่องต่างๆที่ต้องทำทิ้งค้างไว้มากมาย
แต่ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่จากเกาะเงามาคราวนี้ใจดูจะอ่อนเพลียง่ายกว่าปกติ
การนอนคล้ายเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้ดีขึ้น เหมือนกับว่า ฝันนั้นสวยงามกว่าความจริง

เขาเดินทางโดยปกปิดใบหน้าและตัวตน รวมถึงภูตดาราทุกผู้ที่ติดตามมาด้วยก็เช่นกัน
มีเป้าหมายไล่เรื่อยไปตั้งแต่กรุงเทพฯผ่านขึ้นไปตามเส้นเลือดเจ้าพระยา ไม่รีบร้อน
ด้วยหมายสืบเสาะสถานการณ์ของราศีต่างๆในละแวกนี้ให้รู้แจ้งไประหว่างทาง
ตกค่ำไหนก็นอนนั่น ตามแต่พันธมิตรจะให้ที่พักพิงหรือไม่ก็ตั้งกระโจมที่พักขึ้นเอง
ในที่ห่างไกลตาผู้คน ชามัลสร้างความเข้าใจเสียใหม่เป็นว่าราศีตุลย์นั้นคิดคดทรยศ
ตั้งใจจะทำลายล้างรัตติดาราทั้งผอง แผนของเขาดำเนินไปด้วยดีไม่มีปัญหา
แต่ใจกลับรู้ชัด ตนเองกำลังพลาดบางสิ่งที่สำคัญ

คืนนั้น ในกระโจมกลางป่าเปลี่ยวแถบเขาใหญ่ เมื่อตกมาอยู่ในยุคซึ่งพื้นที่นี้ยังโบร่ำโบราณ
กว่ายุคของเขามากมายนัก ชามัลก็ต้องยิ้มเมื่อหวนนึกถึงชีวิตเก่าๆ รีสอร์ทของเขา ‘ไพรมายา’
แม้ตอนนั้นเขามาตั้งตัวอยู่ที่นี่เพื่อรอคอยบางอย่าง แต่การได้สร้าง ได้ดูแลมันมากับมือ
ก็ทำให้เขายังคิดถึงสถานที่แห่งนั้น ความสวยงาม ศิลปะ ความอ่อนไหวทุกสิ่งทุกอย่าง
ที่เขาทุ่มเทใจลงไป เมื่อเขาตายและทิ้งร้างห่างมามันจะเป็นอย่างไร คงไม่มีใครดูแลอีกแล้ว
เมห์ฮราคงไม่อยากเก็บสิ่งที่เป็นของเขาเอาไว้ น่าเศร้า ทุกสิ่งที่เพียรสร้างมากับมือสลายหาย
แม้แต่ความสุข สิ่งที่เขาอยากมี...

ชามัลแหวกกระโจมออกน้อยๆเพื่อรับลม ข้างนอกมืดหมด ใกล้ที่พักของเขานี้ก็ไม่มีไฟ
ที่ให้แสงสว่างแม้แต่จุดเดียว ทุกอย่างเป็นไปตามเขาสั่ง เจ้าของร่างสูงสง่าซึ่งเคยดูทระนงอยู่เสมอ
คงจะยืนเดียวดายในความมืดมิด ถ้าหิ่งห้อยน้อยแสงตัวนั้นไม่ลอยหลงทางเปะปะมาหา

ชามัลจุดปลายแสงสว่างที่นิ้ว ล่อให้มันเข้าหาเมื่อหลงว่าเป็นพวกเดียว ไฟของเขากะพริบวูบไหว
ขึ้นลงหลอกล่อ หากใกล้อีกเพียงนิดเจ้าหิ่งห้อยคงโดนจุดความร้อนที่นิ้วเขาจนสลายร่วงป่นไม่เหลือซาก

แต่วูบนั้นชามัลก็ดับแสงลง ผายมือออกไปรับหิ่งห้อยตัวนิดๆที่ส่องแสงวับแวมเขียวอมเหลืองเรืองรอง
มาอยู่ในมือ ไม่กี่อึดใจ...หิ่งห้อยน้อยบินหนี ชายหนุ่มผู้ซ่อนร่างอสรพิษเงยตาม เห็นมันกำลังบินสูง
ไกลออกไป กลมกลืนไปกับดวงดาวบนฟ้าไกล มันไม่ได้สูงถึงเพียงนั้นหรอก แต่แสงน้อยกระจ้อยร่อย
ลับหายไปแล้ว มองไม่เจอว่าอยู่หนใด

บางทีหลายอย่างที่คิดว่ามีมันอยู่ในมือ เราก็ไม่เคยมีมันอยู่จริงๆ ส่วนสิ่งที่เคยมีอยู่จริงๆ
ก็อาจไม่ได้เป็นสมบัติของเรา และไม่ได้จะอยู่กับเราเสมอไป

คืนอันเย็นเยียบ เงียบกริบและอ้างว้าง ชามัลเข้านอนอย่างที่เขามักจะพักผ่อนกายทุกๆคืนในช่วงนี้
ในฝันนั้นเขาเห็นเธอ เด็กน้อยของเขา...สิตาราเดินเข้ามาใกล้ เขาก้มลงไปมองตาสวยพราวด้วยรอยยิ้ม
เธอคงหายโกรธแล้ว ถึงยิ้มตอบมาอย่างนี้

‘เธอมาหาฉันเหรอ หรือว่านี่คือการสื่อสารผ่านโมรา ทั้งที่ไม่เคยเลย ทำไมคืนนี้ถึง...’
ชามัลถามออกไปแผ่วๆ คล้ายกลัวว่าเสียงของเขาจะไปเปลี่ยนรอยยิ้มให้แปรเป็นอื่น

‘เงียบเถอะ’ สิตาราก้าวเข้าใกล้ยิ่งกว่าเดิม

เขาโน้มคอลงไปตามแรงดึงดูดของเธอที่เอื้อมมาประคองหน้าเขาไว้ สิตาราไล้นิ้วลงตรงแผลเป็น
บนหน้าเขาแผ่วเบา ความอบอุ่นจากปลายนิ้วเธอคล้ายจะสมานแผลนั้น เยียวยามันให้เลือนหาย
ชามัลก้มลงไปอีกนิด ยิ้มพรายเมื่อคนตัวเล็กจูบรอยแผลเป็นของเขาแผ่วเบาราวสัมผัสของนางฟ้า

ชายหนุ่มกะพริบตา พบว่าตนเองลืมตาขึ้นเงียบงันในความมืด จังหวะใจที่แห้งแล้งบอกกล่าว
สิตาราไม่ได้ติดต่อมา ทั้งหมดที่ได้พบเจอเป็นเพียงฝัน ที่เขาสร้างมันขึ้นมาหลอกหลอนตัวเอง



สายลมหนาวแห่งต้นศักราชโชยชายต้องสัมผัสเกาะเงาอันเร้นลึกอยู่ในดินแดนเบื้องหลังราตรีกาล
อโพซินเต้แหงนดูดาวบนฟากฟ้า จับยามสามตาแล้วก็เห็นควรถึงวาระจะต้องบอกกล่าวกับศิษย์น้อย
“เจ้าดาวน้อย ถึงเวลาสมควรแล้ว ที่เราจะไปจากที่นี่...ในคืนวันพรุ่ง”

“ข้ารออยู่ทีเดียวพ่อปู่” สิตาราตอบด้วยแววตามาดหมายเป็นประกาย เธอวันนี้เปลี่ยนไป
จะเพราะใจ เพราะมิตรเปิดเนตรที่สามให้ หรือเพราะการสอนสั่งของครูบาผู้เฒ่า
เพราะอะไรก็สุดแล้วแต่ สิตาราก็เชื่อว่าตนคงพอจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้บ้าง

คนเป็นครูเดินโขยกเขยกเข้าใกล้สิตารา เอ่ยถามเสียงพร่า “เจ้าจะทำอย่างไรกับชายผู้นั้นละทีนี้
แก้แค้น หรือว่า...” เมื่อแรกที่ยังไม่รู้จักสิตารา อโพซินเต้เคยหวังให้เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อรู้ว่าศิษย์น้อยของตน
พันผูกกับอสรพิษเพียงใด แม้ถูกทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ...ง่ายต่อการยุยงให้ตัดสินใจทางร้าย ทว่าครูบาผู้เฒ่า
ก็เลือกจะปล่อยให้ใจเป็นของเจ้าตัว ผู้ชรามายังเกาะแห่งนี้เพื่อสิงห์ก็จริง แต่แนวทางที่ยึดถือหลายอย่าง
ก็ยังเป็นตามใจตนไม่เปลี่ยนแปร

“ตอนนี้พิจิกก็เชื่อไม่ได้ ข้าเสียใจกับการจากไปของท่านนักบวช แต่ข้าก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไป
อยู่ในชุดวัวบ้านั่น ทั้งพวกคนคู่ที่อยู่กับข้ามาตลอดหลายปี ทุกคนล้วนแปรผันไปจากเบื้องหน้า
ที่เคยแสดงให้เห็น ตอนนี้ขอแค่คนที่ไม่สนใจอดีต ไม่คิดบงการอนาคตข้า เพียงแค่นั้นที่ต้องการ
ส่วนกับเขา...ชามัล ท่านสอนข้าแล้วนี่นาพ่อปู่ วิธีใช้พลังความมืดผสานกับพลังแห่งโมรา
ข้าจะเริ่มจากตัดกำลังของเขาก่อน เป้าหมายคือพวกจ้าวราศี...ทั้งหมด...ทุกคนที่ตามหาตัวพบ!”

คืนวันที่หมายมาดมาถึง จากพลังมอมเมาอันเหนือชั้นของครูบา บวกกับพลังแห่งความมืด
ของศิษย์น้อยอันเป็นเสมือนการบดบัง ดูดกลืนการมองเห็นจากตาที่สามของทุกผู้ทุกคน
สิตารากับอโพซินเต้ผู้เฒ่าจึงสามารถนำเรือลำหนึ่งของพิจิกออกพ้นอู่มาได้! ไม่เพียงเท่านั้น
ยังมีภูตดาราไว้ในการบังคับเรือจำนวนหนึ่ง ซึ่งล้วนแล้วแต่ตกอยู่ในห้วงมนตร์สะกด
รวมถึงพรตที่สิตาราหนีบติดมาด้วย จะชั่วจะดีอย่างไรเขาก็ไม่เคยทิ้งเธอ ไม่เคยทำให้ผิดหวัง...ยังไม่เคย

สิตารายืนอยู่เบื้องหลังพ่อปู่ของตนซึ่งค่อมคู้อยู่หัวเรือ แต่ความรู้สึกราวกับครูบาผู้เฒ่ากำลังยืนสง่า
ร่ายมนตราปัดเป่าหมอกที่เห็นเป็นประหนึ่งกลุ่มเมฆหนาทะมึนเหนือผิวทะเลยามราตรี หมอกมายา
ของเจ้าเกาะหมอกที่มาทิ้งเอาไว้ค่อยๆแหวกออกเป็นทางพอให้ลำเรือแล่นแทรกผ่าน ครั้นพอเรือ
พ้นไปแล้วหมอกก็เข้าล้อมปิดด้านหลัง จะไม่มีใครรู้เห็นว่าพวกเขาหนีไปยังทิศใด จะติดตาม
ก็ฝ่าหมอกออกมาไม่ได้ จะส่งข่าวบอกชามัลก็คงติดขัดอีกเช่นกัน

บัดนี้สิตาราเป็นอิสระแล้วจริงๆ!

ผู้เฒ่าหันกลับมามองยังศิษย์น้อย เห็นนางหยิบมีดซึ่งมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเล่มล้ำค่า
ที่ได้จากสิงหรานีขึ้นมาจดจ้อง ก่อนจะคว้าผมที่ยาวถึงสะโพกของตน ขยับมีดจะตัดผมนั้นทิ้ง

“...ตัดผม จะตัดวิชาออกไปกระนั้นหรือ”

“ผมนี่งอกมาตั้งแต่สมัยข้ายังโง่เง่า พ่อปู่ท่านอย่าว่าข้าจาบจ้วง แต่ข้ามิใช่ศิษย์ครูเดียว
...ครูคนแรก สอนให้ปล่อยวาง ผมก็แค่ส่วนของร่างกายที่จะตัดทิ้งไป
ส่วนวิชาของพ่อปู่ยังจะอยู่กับใจข้าเสมอ”

“งั้นก็ตามใจเถิด ข้าไม่โกรธสักนิด มีแต่จะชื่นชอบ เหล่าคนผู้เชื่อมั่นในตนเอง
ข้านับถือคนเช่นนี้มานาน เพราะข้าก็เป็นหนึ่งในพวกบ้าทำตามใจตนเองเช่นกัน”
อโพซินเต้หัวเราะแผ่วไหวจนแหบหายไปในคอ ร่างรุงรังเขยกลงมาจากหัวเรือ
แต่หมอกก็ยังแหวกทางให้เรือลำทะมึนซึ่งลี้ออกจากเกาะเงา

เมื่อสิตาราโปรยพวงผมเป็นคลื่นยาวยิ่งที่ตัดออกทิ้งลงสู่เบื้องทะเล หมอกประหลาดนั้นก็
แหวกออกให้ผมเธอตกลงสู่ผิวน้ำราวกับจะหวั่นเกรงบางอย่าง เธอเปลี่ยนไปแล้ว
ทั้งโลกจะต้องรู้ในไม่ช้าไม่นาน

หญิงสาวผู้ได้ชื่อว่าเป็นราศีที่สิบสามจ้องมองตนเองผ่านกระจกเงาในห้องพัก
ผมสั้นกุดของเธอแลดูยุ่งๆเพราะความที่มันหยักศก เผยให้เห็นดวงหน้าอมสีเลือดฝาด
ที่เกือบจะเป็นรูปไข่ ถ้าไม่นับส่วนคางที่เรียวลงหน่อย ดวงตาที่ใครหลายคนบอกว่าคมซึ้ง
ตอนนี้มีแต่แววช้ำเหมือนคนอดนอน ทว่าก็แน่วนิ่ง ชุดที่ใส่เป็นผ้าปอนๆสีสันไม่โดดเด่น
อยู่ในสภาพแบบนี้ทำให้ตนดูเด็กลงอีก คนรัตติดาราซึ่งไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมคงไม่มีใคร
จดจำได้ว่าเธอเองเป็นใคร มาจากไหน และต้องการมาทวงถามอะไรจากพวกเขา

สิตาราเอนกายลงบนหมอน คงเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่พึ่งใครเลย อย่างน้อยตอนนี้ก็ต้องพึ่ง
พ่อปู่อโพซินเต้ ชามัลอาจมองว่าเธอสู้เขาไม่ได้ เขาที่มีแต่ตัวเอง ไว้ใจแต่เพียงตัวเอง
แต่ในมุมมองของเธอ นั่นคือความอ่อนแอ เธอจำเป็นต้องมีใครบางคนอยู่เคียงข้าง
แล้วเขาล่ะ วันหนึ่งจะรู้สึกแบบนี้บ้างไหม หรือต้องรอจนวันที่ไม่เหลือใคร

หญิงสาวกังวลนั่นนี่ร้อยแปด ที่ยิ่งกว่าเรื่องความร้ายกาจของชามัล เธอเองเป็นห่วงมิตร
เขาติดตามตุลาการผู้ร้ายกาจถึงเพียงนั้นไป เธอพยายามเชื่อว่ามิตรจะเอาตัวรอดได้ในที่สุด

จากที่เคยรู้เรื่องความรักที่ไม่สมหวังของเขามา ตอนเด็กสิตาราอาจยังไม่เข้าใจ
แต่พอโตเป็นสาว ได้รู้จักความรัก...เธอยังหวนนึกถึงแววตาเจ็บร้าวลึกของมิตรได้
ไม่ว่าเขาจะมีความรักกับใคร ผู้หญิงที่มิตรรักก็จะต้องตาย เรื่องนี้เธอพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

...มันอาจไม่เกิดขึ้น อนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปได้ไหม ต้องมาลองลุ้นกันดู
ไม่แน่การที่เธอเคยพูดสะกิด ห้ามมิตรไม่ให้รักใคร อาจเปลี่ยนทุกอย่างไปเลยก็ได้
หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น

ก่อนเช้าตรู่มาเยือน เมื่อสิตาราหลับใหลไปในห้องของเธอเรียบร้อยแล้ว
เบื้องนอกนั้นยังเพียงเจ้าของร่างคุ้มค่อมรุงรังน่าสะพรึง ผู้ที่ใครเห็นใครก็อยากหลีกลี้
เวลานี้ชายชราอยู่ลำพัง อโพซินเต้กวักมือเรียกนกทะเลที่กู่ร้องโผผินบินผ่าน มันร่อนลงหา
ชายชราจึงผูกสารเข้าที่ขาเจ้านกแปลกหน้าซึ่งตนไม่ได้ฝึกสอนเลี้ยงดูมาอย่างใด เพียงเรียกมา
ช่วงใช้ชั่วคราว จากนั้นจึงเขกกะโหลกเบาๆทีหนึ่งแล้วเป่ามนตร์ เสกสั่งให้มันโผบินไปยังทิศที่ต้องการ

ไป...เพื่อส่งข่าวแก่นางสิงห์และพวกพ้องที่รอคอย ข้อความในกระดาษมีดังว่า

‘ตอนนี้ดาวน้อยโคจรมาจากที่ด้วยตัวนางเองแล้ว แผนเอาข้ามาทิ้งไว้ที่นี่เกิดผลจนได้
ถึงเวลาที่ข้าควรกลับไปหานางสิงห์น้อย แต่จู่ๆก็ชักไม่อยากกลับ เพราะเกิดถูกใจลูกศิษย์คนใหม่
คนนี้ขึ้นมา อยากจะอยู่เล่นด้วยอีกสักนานๆ หวังว่าพวกเจ้าคงไม่ว่าอะไร แล้วเราคงได้พบกันอีกครั้ง
...บนเกาะแห่งความเที่ยงธรรม’




----------
กดถูกใจให้เค้าด้วยน้า ^^
เลิฟคนอ่านจริงๆ



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ม.ค. 2557, 14:00:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ม.ค. 2557, 14:24:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1376





<< บทที่ ๑๕ สายลมของการเปลี่ยนแปลง //เล่าเรื่องฝั่งตามิตรบ้างดีกว่า แม่ยกฮีเยอะเหมือนกัน :)   ตอนพิเศษของคู่กัด-นายเสือกับนางสิงห์ (ชื่อยังกะนิยายวัยรุ่น) จริงๆมาชวนเล่นเกมชิงหนังสือในเฟซบุคอสิตา >>
ketza 17 ม.ค. 2557, 14:02:43 น.
จองงง
ม๊วบบบบบบบบบบบบบบบบ


อสิตา 17 ม.ค. 2557, 14:15:32 น.
คุณเกดซ่า – เค้าเพิ่งฟื้นละ ป่วยอีกละ มิตรคิดถึงรตี งุ้งงิ้งๆๆ
ชื่อนางสิงห์ง่ะ ไม่บอกหรอก รู้แค่ว่าเป็นชื่อดอกไม้ชนิดหนึ่งที่มันมุ้งมิ้งงุงิมากมาย
คู่เสือสิงห์หวานไม่ลดละ ส่วนพี่งูตอนนี้ก็เหงาต่อปายน้า
คุณยิ้มยิ้ม – วันนี้วันศุกรื มีเวลาทำการบ้านมากขึ้นนะ หรือจะไปเที่ยว เสาร์อาทิตย์นี้คนเขียนปิดรูทำงาน
คุณบุลินทร – ตามิตรกะสิต้าเค้าพ่อลูกกัน เจ้าคนวิปริต...
คุณก้อนหิน – สงสารตามิตร “สุขเพียงชั่ววัน แต่ช้ำทวีคูณ ต้องห่างไกลสุดฟ้าอาดูร สูญสิ้นเธอตลอดกาล” ไม่ใช่แระ นี่มันคู่กรรม...

คุณหนอนน้อยกลอยใจ – ใครๆก็ชอบหลอกหนอน เห็นหนอนเป็นของเล่นแน่ๆ อร๊างงงง
สิงหรานีชอบความรุนแรง แล้วก็ชอบกระทำด้วย อร๊าวววว
หุหุ ออกมาแล้วตัวละครที่จะมาพาหนูสิหนี หล่อถูกใจหนอนไหมล่ะฮ๊าฟ เหี่ยวๆๆ
คุณริญจน์ธร – พี่มิ้งค์มาแล้ว วันนี้นังมีนจะเบี้ยวอีกไหม รอดูมันๆ
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ – เชื่อว่าเดี๋ยวก็ใจอ่อนกับตามารจนได้นะ เค้าเหงานะตอนนี้อะ
คุณภาวิน – ตามมาอ่านครบทุกตอนแล้วหรือนี่ กราบตรุดเบาๆ
คุณเมล็ดทานตะวัน – ก็ไม่น้อยน้า หุหุ ไม่ชอบเสือดำบ้างเหรอตัวเธอ ฮีก็ไม่ได้ดีอะไรมากนะ

คุณโกลเด้นซัน – เสือตระกูลนี้ไม่ใช่เสือแท้ เป็นเสือปลอม เลยน่ารักนุ่มฟูเป็นพิเศษเหมือนสระด้วยน้ำยาปรับผ้านุ่มค่ะ
นางสิงห์ชื่อเป็นดอกไม้ แต่คนเขียนไม่บอกหรอก ...ส่วนตามิตร ถึงจะต้องเจ็บก็ไม่เสียใจที่ได้รักเธอน้า

คุณเด่นเดือน – นั่นสิ งูกลับมาตอนนี้ก็ไม่เจอสิต้าแน่ๆ แต่ไม่แน่สิต้าอาจไปหาเรื่องงูก่อนก็ได้นะคราวนี้
ส่วนตามิตร รอดูกันต่อไปค่ะ


อสิตา 17 ม.ค. 2557, 14:25:14 น.
แอบตัดหางออกหน่อย ใครมาอ่านทันมะกี้ก็กำไรไปนะค้า...


ketza 17 ม.ค. 2557, 14:26:36 น.
ใจร้ายยยยย เค้าอ่านไม่ทันอ่ะ จิ้นเองก็ได้ >/////<


เด่นเดือน 17 ม.ค. 2557, 14:28:20 น.
เย้ๆๆๆ อ่านทันๆ ว่าแต่ตักทามมายอ่า...ไม่เป็นไรๆ อ่านทัน 555

แล้วคือ พี่ดารานี่รักรดิสเหรอคะ ทำไมอะ ดูไม่น่ารักเลย พี่งูยังดูดีกว่าอีก ตอนนี้สงสารงูจัง เอานะให้สิตาราเจออยู่ด้วยนะ งูจะได้มีความสุขบ้าง เพราะถึง he จะยังไง ก็คงต้องการใครสักคนบ้างล่ะ


อสิตา 17 ม.ค. 2557, 14:30:53 น.
ตัดเพราะยาวไปเดี๋ยวไม่โฟกัสเรื่องราวที่เล่าช่วงแรกๆค่ะ กร๊าาา
ใช่ๆๆ รดิศดูไม่น่ารักเลยค่ะคุณเด่นเดือน แต่มีคนนึงหลงผิดเห็นกงจักรเป็นดอกบัว


เด่นเดือน 17 ม.ค. 2557, 14:32:09 น.
แหมๆๆ คุณแป้ง แต่ตอนที่ตัดนี่ฟินนะคะ แบบว่าชดเชยแทนคู่พี่งูดำได้เลย

แบบสิงกะเสือ


เด่นเดือน 17 ม.ค. 2557, 14:33:04 น.
ไม่เป็นไร เราฟินคนเดียวเบาๆแล้วกัน ครุคริๆ


sunrise 17 ม.ค. 2557, 16:29:15 น.
ตางูเริ่มมีอารมณ์หวั่นไหวละ


yimyum 17 ม.ค. 2557, 17:49:19 น.
ตกลงสิต้านิเป็นนางเอกหรือนางร้ายกันนิ ฮ่ะ งง**ไม่ใช่และ**


บุลินทร 17 ม.ค. 2557, 19:49:19 น.
ว้าว ท่านอโพซินเต้ดูขลังมาก สักทั้งตัวเบย


ภาวิน 17 ม.ค. 2557, 20:02:43 น.
แวะมาไลค์ก่อนแว้บไปให้นมลูก ว่างแล้วจิมาอ่านนะ


ดังปัณณ์ 17 ม.ค. 2557, 20:54:01 น.
แอร๊ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยหนอนชอบคนแก่ ยั้ยไม่ใช่! แหมๆๆๆมาทำเราเคลิ้ม ท่านอโพซินเต้ ต้องจับไปอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณหน่อย ถ้าหล่อแบบแก่ๆก็โอเคร เอ๊ะ ยังไง 555+ วึ้ย ชอบพาหนอนออกนอกลู่นอกทาง หนอนออกจะเป็นวัยรุ่น(ใกล้แย้มฝาโลง)ขนาดนี้ เดี๋ยวหนอนใจแตกนะ ชิชะ >////<

แหงะ โสนะน้าชาจัง ไงล้าาาาาาาาาาาาสาวเจ้าจะหนีแล้ว ว่าแต่หนูสิจะหนีได้จิงเหรอคุณแป้งงงงงงงง อ่ะดูจิ โมรายังคล้องคอยุ เดี๋ยวไงๆๆชาจังก็ต้องหาเจอแระ

แต่กว่าจะถึงตอนนั้น สงกะสัยชาจังหืดขึ้นคอ แต่ที่แน่ๆหาเจอคราวนี้ หนูสิเจอกินตลอดหัวจรดหาง ชาจังรับรองไม่เหลือกระดูกคายแหงแซะเบย อิๆ


Pat 17 ม.ค. 2557, 22:02:26 น.
เหงาจนเพ้อเลยนะชามัล ดาราอยู่กับรดิศเองหรือนี่ มีเงื่อนอะไรซ่อนอยู่อีกน้อ


Pat 17 ม.ค. 2557, 22:03:04 น.
เหงาจนเพ้อเลยนะชามัล ดาราอยู่กับรดิศเองหรือนี่ มีเงื่อนอะไรซ่อนอยู่อีกน้อ


konhin 18 ม.ค. 2557, 02:36:03 น.
สงสารสิตา รอบๆตัวจริงๆแล้วก็เชื่อใครไม่ได้ซักคน เพราะคนรอบๆตัวต่างก็หวังประโยชน์จากสิตาทั้งนั้นเลย


ketza 18 ม.ค. 2557, 13:52:44 น.
##### ชื่อดอกไม้หรอ..... " มะลิ "..... แน่เบย เอิ้กๆๆๆๆๆ


ketza 18 ม.ค. 2557, 13:58:58 น.
น้องลิลลี่ / ทิวลิป / กล้วยไม้ / ทานตะวัน 5555555++
..... นางสิงห์ชื่อไรดีน้อออ


นักอ่านเหนียวหนึบ 18 ม.ค. 2557, 14:34:18 น.
ชื่อเอื้องคำ ละกันนะ นางสิงห์นะ!!! 555
ว้ายๆๆๆๆ หนูสิเป็นไทละค้าาาาา
พี่สาวเธอ ไปเป็นอิหนูให้ตาแก่ตุลาการเหรอ!!!!!
ตาชาเม่าเหงาเหรอ สมน้ำหน้า ขนาดหิ่งห้อยยังบินหนีเลยยย รอให้ตาชาเม่ากลายร่างเป็นงูหมดพิษ เชื่องๆ หงอยๆ หนูสิว่าไงก็ว่าตามก่อนละกันนะ เค้าจิลองเอ็นดูฮี!!!!!


Zephyr 21 ม.ค. 2557, 14:54:02 น.
อะไรอ่ะ มะม้าว่าเค้า เค้าแค่บอกว่าฮีเท่เฉยๆน่า
เอาเหอะมีนางไปหลงรักตั้งคนนึง เอ รึสองคนนั้นวางแผนการใหญ่อะไรกัน
สิต้าหลงกปู่อโพไปแล้ว ยอมไปแล้ว ปู่นี่หวังดีจริง รึจะหลอกใช้อีกนะ
นอกจากทรยศกันมั่วแล้วยังไม่รู้ใครอยู่ฝ่ายใครอีกเนอะ เหอะๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account