ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๓ สู่โลกใหม่

ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๓ สู่โลกใหม่

หลังจากรักษาตัวมาประมาณสามวัน แว่นก็ยอมรับความจริงได้ว่าบัดนี้วิญญาณของตนเองได้มาอยู่ในร่างเด็กสาวนามว่ากุ้ยฮวา ส่วนสาเหตุเกิดจากเข็มทิศมหาลาภอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าเข็มทิศบ้านี้ควรจะถูกเรียกว่ามหาซวยมากกว่า เรียกฟ้าผ่ามาให้ไม่พอ ยังส่งวิญญาณทะลุมิติมาอยู่ในดินแดนที่เหมือนกับจีนโบราณนี่อีก

แว่นรู้สึกหดหู่เมื่อรู้ว่าตัวเองคงไม่มีวันได้กลับไปยังโลกเดิมได้อีก ถึงไม่มีใครบอกก็เข้าใจว่าตัวเองได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง แว่นยังจำได้ดีถึงความรู้สึกตอนที่วิญญาณถูกกระชากออกจากร่าง แล้วพลัดหลงเข้าไปในกระแสธารสีฟ้าเย็นเยือก ในขณะที่สติกำลังจะมอดดับก็มีคนมาโอบอุ้มดวงจิตอันแสนบอบช้ำของเขาไว้ บุคคลปริศนาบอกว่าจะมอบชีวิตใหม่ให้ ขาดคำทุกอย่างก็กลายเป็นสีขาวโพลน รู้ตัวอีกทีแว่นก็ฟื้นขึ้นมาในร่างนี้แล้ว

‘นี่สินะชีวิตใหม่’

ใครจะคิดว่ากะเทยไทยวัยสามสิบบวกจะได้กลายร่างเป็นชะนีน้อยวัยใส ถึงจะบรรลุตามฝันว่าสักวันฉันจะสวย แว่นก็ยังไม่วายถอนหายใจออกมายาวเหยียด เขาคิดถึงครอบครัวจับใจ ก่อนมาเที่ยวแว่นเพิ่งโทรศัพท์ไปหาแม่ บอกท่านว่าสงกรานต์นี้จะกลับบ้านไปให้กอด เห็นคงจะไม่มีโอกาสได้ทำอย่างนั้นแล้ว

พาดหัวข่าว ‘ฟ้าพิโรธผ่าสี่เทยดับกลางทุ่ง’ ลอยเข้ามาในหัว คนอื่นอ่านแล้วอาจขำแต่สำหรับญาติพี่น้องคงจุกจนพูดอะไรไม่ออก แม่จะเสียใจแค่ไหน พ่อจะร้องไห้หรือเปล่า พวกท่านต่างก็อายุมากแล้ว จิตใจก็อ่อนแอลงไปตามสังขาร ไม่รู้ว่าเท็น น้องชายคนเดียวของเขาจะรับมือกับสถานการณ์ไหวไหม

ภาพความโศกเศร้าของครอบครัวเดินแถวเข้าสู่ห้วงความคิดเป็นระยะ ในที่สุดแว่นก็ไม่อาจทนฝืนทำเป็นเข้มแข็งได้อีก เขาชันเข่าขึ้นมากอด แล้วร้องไห้ออกมาเต็มเสียง ถึงจะเป็นผู้ใหญ่ ถึงจะมีการศึกษาสูง แต่ถ้าเป็นเรื่องของครอบครัวแล้ว อารมณ์ของแว่นกลับเปราะบางราวแก้วใส

แว่นสะอึกสะอื้นอยู่นาน ซีอิ๋งถามว่าเป็นอะไรก็ไม่ยอมตอบ สาวใช้เห็นท่าไม่ดีจึงรีบไปตามคุณชายใหญ่มา พอเห็นว่าน้องร้องไห้ กุ้ยอี้ก็ถลันมาหา แตะตัวจับหน้าผาก แล้วตะโกนให้ตามหมอก่อนที่จะทันได้สอบถามว่าเกิดอะไรขึ้นเสียอีก

แว่นรู้ว่าอาการสติแตกของตัวเองกำลังทำให้คนอื่นเดือดร้อน ความที่พูดไม่ออก เลยส่ายหน้าถี่ๆ แทนการปฏิเสธ

“อย่าฝืนเลยกุ้ยฮวา เจ็บตรงไหนก็บอกมา ท่านหมอจะได้รักษาถูก”

“ข้า...ไม่เป็น...ไรจริงๆ” แว่นพยายามกลั้นสะอื้นบอก

“ไม่เป็นไร แล้วทำไมถึงร้องไห้”

คราวนี้ไม่มีเสียงตอบกลับ เห็นสีหน้าคับข้องใจของน้องแล้ว กุ้ยอี้ก็เข้าใจได้ในทันทีว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะเอ่ย จึงปลอบใจด้วยการโอบตัวให้มาพิงซบกับไหล่

“อย่ากังวลไปเลย ท่านหลิ่งปินต้องรักษาเจ้าได้แน่ หมอเทวดามั่นใจว่าเจ้าจะหายเจ้าต้องหายจริงไหม”

ใจของแว่นสงบลงอย่างประหลาดเมื่อได้ยินเสียงนุ่มทุ้มของกุ้ยอี้ ถึงคำปลอบของเขาจะเป็นคนละเรื่องกันกับที่เป็นกังวล แต่มันก็สามารถทำให้น้ำตาเหือดไปจากใบหน้าได้ ความทรงจำของเจ้าของร่างเป็นอีกอย่างที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจของแว่น สำหรับกุ้ยฮวาแล้วกุ้ยอี้เป็นพี่ชายที่พึ่งพาได้ เขาจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ และแว่นเองก็สามารถที่จะวางใจในตัวเขาได้เช่นกัน

‘เราไม่ได้ถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว’ เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้วความเข้มแข็งก็เริ่มกลับมาอีกครั้ง



เมื่อตั้งสติได้และคลายจากอาการเศร้า แว่นก็กลับมาจัดระเบียบความคิดของตัวเองใหม่ ตอนนี้ในหัวเขาเหมือนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีไฟล์ข้อมูลต่างๆ วางกองอยู่อย่างไร้ระเบียบ ต้องเริ่มเปิดดูทีละส่วนว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง แล้วแยกประเภทเอาไว้ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน

แว่นเป็นคนช่างเกตช่างวิเคราะห์อยู่แล้ว เลยทดสอบอะไรหลายๆ อย่าง จนเข้าใจว่าความทรงจำของกุ้ยฮวาที่ตัวเองมีไม่ใช่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ในร่าง แต่มันเข้ามาทดแทนความทรงจำของตนต่างหาก เหมือนกับเวลาที่หน่วยความจำเต็ม ก็ต้องลบข้อมูลเก่าออก

ความทรงจำสำคัญอย่างตัวเองเป็นใคร พ่อแม่ชื่ออะไร ตลอดจนความรู้ในสิ่งที่ร่ำเรียนมายังคงอยู่ สิ่งที่หายไปคือรายละเอียดปลีกย่อยของเหตุการณ์ในช่วงชีวิต อย่างแว่นเลี้ยงสุนัขเอาไว้ จำได้ว่ารักมันมากแต่กลับลืมลักษณะและสายพันธุ์ของมันไปเสียอย่างนั้น เขาจำหน้าเพื่อนสมัยมัธยมได้ทุกคนแต่นึกชื่อไม่ออกเลยสักราย ในส่วนของกุ้ยฮวาเองก็เหมือนกัน ยังคงอ่านออกเขียนได้ จำได้ว่าใครเป็นใคร รู้กระทั่งของโปรดท่านพ่อกับท่านพี่ แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองชอบสีอะไร

ข้อมูลเกี่ยวกับตัวกุ้ยฮวามีอยู่ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเรื่องของแว่น ถึงอย่างนั้นก็มีพฤติกรรมหลายอย่างที่ไม่ใช่นิสัยของแว่นปรากฏให้เห็น อย่างเรื่องอาหารการกิน แว่นเป็นคนกินง่ายอยู่ง่ายแต่ตอนนี้กลับเกลียดเนื้อสัตว์ นั่นก็ไม่อยากกิน นี่ก็ไม่อยากแตะ เบื่อไปเสียหมดทั้งที่อาหารในโลกนี้ไม่ได้เลวร้าย นิสัยอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่ตัวแว่นเลยคือเอะอะอะไรก็ยิ้มเอาไว้ก่อน ปากมันขยับยกขึ้นไปเองโดยธรรมชาติ ทั้งที่ตัวเองออกจะเป็นคนหน้านิ่งแท้ๆ

แม้จะรู้ตัวว่ามีพฤติกรรมต่างออกไป แว่นก็ยังมั่นใจว่าคงความเป็นตัวเองเอาไว้ได้อย่างน้อยแปดในสิบส่วน สังเกตได้จากความคิดอ่านและการกระทำ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพหน่อยก็ต้องตอนกุ้ยอี้มาเยี่ยม

ผู้ชายคนนี้เปรียบประดุจชายในฝันของแว่น เขามีใบหน้าคล้ายกับดาราที่แว่นหลงใหลได้ปลื้ม ปากกับจมูกเหมือนหวังลี่หง ดวงตากับคิ้วเหมือนเจอร์รี่ พอเอามารวมกันเลยกลายเป็นส่วนผสมของความหล่อที่ลงตัวเป็นอย่างมาก สบตาด้วยแล้วอาการระริกระรี้ในอกเป็นอันต้องกำเริบทุกที

คิดถึงกุ้ยอี้ไม่ทันไร ชายหนุ่มก็เดินเข้ามาในห้อง ในมือมีผลไม้จานใหญ่

“ซีอิ๋งบอกว่าเจ้าไม่ค่อยอยากอาหาร พี่เลยให้พ่อบ้านไปหาของโปรดเจ้ามาให้”

กุ้ยอี้นำเสนอลูกท้อที่หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนละลายหัวใจ

‘โอ้พี่ชาย...ได้โปรดอย่าทำแบบนี้ พี่รู้ไหมว่ามันทำให้ฉันหิว’

ถึงจะรู้อยู่แก่ใจว่าตอนนี้เป็นพี่น้องกัน แต่อาการเปรี้ยวปากอยากรับประทานคนหล่อ ก็ใช่ว่าจะห้ามปรามกันได้ง่ายๆ หื่นไม่เว้นแม้แต่กับพี่เชื้อแบบนี้ บอกได้เลยว่าคงไม่ใช่ตัวตนของกุ้ยฮวาแน่

“อ้าปากรอเชียวนะ พี่นึกแล้วเชียวว่าเจ้าต้องอยากกิน” พี่ชายผู้แสนดีบรรจงป้อนผลไม้ให้ถึงปาก

เห็นกุ้ยฮวายอมกินกุ้ยอี้ก็ชื่นใจ ไม่เสียแรงเลยที่สั่งให้คนไปดักซื้อตั้งแต่เช้ามืด ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ ต้นท้อในเมืองเฉียงเจียงยังไม่ออกผล พวกพ่อค้าหัวใสจึงไปรับมาจากดินแดนทางใต้ แล้วนำมาขายในราคาแพง

กุ้ยอี้คอยป้อนผลไม้ให้ โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าคนที่กำลังเคี้ยวท้อตุ้ยๆ ไม่รู้รสเลย หนำซ้ำยังกำลังวางแผนชั่ว ว่าจะทำอย่างไรถึงจะหาเรื่องซบอกล่ำๆ ของคุณพี่ชายได้ ถึงเขาจะสวมเสื้อซ้อนกันหลายชั้น นักคำนวณระดับปรมาจารย์อย่างแว่นก็บอกได้ว่ากุ้ยอี้จะต้องหุ่นดีมีซิกซ์แพ็ก

‘ถึงจะรับประทานคุณพี่ไม่ได้ ก็ขอลูบคลำให้ชื่นใจหน่อยเถอะ’

ในจังหวะที่กำลังจะหาเรื่องว่าเหนื่อยแล้วอิงซบ ประตูห้องก็เปิดพรวดเข้ามาโดยไม่มีการบอกกล่าว คนที่มักจะทำอย่างนี้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมามีเพียงคนเดียวเท่านั้นคือ ‘หลิ่งปิน’ หรือในอีกนามคือหมอเทวดา

ท่านหมอเป็นผู้ชายที่รูปงามเป็นอย่างมาก เครื่องหน้าสวย จมูกโด่ง คิ้วเรียว นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ทั้งที่แต่งตัวธรรมดาค่อนไปทางไม่ค่อยจะเรียบร้อย แต่กลับดูสูงศักดิ์ทรงอำนาจอย่างประหลาด เมื่อแรกเห็นแว่นก็แอบหลงรูปเขาอยู่เหมือนกัน แต่เพราะเขามาทีไรคนป่วยเป็นอันต้องเจ็บตัวทุกที แถมยังดุและเข้มงวดมาก เลยขยาดจนหมดความอยากแทะโลมไป

“เจ้าตามใจนาง ให้กินแต่ของหวานอย่างนี้ เมื่อไรจะแข็งแรง” หลิ่งปินเอ็ดเสียงดัง

“ขออภัยขอรับ เห็นนางกินไม่ค่อยได้ ก็เลยเผลอตัว” กุ้ยอี้เอ่ยเสียงอ่อย

แว่นสังเกตหลายครั้งแล้ว่าปกติพี่ชายใหญ่จะวางมาดเคร่งขรึม กับท่านพ่อเองก็ยังทำตัวสบายๆ มีกับท่านหมอนี่แหละที่เวลาอยู่ด้วยแล้วจะออกอาการเกร็งอย่างเห็นได้ชัด คำพูดคำจาก็สุภาพเป็นอย่างมาก

คนที่นี่นิยมพูดกันแบบไม่มีหางเสียง คำว่า ‘ขอรับ’ หรือ ‘เจ้าค่ะ’ เป็นคำที่คนต่ำศักดิ์กว่าอย่างคนรับใช้ใช้เวลาพูดกับเจ้านายเท่านั้น พวกเครือญาติ พวกฝูง ไม่ค่อยนิยมใช้กัน กับครูบาอาจารย์ถ้าไม่นับถือกันมากๆ ยังคุยกันปกติไม่มีหางเสียงเลย

“ข้าอยากให้นางกินเนื้อเยอะๆ ถ้าวันนี้กินไม่ได้ถ้วยหนึ่งก็รักษาต่อกันเอาเองแล้วกัน” ท่านหมอยืนกอดอกด้วยใบหน้าถมึงทึง

กุ้ยอี้ชอบคิดกินว่ากินดีกว่าไม่กิน ก็เลยสรรหาแต่ของโปรดกุ้ยฮวามาให้ นางเลยอิ่มจนไม่ยอมกินของที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

“ต่อไปข้าจะดูแลเองอย่างเคร่งครัด จะไม่ตามใจนางเกินไปอีกแล้ว” กุ้ยอี้รีบพูด

“จะทำอะไรก็จำใส่ใจเอาไว้ก็แล้วกันว่าความรักน้องแบบไร้สติของเจ้าสามารถฆ่านางได้”

หลิ่งปินพูดแรงเสียจนกุ้ยอี้ต้องถอยมายืนคอตกตรงมุมห้อง

‘พี่ชายหน้าสลด พี่ชายกลายเป็นหมาหงอย อ๊ายยย น่ารักอ่ะ ฟินเวอร์’

ไม่ใช่ละ สติสตังกลับมาด่วน ณ จุดนี้เราต้องปกป้องพี่ชายสิ

“ท่านหมออย่าตำหนิท่านพี่เลย ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่รู้จักดูแลตัวเอง” แว่นรีบพูด

หลิ่งปินชะงักไปเมื่อเห็นว่าเด็กสาวที่เคยสงบเสงี่ยมลุกขึ้นมาแก้ต่างให้พี่ชาย มุมปากของชายหนุ่มยกขึ้นมาจนเป็นรอยยิ้ม ดูเหมือนเขาจะพอใจกับการกระทำนี้จึงเลิกบ่น

“รู้ตัวก็ดีแล้ว ข้ามานี่เพราะจะมาถามว่าอยากเปลี่ยนยาไหม” หลิ่งปินโบกขวดยาในมือประกอบคำพูด “ข้าได้ของดีอย่างเกล็ดปลาพันปีมาเลยเอามาปรุงให้ กินเจ้านี่แล้วอาจจะทรมานหน่อย แต่ไม่เกินสองวันรับประกันเดินปร๋อ”

“ทรมานที่ว่านี่ เป็นอย่างไรหรือขอรับ” กุ้ยอี้ถามแทนน้อง

ชายหนุ่มไม่ได้ไม่เชื่อใจหมอ ที่ต้องถามเพราะวิชาแพทย์ของท่านหลิ่งปินนั้นออกจะพิสดารอยู่สักหน่อย คำพูดติดปากของท่านหมอคือ ‘ต้องใจถึงจึงรอด’ เขาเลยห่วงว่าน้องสาวผู้แสนอ่อนแอจะทนไม่ไหว

“แล้วแต่คน ของมันหายากเลยมีบันทึกในตำราไม่เท่าไร เอาเป็นว่าทุกคนหายดีก็แล้วกัน แต่อาการข้างเคียงจะต่างกันไป บ้างก็คลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว บ้างก็ร้อนๆ หนาวๆ ปวดเนื้อปวดตัวอยู่สองวัน อ้อ! แล้วก็มีรายหนึ่งผื่นขึ้นด้วย”

อธิบายเสร็จหลิ่งปินก็กล่าวเสริมว่าไม่ได้บังคับ ถ้าไม่เอาก็รักษาแบบเดิมไปอีกหนึ่งเดือน แบบเดิมที่ว่าคือการกินยาต้มขมปี๋ทุกๆ สามชั่วยาม

ระบบเวลาที่นี่ไม่เหมือนกับที่โลกที่แว่นจากมา วันหนึ่งจะมีทั้งหมดสามสิบสองชั่วยาม ชั่วยามละประมาณห้าสิบนาที นั่นเท่ากับว่าในหนึ่งวันต้องดื่มยาอย่างน้อยสิบถ้วย ทั้งยังไม่มีสิทธิ์นอนยาวเกินสามชั่วโมง เพราะจะถูกปลุกขึ้นมาให้กินยาตลอด

“ข้าเลือกกินยาตัวใหม่เจ้าค่ะ” แว่นตอบแบบไม่ต้องคิดเลย เขายอมทรมานสองสามวันดีกว่าต้องทนกับสภาพอย่างนี้แรมเดือน

“ดีมาก ตั้งแต่ตายแล้วฟื้นขึ้นมานี่ เจ้าเข้มแข็งขึ้นมากนะกุ้ยฮวา” ท่านหมอชม ก่อนจะส่งขวดยาสีฟ้าขาวให้ถึงมือ

พอเปิดจุกออกแล้วเทดูก็เห็นว่าภายในมียาลูกกลอนเม็ดกลมๆ ขนาดเท่านิ้วก้อยอยู่หนึ่งเม็ด กุ้ยอี้เห็นน้องจะกินยาจึงเดินไปรินน้ำใส่จอกมาให้ กระนั้นก็ยังไม่วายย้ำว่าอย่าฝืน

“จะฝืนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนางเอง เจ้าอย่าได้ชี้นำ” หลิ่งปินติงพี่ชายจอมขี้เป็นห่วงอีกรอบ กุ้ยอี้เลยต้องเก็บปากเก็บคำ

แว่นหยิบยาเข้าปากแล้วกลืนลงไปอย่างไม่ลังเล เมื่อคนไข้กินยาแล้ว หมออย่างหลิ่งปินก็อธิบายว่าในช่วงสามวันนี้ ต่อให้เป็นอะไรก็ห้ามให้ยาอื่นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นกุ้ยฮวาอาจถึงชีวิตได้ ส่วนอาหารก็ต้องกินตามที่เขากำหนด สั่งเสร็จก็พรวดพราดออกไป โดยไม่รอฟังคำขอบคุณเหมือนทุกครั้ง

แว่นคิดว่าผู้ชายคนนี้ประหลาดจริงๆ เลยเริ่มสนใจเขา เสียดายว่าข้อมูลในหัวมีเรื่องของคนคนนี้เพียงน้อยนิด พอถามกุ้ยอี้ว่าท่านหมอแซ่อะไร พี่ชายก็ตอบกลับมาว่าไม่รู้ ทราบแต่เขาเป็นเพื่อนกับท่านพ่อ

‘หลิ่งปิน’ แปลว่าผู้มาเยือนแห่งสายลม นามนี้ไม่ใช่ชื่อจริงแต่เป็นฉายาที่ตั้งขึ้นตามลักษณะนิสัย ท่านหมอมักจะเดินทางท่องเที่ยวไปทั่ว นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป รักษาเสร็จแล้วก็หายไปราวกับสายลม แทบไม่เคยเรียกร้องค่าตอบแทนใดๆ

กุ้ยอี้เคยคิดว่าถ้าหากสามารถรั้งให้หลิ่งปินพำนักอยู่ที่นี่ได้เป็นการถาวร ครอบครัวเขาคงไม่ต้องเผชิญความสูญเสีย พอท่านพ่อรู้เข้าก็ตำหนิทันทีว่าอย่าเห็นแก่ตัว

‘ไม่มีผู้ใดสามารถกักขังสายลมเอาไว้ได้หรอก แม้แต่บัลลังก์ทอง ท่านผู้นั้นก็ไม่นำพา’

กุ้ยอี้ฟังคำบิดาแล้วก็ไม่ดื้อแพ่ง เลิกอ้อนวอนกวนใจหลิ่งปินนับแต่บัดนั้น

“ท่านพี่รู้ไหมว่าท่านหมออายุเท่าไร” แว่นถามต่อ

หากกะเอาจากการมองหลิ่งปินน่าจะอายุมากกว่ากุ้ยอี้ที่อยู่ในวัยเบญจเพสไม่เกินห้าปี

“พี่ไม่แน่ใจนักหรอก แต่น่าจะพอๆ กับท่านพ่อ”

กุ้ยอี้ยังจำได้ดีว่าเห็นหลิ่งปินมาตั้งแต่จำความได้ จะกี่ปีผ่านไปชายหนุ่มก็ดูไม่เปลี่ยนไปเลย

แว่นถึงกับอ้าปากค้าง ถ้าเป็นรุ่นพ่อก็ต้องอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปลายๆ รู้อย่างนี้แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้อาจจะไม่ใช่มนุษย์

แว่นได้รู้เพิ่มอีกว่าที่กุ้ยอี้ให้ความเคารพนับถือหลิ่งปิน เพราะเขาได้ช่วยชีวิตคนในครอบครัวเอาไว้หลายครั้งหลายครา อีกทั้งบิดายังให้เกียรติชายหนุ่มเป็นอย่างมาก คนอย่างเสนาบดีเฉินถึงพร้อมไปด้วยสติปัญญาและความสามารถ ลองได้นับถือใครแล้วแสดงว่าคนผู้นั้นต้องเป็นยอดคน แว่นก็เลยพลอยเคารพและสำนึกบุญคุณท่านหมอมากขึ้นไปด้วย



แว่นรู้สึกยกย่องหลิ่งปินได้ครึ่งวัน ยังไม่ทันตกดึกก็มีอันต้องแช่งชักหักกระดูก สาเหตุเพราะได้รับผลข้างเคียงของยาอย่างรุนแรง เริ่มแรกก็ปวดร้าวไปทั้งร่าง ต่อมาก็มีไข้สูง ตามมาด้วยผื่นขึ้น พอคลายจากอาการปวดตัวก็คลื่นไส้อาเจียนเวียนหัว อาการสลับไปมาอย่างนี้ตลอดเวลา แถมยังมีอาการอยู่ห้าวันเต็ม ไม่ใช่สองวันดังที่เขาบอก

ที่ทำให้โมโหยิ่งกว่านั้นคือท่านหมอตัวดีหายไปไหนก็ไม่รู้ ทิ้งให้คนทั้งบ้านอกสั่นขวัญแขวน จะให้ยาหรือตามหมอคนอื่นก็ไม่กล้า มีแต่เสนาบดีเฉินเท่านั้นที่เชื่อมั่นในตัวหลิ่งปิน เลยออกคำสั่งให้ทุกคนใจเย็นแล้วรอดูอาการต่อไป

เมื่อเข้าสู่วันที่หกอาการเจ็บปวดทั้งหลายก็สลายหายไปราวกับเป็นเพียงความฝัน กุ้ยฮวาสามารถลุกขึ้นมาจากเตียงได้ ทั้งยังเดินในระยะใกล้ๆ ได้โดยไม่เหนื่อยหอบด้วย

พออาการดีขึ้นสักพักหลิ่งปินก็กลับมา ชายหนุ่มอ้างว่าออกเดินทางเพื่อหายาบำรุงกำลังมาให้ แต่พออยู่ด้วยกันสองคนกับกุ้ยฮวากลับพูดหน้าตาเฉยว่าดีใจที่เธอไม่ตายไปเสียก่อน จริงๆ แล้วยานั่นยังไม่เคยทดลองกับมนุษย์สักที ฟังแล้วคนป่วยนี่แทบจะลุกขึ้นมาแหกอกท่านหมอเสียเดี๋ยวนั้นเลย

ถึงตอนนี้ตัวตนของหมอเทวดาผู้นี้จะยังเป็นปริศนา แต่แว่นก็รู้เพิ่มมาอีกอย่างว่าท่านผู้นี้ มีความหล่อ ความเก่งและความบ้า อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน

หลิ่งปินพักอยู่ที่คฤหาสน์ของเสนาบดีเฉินอยู่สามวัน แล้วจึงหายตัวไปกลางดึก ทิ้งเอาไว้ก็แต่จดหมายเท่านั้น

‘อาการของกุ้ยฮวาจะทรงตัวอยู่อย่างนี้สามปี’

อ่านดูก็รู้ว่าหลังจากสามปีนี้แล้วอาจต้องตายไม่ก็อาการทรุดหนัก ถึงกระนั้นแว่นก็ยอมรับความจริงได้อย่างสงบ เขาผ่านความตายมาครั้งหนึ่งแล้ว จะตายอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

เสนาบดีเฉินจัดการเผาทำลายจดหมายทันทีที่ได้อ่าน คนที่รู้ข้อความนี้จึงมีเพียงท่านกับบุตรสาวเท่านั้น ทั้งคู่พร้อมใจกันปกปิดไม่ให้เรื่องนี้รู้ไปถึงหูพี่ชายขี้กังวลอย่างกุ้ยอี้



สุขภาพของกุ้ยฮวาหรือแว่นค่อยๆ กลับมาแข็งแรงเกือบเท่ากันกับคนปกติเมื่อย่างเข้าสู่กลางฤดูใบไม้ผลิ ระบบวันเดือนปีของที่นี่ คล้ายกันกับโลกเดิม คือมีสิบสองเดือน จะต่างก็ตรงทุกเดือนมียี่สิบแปดวันและสี่สัปดาห์เท่ากันหมด การเรียกชื่อเดือนก็นับเป็นตัวเลขตั้งแต่หนึ่งไปจนถึงสิบสอง ฤดูใบไม้ผลิคือช่วงเดือนหนึ่งถึงสาม กลางฤดูจึงเท่ากับเดือนสอง

ในฤดูนี้ดอกไม้ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นราชินีประจำฤดูคือดอกท้อ ซึ่งมีสีชมพูอ่อนคล้ายดอกซากุระ เวลาที่มันบานสะพรั่งเต็มต้นจะดูสวยละลานตามาก ในคฤหาสน์สกุลเฉินเองก็ปลูกเอาไว้ไม่น้อย แว่นเลยชอบที่จะออกมาเดินชมดอกไม้

วันนี้แว่นรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นพิเศษ หลังรับประทานอาหารเช้าแล้ว จึงออกมาเดินเล่นพร้อมกับซีอิ๋งและคนรับใช้อีกสองคน ชีวิตของคุณหนูกุ้ยฮวานั้นค่อนข้างน่าเบื่อทีเดียว วันๆ แทบไม่ได้ทำอะไร จะอาบน้ำแต่งตัวกินอาหาร ล้วนมีคนรับใช้คอยดูแลจัดการให้

ยิ่งเป็นคุณหนูสามผู้อ่อนแอก็ยิ่งหาเวลาส่วนตัวยาก ไปไหนทีก็ต้องมีคนคอยเฝ้าเพราะห่วงว่าจะเป็นลมเป็นแล้ง ที่ร้ายไปกว่านั้นคือแม้จะยืนกรานว่าแข็งแรงขึ้นปานใดก็ไม่มีใครยอมให้ทำงาน ดูเหมือนว่าคุณหนูสามจะได้รับอนุญาตให้ทำแค่สองอย่างคืออ่านหนังสือกับหายใจทิ้งไปวันๆ เท่านั้น ขนาดงานปักผ้าหรือวาดรูปยังถูกห้ามเลยเพราะถือว่าเป็นงานที่หนักเกินไป

แว่นรู้สึกเพลียจิตไม่น้อยที่คุณพี่ชายสุดหล่อคิดว่าการถือเข็มกับพู่กันเป็นงานหนัก แค่ทำเล่นๆ ไม่ได้ใช้ทำมาหากินจะเหนื่อยแค่ไหนกันเชียว แม้จะคิดแบบนี้แว่นก็ไม่ได้เถียงกุ้ยอี้ เนื่องจากเผลอเคลิ้มไปกับพ่อเทพบุตรสุดหล่อ และยังไม่มีอารมณ์ทำงานอดิเรกสุดโปรดของกุ้ยฮวาในตอนนี้

กุ้ยฮวาวาดรูปสวยๆ เอาไว้เป็นจำนวนมาก คิดแล้วก็นึกสงสัยว่าตัวเองจะสามารถวาดได้อย่างกุ้ยฮวาหรือเปล่า เมื่อมีเรื่องคาใจแว่นก็เริ่มทดลองในทันที เขามองหากิ่งไม้ พอเก็บมาได้ก็นั่งลงบนพื้นแล้วลองวาดภาพกับดินดู

“คุณหนูหน้ามืดหรือเจ้าคะ” ซีอิ๋งรีบมาประคองเมื่อเห็นคุณหนูสามลงไปนั่งจุ้มปุกอยู่กับพื้น

“เปล่า ข้าแค่จะวาดรูป”

พูดแล้วก็ใช้กิ่งไม้ตวัดแทนพู่กัน ภาพดอกท้อที่ปรากฏบนพื้นดินดูดีทีเดียวเมื่อเทียบกับฝีมือแว่นก่อนหน้านี้ ถัดจากนั้นก็ลองวาดภาพมังกร ซึ่งก็ออกมาสวยใช้ได้

“ถ้าอยากวาดรูปซีอิ๋งจะเอากระดาษกับพู่กันมาให้ก็ได้เจ้าค่ะ อย่ามานั่งตากลมตรงนี้เลย” เด็กสาวเตือนด้วยความห่วงใย

“ไม่ต้องหรอก ข้าอยากวาดรูปบนดินสนุกดี”

วาดปลาได้อีกหนึ่งตัวนิสัยเก่าก่อนของแว่นก็กำเริบ ตุ๊ดนักพฤษศาสตร์เริ่มถอนต้นไม้ใบหญ้าตรงหน้ามาสำรวจ แว่นเป็นพวกที่ชอบสังเกตจุดเล็กจุดน้อยอย่างละเอียด ก็เลยเพลิดเพลินไปกับการศึกษาพืชที่ไม่เคยเห็น ต้นไม้บางอย่างมีชื่อเรียกและลักษณะเหมือนกับที่คุ้นเคย แต่บางอย่างก็ผิดแผกไปอย่างสิ้นเชิง อย่างต้นหญ้าตรงหน้านี่ ใบสีเขียว ดอกสีขาว ภายนอกดูธรรมดา แต่รากกลับมีสีม่วงเข้ม

ซีอิ๋งกับสาวใช้อีกสองคนได้แต่มองคุณหญิงสาวลงไปนั่งเล่นถอนหญ้าตาปริบๆ จะเตือนว่าเป็นสิ่งที่กุลสตรีไม่สมควรทำก็ไม่กล้า เลยต้องปล่อยให้อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเห็นว่ามีแขกกำลังเดินผ่านมาทางนี้

“ลุกก่อนเจ้าค่ะคุณหนู” ซีอิ๋งตัดสินใจเสี่ยงโดนตำหนิด้วยการดึงตัวให้ขึ้นมา

“ลุกทำไม มีอะไรเหรอ”

“มีคนกำลังมาทางนี้เจ้าค่ะ”

แว่นไม่ขืนตัวเอาไว้เมื่อได้ยินแบบนั้น ความจำในหัวมันขาดๆ เกินๆ ก็จริงแต่สามัญสำนึกก็ยังบอกว่าไม่ควรจะมานั่งเล่นเป็นเด็กน้อยให้ขายหน้าแขก แว่นรีบวางท่าเป็นคุณหนูเต็มที่ ทว่าพอหันไปมองแขกแปลกหน้า ก็เห็นว่าเขายืนอยู่ไกลลิบแถมยังไม่มีทีท่าจะเดินผ่านมาทางนี้เลย

“เขาไปทางนั้นต่างหาก ไม่ได้มาทางนี้เสียหน่อย” แว่นบ่น

“ขออภัยเจ้าค่ะคุณหนู ซีอิ๋งมองผิดไป”

แว่นเห็นว่าเด็กสาวหน้าเจื่อนจึงเอ่ยเสียงนุ่มขึ้นว่าไม่เป็นไร คนรับใช้อีกสองคนเห็นว่าคุณหนูอารมณ์ดีแล้วก็เลยหันมากระเซ้าซีอิ๋ง

“ท่าทางซีอิ๋งจะอยากให้ท่านเหลียนเดินมาทางนี้กระมังเจ้าคะ เลยดูผิดไป”

“อย่าพูดอะไรไร้สาระต่อหน้าคุณหนูนะ” ซีอิ๋งโวยกลับ

“ท่านเหลียนนี่ใคร เจ้าชอบเขารึ” แว่นถามอย่างสนใจ

ใบหน้าของเด็กสาวแดงเป็นลูกตำลึงสุกในทันที คนที่ล้อมรอบตัวนางอยู่เลยพากันหัวเราะร่วน

ท่านเหลียนที่ซีอิ๋งแอบชอบเป็นสหายสนิทของกุ้ยอี้ ทั้งยังเป็นขุนนางที่มีตำแหน่งสูง พอพูดชื่อจริงของเขาออกมา ก็พอจะมีความทรงจำเลือนรางของคนผู้นี้อยู่ ‘เหลียน เฉิงหมิน’ เป็นคนน่าคบ เขาเอ็นดูกุ้ยฮวาประหนึ่งน้องสาว น่าเสียดายที่ความทรงจำเกี่ยวกับหน้าตาของเขาได้หายไปเสียแล้ว แว่นนึกสนุกก็เลยฉุดมือของซีอิ๋งให้เดินตามมา

“จะไปไหนคะคุณหนู”

“ไปหาท่านพี่”

“คุณชายมีแขกอยู่ อย่าไปรบกวนเลยเจ้าค่ะ”

“ไม่กวนก็ได้ แต่จะพาเจ้าไปแอบชมโฉมท่านเหลียนแทน”

ซีอิ๋งหัวใจจะวายเมื่อได้ยินคำพูดคำจาของคุณหนู ไปแอบดูผู้ชายก็น่าอายอยู่แล้ว แต่นี่มีคุณหนูมาเกี่ยวข้องด้วย ใครถูกใครผิดไม่สำคัญ แต่คนที่จะโดนตีก้นลายก็คือซีอิ๋ง

“อย่าทำเลยนะเจ้าคะ ซีอิ๋งขอร้อง ถ้ามีใครรู้เข้าซีอิ๋งจะต้องถูกลงโทษแน่” เด็กสาวเอ่ยด้วยสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้

แว่นรู้ธรรมเนียมของที่นี้ดีว่าเป็นหญิงจะต้องรู้จักเก็บเนื้อเก็บตัว กระนั้นก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ ถ้าถูกจับได้ก็อ้างไปเสียว่ามาเดินเล่นไกลไปหน่อยไม่รู้ว่าท่านพี่มีแขก เท่านี้ก็จบแล้ว ใครเลยจะกล้าจับผิดคุณหนูสามในบ้านของตัวเอง เพราะคิดง่ายๆ อย่างนี้เอง แว่นก็เลยมีอันต้องตบเท้าเข้าไปหาความวุ่นวายโดยไม่รู้ตัว



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มิ.ย. 2557, 00:01:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มิ.ย. 2557, 13:02:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 1627





<< ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๒ คุณหนูสามแห่งสกุลเฉิน   ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๔ คำขอร้องของเฉิงหมิน >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 24 มิ.ย. 2557, 00:44:12 น.
ไฮ้ นางจะได้คู่กะใครละนี่ อืมมม เริ่มชอบนางขึ้นมาละนะ เริ่มจะลืมเจ้ๆ คนอื่นไปแล้วนะ ว่าแต่ 3 ปีแค่นั้นเองเหรอ


อัศวินนภา 24 มิ.ย. 2557, 08:30:10 น.
ชื่อท่านหมอ คิดถึงแพนด้าเลย555 เป็นพระเอกป่าวคะ


Zephyr 26 มิ.ย. 2557, 00:25:53 น.
พระเอกของนาง ต้องตาหมอเพี้ยนนี่แน่ๆอ่ะ
แต่พี่ชายก็น่ารักเกินอ่ะ จุบุจุบุ
ท่านเหลียน ใครละนี่
เอ จะให้สี่คนนั่นทะลุมิติมามิติเดียวกันรึป่าวน้า


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account