ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๔ คำขอร้องของเฉิงหมิน

ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๔ คำขอร้องของเฉิงหมิน

เหลียน เฉิงหมิน คบหากับคุณชายใหญ่สกุลเฉินมานานร่วมสิบปี ความที่ไปมาหาสู่กันเป็นประจำ คนบ้านนี้จึงรู้ดีว่าควรต้อนรับอย่างไร บ่าวคนหนึ่งจะไปเรียนเจ้านาย ส่วนอีกคนจะเชิญให้ไปรอที่สวนหินซึ่งตั้งอยู่ติดกับเรือนส่วนตัวของกุ้ยอี้ ชายหนุ่มทั้งสองมักจะนั่งสนทนากันอยู่ตรงนี้เสมอ วันไหนร่ำสุราแล้วครึ้มใจ คนทั้งบ้านก็จะได้ยินเสียงพิณพระจันทร์กับเสียงขลุ่ยกังวานก้อง

กุ้ยอี้กับเฉิงหมินมักจะใช้พื้นที่ตรงนี้ผ่อนคลายอิริยาบถจากการงานอันตรึงเครียด ทว่าวันนี้บรรยากาศกลับปราศจากความชื่นมื่น เหตุเพราะจดหมายที่กุ้ยอี้นำไปถวายองค์รัชทายาทเมื่อวันก่อน

“เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไรกุ้ยอี้” เฉิงหมินเอ่ยด้วยเสียงอันดัง

แว่นกับซีอิ๋งที่อยู่ตรงทางเข้าก็เลยได้ยินชัด ทั้งคู่แอบหลบอยู่หลังม่านพวงคราม แล้วแอบเงี่ยหูฟังการสนทนาด้วยความสนใจ

“ข้าตัดสินใจอย่างรอบคอบแล้ว”

“รอบคอบงั้นรึ” เฉิงหมินแค่นเสียง “หากเจ้าห่วงกุ้ยฮวาก็แค่พักงานก็ได้ ไม่เห็นจำเป็นต้องลาออก”

“หากข้าพักงานไป ก็เท่ากับกันไม่ให้ใครมารับตำแหน่งแทน จะเป็นการขัดขวางการทำงานขององค์รัชทายาทเสียเปล่าๆ”

“ก็เพราะคิดอย่างนี้ไง ข้าถึงบอกว่าเจ้าเสียสติ องค์รัชทายาทขาดเจ้าก็เหมือนขาดแขนขา”

“เจ้าก็พูดเกินไป คนที่มีความรู้ระดับข้าในแผ่นดินนี้มีดาษดื่น”

“ดาษดื่นแต่ไม่รู้ใจ ต่อหน้าภักดี ลับหลังใจคดมีถมไป เอามาก็เสมือนหอกข้างแคร่”

ฟังได้ถึงตรงนี้ซีอิ๋งก็สะกิดว่าให้รีบออกไป พอเห็นคุณหนูไม่ยอมขยับ นางเลยพยายามลากให้ออกมาแทน

“การแอบฟังมันไม่ดีนะเจ้าคะ” ซีอิ๋งกล่อมเมื่อเจ้านายขืนตัวเอาไว้

“ซู่...เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก” แว่นจุปาก

เขาเริ่มสนใจเพราะการสนทนานี้มีชื่อของตัวเองมาเกี่ยวข้อง น่าเสียดายที่อดฟังต่อเพราะถูกจับได้เสียก่อน

“นั่นใครน่ะ ออกมาเดี๋ยวนี้!” กุ้ยอี้ตวาดเสียงเข้ม

แว่นแหวกม่านพวงครามแล้วออกไปแสดงตัวในทันที พร้อมกับปั้นหน้าใสซื่อทำเป็นว่าเพิ่งมาถึง

“ท่านพี่หมายถึงข้าหรือ”

พอเห็นว่าเป็นน้องสีหน้าของกุ้ยอี้ก็คลายลง

“ขอโทษนะที่ทำให้ตกใจ พี่นึกว่าเป็นคนอื่น เจ้าออกมาไกลถึงนี่มีอะไรหรือเปล่า” พี่ชายผู้แสนดีถามพลางสังเกตสีหน้าของน้องสาวไปด้วย

“ไม่มีอะไรหรอก ข้าเดินเล่นเพลินจึงเลยมาถึงนี่” พูดแล้วก็หันมาทางแขกของพี่ชายแล้วค้อมตัวให้ “กุ้ยฮวาของอภัยท่านเหลียนที่มารบกวนการสนทนา”

“เจ้ายืนฟังอยู่นานแล้วหรือกุ้ยฮวา” กุ้ยอี้ถามด้วยท่าทีเจือความกังวล

เขายังไม่อยากให้น้องรู้เรื่องลาออกจากราชการเพราะห่วงว่าจะคิดมาก

“มะ...ไม่ได้แอบฟังเจ้าค่ะคุณชายใหญ่ ระ...เราเพิ่งมาถึง ละ...แล้วคุณชายใหญ่ก็..ก็เรียกก่อน” ซีอิ๋วพยายามช่วยตอบ แต่ท่าทีที่แสดงออกนั้นเก็บพิรุธเอาไว้ไม่มิดเลย

แว่นไม่โทษซีอิ๋ง เป็นธรรมดาที่เด็กสาวจะต้องตกใจเมื่อถูกจับได้ แว่นเลยแก้สถานการณ์ด้วยการทำเป็นปลอบ

“ไม่ต้องกลัวหรอกซีอิ๋ง ท่านพี่ไม่ดุเจ้าหรอก” กล่าวจบแล้วก็หันมาอธิบายกับชายหนุ่มทั้งสอง “ซีอิ๋งกลัวว่าท่านพี่จะตำหนิเรื่องที่พาข้ามาเดินเล่นไกลๆ ท่านพี่อย่าโกรธนางเลยนะ ถ้าจะบ่นว่าก็ว่าข้าเถอะที่เอาแต่ใจ”

เห็นน้องคุยเรื่องอื่นกุ้ยอี้ก็คลายใจเลิกสงสัย ในสายตาของพี่ชายคนนี้ น้องรักเป็นสตรีที่ใสซื่อไร้จริต ถ้าแอบฟังจริงป่านนี้ก็คงเก็บอาการกังวลเอาไว้ได้ไม่มิดแล้ว

“พี่ไม่โกรธหรอก ทั้งเจ้าทั้งซีอิ๋งนั่นแหละ” กุ้ยอี้เอ่ยเสียงนุ่มแล้วจึงหันมาทางซีอิ๋ง “หนนี้ข้าจะไม่ตำหนิเจ้า แต่คราวต่อไปถ้าจะพาคุณหนูออกมาเดินเล่น ก็ต้องรู้จักคิดเผื่อเรื่องตอนขากลับด้วย”

“เจ้าค่ะคุณชาย ซีอิ๋งจะจำใส่ใจเอาไว้ให้มั่น” เด็กสาวรับคำแล้วก้มหน้าลง เพื่อซ่อนอาการโล่งอก

กุ้ยอี้บอกให้น้องสาวนั่งพักก่อน แล้วจึงค่อยหันมาสนใจสหายของตัวเอง เฉิงหมินส่งยิ้มมาให้กุ้ยฮวา แล้วแสดงความยินดีที่นางกลับมาแข็งแรง

ในระหว่างที่คุยกันนี้ แว่นก็สังเกตเพื่อนสนิทพี่ชายไปด้วย เฉิงหมินเตี้ยกว่ากุ้ยอี้ประมาณหนึ่งฝ่ามือ แต่ก็ถือว่ารูปร่างกำลังดี ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่นี่สูงกันไม่เกินร้อยหกสิบเซนติเมตร ผู้ชายก็สูงมากกว่านั้นห้าถึงสิบห้าเซนติเมตร กุ้ยอี้ต่างห่างที่สูงใหญ่เกินเกณฑ์มาตรฐาน

สำหรับเรื่องหน้าตาของเฉิงหมิน ก็ต้องบอกว่าหล่อใช้ได้ เขามีตาชั้นเดียว คิ้วไม่หนามาก จมูกโด่งรับกับเครื่องหน้า เสื้อผ้าหน้าผมเรียบกริบ ให้อารมณ์คุณชายผู้คงแก่เรียน ทั้งยังดูเป็นสุภาพบุรุษ ไม่น่าแปลกใจเลยที่สาวน้อยอย่างซีอิ๋งจะหลงใหลได้ปลื้ม

เมื่อทักทายกันตามมารยาทเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่แว่นจะต้องขอตัว ใจจริงเขาไม่อยากไปนัก แต่ต้องไปเพื่อรักษาภาพลักษณ์คุณหนูผู้เป็นกุลสตรีและมีมารยาทเอาไว้

“ข้าไม่รบกวนแล้ว เชิญท่านเหลียนกับท่านพี่สนทนากันตามสบาย”

“ไม่ต้องไปไหนหรอกกุ้ยฮวา ท่านเหลียนจะกลับแล้ว จริงไหมเฉิงหมิง”

คนถูกไล่ทางอ้อมเลยได้แต่เออออตามว่ากำลังจะขอตัวพอดี สบโอกาสให้กุ้ยอี้สั่งให้ซีอิ๋งเป็นคนส่งแขก ส่วนตัวเองเอาน้องสาวมาอ้างว่ากุ้ยฮวาสีหน้าไม่ค่อยดี เลยจะพากลับไปพักผ่อนด้วยตัวเอง

เฉิงหมินนึกเคืองอยู่ไม่น้อยที่สหายหลบเลี่ยงเรื่องที่ต้องคุยกัน วันนี้เขาจะปล่อยไปก่อน จะอย่างไรก็ต้องหาโอกาสคุยกันให้รู้เรื่อง

ชายหนุ่มค้อมศีรษะให้เจ้าของบ้านทั้งสองแทนคำอำลา

”องค์รัชทายาทบอกให้เจ้าลาพักได้นานตามแต่จะพอใจ กุ้ยฮวาแข็งแรงเมื่อไรคงได้เจอกันในวัง”

ประโยคนี้แทนการย้ำเตือนว่าเฉิงหมินจะไม่มีวันถอนใจโดยง่าย


เฉิงหมินปล่อยให้กุ้ยอี้พักงานอีกประมาณสิบวัน แล้วจึงค่อยเดินทางมาเกลี่ยกล่อม หนนี้มีของที่องค์รัชทายาทประทานมาให้ด้วย รวมถึงจดหมายลายพระหัตถ์ ที่บ่งบอกว่ากุ้ยอี้มีความสำคัญ ชายหนุ่มน้อมรับพระเมตตาแต่กระนั้นก็ยังยืนกรานว่าจะลาออก

กุ้ยอี้ให้เหตุผลว่าไม่อยากเสียใจซ้ำสอง ที่ผ่านมาเขามัวแต่ทำงานก็เลยมีเวลาให้กุ้ยฮวาไม่มาก ตอนน้องป่วยก็ได้ดูแลเพียงน้อยนิด ไม่ทันมาดูใจด้วยซ้ำ

“หากน้องเจ้าป่วยอีก หรือมีเรื่องต้องลาก็ลาได้ องค์รัชทายาทไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว”

“อย่าโน้มน้าวข้าอีกเลยเฉิงหมิน เจ้าก็รู้ว่าเกมการเมืองในราชสำนักเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นถ้ากุ้ยฮวาเกิดป่วยขึ้นมาอีก แล้วตอนนั้นมีวิกฤตที่องค์ชายต้องการข้าพอดี ไม่ว่าจะเลือกข้อไหนก็ต้องเสียใจทั้งนั้น สู้ออกมาตอนนี้เลยดีกว่า”

เฉิงหมินกัดฟันกรอดเมื่อได้ฟัง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้าใจ แต่มันก็มีเหตุผลหลายอย่างที่กุ้ยอี้จำเป็นที่จะต้องเสียสละเพื่อส่วนรวม

“เจ้าช่างขลาดเขลาและเห็นแก่ตัวยิ่งนัก คนอย่างเจ้ามันไม่น่าเกิดมาเป็นลูกเสนาบดีเฉินเลย”

คำพูดของเฉิงหมินรุนแรง แต่กุ้ยอี้ก็ไม่นึกโกรธ เขารับคำตำหนิเอาไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง

“ถูกของเจ้า ข้ามันคนขี้ขลาด เมื่อเจ้ามองออกแล้วก็ปล่อยคนขี้ขลาดไปเถิด”

เฉิงหมินไม่กล่าวถ้อยคำใดๆ อีก สีหน้าของเขาเจ็บปวดราวกับถูกทรยศ ชายหนุ่มผินกายออกไปโดยไม่อยู่ฟังคำขอโทษของกุ้ยอี้


อารมณ์ของเฉิงหมินขุ่นมัวยิ่งนัก ความรู้สึกด้านลบในใจทำให้เขาเร่งฝีเท้าโดยไม่สนใจว่าใครจะเดินผ่าน สุดท้ายก็ชนเข้ากับสาวใช้คนหนึ่ง

“ขออภัยเจ้าค่ะท่านเหลียน” เด็กสาวละล่ำละลักบอก แล้วค้อมกายขอโทษเป็นการใหญ่

“ข้าต่างหากรีบจนไม่ทันมอง เจ้าบาดเจ็บหรือไม่” ชายหนุ่มถามพลางช่วยเก็บกระดาษกับอุปกรณ์วาดเขียนที่ตกเกลื่อนอยู่ที่พื้น

“ขะ...ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” ซีอิ๋งหน้าแดงเมื่อได้สนทนากับชายในดวงใจ

“แม่นางกำลังจะนำของไปให้ใครหรือ กระดาษเปื้อนไปหลายแผ่น ข้าจะได้ไปขอโทษแล้วชดใช้ให้”

กระดาษเนื้อดีที่ซีอิ๋งถือมาเป็นของมีราคา คงน่าสงสารไม่น้อยถ้าต้องมาถูกตำหนิหรือหักเงินเดือนเพราะความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ

ความมีน้ำใจของเฉิงหมินทำให้ซีอิ๋งยิ่งรู้สึกประทับใจในตัวชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก และมันก็ยังส่งผลดีต่อปัญหาที่เขากำลังแก้ไม่ตกด้วย

“ขอบพระคุณท่านเหลียน แต่ท่านไม่จำเป็นต้องชดใช้หรอกเจ้าค่ะ ที่บ้านยังมีกระดาษอยู่อีกมาก ที่สำคัญคุณหนูสามของข้าจิตใจดี ไม่มีทางเคืองด้วยเรื่องเท่านี้หรอกเจ้าค่ะ” ซีอิ๋งอธิบาย

“คุณหนูสามนี่หมายถึงกุ้ยฮวาใช่ไหม”

“ใช่เจ้าค่ะ”

เฉิงหมินจำได้ว่าสาวใช้คนนี้เป็นคนสนิทของกุ้ยฮวา จึงใช้โอกาสนี้ขอร้องให้ช่วยพาไปพบหญิงสาว

“ข้ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับคุณหนูสามจริงๆ รบกวนแม่นางด้วย”

“ก็ได้เจ้าค่ะ แต่ข้าต้องเรียนคุณชายใหญ่หรือฮูหยินก่อน”

ชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานไม่ควรพบกันตามลำพัง แม้จะบริสุทธิ์ก็จำเป็นที่จะต้องมีผู้ใหญ่อยู่ด้วย

“ขอบคุณแม่นางมาก แต่เกรงว่าข้าคงไม่สามารถรอได้ เพราะมีงานด่วนรออยู่ หากแม่นางห่วงเกียรติของคุณหนู ก็ให้เชิญมาที่สวน ข้าขอคุยเพียงแค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น เสร็จธุระแล้วจะไปทันที”

“แต่...ข้าว่า...”

“ได้โปรดเถอะนะแม่นาง น้ำใจครั้งนี้ข้าจะไม่มีวันลืม”

การอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงและสายตาทำให้ซีอิ๋งใจอ่อนจนได้ แม้จะกลัวการลงโทษจับจิต แต่เมื่อได้อยู่กับคนที่หลงไหลได้ปลื้มแล้ว สาวน้อยอย่างซีอิ๋งก็ลืมทุกสิ่งไปจนสิ้น


ไม่นานเกินรอ กุ้ยฮวาก็ถูกซีอิ๋งขอร้องให้มาพบใครคนหนึ่งที่สวน พอยอมตามออกมาก็เห็นว่าเป็นเพื่อนของพี่ชาย เฉิงหมินเอ่ยคำขอโทษออกมาก่อนที่เรียกออกมาแบบนี้ จากนั้นจึงค่อยคุยธุระแบบไม่มีอ้อมค้อม

“ข้าอยากขอร้องให้เจ้าช่วยเกลี่ยกล่อมกุ้ยอี้ พี่ชายเจ้าจะลาออกจากราชการ ข้ากับองค์รัชทายาทรั้งอย่างไรก็ไม่ฟัง”

“เรื่องนี้ท่านไปขอร้องท่านพ่อไม่ดีกว่าหรือ ข้าเป็นน้อง หนำซ้ำยังเป็นสตรี ท่านพี่คงไม่พอใจนักหากข้าเข้าไปก้าวก่าย” แว่นบอกปัด

“ท่านเสนาบดียืนกรานแล้วว่าท่านจะเคารพการตัดสินใจของบุตรชาย ขอร้องไปคงช่วยอะไรไม่ได้ อีกอย่างเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเจ้าโดยตรง”

“เกี่ยวกับข้า...” แว่นเอานิ้วชี้ตัวเอง “...อย่างไรกัน”

“กุ้ยอี้อยากจะลาออกเพราะรู้สึกผิดต่อเจ้า ที่คราวก่อนเจ้าล้มป่วยแล้วไม่ได้มาดูใจ”

การลาออกของกุ้ยอี้ดูเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเฉิงหมิน แว่นจึงเค้นข้อมูลทุกอย่างในสมองอย่างหนัก เผื่อจะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น ที่เขารู้คือพ่อกับพี่ชายมีตำแหน่งใหญ่โต แต่จะมีความสำคัญต่อชาติบ้านเมืองอย่างไร ไม่มีอยู่ในความทรงจำของกุ้ยฮวา สันนิษฐานได้สองอย่างคือมันหายไป ไม่ก็ตัวกุ้ยฮวาเองไม่สนใจศึกษา ซึ่งก็น่าจะเป็นอย่างหลังเพราะวิชาการปกครองในโลกนี้เป็นเรื่องของพวกผู้ชายเท่านั้น

“งานที่ท่านพี่กำลังทำอยู่สำคัญมากเลยหรือ” แว่นตัดสินใจถามออกไป

“สำคัญมากเชื่อเถอะว่าไม่มีใครสารมารถเป็นกำลังให้องค์รัชทายาทได้ดีเท่าพี่เจ้าอีกแล้ว”

“ข้าเป็นสตรี เรื่องการบ้านการเมืองไม่เข้าใจนักหรอก ในเมื่อไม่เข้าใจก็คงช่วยพูดได้ยาก หากท่านเหลียนต้องการจะให้ข้าช่วยจริง ก็ต้องอธิบายให้คนโง่เขลาอย่างข้าเข้าใจ”

กุ้ยฮวาเรียกตัวเองว่าคนโง่เขลา แต่คู่สนทนาอย่างเฉิงหมินกลับไม่รู้สึกเช่นนั้น คำพูดของนางแฝงความคมคาย บ่งบอกถึงความฉลาดเฉลียว สมแล้วที่เป็นบุตรีของเสนาบดีเฉิน

“เหตุผลของข้าเกี่ยวกับความมั่นคงของแผ่นดิน หากไม่มีพี่เจ้าองค์รัชทายาทอาจจะไม่ได้ขึ้นครองราชย์ แล้วเจ้ารู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา”

พอแว่นส่ายหน้าว่าไม่รู้ เฉิงหมินก็บอกเล่าเรื่องราวอันน่าตระหนกให้ฟัง

“จะเกิดศึกชิงอำนาจกันระหว่างองค์ชายทั้งหลาย ร้ายที่สุดอาจมีการใช้กำลังให้ฮ่องเต้สละราชสมบัติ ถึงตอนนั้นสกุลเฉินของเจ้าจะเหลือตัวเลือกเพียงสองทาง ไม่ลี้ภัยไปอยู่ในป่าเขา ก็ต้องเลือกข้าง ต่อให้เลือกความเป็นธรรม แต่หากฝ่ายตนไม่ชนะก็เท่ากับต้องตาย แล้วก็ไม่ใช่แค่ครอบครัวเจ้าที่มีภัย หากทรราชได้เป็นใหญ่ ผู้คนจะเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า”

พรรณนาถึงความน่ากลัวของศึกชิงบัลลังก์เสร็จ เฉิงหมินก็อธิบายถึงความสำคัญของกุ้ยอี้ให้ฟัง ตอนนี้ชายหนุ่มเป็นผู้ตรวจการประจำกรมปกครอง หน้าที่เขาคือตรวจสอบการทำงานของขุนนางในกรมปกครอง ความที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับเจ้ากรมและมาจากตระกูลใหญ่ จึงได้รับความเกรงใจ นอกจากนี้กุ้ยอี้ยังมีบทบาทสำคัญในการสร้างฐานอำนาจขององค์รัชทายาทให้มั่นคงด้วย หากเขาลาออกก็เท่ากับเป็นการประกาศว่าตระกูลเฉินถอนตัวจากการสนับสนุนองค์ชายใหญ่แล้ว ซึ่งนั่นหมายถึงภัยอันใหญ่หลวง

ขณะนี้เสนาบดีฝ่ายซ้าย แสดงออกชัดว่าต้องการให้หลานชายของตัวเองอย่างองค์ชายแปดครองบัลลังก์ องค์ชายอื่นๆ ก็จ้องรอโอกาสอยู่ แม้แต่ราชครูที่ทำท่าว่าวางตัวเป็นกลาง ยังแอบสนับสนุนองค์ชายห้าอย่างลับๆ

“เจ้าเข้าใจเรื่องราวขึ้นมาบ้างไหม” เฉิงหมินถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป

“ข้าพอเข้าใจแล้ว เพียงแต่ยังมีบางประเด็นที่ข้าสงสัย แต่ไม่รู้ว่าควรจะถามดีหรือไม่”

“เจ้าสงสัยสิ่งใดก็ถามมาเถิด”

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจล่ะ โปรดตอบตามตรงว่าท่านเหลียนต้องการให้ท่านพี่กลับไปรับราชการเพื่อแผ่นดินหรือเพื่อตัวท่านเองกันแน่”

คำถามนี้ทำให้บัณฑิตอัจฉริยะแห่งราชสำนักถึงกับชะงักงัน พอมีสติก็นึกชมกุ้ยฮวาว่าช่างเป็นสตรีที่ปราดเปรื่องและตรงไปตรงมายิ่งนัก แววตาของนางในยามนี้ดูราวกับนักปราชญ์ผู้ทรงภูมิ เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้นแล้ว เฉิงหมินจึงเลือกใช้ใจตอบคำถามนาง

“ข้าทำเพื่อทดแทนพระคุณบิดาบุญธรรมของข้า ท่านพ่ออยากเห็นแผ่นดินที่สงบสุข ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเลือกที่จะสนับสนุนองค์รัชทายาท องค์ชายใหญ่อาจจะไม่ใช่คนที่เก่งกาจที่สุด แต่ทรงคุณธรรมและน่านับถือยิ่งกว่าใคร”

แว่นมองลึกเข้าไปในดวงตาของเฉิงหมิน ทุกคำพูดของชายหนุ่มล้วนมาจากใจหาใช่คำโป้ปด

“ขอบคุณท่านเหลียนที่ให้คำตอบ” แว่นส่งยิ้มให้ด้วยความพอในใจคำตอบ “สำหรับเรื่องของท่าน หากถึงวันเพ็ญแล้วท่านพี่ยังไม่เปลี่ยนใจ ก็โปรดอภัยให้กับความเบาปัญญาของข้าด้วย”

“ขอบคุณเจ้ามาก รบกวนเจ้าแล้ว” เฉิงหมินค้อมตัวให้ทั้งที่รู้ว่ากุ้ยฮวายังไม่ได้รับปาก

ประโยคที่นางเอ่ยออกมาไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธ ทั้งยังเอ่ยคำขอโทษออกมาล่วงหน้าเพื่อดักทางเอาไว้ แม้ว่าลับหลังแล้วนางจะไม่ให้ความร่วมมือ เฉิงหมิงก็ไม่สามารถตำหนิได้

ชายหนุ่มกลับออกไปด้วยความรู้สึกกดดันกึ่งคาดหวัง หากคนฉลาดอย่างกุ้ยฮวายอมช่วย กุ้ยอี้ต้องยอมกลับมารับใช้องค์รัชทายาทแน่ แต่ถ้าไม่นั่นก็หมายถึงวิกฤตครั้งใหญ่ที่จะมาเยือน


อีกเจ็ดวันจะถึงคืนวันพระจันทร์เต็มดวง ซึ่งเป็นกำหนดที่แว่นรับปากเฉิงหมินเอาไว้ว่าจะช่วยเกลี่ยกล่อมกุ้ยอี้ ใจแว่นโน้มเอียงไปในทางอยากช่วยเฉิงหมิน แต่เมื่อตรองดูอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่ามีเรื่องที่ยังคาใจอยู่หลายอย่าง ก็เลยพยายามศึกษาเรื่องการปกครองและเหตุการณ์บ้านเมือง เพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจ

ตั้งแต่ปรับตัวเข้ากับโลกใหม่ได้แว่นก็ไม่เคยนึกว่าทุกคนที่นี่เป็นคนอื่น สายใยแห่งความผูกพันที่กุ้ยฮวาหลงเหลือเอาไว้ในความทรงจำถูกส่งต่อมาถึงเขาอย่างครบถ้วน เป็นเหตุให้รู้สึกว่าสกุลเฉินคือครอบครัวที่แท้จริง แว่นเป็นคนรักครอบครัวมากอยู่แล้ว ดังนั้นหากเห็นว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบกับทุกคน เขาก็จะคิดอย่างรอบคอบเสมอ

แว่นรู้ว่าเฉิงหมินภักดีต่อองค์รัชทายาทเป็นอย่างมาก แต่องค์ชายองค์นี้จะดีจริงหรือไม่ยังเป็นที่กังขา ที่น่าสงสัยอีกอย่างคือทำไมท่านพ่อจึงไม่ห้ามพี่ชายไม่ให้ลาออก ต่อให้ท่านรักความยุติธรรมอยากทำตัวเป็นกลางปานใด คนเราก็ต้องมีความเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง ทุกคนต่างรู้ว่าเมื่อสิ้นท่านพ่อไปแล้ว อนาคตของสกุลเฉินก็จะอยู่ในมือของกุ้ยอี้ ท่านทำใจได้จริงๆ น่ะหรือที่สกุลเฉินซึ่งรับใช้ราชสำนักมาหลายชั่วคนจะถึงคราวตกต่ำ

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าความเป็นกลางของท่านพ่อนั้นช่างแปลกประหลาด เฉิงหมินบอกว่าสกุลเฉินจะถูกบีบให้เลือกข้าง ท่านพ่อเองก็น่าจะมองออก เมื่อเห็นบทสรุปอย่างนี้แล้ว แว่นก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ท่านยังดูใจเย็นเป็นเพราะคิดเอาไว้แล้วว่าจะสนับสนุนใคร

‘ไม่สิ ท่านไม่ได้คิดการณ์ใหญ่ แต่เลือกแล้วต่างหาก’

ทั้งโลกนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เสนาบดีเฉินยอมฟังคำสั่ง ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้วนอกจาก ‘ฮ่องเต้’ ถ้าแว่นมองไม่พลาด ขณะนี้ฮ่องเต้ต้องกำลังวางแผนทดสอบองค์รัชทายาทและบรรดาองค์ชายอยู่เป็นแน่ ดังนั้นไม่ว่าบรรดาองค์ชายจะทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างไร ตราบใดที่ฮ่องเต้ยังอยู่ สกุลเฉินก็จะปลอดภัย และไม่ว่าใครจะได้ครองบัลลังก์ สกุลเฉินก็ไม่กระเทือนมาก เพราะวางตัวเป็นกลางมาตลอด อีกอย่างอำนาจและไพร่พลของท่านพ่อก็มีมากพอตัว จะอย่างไรฮ่องเต้องค์ใหม่ก็คงไม่กล้าเป็นอริ ถึงตอนนั้นค่อยให้กุ้ยอี้กลับเข้าไปรับราชการอีกก็ยังไม่สาย

“ท่านพ่อนี่ร้ายกาจจริงๆ เลย” แว่นพึมพำ ก่อนจะตัดสินใจได้ขาดว่าไม่ควรทำตามคำขอร้องของเฉิงหมิน


บทวิเคราะห์ของแว่นตรงกับความเป็นจริงจนน่าตกใจ ถึงอย่างนั้นก็มีเรื่องที่เขามองข้าม นั่นคือความรู้สึกของพ่อที่มีต่อลูกและความผูกพันของพี่ที่มีต่อน้อง หลิ่งปินทิ้งข้อความเอาไว้ว่ากุ้ยฮวาจะอาการทรงตัวอยู่สามปี สำหรับสหายที่รู้จักกันมานานย่อมเข้าใจโดยไม่ต้องตีความว่าประโยคนั้นหมายถึง ‘ลูกสาวเจ้าจะอยู่ได้อีกแค่สามปี’

สามปีนี้มีค่านัก กระนั้นเสนาบดีเฉินก็ไม่อาจทิ้งภาระหน้าที่มาอยู่กับลูกได้ การที่กุ้ยอี้ลาออกจากราชการจึงช่วยได้มาก หากไม่ต้องแบกเกียรติของสกุลเฉินเอาไว้ เหว่ยหงเองก็อยากจะปล่อยวางจากเรื่องบ้านเมืองและส่งเสริมให้ลูกชายได้ใช้ชีวิตตามใจปรารถนา

‘อิสระสามปีกับการได้ดูแลน้องสาวที่เจ้ารัก คือสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อสามารถมอบให้ได้ ก่อนที่บ่าของเจ้าจะต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้ง’

ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยแล้วว่าจะเปิดโอกาสให้องค์ชายทั้งหลายได้แสดงความสามารถ ใครเหมาะสมที่สุดผู้นั้นก็จะได้ครองบัลลังก์โดยไม่เกี่ยงว่าเป็นลูกฮองเฮาหรือเกิดจากสนมคนใด ฮ่องเต้ตั้งใจจะประกาศเรื่องนี้เมื่อองค์ชายแปดอายุสิบเจ็ด ซึ่งก็คือในอีกสามปีข้างหน้า

เสนาบดีเฉินเตรียมอนาคตเอาไว้ให้บุตรีอย่างดี แม้กุ้ยฮวาจะไม่ได้แต่งงาน แต่นางก็ยังได้อยู่กับครอบครัวและพี่ชายที่นางรักอย่างสุขสบายในบ้านหลังนี้ไปจนวันสิ้นลม ทว่าเมื่อโชคชะตาลิขิตให้แว่นเข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้ว เส้นทางชีวิตอันราบเรียบของเด็กสาวหัวอ่อนก็มีอันต้องเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ

แว่นรู้ว่าไม่ควรจะพูดเรื่องกลับไปทำงานหรือเอ่ยนามองค์รัชทายาทให้กุ้ยอี้ได้ยิน ทว่าเขาก็พูดมันออกมาจนได้เพราะความช่างสังเกตที่มีมากเกินไป กุ้ยอี้ดูไม่มีความสุขเลย ดวงตาสีนิลคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายหม่นหมองราวกับคนทุกข์หนัก ทำให้รู้ว่ายังรู้สึกผิดที่ทิ้งภาระหน้าที่มา

ทุกเช้าชายหนุ่มจะตื่นมารำกระบี่เพื่อบรรเทาความอึดอัดในอก เพลงกระบี่ของท่านพี่ในความทรงจำของกุ้ยฮวา ดูดุดันแต่แฝงเอาไว้ด้วยความสุขุม ทุกกระบวนท่ามั่นคงหนักแน่น แม้คมอาวุธจะแหวกผ่านอากาศ ก็ยังรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งถูกฟาดฟัน มองเขาร่ายรำเสร็จคราใดก็จะรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย ราวกับสิ่งชั่วร้ายรอบบริเวณนั้นได้ถูกขจัดไปจนหมดสิ้น

ทว่าตั้งแต่ชายหนุ่มกลับมาอยู่บ้าน แว่นกลับไม่เคยได้เห็นการร่ายรำที่เหมือนกับในความทรงจำ เพลงกระบี่ของกุ้ยอี้ดูบกพร่องอย่างเห็นได้ชัด นอกจากจะติดขัดไม่ต่อเนื่องแล้ว สีหน้าของเขายังเจ็บปวดราวกับกำลังถูกสิ่งที่มองไม่เห็นรุมทำร้าย แว่นทนปล่อยกุ้ยอี้อยู่ในสภาพนี้ไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจพูดเตือนสติ

แว่นมาดักเจอกุ้ยอี้แต่เช้า รอเขารำกระบี่เสร็จแล้วค่อยเอาผ้าซับเหงื่อไปให้

“เจ้าตื่นเช้าเกินไปหรือเปล่า นี่ยังไม่สว่างดีเลย” กุ้ยอี้ดูแปลกใจที่เห็นน้องสาวในเวลานี้

“ข้านอนไม่หลับ”

“เป็นอะไรไป หรือว่าอาการกำเริบ” พี่ชายผู้แสนดีถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่ใช่หรอกท่านพี่ ข้าแค่มีเรื่องไม่สบายใจ”

“เรื่องอะไร”

“เรื่องท่านจะลาออกจากราชการเพราะข้า”

สีหน้าทุกข์ใจของน้องสาวทำให้กุ้ยอี้กำหมัด ในบ้านนี้คนที่รู้เรื่องมีเพียงท่านพ่อ ซึ่งท่านไม่มีทางบอกกุ้ยฮวาแน่ เพราะตกลงกันแล้วว่าจะรอให้นางแข็งแรงกว่านี้ก่อนแล้วค่อยพูด ดังนั้นที่ความแตกต้องเป็นฝีมือเฉิงหมินอย่างไม่ต้องสงสัย คิดแล้วก็อยากจะต่อยหน้าสักหมัด โทษฐานที่ดึงตัวกุ้ยฮวามาเกี่ยวข้องด้วย

“อย่าคิดมากเลย พี่ลาออกเพราะอยากดูแลเจ้าก็จริง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด รับราชการมีแต่เรื่องปวดหัว ไม่ใช่ตัวตนของพี่เลย พี่อยากทำอะไรที่มันอิสระกว่านี้ ท่านพ่อเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะยังเหลือจื่อซ่านเป็นลูกชายอีกคน”

จื่อซ่านคือน้องชายคนเล็กที่เกิดจากแม่เลี้ยง ตอนนี้เพิ่งจะสามขวบ กำลังอยู่ในวัยน่ารักทีเดียว

ถ้าเป็นกุ้ยฮวานางจะเชื่อตามนั้นแล้วส่งยิ้มหวานๆ ให้พี่ชาย แต่นี่เป็นแว่นปฏิกิริยาจึงเป็นอีกอย่าง แว่นไม่เพียงแต่ไม่ยิ้มยังตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังขึ้นด้วย

“ท่านพี่จะโกหกข้าก็ได้ แต่อย่าโกหกหัวใจตัวเอง”

ประโยคสุดท้ายซัดเข้าที่กลางใจคนเป็นพี่อย่างแรง

“กุ้ยฮวา...พี่...”

“ทำในสิ่งที่ท่านพี่คิดว่าควรทำเถอะ ข้าไม่หนีไปไหนหรอก ขอสัญญาว่าจะไม่เจ็บป่วยหรือตายไปอีกแน่นอน อย่างน้อยก็ในสามปีนี้”

“สามปี? หมายความว่าอย่างไรกัน”

“ท่านหลิ่งปินบอกว่าสุขภาพของข้าในช่วงสามปีนี้จะแข็งแรงดี ท่านหมอช่วยการันตีอย่างนี้แล้วท่านพี่ก็อย่าได้ห่วงเลย”

“ท่านหมอพูดจริงรึ ทำไมพี่ไม่เห็นรู้เรื่อง” กุ้ยอี้ดูไม่เชื่อเท่าใดนัก

“ท่านพ่อไม่ได้บอกหรอกหรือว่าท่านหมอทิ้งจดหมายเอาไว้ ข้ากับท่านพ่อนั่งอ่านด้วยกัน ถ้าท่านพี่ไม่เชื่อลองถามท่านพ่อดูก็ได้” แว่นเอาบิดามาอ้าง

ถึงมันจะเป็นเรื่องโกหกท่านพ่อก็ต้องเออออตามเพื่อความสบายใจของกุ้ยอี้

ในที่สุดชายหนุ่มก็ยอมเชื่อคำพูดของน้องสาว กุ้ยอี้ไม่ได้บอกว่าจะกลับไปรับใช้องค์รัชทายาทหรือไม่ แต่หลังจากนั้นสองวันเขาก็กลับเข้าวังไปด้วยชุดขุนนางเต็มยศ ชายหนุ่มตัดสินใจอุทิศตนเพื่อประเทศชาติอีกครั้ง แม้จะไม่ได้เจอกันบ่อยนักแต่ความเศร้าในแววตาของเขาก็จางหายไป

แว่นสุดแสนจะโล่งอกที่กุ้ยอี้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ต่อแต่นี้จะได้ไม่ต้องฝืนตื่นเช้า มาแอบมองชายหนุ่มรำกระบี่อีกแล้ว

‘ถ้าพี่ชายยังไม่เลิกมายืนเปลือยอก โชว์ซิกซ์แพ็กให้เห็นทุกวันอย่างนี้ บอกเลยว่าถึงเป็นพี่แท้ๆ ฉันก็จะไม่ทน!!!’

-โปรดติดตามตอนต่อไป-




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 มิ.ย. 2557, 00:01:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มิ.ย. 2557, 00:01:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1322





<< ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๓ สู่โลกใหม่   ปฐมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๕ เข้าวังครั้งแรก >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 28 มิ.ย. 2557, 01:41:22 น.
อาาาา ความจริง คือ ประโยคสุดท้ายนี่สินะ ฮาาาาา


อัศวินนภา 28 มิ.ย. 2557, 14:14:52 น.
แบบว่าอ่านจริงจังมาตั้งต้น แบบโฮ้ เพื่อบ้านเมืองมาก คิดไตร่ตรองได้รอบคอบมาก มาฮาแตกเอาตอนท้าย 555+


Zephyr 30 มิ.ย. 2557, 00:56:11 น.
อ้าว นาง แหม นึกว่าห่วงพี่ชายจริงจัง
ที่แท้ไล่พี่ไปรับใช้บ้านเมืองจะได้ไม่ต้องโดนน้องเขมือบนี่เอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account