วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒

ภาพที่เห็นยังคงติดตาแม้ในขณะที่น้ำหนึ่งปั่นจักรยานกลับมาถึงบ้าน แม้เพียรปลอบตัวเองว่าตนคงตาฝาดไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้สบายใจขึ้นเท่าใดนัก

“อ้าว แม่ไปไหนแล้วล่ะเกดซ่า” น้ำหนึ่งถามเมื่อชะโงกเข้าไปในห้องรับแขกแล้วพบว่า โซฟาที่มารดานอนคอพับคออ่อนอยู่ตอนเธอออกไปพบวาริ บัดนี้ว่างเปล่า

คนถูกถามซึ่งกำลังเก็บแก้วน้ำบนโต๊ะหันมายิ้มอวดฟันขาว

“ขึ้นไปอาบน้ำค่ะ บ่นว่าเหนียวตัวเหลือเกิน”

“อะไรกัน ฉันไปแค่ครึ่งชั่วโมง แม่อาการดีขึ้นขนาดลุกเดินเหินได้แล้วหรือ หายดีหรือยังก็ไม่รู้ เดี๋ยวเป็นลมเป็นแล้งในห้องน้ำขึ้นมาละยุ่งเลย” น้ำหนึ่งไม่กังวล

“ไม่เป็นหรอกค่ะ เกดซ่ารับรอง”

“เป็นหมอหรือไง เราน่ะ เที่ยวมารับรองมั่วๆ” หญิงสาวบ่นปนยิ้ม กึ่งขันกึ่งเอ็นดู

“ไม่ได้เป็นหมอค่ะ แต่เป็นคนดูแลคุณอันอย่างใกล้ชิดและรู้ว่าอาการแบบนี้ไว้ใจได้ ก่อนขึ้นไปยังบอกเกดซ่าเลยนะคะว่า วันนี้เราอยู่กินข้าวเย็นกันสองคนนะเกด ยายเพชรเขามีนัดกับเพื่อนๆ”

การที่อัญชันสามารถจดจำรำลึกได้ถึงเรื่องที่เธอเคยบอกเล่าแบบนี้ ทำให้น้ำหนึ่งสบายใจขึ้นมาก จากที่ตั้งใจว่าจะเลิกนัดก็กลับเปลี่ยนใจ

ทว่าก่อนร่างเพรียวจะผละจากห้องรับแขก สายตาก็ปะทะเข้ากับสิ่งผิดปกติบางอย่าง เธอจับจ้องแก้วน้ำที่เกศรากำลังเลื่อนใส่ถาดพร้อมจานขนมเตรียมยกออกไปเก็บล้างในครัวไม่วางตา

“เอ๊ะ เกดซ่า นอกจากเพื่อนฉันแล้ว มีใครมาบ้านเราอีกหรือเปล่า”

คนถูกถามทำหน้าเหลอหลา ก่อนส่ายหน้าหวือ

“ไม่มีนี่คะ...หรือคุณเพชรมองเห็นใครที่...ที่เกดซ่าไม่เห็น หรือว่า...คุณเพชรสัมผัสได้ถึงพลังลึกลับบางอย่าง” เด็กสาวทำตาลอกแลก ท่าทางหวั่นหวาดพิกล

“ฉันเป็นเพชร น้ำหนึ่งนะ ไม่ใช่เพชร ญาณทิพย์” น้ำหนึ่งเอ่ยติดตลก ทั้งที่แววตายังคลางแคลงสงสัย

สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่ภูตผี วิญญาณ หรือพลังลึกลับอะไรสักอย่างหรอก แต่เป็นของธรรมดาสามัญอย่างแก้วน้ำนี่แหละ...แก้วน้ำเย็นที่เกศราลำเลียงลงถาดนั่น น้ำหนึ่งมั่นใจว่าไม่ใช่แก้วที่เด็กสาวนำมาต้อนรับวาริแน่ เพราะเธอจำได้ว่าไล่ตะเพิดชายหนุ่มไปตั้งแต่เขายังไม่ได้จิบน้ำสักอึก แต่แก้วในถาดนั่นมีร่องรอยของการดื่ม น้ำในแก้วพร่องลงมากกว่าครึ่ง อีกทั้งไม่ใช่แก้วน้ำที่มารดาใช้ตอนกินยาด้วย

ชะรอยเด็กสาวจะดักเดาความคิดน้ำหนึ่งออก เจ้าตัวยิ้มเก้อก่อนสารภาพเสียงอ่อย

“เกดซ่าคอแห้งค่ะ เลยคว้าแก้วน้ำที่เอามาต้อนรับแขกจิบไปอึกใหญ่ คุณเพชรอย่าดุเกดซ่านะคะที่เอาของที่มีไว้ต้อนรับแขกมาใช้”

น้ำหนึ่งมองหน้าเกศราอย่างค้นหา พบเพียงแววซื่อสัตย์สดใส จึงพยักหน้าไม่ถือสาหาความ

“ถ้างั้นก็แล้วไป”

เธอหมดความสนใจผละขึ้นห้องเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเครื่องแต่งกายใหม่ โดยไม่ได้หันมามองว่าคนข้างหลังกำลังถอนหายใจอย่างโล่งอกขณะมองแก้วน้ำเจ้าปัญหาใบนั้น




หลังจากอาบน้ำอย่างรวดเร็ว น้ำหนึ่งก็หยิบเสื้อผ้าที่ตนเลือกมาโยนๆไว้บนเตียงขึ้นสวม เธอไม่ใช่คนพิถีพิถันในการแต่งตัวนัก เสื้อผ้าทั้งตู้ก็มีอยู่สไตล์เดียว คือเสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงยีนขาดๆ ซึ่งอัญชันบ่นประจำว่าซื้อมาตั้งแพง แต่ใส่แล้วซอมซ่อราวกับขอทาน หญิงสาวยิ้มกับคำค่อนที่เคยได้รับ ขณะคว้าแจ็กเกตยีนขึ้นมาสวมทับเป็นลำดับสุดท้าย แล้วพับแขนขึ้นมาถึงข้อศอก รวบผมยาวหยักเป็นลอนสลวยขึ้นสูงเป็นหางม้า ปล่อยลูกผมเล็กๆล้อมกรอบหน้าเรียว แก้มอิ่มสดใสทำให้เธอดูเด็กกว่าอายุจริง
น้ำหนึ่งไม่มีเวลาพิจารณาเงาสะท้อนในกระจกนานนัก ขณะซอยเท้าลงบันไดมายังชั้นล่าง เธอไลน์ไปเตือนตินพลว่าอย่าลืมนัด ไม่โทร.ไปเพราะรู้ว่าเพื่อนงานยุ่งอาจ ไม่สามารถรับสายได้ เก็บเครื่องมือสื่อสารใส่กระเป๋าเสื้อแจ็กเกตเรียบร้อย นิ้วเรียวเกี่ยวรองเท้าแตะแบบหูคีบจากตู้เก็บรองเท้าข้างประตูทิ้งลงพื้น และสอดเท้าเข้าไปจนกระชับ

ทันใดนั้นเอง...ท้องฟ้าภายนอกก็หม่นมัวด้วยเมฆสีเทาก้อนใหญ่เคลื่อนเข้าบดบังแสงจ้าจัดของดวงอาทิตย์ สายลมพัดวูบเข้ามาทางหน้าต่าง ม่านสีครีมสะบัดไหวพะเยิบพะยาบ...หูแว่วเสียงกระซิบเตือนแผ่วเบา

‘ระวังตัวให้ดีนะน้ำหนึ่ง’

หญิงสาวนิ่งงัน คิ้วเข้มขมวดมุ่น เสียงนั้นห้าวทุ้มทรงอำนาจคุ้นหูเหลือเกิน แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก

เพียงอึดใจเดียวท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง คล้ายเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง สายลมเบาสบายโชยแผ่ว ม่านไหวน้อยๆดูมีชีวิตชีวา เสียงโทรทัศน์แว่วมาจากห้องนั่งเล่น เกศราคงกำลังดูละครช่วงบ่ายเหมือนเคย...น่าจะเป็นเสียงดาราสักคนจากละครโทรทัศน์ หรือไม่เธอคงหูแว่วไปเองกระมัง

น้ำหนึ่งไม่ติดใจสงสัยอีก รีบก้าวเร็วๆไปยังรถญี่ปุ่นสีขาวคันกะทัดรัดในโรงรถข้างบ้าน...โดยไม่สำเหนียกสักนิดว่า...ณ จุดหมายปลายทาง มีบางสิ่งบางอย่างกำลังรอคอยอยู่

โชคชะตาถูกกำหนดไว้แล้ว ขึ้นอยู่กับเราจะรับมือมันอย่างไร




สวนสนุกดรีมแลนด์แดนหรรษาตั้งอยู่บนพื้นที่กว้างใหญ่สักประมาณ ๑๐๐ ไร่เห็นจะได้ น้ำหนึ่งขับรถผ่านทุกครั้งเวลาเข้าไปทำธุระในกรุงเทพฯ เธอเห็นที่ดินผืนนี้ตั้งแต่ยังรกร้างร่มครึ้มด้วยต้นไม้ต้นไร่ อยู่มาวันหนึ่งก็มีป้ายประกาศขายติดหรา ไม่กี่เดือนต่อจากนั้นพื้นที่รกเรื้อก็ถูกปรับและถมเป็นลานกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เหลือไว้เพียงต้นไม้ใหญ่ขนาดสองสามคนโอบซึ่งบ่งบอกให้รู้ว่ามันหยัดยืนเหยียดกิ่งแผ่ใบมาหลายชั่วอายุคน เธอยังจำต้นก้ามปูดอกแดงอมชมพูพราวที่รอดพ้นจากการถูกโค่นได้แม่นยำ มันอยู่ไกลลิบสุดเขตลานดินที่ถูกถมเตรียมก่อสร้าง ถัดจากก้ามปูต้นนั้นไปทางด้านหลังยังคงรกเรื้อด้วยทิวธูปฤๅษีเขียวสดที่โบกโบยเป็นคลื่นไหวๆยามลมรำเพยผ่าน...คล้ายมือนับร้อยพันคอยกวักเรียกผู้คนที่ผ่านไปมาและเผลอมอง

ครานั้น เธอสงสัยว่าสิ่งก่อสร้างชนิดใดกันหนอที่กำลังจะรุกคืบมายังชานเมืองแห่งนี้ และเธอก็ได้คำตอบเมื่อมีการแถลงข่าวอย่างครึกโครมว่าสวนสนุกแดนนิมิตซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงกำลังจะปิดตัวลง และเจ้าของได้ไปซื้อดินผืนใหญ่ย่านชานเมืองเพื่อสร้างสวนสนุกแห่งใหม่ที่กว้างใหญ่และทันสมัยกว่าเดิม การก่อสร้างเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานเกินรอ ดรีมแลนด์แดนหรรษาก็เด่นตระหง่าน เครื่องเล่นผาดโผนทันสมัยนานาชนิดถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ รอให้ผู้ที่รักความท้าทายเข้าไปลอง
จากโพธาราม น้ำหนึ่งใช้เวลาขับรถเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึงจุดหมาย อีกตั้งสิบกว่านาทีกว่าจะถึงเวลานัด แม้จะขับรถผ่านไปมาหลายครั้งตั้งแต่สวนสนุกแห่งนี้เปิดอย่างเป็นทางการเมื่อสามสี่เดือนก่อน แต่น้ำหนึ่งยังไม่เคยแวะเข้ามาหาความสนุกสุดเหวี่ยงอย่างที่เห็นในโฆษณาสักครั้ง

หญิงสาวก้าวลงจากรถ แหงนมองป้ายขนาดใหญ่ที่บรรจุข้อความ ‘Dreamland แดนหรรษา’ ตรงซุ้มประตูทางเข้าซึ่งทั้งกว้างและใหญ่โตโอ่อ่า ด้านบนเป็นยอดปราสาทแหลมสูงปักธงทิวปลิวไสวไปตามแรงลมยามเย็น มองราวกับภาพในเทพนิยาย ความใหญ่โตของมันกดข่มให้เธอดูตัวเล็กลงราวกับคนแคระ และถ้ามังกรที่เลื้อยพันยอดปราสาทแผ่ปีกสองข้างคล้ายพร้อมจะโผบินอยู่ทุกขณะนั่นมีชีวิตจริงๆละก็ เธอคงต้องรีบวิ่งวุ่นหารูหลบก่อนจะถูกมันฉกไปเป็นอาหารอย่างแน่นอน

ก่อนจินตนาการจะเตลิดเพริดไปไกลกว่านี้ สายตาที่ลดระดับลงมาจากยอดปราสาทก็ปะทะเข้ากับชายหนุ่มร่างสูงคุ้นตา เขาเดินมาจากอีกฟากของลานจอดรถ ผมยาวประบ่าถูกมัดเป็นจุกอยู่ตรงท้ายทอย น้ำหนึ่งเร่งฝีเท้าตามจนผมหยักศกเป็นลอนคลื่นรวบขึ้นสูงแบบหางม้าสะบัดอยู่ไหวๆ

“ไอ้พี่เก้า รอด้วย” เธอตะโกนเรียกเมื่อเห็นว่าทำท่าจะตามเขาไม่ทัน

ชายหนุ่มหันกลับมาตามเสียงเรียก เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนหยุดรอ

“เพิ่งถึงรึ...จะมีใครมาแล้วบ้างก็ไม่รู้” ไอ้พี่เก้า หรือนพคุณเอ่ยขณะเดินเคียงกันตรงไปยังซุ้มประตูทางเข้าสวนสนุก

“ยายฝันโทร.มาบอกว่ามาถึงแล้วนะ รายนั้นมากับลุลา เดี๋ยวอติก็คงตามมาอีกละ รายนั้นปิ๊งยายลุลาอยู่นี่”

“ไอ้ตัวน่ารำคาญนั่นน่ะหรือ”

น้ำหนึ่งยิ้มขำกับฉายาที่นพคุณตั้งให้อติวัจน์ซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนว่าเขามักใช้มุกตลกเรี่ยราด ขำบ้างแป้กบ้าง จนบางครั้งน้ำหนึ่งเองก็รู้สึกรำคาญอยู่ไม่น้อย

“อายุยืนจริง พูดถึงก็เจอเลย...นั่นไงไอ้ตัวน่ารำคาญของคุณพี่เก้า” น้ำหนึ่งพยักพเยิดไปยังร่างสูงที่ลงจากมอเตอร์ไซค์ทรงเท่ ตรงรี่ไปยังเหมือนฝันกับมาลุตาซึ่งยืนรออยู่ใต้ซุ้มประตู

“อติ...อติ” น้ำหนึ่งส่งเสียงเรียกก่อนที่อติวัจน์จะถึงตัวเหมือนฝันกับมาลุตา เธอเร่งฝีเท้านำนพคุณพลางโบกไม้โบกมือส่งสัญญาณ แต่ฝ่ายนั้นหาได้เห็นเธออยู่ในสายตาไม่ เธอเดินเร็วแทบเป็นวิ่งจนถึงตัวอีกฝ่ายก็คว้าหมับเข้าที่ต้นแขน

“ไอ้อติ ไม่สนใจเพื่อนเลยนะแก ฉันโบกมือให้จนเมื่อยจั๊กกะแร้ไปหมดแล้ว ในสายตานี่มีแต่ลุลาคนเดียวใช่ไหม”

“อ้าว! เพชร มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

“นี่คือคำถามหรือคำทัก” เธอย้อน

“มันแล้วแต่ว่าแกจะมีปฏิกิริยาตอบโต้แบบไหน ถ้าแกตอบฉันด้วยตัวเลขบอกเวลา มันก็เป็นคำถาม แต่ถ้าไม่ตอบแล้วยังย้อนอย่างที่ทำอยู่ ควรถือว่ามันเป็นคำทักทาย”

ฟังคำตอบยาวเหยียดของอีกฝ่ายแล้วก็เอือมระอา เวลาที่ผ่านไปไม่ได้ทำให้อติวัจน์สามารถแก้นิสัยน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงได้เลย หากเขาหัดพูดให้สั้น กระชับ และได้ใจความโดยไม่ต้องแปลไทยเป็นไทยอีกรอบ เธอคงคุยกับเขาได้มากขึ้น พูดมากอย่างนี้ เหมาะแล้วที่ถูกนพคุณเรียกว่าไอ้ตัวน่ารำคาญ

น้ำหนึ่งไม่พูดอะไรอีก ผ่อนฝีเท้าลงมาเดินกับนพคุณ ปล่อยให้อติวัจน์นำไปหาสองสาวที่ยืนรออยู่

นพคุณยิ้มขำ คงเดาความรู้สึกของเธอออกกระมัง

“นี่ก็มากันครบหมดแล้วสิ” เขาเปรย สายตามองตรงไปยังกลุ่มเพื่อน

“ยัง” น้ำหนึ่งตอบมั่นใจหลังจากกวาดตามองโดยรอบ

“ขาดใคร...อย่าบอกนะว่าไอ้ดาราใหญ่นั่น” นพคุณถาม น้ำเสียงประชดประชัน

น้ำหนึ่งพยักหน้าแทนคำตอบ

เพียงเท่านั้น คนตัวสูงก็พ่นลมหายใจออกมาพรูใหญ่ ยิ้มที่ดูคล้ายแยกเขี้ยวเสียมากกว่า แถมยังแกล้งยีหัวน้ำหนึ่งแรงๆและผลักให้ซุนไปข้างหน้าเบาๆ

คนถูกกระทำยิ้มแหย แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเขาไม่ชอบใจ เดี๋ยวเถอะ พอคู่ปรับตัวเอ้มาถึง คงเกิดสงครามน้ำลายกันอีกยกแน่
หนุ่มสาวเดินเคียงกันมารวมกลุ่มกับคนที่ยืนรออยู่ก่อนแล้ว ทันได้ยินอติวัจน์กำลังป้อสาวด้วยใบหน้าระรื่น

“จบมาหลายเดือนแล้ว สมัครงานที่ไหนไว้บ้างหรือยัง พี่ช่วยหาให้เอาไหม ไม่คิดค่าหัวคิวหรอก สำหรับลุตา พี่ยินดีบริการด้วยหัวใจจริงๆ”

ฟังคารมคล้ายตัวแทนขายประกันชีวิตนั้นแล้ว น้ำหนึ่งก็เปล่งเสียงออกมาดังๆอย่างอดไม่อยู่

“อ้วก!”

“แหวะ คลื่นเหียนสิ้นดี” เหมือนฝันต่อทันที

ส่วนนพคุณนั้นเพียงแต่หัวเราะหึๆอยู่ในลำคอ...ก็ลองเป็นตินพลพูดประโยคนี้สิ คนที่จะแสดงท่าทีเหยียดหยามคนแรกคงเป็นนพคุณนี่ละ

ว่าแต่เมื่อไรตินพลจะมาถึงสักที หรือว่าเขาจะเบี้ยวเสียก็ไม่รู้ พักนี้ยิ่งมีข่าวฉาวๆอยู่ด้วย โดยเฉพาะข่าวที่เพิ่งเลิกรากับรุ้งพรายดาราสาวสุดเซ็กซี่ สื่อรุมกระหน่ำและจับตามองเขาทุกฝีก้าวราวกับเหยื่ออันโอชะ ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ทำอะไร กับใคร ล้วนถูกนำออกมาตีแผ่จนแทบไม่เหลือพื้นที่ให้คำว่า ‘ส่วนตัว’

“นี่เพชร ตกลงเตมาด้วยหรือเปล่า” เหมือนฝันหันมาถามน้ำหนึ่ง ต่างหูระย้าสะบัดไหวชวนมอง

เหมือนฝันใส่ต่างหูข้างเดียวแบบเก๋ๆ ลักษณะเป็นห่วงใหญ่มีเชือกถักโยงใยไปมาในที่ว่างตรงกลางห่วง ประดับหินสีสวยและขนไก่อ่อนนุ่มยาวระซอกคอ ยามลมโชยผ่านเจ้าขนไก่ก็กวัดไกวเบาๆ น้ำหนึ่งเห็นแล้วจั๊กจี้แทน ต่างหูข้างนี้ไม่ใช่ต่างหูธรรมดา มันเป็นตาข่ายดักฝันร้าย เครื่องรางของชาวยิปซีที่เหมือนฝันได้มาจากอาจารย์ลือฤทธิ์ อาจารย์ที่ปรึกษาประจำชมรมเรื่องลี้ลับ
เนื่องจากเหมือนฝันมักฝันร้าย ฝันเรื่องเดิมซ้ำๆอยู่เสมอ เห็นว่าตั้งแต่ได้เครื่องรางชิ้นนี้มาครอบครอง ฝันร้ายก็ไม่มาเยือนอีกเลย

“ทำไมยังไม่ถึงสักที นี่ก็เกินเวลานัดแล้วนะ” เหมือนฝันบ่น

น้ำหนึ่งละสายตาจากต่างหูซึ่งตนกำลังมองเพลิน

“คงมาแหละ ถ้าไม่มาคงโทร.บอกแล้ว แต่ก่อนออกจากบ้านฉันก็ไลน์ไปเตือนแล้วนะ”

“ใครจะรอก็รอนะ ฉันไม่รอ ไม่อยากเสียเวลากับคนแบบนั้น” นพคุณเอ่ยรวนๆ

“นั่นสิ นี่ก็เย็นมากแล้ว เดี๋ยวเล่นเครื่องเล่นไม่ครบ เสียดายแย่เลย” เหมือนฝันเห็นด้วย

น้ำหนึ่งเองก็ระอากับนิสัยชอบมาสายของตินพล จากนั้นเธอก็ทั้งโทรศัพท์ทั้งส่งข้อความหาอีกหลายครั้ง แต่อีกฝ่ายไม่ตอบกลับ สุดท้ายจึงส่งข้อความสั้นๆไปบอกเขาว่า ถ้ามาถึงแล้วให้โทร.หาด้วย เพื่อนๆจะล่วงหน้าเข้าไปก่อน

หวังว่าตินพลจะมาถึงก่อนเวลาสวนสนุกปิดนะ น้ำหนึ่งเงยหน้ามองเวลาปิดสวนสนุกที่แสดงอยู่บนป้ายหน้าเคาน์เตอร์ขายบัตร ๐๐.๐๐ นาฬิกา ปิดเที่ยงคืนเชียวหรือนี่ สงสัยจะเปิดรอตินพลโดยเฉพาะ น้ำหนึ่งคิดขำๆ

สองหนุ่มสามสาวตะลุยเครื่องเล่นผาดโผนชวนหวาดเสียวนานาชนิด เสียงกรีดร้องที่เปล่งออกมาทำให้ความเครียดที่สุมอยู่ในอกในใจน้ำหนึ่งมลายไปชั่วขณะ เรื่องวาริกำลังจะแต่งงานซึ่งเป็นเหมือนเขม่าดำเกาะติดเนื้อใจคงกระเด็นกระดอนออกไปตอนเครื่องเล่นเหล่านั้นเหวี่ยงเธอขึ้นไปยังที่สูง แล้ววูบตกลงมาอย่างรวดเร็ว เธอหลับหูหลับตากรี๊ดโดยไม่สนใจคนรอบข้าง หัวใจเต้นแรง แอบเปิดตามองภาพรอบกายซึ่งผ่านตาไปลิ่วๆแล้วหวาดเสียว ใจหล่นวูบๆไม่รู้กี่ครั้ง รู้สึกเหมือนจะขาดใจตายเสียให้ได้ ทว่าเมื่อกลับลงมาได้อย่างปลอดภัยก็ค่อยหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง...รับรู้ถึงอิสระเหมือนได้ปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการร้อยรัดที่มองไม่เห็น

เครื่องเล่นชนิดสุดท้ายที่น้ำหนึ่งเข้าไปยืนต่อคิวคือรถไฟเหาะ รางของมันม้วนเป็นวงกลมขนาดยักษ์อยู่ในอากาศสามวงซ้อน มันทั้งเหวี่ยง ทั้งม้วนและโยนตัวไปมาราวกับหนอนยักษ์ถูกเพลิงผลาญ เธอลงมายืนบนพื้นอีกครั้งพร้อมอาการเหนื่อยหอบ ผมเผ้ารุ่ยร่าย ใบหน้าแดงเรื่อ

“สะใจดี” เธอเอ่ยกับนพคุณทั้งที่ยังหายใจหอบ หัวใจเต้นแรง ความตื่นเต้นกระจายอยู่ทั่วร่าง

ช่วงเวลาแห่งความสนุกสุดเหวี่ยงผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากโพล้เพล้เป็นค่ำมืดตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ท้องฟ้ามืดเหมือนถูกราดด้วยน้ำหมึกสีดำ มีเพียงแสงไฟของสวนสนุกที่ประดับประดาไว้ตามจุดต่างๆ บางจุด งดงามชวนฝัน บางจุดกะพริบวับวาบร้อนแรงเข้ากับเครื่องเล่น บางจุดเป็นไฟสีสดใสราวกับหว่านโปรยไว้ด้วยลูกกวาดหลากสี

“หาที่นั่งพักก่อนไหม” นพคุณถามพลางเสยผมชื้นเหงื่อที่ปรกระหน้าตาไปด้านหลัง สายลมยามค่ำผะแผ่ว

“รอพวกนั้นก่อน”

นพคุณบุ้ยใบ้ไปยังเหมือนฝัน มาลุตา ซึ่งยืนคุยกันอยู่ห่างไปสักสิบก้าวเห็นจะได้ อติวัจน์ปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำยังไม่กลับ สักพักเหมือนฝันก็เข้ามาถามว่าใครจะนั่งกระเช้าลอยฟ้าบ้าง น้ำหนึ่งปฏิเสธเป็นคนแรก

“ไม่เอาละ ชิงช้าสวรรค์นี่เหมาะกับหนุ่มๆสาวๆขึ้นไปนั่งจีบกันมากกว่า วันนี้ไม่ได้พกหนุ่มมาด้วยสิ”

“ข้างๆนี่ไง” เหมือนฝันเย้า

“ไอ้พี่เก้าเนี่ยนะ” น้ำหนึ่งเหลือบตามองนพคุณแล้วเบ้ปาก “อ่อยให้จนหมดท่าแล้ว ยังไม่หันมาสนใจสักที”

“เดี๋ยวเราไปนั่งจิบกาแฟกินขนมเพิ่มพลังกันดีกว่า” นพคุณชวน

น้ำหนึ่งลังเล ใจจริงอยากกลับบ้านแล้ว เพราะจิตใจปลอดโปร่ง ความเครียดที่สั่งสมคลายจาง กลับไปคงหลับเป็นตาย ไม่ต้องคิดเรื่องใดๆอีก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาการทางจิตของแม่หรือเรื่องการแต่งงานของวาริ

แต่อีกใจหนึ่งกลับคัดค้าน เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างกระตุ้นเตือนให้อยู่รอก่อน...รอใครกัน พลันที่คำถามผุดขึ้นมา คำตอบก็ตามติดมาเช่นเดียวกัน

“อืม ก็ดีเหมือนกัน รอตังเตด้วย ป่านนี้คงใกล้มาถึงแล้ว”

พูดไปแล้วน้ำหนึ่งกลับรู้สึกว่าไม่ใช่ เธอไม่ได้รอตินพล แล้วอะไรกันเล่าสะกิดใจให้เธออยู่ต่อ

“หวังว่ามันจะไม่มา” นพคุณเอ่ยลอยๆ

น้ำหนึ่งชินเสียแล้วกับความไม่ลงรอยกันของคนคู่นี้ ใครไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอาจคิดว่าสองหนุ่มแย่งกันจีบเธอก็เป็นได้

หนุ่มสาวแยกจากเหมือนฝันไปปักหลักในร้านกาแฟไม่ไกลนัก น้ำหนึ่งไม่ลืมโทร.ไปเช็กอาการมารดาด้วยความเป็นห่วง

“เที่ยวกับเพื่อนให้สนุกเถอะเพชร ไม่ต้องห่วงแม่ เจ้าเกดมันมานอนเฝ้าหน้าเตียงแล้วเนี่ย กำลังดูละครกันอยู่”

เสียงหัวเราะขบขันของเกศราเล็ดลอดเข้ามาเป็นระยะ ได้ยินเสียงอัญชันแช่มชื่นแบบนี้ น้ำหนึ่งก็สบายใจ นั่งกินนั่งคุยอยู่กับนพคุณจนเวลาล่วงเข้าสู่ช่วงหัวค่ำ พวกที่ไปเล่นกระเช้าลอยฟ้ากลับมาสมทบครบหมดแล้ว ตินพลก็ยังไม่โผล่มาให้เห็นแม้แต่เงา โทร.ไปก็ไม่ยอมรับสายอีกตามเคย

“ไม่ต้องโทร.ตามหรอก ป่านนี้ชิ่งไปแล้วมั้ง” นพคุณเอ่ยพร้อมยักไหล่ ท่าทางยียวน

“หรือนอนซบอกสาวเพลินจนลืมเพื่อน” น้ำหนึ่งบ่นอย่างหัวเสีย

นพคุณมีสีหน้าพอใจที่ได้ยินคำบ่นแกมประชดประชันนั้น ก่อนขอความเห็นจากเพื่อนๆ “แล้วเอาไงกันดี จะหาอะไรเล่นต่อหรือจะกลับ”

“เดินดูให้ทั่วๆก่อนไหม สวนสนุกปิดค่อยกลับ” ไม่รู้อะไรดลใจให้น้ำหนึ่งพูดไปแบบนั้น ทุกคนเห็นด้วย และออกจากร้านกาแฟ

น้ำหนึ่งกวาดตามองไปรอบๆบริเวณที่ผู้คนเริ่มบางตา ยิ่งเดินลึกเข้าไปด้านหลังเท่าไรคนก็ยิ่งน้อยลง คงทยอยกลับกันไปมากแล้ว แสงไฟยังแจ่มจ้ามองเห็นหนทางข้างหน้าทะลุปรุโปร่ง เครื่องเล่นหลายชนิดยังส่งเสียงอึกทึกครึกโครม แต่ใจเธอกลับรู้สึกวังเวงอย่างไรบอกไม่ถูก หรือเพราะทางด้านซ้ายมือเป็นบ้านผีสิงที่จัดบรรยากาศให้ดูน่ากลัวตั้งแต่ทางเข้าก็ไม่รู้

ถ้ามีใครสักคนจับสังเกตก็จะเห็นว่าหนุ่มสาวทั้งห้าคนต่างเดินเกาะกลุ่มไปเงียบๆ ไม่ครึกครื้นเฮฮาเหมือนตอนตะลุยเครื่องเล่น คล้ายแต่ละคนจ่อมจมอยู่ในอุโมงค์ความคิดของตนเอง มิหนำซ้ำ นอกจากพวกเขาทั้งห้าแล้ว ไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นใดมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกับพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว!

จู่ๆภาพวาริปราศจากศีรษะที่เธอเห็นเพียงวิบตาเดียวเมื่อตอนบ่ายก็ผุดขึ้นในหัวน้ำหนึ่งอีกครา กระตุ้นความห่วงใยให้ฟ่องฟุ้งอยู่ในใจราวกับม่านควันหม่นมัว ป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้างนะ ขับรถลับบ้านปลอดภัยดีหรือเปล่า เธอสอดมือลงในกระเป๋าแจ็กเกตยีนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ตั้งใจโทร.หาคนที่ตนนึกห่วง ยังไม่ทันจะแตะหน้าจอสมาร์ทโฟน ตินพลก็โทร.มาพอดิบพอดีเธอจำเป็นต้องรับสายก่อน

“ยายเพชร เธออยู่ตรงไหนน่ะ ฉันมาถึงแล้วนะ”

“อยู่ที่...” หญิงสาวสอดส่ายสายตาหาจุดสังเกต แล้วสายตาก็ปะทะเข้ากับสิ่งปลูกสร้างยืนทะมึนอยู่ในเงาสลัวตรงหน้า ทว่าแปลกนัก เธอกลับมองเห็นรายละเอียดชัดเจน ชัดแม้กระทั่งตัวหนังสือบนป้ายซึ่งติดอยู่ตรงประตูทางเข้าน้ำหนึ่งพึมพำคำที่ป้ายบอกไว้

“บ้านปรารถนา”

พร้อมกับพูด สายตากวาดมองอย่างพินิจพิเคราะห์ ดูรู้ว่าบ้านหลังนี้ผ่านการออกแบบจากสถาปนิกฝีมือเยี่ยม ตัวบ้านสองชั้นครึ่งปูนครึ่งไม้ยืนตระหง่านอยู่บนเนินดินซึ่งปกคลุมไปด้วยหญ้า...จะว่าเรียบก็ไม่เรียบ จะว่าถึงกับรกก็ไม่ใช่ ด้านหน้าเป็นบันไดหินไต่เนินขึ้นสู่ประตูบ้านซึ่งเปิดกว้าง ราวกับต้องการเชิญชวนใครก็ตามที่ผ่านไปผ่านมาให้แวะเข้าไปเยี่ยมชม ลูกกรงระเบียงด้านหน้าและด้านข้างเป็นไม้สีน้ำตาลเก่าแก่ฉลุสลักลวดลายละเอียดประณีต หน้าต่างกระจกมืดทึบปิดสนิททุกบาน หลังคาทำจากปีกไม้ซีกใหญ่อวดลวดลายงดงามตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพึ่งพาสีสังเคราะห์ใดๆ

ดูแล้วบ้านหลังนี้น่าจะมีอายุมากกว่าสวนสนุกนี่หลายสิบ...หรือร้อยปี ในความงดงาม มีความวังเวงเยียบเย็นแปลกๆผสานอยู่อย่างเงียบเชียบ ชวนให้ขนลุกกรูเกรียวจนหญิงสาวเผลอลูบแขนป้อยๆ

“มาทางเดียวกับบ้านผีสิงน่ะ” เธออธิบายเพิ่มหลังหลุดจากห้วงภวังค์

“โอเค จะรีบตามไป”

น้ำหนึ่งวางสาย ดึงความคิดออกจากบ้านปรารถนาและรีบโทร.หาวาริ แต่เขาก็ไม่รับสายสักที รออยู่นานจนมีสายซ้อนเข้ามา เธอจึงยกเลิกการโทร.เพื่อรับอีกสาย ซึ่งไม่ใช่ใคร ตินพลนั่นเอง

“ยายเพชร ฉันอยู่หน้าบ้านผีสิงเนี่ย บ้านปรารถนาอะไรของเธอไม่เห็นจะมี อยู่ตรงไหนกันแน่ แกล้งหลอกให้ฉันไปผิดทางหรือเปล่า”

“มาสายแล้วยังจะพูดมากอีก นายเห็นต้นก้ามปูหรือเปล่า ต้นใหญ่ๆขนาดสักสามสี่คนโอบน่ะ เดินอ้อมมาเลย บ้านปรารถนาอยู่ทางด้านหลัง”

“ต้นก้ามปู” ตินพลทวนคำงงๆ แล้วเงียบไปเป็นอึดใจ

“ฟังอยู่หรือเปล่า อย่าบอกนะว่าไม่รู้จักต้นก้ามปู ถ้าไม่รู้ จะบอกว่าอยู่หลังสวนข้างๆบ้านผีสิงนั่นแหละ นายเดินอ้อมแล้วตัดตรงเข้ามาเลย รับรองไม่หลงแน่ ไม่ใช่ป่ามหัศจรรย์หรือเขาวงกตอะไรสักหน่อย” น้ำหนึ่งพูดพลางเหลียวไปมองแนวไม้ทะมึนอย่างไม่แน่ใจในคำพูดตัวเองนัก สวนอะไรต้นไม้สูงใหญ่อย่างกับป่า มันดูลึกลับน่ากลัวกว่าบ้านผีสิงอีกนะ เหมือนหลุดมาอยู่คนละโลกอย่างไรอย่างนั้น

“โอเคๆ” ตินพลรับคำแต่ยังไม่ยอมวางสาย จนกระทั่งเธอมองเห็นเขาเดินตรงมา ตาจับนิ่งอยู่ที่ตัวบ้านราวกับต้องมนตร์

เธอเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าเพื่อนๆไม่ได้ยืนจับกลุ่มกันเหมือนตอนมาถึง ต่างแยกย้ายกันอยู่แถวๆนั้น แต่ที่เหมือนกันมีอยู่อย่าง คือทุกคนต่างจมอยู่ในความนึกคิดของตนเองมากกว่าจะสนใจใคร

“ทางนี้ ตังเต” น้ำหนึ่งวางสายพลางโบกมือเรียก

ตินพลเหลียวมองตามเสียงพลางสาวเท้ามาหาโดยเร็ว




กว่าจะได้เข้าบ้านปรารถนากันได้ก็หลังจากตินพลและนพคุณประคารมกันยกหนึ่งนั่นแหละ เพราะพ่อดาราหนุ่มสุดฮอตมาสายจึงเป็นจุดอ่อนให้อีกฝ่ายโจมตีเสียดสีเอาได้ง่ายๆ ถ้าเธอไม่รีบตัดบทโดยการชวนเข้าบ้านปรารถนา สองหนุ่มคงไม่ยอมสงบศึกง่ายๆแน่

น้ำหนึ่งเดินรั้งท้ายกลุ่มเพื่อน เธอสาวเท้าไปบนทางเดินซึ่งทอดขึ้นเนินอันเป็นที่ตั้งของบ้านปรารถนา สายตามองตรงไปยังประตูซึ่งเปิดกว้างราวกับถูกสะกด เธอมองดูมันกลืนกินเพื่อนทีละคน...ทีละคน จนกระทั่งตนเองก้าวไปหยุดอยู่ตรงนั้น...ปากประตู
เธอรีรอลังเลว่าจะเข้าดีหรือไม่ ข้างในจะเป็นอะไรกันหนอ บ้านปรารถนา ชื่อของมันไม่บ่งบอกอะไรเลยสักนิด หรือเข้าไปแล้วความต้องการอันแรงกล้าในใจจะเป็นจริงสมความมุ่งมาดปรารถนากันเล่า

สายลมยามค่ำพัดผ่านผิวกายพาให้ขนลุกชันจนต้องห่อไหล่ ทั้งที่ไม่รู้สึกหนาวสักนิด แต่มันยะเยือกในอกอย่างไรชอบกล เสียงกิ่งไม้ส่ายเสียดฟังดูวังเวงจนต้องพลิกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา ยังไม่สามทุ่มเลย ทำไมรอบกายดูร้างไร้ผู้คนได้ขนาดนี้
หญิงสาวกะพริบตาปริบ เพิ่งรู้ว่าดวงตาตนเองจับจ้องอยู่ที่ป้ายชื่อบ้านนิ่งนาน เธอผ่อนลมหายใจออกยาวอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว ความสงสัยที่ยึดครองจิตใจอยู่เป็นเหมือนเชือกเส้นใหญ่ร้อยรัดและฉุดลากเธอตามคนอื่นๆเข้าไป

แม้ว่าอีกส่วนเสี้ยวใจจะคัดค้านและสั่งให้เธอรีบไปจากบ้านหลังนี้โดยเร็ว แต่ก็เป็นคำสั่งที่อ่อนล้าราแรงเต็มทีเมื่อเทียบกับความอยากรู้ซึ่งกินพื้นที่ใจไปมากกว่าครึ่ง

แสงจากโคมไฟทองเหลืองแบบโบราณรูปทรงแปลกตาซึ่งประดับอยู่ตามมุมต่างๆ สาดส่องให้เห็นรายละเอียดอย่างชัดเจน การตกแต่งภายในช่างประณีตบรรจง ทุกอย่างล้วนใช้วัสดุแบบเก่า และดูรู้ว่าไม่ได้นำของเก่ามาใช้ใหม่ นั่นยิ่งทำให้น้ำหนึ่งอยากเชื่อว่าบ้านหลังนี้น่าจะมีอายุร่วมร้อยปีเข้าไปแล้ว ประตูบานนั้นคงไม่ได้พาเธอหลุดมาอีกมิติหนึ่งหรือย้อนกลับไปในอดีตเหมือนในหนังในละครหรอกนะ...คิดมาถึงตรงนี้น้ำหนึ่งก็อดเหลียวกลับไปมองประตูที่เธอเพิ่งเดินเข้ามาหยกๆไม่ได้

ประตูบานหนาหนักที่เคยเปิดกว้างสุดบานพับดุจรอคอยผู้มาเยือน บัดนี้กลับปิดสนิทแน่นโดยไม่ส่งเสียงครืดคราดให้ได้ยินเลยแม้แต่น้อย หรือว่าเธอจะเดาผิด บ้านหลังนี้อาจสร้างเลียนแบบของเก่าแล้วควบคุมโดยระบบเซ็นเซอร์อัตโนมัติก็เป็นได้...น่าจะเป็นอย่างนี้แหละน่า นี่มันสวนสนุกนะ ไม่ใช่ดินแดนต่างภพมหัศจรรย์อะไรสักหน่อย
น้ำหนึ่งตามเพื่อนๆเข้าไปหยุดตรงห้องโถงโอ่อ่ากว้างขวาง บนพื้นลาดพรมนุ่มสีนวลสบายตาส่งให้ห้องที่กว้างอยู่แล้วให้ดูยิ่ง

กว้างขึ้นไปอีก ด้านบนเป็นยอดโดมกรุกระจกใส ยามกลางวันคงได้แสงอบอุ่นจากดวงอาทิตย์มาช่วยไล่ขับบรรยากาศลึกลับขรึมขลังแปลกๆที่โอบล้อมอยู่รอบกายขณะนี้...ทั้งที่แสงจากโคมสว่างไสว แต่ภาพต่างๆที่เห็นภายในกลับไม่ชัดเจนเอาเสียเลย เหมือนมีม่านสีหม่นคลี่คลุมซ้อนทับอยู่อีกชั้น หรือว่านี่เป็นลูกเล่นของบ้านปรารถนากันแน่นะ

เธอเหลียวหาตินพล หวังจะสะกิดถามว่าคิดอย่างไรกับบ้านหลังนี้ มัน ‘แปลกๆ’ เหมือนที่เธอเห็นที่เธอรู้สึกหรือเปล่า แต่เขาโกยแน่บไปทางแยกด้านซ้ายมือเสียแล้วโดยไม่เหลียวมองใคร ท่าทางรีบร้อนลุกลี้ลุกลนราวกับเจอปาปาราซซี่ดอดตามมาแอบถ่ายอย่างนั้นละ ส่วนมาลุตากับเหมือนฝันจูงมือกันตรงไปยังทางลงห้องใต้ดิน จากหางตาเห็นอติวัจน์แว้บๆว่าแยกขึ้นบันไดไปยังชั้นบน และตอนนี้กลางโถงกว้าง ใต้โดมแก้วที่แหงนเงยขึ้นมองพบฟากฟ้าราตรีสีเข้มก็เหลือเธอกับนพคุณเพียงลำพัง

พลันนั้นเอง ไฟเพดานก็เกิดช็อร์ตติดๆดับๆราวกับฉากหนึ่งในหนังสยองขวัญ แล้วในที่สุดมันก็ดับวูบลงไปจริงๆ ทว่ารอบกายไม่ได้เต็มไปด้วยความมืดมิดดำคล้ำอย่างที่ควรเป็น มันกลับมีแสงสลัวรางพอให้มองเห็นหน้ากันได้

เอาละสิ บ้านปรารถนาจะมีลูกเล่นอะไรแตกต่างจากบ้านผีสิง หากเวลานี้เกิดมีหัวมนุษย์หล่นตุ้บลงมาจากเพดาน เธอก็คงแค่กระโดดหลบ และอาจจะเตะหัวบ้าๆนั่นไปให้พ้นตัว คงไม่ร้องกรี๊ดๆแล้วโผกอดนพคุณแน่

ถ้าเปลี่ยนคนข้างกายจากนพคุณเป็นวาริ เธออาจเลือกทำอย่างหลังก็ได้...หึ...อยากรู้นักวาริจะรับมือกับเธออย่างไร

หญิงสาวหยุดความคิดพิเรนทร์เมื่อได้ยินเสียงมาลุตาตะโกนมาจากทางลงห้องใต้ดินน้ำเสียงตระหนกอยู่ไม่น้อย

“พี่คะ เกิดอะไรขึ้น”

คำถามนั้นไร้คำตอบ ไม่ว่าจะจากเหมือนฝันที่เดินจูงมือกันไปแต่แรก หรือจากใคร แม้แต่น้ำหนึ่งเองก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้แค่ตอนนี้สมองตื่นเพริด เตรียมรับสถานการณ์เต็มที่ ขณะหันไปสบตากับนพคุณ เห็นชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ดูไม่ได้ตกใจหรือเกรงกลัวอะไรนัก ท่าทางเขาเหมือนคนคุ้นเคยกับความมืดสลัวดีเสียด้วยซ้ำ เขาสอดมือลงกระเป๋ากางเกงและก้าวไปข้างหน้าด้วยท่วงท่าสบายๆ เหมือนเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะยามเย็นก็ไม่ปาน

“ยายเพชร”

เสียงนั้นเหมือนล่องลอยมาจากที่แสนไกล ต่อให้แผ่วเบาอย่างไรน้ำหนึ่งก็จำได้ว่านั่นเป็นเสียงของตินพล เกิดอะไรขึ้นกับเขา

หญิงสาวมุ่งหน้าไปทางด้านซ้ายมือ ซึ่งจำได้ว่าก่อนไฟดับชายหนุ่มจ้ำอ้าวไปทางนั้น

ทว่าไปยังไม่ถึงครึ่งทาง เธอก็ปะทะเข้ากับอะไรบางอย่างเข้าอย่างจัง!

มือบอบบางควานเปะปะไปในอากาศตรงหน้าเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เธอถึงกับผงะหงาย เป็นไปได้อย่างไร สิ่งที่เธอเดินชนคือความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆอยู่เลย ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ ตู้ หรืออื่นใด แต่เธอกลับเดินฝ่าไปไม่ได้ไม่ว่าจะพยายามอีกกี่ครั้ง คล้ายมีกำแพงกั้นขวาง กำแพงที่มองไม่เห็น ชนแล้วไม่เจ็บ เพียงกักกั้นเธอไว้ตรงนั้น ไม่ให้ก้าวล่วงไปยังทิศทางเดียวกับที่ตินพลมุ่งหน้าไปเมื่อครู่

‘นั่นไม่ใช่หนทางของเธอ’...เหมือนมีเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบายั่วล้อสะท้อนสะท้านอยู่ไปมา ครั้นเงี่ยหูตั้งใจฟังก็พบเพียงความเงียบงันอันวังเวง คล้ายเธอเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่หลงเข้ามาในบ้านหลังนี้ บ้านที่เหมือนกับ...แดนสนธยา!




ถ้านั่นไม่ใช่หนทางของเธอ แล้วไหนเล่าเส้นทางที่เธอควรมุ่งหน้าดุ่มเดินไป พลันที่ตั้งคำถาม คำตอบก็ดูเหมือนจะตามติดมาเร็วรี่
สุดทางเดินอีกด้านของโถงกว้างปรากฏแสงสีฟ้าอ่อนจางสาดส่องออกมาจากช่องประตูซึ่งเปิดกว้าง...เปิดไว้ตั้งแต่เมื่อไร เธอไม่ได้สังเกต ทว่าขณะเขม้นมองอย่างสนใจ แสงประหลาดนั้นเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับจนเกือบกลายเป็นสีน้ำเงิน มันเลื่อนไหลละล่องลอยราวกับมีชีวิต เป็นลอนสูงบ้างต่ำบ้างดุจคลื่นน้ำในห้วงมหาสมุทร

คือลูกเล่นของบ้านปรารถนา บ้านลึกลับที่ซุ่มซ่อนอยู่ภายในสวนสนุกดรีมแลนด์แดนหรรษาใช่หรือไม่ หญิงสาวคิดอย่างฉงนใจ อะไรก็ไม่รู้ที่ทำให้เธอไม่อาจปักใจเชื่อเช่นนั้นได้ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มจับจ้องแสงนั้นไม่วางตา ทุกก้าวย่างเต็มไปด้วยความระมัดระวัง สำเหนียกถึงความไม่ชอบมาพากล

หรือจะเป็นกับดัก...พลันที่คำนั้นผุดขึ้นในหัว สัญญาณอันตรายก็ระรัวก้องอยู่ในใจ เท้าทั้งสองชะงักงันอยู่กับที่ ไม่ว่าจะเป็นลูกเล่นหรือกับดักก็ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ ทางที่ดีรีบกลับออกไปดีกว่า ใครจะหาว่าเธอตาขาวไม่แน่จริงก็ยอมละ

ยังไม่ทันทำอย่างที่ใจคิด ร่างสูงของใครบางคนก็ปรากฏขึ้นตรงโค้งประตูห้องอันเป็นที่มาของแสงประหลาดนั่น โครงร่างของบุรุษเพศสมส่วนสะดุดตา ต่อให้มองไม่เห็นต้องหลับตาคลำ น้ำหนึ่งก็จดจำได้

วาริ...เขามาทำอะไรที่นี่ เจ้าของร่างสูงเดินเข้าไปในห้องนั้น แสงสีฟ้าเข้มกลืนกินเขาไปทีละน้อย และที่ทำให้น้ำหนึ่งใจเต้นรัว
เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเป็นสองเท่า คือศีรษะได้รูปซึ่งปกคลุมด้วยผมระต้นคอค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ เหลือเพียงร่างกายอันปราศจากศีรษะโดยสิ้นเชิง

“วาริ” น้ำหนึ่งตะโกนไล่หลัง

เขาหายไปแล้ว แสงสีฟ้าเข้มกลืนกินเขาเข้าไปทั้งตัว มันกำลังลื่นไหลอ่อนช้อยดังยั่วเย้าเชิญชวน หญิงสาวไม่เสียเวลาคิด เธอวิ่งตรงไปทางนั้นทันทีด้วยความเป็นห่วง

ขอให้เขาปลอดภัยด้วยเถอะ...ขอให้วาริปลอดภัย เธอท่องซ้ำๆอยู่ในใจด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า!

ครั้นเข้าไปใกล้ ลำแสงซึ่งเลื่อนไหลเชื่องช้าดุจสายธาราก็เริ่มรวมกลุ่มหมุนวนคล้ายอุโมงค์ยักษ์ ซ้ำร้ายกว่านั้น มันพยายามดูดกลืนเธอเข้าไปภายใน ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีพลังมหาศาลจนเรี่ยวแรงในกายต้านทานแทบไม่อยู่ แม้ว่าจะโหมใช้เท่าไรก็สูญเปล่า
มันกำลังจะกลืนกินเธอเข้าไปในห้องนี้ไม่ต่างจากที่วาริโดนไปแล้ว

“เครื่องเล่นบ้าอะไรวะเนี่ย” น้ำหนึ่งสบถลั่น เนื้อตัวเย็นฉ่ำราวกับแช่อยู่ในน้ำ ยอมรับว่าตอนนี้เธอกลัว...กลัวว่าหากพลาดหลุดเข้าไปแล้วจะไม่มีโอกาสได้กลับออกมาอีก!

จบตอน


ทักทายท้ายเรื่องค่ะ

หลังจากคำนวนเวลาและเนื้อเรื่องที่จะลงแล้ว สรุปว่าต้องลงทุกวันถึงจะทัน เพราะเรื่องนี้ยาวมาก ยาวกว่านิยายเรื่องอื่นที่เคยเขียนมา วันนี้เลยลงไปหนึ่งตอนเต็มๆไม่มีกั๊ก อ่านให้อิ่มหนำกันไป

พี่แตงกว่า เอ๊ย แตงกวา เราควรจับน้ำหนึ่งมาเขย่าแทนดีไหม เผื่อวาริจะหลุดออกจากสมองจากหัวใจนางสักที เริ่มมาก็ดราม่าเลย

เกดซ่า รอแต่ซาตานอะดิ อยากกินเลือดใช่ม้าาา

น้องยิ้มจัง คนเดียวหัวหาย เป็นแบบนี้เอง (มันเกี่ยวกันไหม)

คุณใบบัวน่ารัก ลืมชมว่าตั้งชื่อได้เพราะค่ะ (ใบบัวน่ารัก) คู่นี้ยังมีเรื่องให้ลุ้นอีกยาวไกลนัก ต้องติดตามกันต่อไป

น้องหนอนน้อยดังปัณณ์ ตอนนี้ร้แล้วใช่ม้า ว่าไอ้พี่เก้าน่ะ เป็นของน้องตัวนุ่ม ส่วนตินพลน่ะ เขาเป็นพระเอกของติญญา แต่เรื่องนี้มีตอนพิเศษนะ ติญญาเขียนไว้ เดี๋ยวจะเอามาลงเป็นของแถม เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างตินพลกะน้ำหนึ่ง ก่อนที่จะเกิดเรื่องวังวนวารี

เหมือนฝันจ๋า น้ำหนึ่งก็ต้องมาทุกวันเช่นกัน กลัวไม่ทัน

คุณหนอนฮับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่วังฯค่ะ

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ เอาไว้โอกาสต่อไปจะหาโอกาสจัดให้นะคะ

คุณ Luck Samee ตามติด ติดตามได้เลยค่ะ ที่นี่ ทุกวัน

เจอกันพรุ่งนี้จ้า รักทุกคน ม้วฟ ม้วฟ



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ย. 2557, 03:41:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ย. 2557, 03:49:37 น.

จำนวนการเข้าชม : 1364





<< บทที่๑ (จบตอน)   บทที่ ๓ (ครึ่งแรก) >>
อสิตา 10 ก.ย. 2557, 03:45:20 น.
ภาวินขยันมาก โพสต์ก่อนไก่โห่อีก... //ชอบคำว่าเครื่องเล่นบ้าอะไรวะเนี่ย เป็นผญ.ที่สบถได้ไม่ดัดจริตดี


ภาวิน 10 ก.ย. 2557, 03:57:08 น.
พรุ่งนี้ มาเบิกทวารวารีพร้อมกันนะ


พันธุ์แตงกวา 10 ก.ย. 2557, 05:47:47 น.
ตกลงนี่มันบ้านปรารถนา หรือบ้านปริศนากันเนี่ย น่ากั๊ววววว (ยังอยู่กับปริศนาและชายพจน์)
ห้องดิน น้ำ ลม ไฟใช่มั้ย มีห้องใบไม้ด้วยเปล่า จะจองให้น้องห้องหนึ่ง พอดีน้องพี่มันเป็นหนอนน่ะ^^


ketza 10 ก.ย. 2557, 06:41:46 น.
กรี๊ดดดดด มาแว้วว


นักอ่านเหนียวหนึบ 10 ก.ย. 2557, 09:07:16 น.
โห่วววว อ่านแรกๆ ก็จินตนาการถึงสวนสนุกแถวๆ รังสิต แต่อ่านไปอ่านมา อืมมม กลับไปคิดถึงลัดดาแลนด์ซะนั่น 5555
เรื่องนี้มันต้องมีเงื่อนงำอะไรแน่ๆ


yimyum 10 ก.ย. 2557, 09:52:22 น.
โหยยย....ลึกลับสนุกเว่อร์ค่ะ ^^


ริญจน์ธร 10 ก.ย. 2557, 11:17:58 น.
น้ำหนึ่งมาคนแรกตลอดเลย เหมือนฝันยังไม่ตื่น 555 ตามมาติดๆแล้วน้า จะไปบ้านปรารถนาละ คงลงทุกวันเช่นกันเพราะเดี๋ยวจะไม่ทันงานตุลาคมนี้


บุลินทร 10 ก.ย. 2557, 13:59:58 น.
มาเช้ามากกกจริงๆ


ดังปัณณ์ 10 ก.ย. 2557, 18:30:46 น.
อั้ยยยยยยยยยยยยยย เข้าบ้านเอเอฟแล้ว เอ๊ยยยยยยยย ม่ายช่ายยยยยยยยยยยยย หลงวนเข้าไปในบ้านปรารถนาแล้วจินะ โถๆๆๆ น้ำหนึ่งเอ๊ย ติดกับดักเพราะวานี่แท้ๆๆเลย นั่นแปลว่าวานี่ม่องแล้วชิมิฮับพี่ปุ๊ก อั้ยๆๆๆ แล้วยังไง ต่อไปอัลไล แล้วติณพล แล้วๆๆไอ้พี่เก้า แล้วๆๆๆๆ

มะไหร่หนังสือจะอ้อกกกกกกกก อยากอ่านรวดเดียวแย้วววววววววว


ketza 10 ก.ย. 2557, 22:54:20 น.
เหวออออ โดนดูดกลืนทีละคนแล้ววว เหอๆๆๆๆ


Barby 16 ก.ย. 2557, 13:28:33 น.
น่าสนุก และขนลุกไปตามๆกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account