วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๖

โต๊ะอาหารกว้างใหญ่ขนาดสิบที่นั่งชุดนั้นหรูหราเข้ากับห้องอาหารโอ่โถง โคมแก้วระย้าเหนือโต๊ะส่องแสงเรืองรอง ทว่าห้องทั้งห้องกลับดูวังเวงเงียบเหงา ชายกลางคนรูปร่างสูงค่อนข้างผอมบางนั่งรับประทานอาหารอยู่เงียบๆเพียงลำพัง ผิวหน้าขาวจัดด้วยมีเชื้อจีนในสายเลือดแต้มริ้วรอยแห่งวัย ทว่ากลับดูไม่น่าเกลียด ดวงตาชั้นเดียวหลังกรอบแว่นใสทอดมองจานข้าวเหงาๆ บางครั้งคิ้วจางๆเหนือแว่นคู่นั้นก็ขมวดมุ่นราวกับคนคิดหนัก

สตรีร่างอวบขาวในชุดสูททันสมัยยืนลอบมองเงียบๆอยู่อึดใจใหญ่ นึกสงสารและเห็นใจอยู่ครามครัน ที่คิดว่าจะเดินผ่านเลยขึ้นไปยังห้องนอน อาบน้ำแต่งตัวและออกไปหาความสุขสำราญนอกบ้าน เป็นอันต้องพับเก็บไปชั่วคราว เท้าทั้งคู่พาหล่อนไปนั่งตรงข้าม ส่งรอยยิ้มหวานหยด

“วันนี้ไม่ออกไปไหนหรือคะ ท่านรัฐมนตรี” เสียงแหลมถามติดสำเนียงประชดประชัน

รัฐมนตรีบดินทร์ส่ายหน้าเนือยๆ “แล้วคุณล่ะลิน หายไปไหนมาทั้งคืนทั้งวัน บ้านช่องไม่กลับ” คำถามเรื่อยๆนั้นแฝงความคาดคั้นอยู่ในที

มาลินสบตาหลังกรอบแว่น ริมฝีปากอิ่มยิ้มน้อยๆ “ฉันไปต่างจังหวัดมาค่ะ ทำไมคะ คุณจะให้ฉันหมกตัวอยู่บ้านหรือออกไปทำงานสังคมสงเคราะห์กับบรรดาคุณหญิงคุณนาย อย่างที่เมียคนก่อนๆของคุณทำอย่างนั้นหรือคะ น่าเบื่อจะตาย ฉันไม่เอาด้วยหรอก” หล่อนเบ้ปากด้วยความสะอิดสะเอียด ด้วยเกลียดงานการกุศลที่มีแต่คนสวมหน้ากากเข้าหากัน

“มันก็ดีกว่าสิ่งที่คุณแอบทำอยู่ทุกวันนี้นั่นแหละ อย่างน้อยงานที่คุณไม่ชอบ มันก็เสริมส่งหน้าที่การงานของผม รวมทั้งภาพลักษณ์ของตัวคุณเอง”

ดวงตาคมโตของคนฟังวาวจ้า

“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน ถ้าคุณให้ความสุขกับฉันไม่ได้ ก็ไม่มีสิทธิ์มาห้ามฉันออกไปแสวงหาข้างนอก ถ้าไม่พอใจในสิ่งที่ฉันทำ ไม่ชอบที่ฉันเป็นแบบนี้ ก็เซ็นใบหย่าให้ฉันสิ” มาลินร่ำร้องในสิ่งที่หล่อนต้องการมาโดยตลอด นับตั้งแต่รู้ว่าเขาไม่อาจให้ความสุขแก่หล่อนฉันสามีภรรยาได้

ทว่ารัฐมนตรีบดินทร์กลับส่ายหน้า

“ไม่มีทาง ชีวิตผมผ่านการหย่าร้างมามากเกินพอแล้ว ผมขอร้องละ เลิกพูดเรื่องนี้อีก มันไม่มีทางเป็นไปได้”

“เห็นแก่ตัว” มาลินโพล่งอย่างเดือดดาล “ถ้ารู้ตัวเองดีว่าคุณเป็นยังไง คุณก็ไม่น่าหลอกให้ผู้หญิงมาแต่งงานด้วยนี่คะ สำหรับเมียคนอื่นๆของคุณน่ะ ฉันไม่รู้ว่าพวกหล่อนคิดยังไง แต่สำหรับฉัน...มันเหมือนตกนรกทั้งเป็นเชียวละ” น้ำเสียงหล่อนขมขื่น

แปดปีที่แต่งงานกันมา มาลินไม่เคยสัมผัสคำว่าความสุขเลย มีแต่ต้องกล้ำกลืนฝืนทน คราแรกที่ได้รู้จักเขานั้น หล่อนนึกชื่นชมรูปร่างที่ค่อนข้างผอมบางและสูงเพรียว หน้าตาผิวพรรณดูสะอาดสะอ้าน ตอนนั้นเขายังเป็นแค่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสังคม ไม่ใช่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เหมือนเช่นตอนนี้

มาลินกล้าพูดได้เต็มปากว่าเขาหว่านเสน่ห์ใส่หล่อน เขาเป็นพ่อหม้ายมีลูกติดคนหนึ่งเกิดจากภรรยาคนแรกซึ่งเสียชีวิตไปตั้งแต่ลูกยังเล็ก ต่อจากนั้นเขาก็แต่งงานอีกสองครั้ง แต่ก็หย่าขาดกันไป เมื่อเขาไร้พันธะกับหญิงใดและทอดสะพานให้ขนาดนั้น หญิงหม้ายลูกติดทั้งเหงาและว้าเหว่มานาน มีหรือจะไม่เดินข้ามสะพานแห่งความสัมพันธ์นั้น สะพานที่จะทอดนำหล่อนออกไปให้พ้นจากความเงียบเหงาเดียวดาย

ทว่าเมื่อแต่งเข้ามาอยู่ร่วมบ้านแล้ว หล่อนถึงได้รับรู้ปัญหาส่วนตัวที่ส่งผลให้เขามีอันต้องหย่าร้างกับภรรยาสองคนก่อนหน้า ทว่ากับหล่อน เขายึดไว้เหนียวแน่น อาจด้วยวัย ๕๕ ปีที่ทำให้เขาไม่อยากอยู่คนเดียวลำพังในบั้นปลาย เนื่องจากเผด็จบุตรชายคนเดียวก็เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน แต่ก็ไม่ควรเห็นแก่ตัวดึงหล่อนมาร่วมทุกข์ด้วยแบบนี้ มันไม่ยุติธรรมกับหล่อนเลย ถ้าหย่าขาดจากเขาได้ หล่อนคงแสวงหาความสุขได้ตามแต่ใจต้องการ โดยไม่ต้องคำนึงว่ามันผิดหรือถูก ไม่ต้องคอยระมัดระวังว่าความลับบางอย่างจะเปิดเผย ส่งผลให้เขาด่างพร้อยเสื่อมเสียชื่อเสียง บดินทร์กลัวเรื่องนี้ที่สุดเพราะอาจกระทบถึงตำแหน่งการงานของเขาได้

ตอนนี้มาลินมั่นใจว่าไม่ได้รักบดินทร์ หรือที่ผ่านมาหล่อนก็ไม่เคยรัก ยอมแต่งงานด้วยเพราะเขามีรูปร่างหน้าตาถูกตาถูกใจ และหล่อนก็หวังจะมีใครสักคนเคียงข้าง มอบความสุขให้แก่กันและกัน เพราะชีวิตหล่อนทนทุกข์ยากและผ่านความลำบากมามาก ทั้งใจก็ถูกความอ้างว้างโบยตีอย่างทารุณ

ชีวิตของมาลินเพิ่งดีขึ้นเมื่อแต่งงานกับสามีคนที่สอง เขาเป็นหมอยาสมุนไพรแก่คราวพ่อ ให้ความรักและเอ็นดูหล่อนเป็นอย่างดี อยู่กับเขา หล่อนรู้สึกอบอุ่นใจและมั่นคง แต่เขาก็ด่วนจากหล่อนไปอย่างรวดเร็วเพราะถูกคนเมาทำร้ายร่างกายหวังชิงทรัพย์ คนร้ายได้เงินสดไปไม่มาก คนที่ได้มากคือหล่อนเอง ทั้งเงินประกันและทรัพย์สินต่างๆตกเป็นของหล่อน ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย หล่อนมีเงินซื้อบ้าน ซื้อรถ และฟุ่มเฟือยได้ตามใจต้องการ แต่กลับไร้ความสุขใจโดยสิ้นเชิง หล่อนอาจกล้าทำอะไรสุ่มเสี่ยงเพื่อความสะใจ แต่ไม่อาจเรียกได้ว่าความสุข

แล้วความรู้สึกที่มีให้บดินทร์ล่ะ เรียกว่าอะไร หล่อนย้อนถามตนเอง และคร้านจะหาคำจำกัดความ แค่สงสารและนึกเห็นใจในบางคราวยามเห็นเขาดูเหงาหงอยเซื่องซึมอย่างวันนี้นั่นละ

จะว่าไป เขาก็มีบุญคุณเคยช่วยเหลือชรัณบุตรชายของหล่อนไว้ในคราวที่เกิดเรื่องใหญ่จนเกือบจะฉาวโฉ่ หากปิดข่าวไว้ไม่ทัน
บดินทร์สบตาหล่อน เค้นเสียงขื่นลอดผ่านริมฝีปาก

“แล้วคุณคิดว่าทุกวันนี้ผมมีความสุขเหมือนอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์หรือไง”

“แต่มันไม่ใช่ความผิดของฉันค่ะ...” มาลินตบโต๊ะด้วยความหงุดหงิดใจ ที่เขาเอ่ยราวกับหล่อนเป็นคนนำความทุกข์ต่างๆนานามาสู่ชีวิตเขา หล่อนหยัดกายขึ้นยืน สองมือเท้าอยู่บนโต๊ะพลางชะโงกหน้าเข้าไปบอกใกล้ๆ

“ความสุขความทุกข์ของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉัน อย่ามามองเหมือนกล่าวหากัน ฉันไม่ชอบ”

ท่านรัฐมนตรียังไม่ทันตอบโต้ เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็ดังเข้ามาใกล้ ตามติดด้วยเสียงทักทายรื่นรมย์

“พ่อกับแม่จู๋จี๋อะไรกันครับ ดังไปถึงข้างนอกเลย”

เสียงทุ้มสดใสทำให้มาลินต้องลดกายลงนั่งที่เดิม ดวงตาคมโตยังคงมองสามีด้วยความขุ่นเคือง ขณะปากก็ตอบบุตรชายไปว่า

“นานๆเราจะเจอกันทีน่ะ ก็เลยบอกรักกันดังไปหน่อย”

“ระวังหน่อยนะครับแม่ ปากมีหูประตูมีช่อง ระวังคนในบ้านมันจะเอาไปพูดต่อ คุณพ่อท่านจะเสียหาย”

คราวนี้ชรัณเตือนเสียงเรียบจนมาลินต้องหันไปมอง เห็นร่างสูงของบุตรชายวัย ๓๐ ปียืนอิงขอบประตู นิ้วยาวแข็งแรงควงกุญแจรถเล่น พวงกุญแจที่ทำจากเปลือกหอยสีน้ำตาลเข้มรูปร่างคล้ายเบี้ยในสมัยโบราณ มีเชือกถักลวดลายประณีตหุ้มตรงขอบถูกเหวี่ยงตามแรงหมุน

มาลินผุดลุกขึ้นยืนแล้วก้าวฉับๆออกไปด้วยความไม่พอใจ เมื่อเห็นบุตรชายเข้าข้างพ่อเลี้ยงอย่างบดินทร์ ทั้งที่หล่อนเฝ้าฟูมฟักเลี้ยงดูเขามาตั้งแต่เล็กแท้ๆ เขายังไปเข้าข้างคนอื่นได้

บ้านนี้มันไม่มีความสุขไง หล่อนถึงต้องออกไปเสาะแสวงมันจากข้างนอก หล่อนคิดขณะเดินเร็วๆขึ้นบันได จุดหมายปลายทางในค่ำคืนนี้ก็แจ่มชัดในใจ เหอะ ใครจะทุกข์ก็ทุกข์ไป หล่อนขอไปเสาะหาความสุขใส่ตัวใส่ใจให้อิ่มเอมก็พอ




หากมีใครสักคนถามน้ำหนึ่งว่าชีวิตช่วงนี้เป็นอย่างไร เธอคงตอบได้โดยไม่ต้องหยุดคิดว่า ‘แย่สุดๆ’ หญิงสาวคิดขณะรับวิตามินบำรุงสายตาจากช่องรับยาของโรงพยาบาล หลังจากจักษุแพทย์ได้ตรวจดวงตาอย่างละเอียดลออแล้วสรุปว่าเธอคงเป็นโรคจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งโรคนี้อาจทำให้ตาบอดสนิทได้ในที่สุดหากว่ารักษาไม่ทัน แถมไอ้วิตามินที่หมอจ่ายมานี่ก็ไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ เพียงแค่ยับยั้งไม่ให้โรคลุกลามถึงขั้นรุนแรงเท่านั้น

การนั่งฟังหมออธิบายอยู่นานสองนานนั้น เธอก็สรุปได้สั้นๆว่า โรคจอประสาทตาเสื่อมที่หมอสงสัยว่ากำลังคุกคามเธออยู่นี้ รักษาไม่หาย ได้แต่ชะลอไม่ให้เป็นหนักขึ้นเท่านั้น และถ้าจำกัดความให้สั้นและง่ายขึ้นไปอีกก็คือ ไม่มีดีขึ้น มีแค่ทรงกับทรุด

กลับมาขึ้นรถได้ หญิงสาวก็ฟุบหน้าลงบนพวงมาลัย หมดเรี่ยวแรงและรู้สึกว่าตนอ่อนแอเหลือกำลัง ทำไมเรื่องแย่ๆต้องประเดประดังมาพร้อมๆกันด้วย อาถรรพณ์เบญจเพสหรือไร แรงไปนะ แรงจนเธอจะรับไม่ไหวอยู่แล้ว ถามใจตัวเองว่าตอนนี้อยากทำอะไรมากที่สุด คำตอบเดียวที่เด่นชัดคืออยากนอนเฉยๆดุจก้อนหินไร้วิญญาณ และปล่อยให้โลกรอบกายเคลื่อนผ่านไปดุจสายน้ำ ก้อนหินแกร่งจะไม่สะท้านหวั่นไหว

ทว่าในความเป็นจริงไม่อาจทำได้อย่างใจคิด น้ำหนึ่งสูดหายใจเข้าปอดลึกๆและสตาร์ตรถขับออกไปเรื่อยๆ ไม่นำพาต่อสิ่งมีชีวิตต่างมิติที่โผล่ให้เห็นตามรายทาง สุดท้ายแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนเรามันก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และอยู่ให้ได้อย่างปกติสุข ถึงยังทำไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็พยายามอยู่แทบทุกเวลานาที

ความคิดวกวนในหัวทำให้น้ำหนึ่งหลงลืมสติในการขับรถ เธอบังคับพวงมาลัยไปเรื่อยๆตามสัญชาตญาณ กว่าจะรู้ตัวแสงสียามเย็นก็อาบย้อมทิวไม้สองฝั่งถนน หญิงสาวสอดส่ายสายตาออกไปนอกรถ หนทางไม่คุ้นตาคลับคล้ายคลับคลาสักนิดก็ไม่มี แล้วเธอขับรถมาที่นี่ได้อย่างไร

หลงทาง...คำตอบแจ่มชัด

ทว่าที่ชัดเจนกว่านั้นคือน้ำเสียงปรานีที่ดังแทรกเข้ามาในโสตประสาท

“ไม่หลง มาถูกทางแล้ว”

น้ำหนึ่งเหยียบเบรกกะทันหันจนหัวคะมำไปข้างหน้า เหลียวมองสำรวจทั่วรถ ไม่รู้ว่ามีสิ่งลี้ลับตนใดอาศัยมาในรถหรือเปล่า อยากให้เธอพามาส่งหรือไง ถามกันสักคำหรือเปล่าว่าอยากมาไหม...หญิงสาวคิดอย่างฉุนจัด

เมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติอันใด ดวงตาหลังกรอบแว่นจึงแลเลยออกไปนอกรถ และพบว่ารถของตนจอดนิ่งสนิทหน้ารั้วไม้ระแนงเก่าซีด บ่งบอกว่ามันยืนตากแดดอาบลมและผ่านฝนมานานปี

ที่แลโดดเด่นกว่ารั้วไม้เก่าๆ คือบุรุษสูงวัยซึ่งยังคงดูภูมิฐาน หลังไหล่ตั้งตรงผึ่งผาย แววตาล้ำลึกฉลาดเฉลียวของท่านมองสบตาเธอ มีรอยยิ้มอยู่ในหน้าแม้ว่าริมฝีปากจะยังคงสงบนิ่ง

“อาจารย์ลือฤทธิ์” น้ำหนึ่งพึมพำด้วยความแปลกใจ งงอยู่พักหนึ่งจึงเปิดประตูรถลงไป

อาจารย์ลือฤทธิ์ยังคงยืนมองมาด้วยแววตาปรานี

“สวัสดีค่ะอาจารย์” เธอเรียกอาจารย์ลือฤทธิ์ว่าอาจารย์ ต่างจากเพื่อนคนอื่นๆในชมรมที่สนิทสนมกับท่านมากจนเรียกว่าครูฤทธิ์
อาจารย์ลือฤทธิ์เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของชมรมเรื่องลี้ลับซึ่งเธอเป็นสมาชิกตอนเรียนปีหนึ่ง ถึงท่านจะเกษียณราชการแล้ว แต่ก็ยังแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนลูกศิษย์ในชมรมเรื่อยๆ และยังคงเป็นอาจารย์พิเศษเข้าบรรยายในบางวิชา ทว่าไม่ใช่วิชาที่น้ำหนึ่งเลือกเรียน เธอไม่สู้สนิทสนมกับท่านเท่าใดนัก และไม่ค่อยมีปัญหาให้ต้องปรึกษาท่านเป็นการส่วนตัว มีแต่แอบวิจารณ์กับตินพลว่า เห็นอาจารย์ลือฤทธิ์คราวใดชวนให้คิดถึงนักแสดงรุ่นใหญ่มากฝีมืออย่างอาหนิง - นิรุตติ์ ศิริจรรยา ทุกที ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ละม้ายคล้ายกัน อันที่จริงน้ำหนึ่งก็ไม่ใช่คนที่ชอบดูหนังดูละครและรู้จักดาราไม่มากนัก แต่ที่จดจำท่านนี้ได้แม่นเนื่องจากเป็นนักแสดงในดวงใจของมารดานั่นเอง

ทั้งที่ไม่สนิทสนม ไม่รู้จักบ้านช่องห้องหับ แล้วเธอสามารถขับรถวกวนมาจอดจ่ออยู่ตรงหน้าอาจารย์ลือฤทธิ์ได้อย่างไร เหมือนมีใครจับจูงชักพามาอย่างนั้นละ

“นี่บ้านอาจารย์หรือคะ” ถามทั้งที่แน่ใจในคำตอบอยู่แล้ว

ผู้สูงวัยพยักหน้าน้อยๆ คราวนี้มีรอยยิ้มบางๆประดับมุมปาก แววตาที่ทอดมองฉายแววเอ็นดูเปิดเผย

หญิงสาวมองผ่านช่องว่างของรั้วระแนงเข้าไป พบเรือนไม้สองชั้นเก่าแก่ซุ่มแทรกอยู่ในแนวไม้ร่มครึ้มราวกับป่า มีเพียงสนามหญ้าเล็กๆหน้าบ้าน ตัดแต่งไว้จนเรียบเตียน ตัวบ้านดูสงบ สมถะ เรียบง่าย ไม่ต่างจากเจ้าของบ้านซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเธอขณะนี้

“เข้ามานั่งคุยกันก่อนสิน้ำหนึ่ง”

ท่านเองก็เรียกเธอว่าน้ำหนึ่ง ไม่ได้เรียกด้วยชื่อเล่นเช่นที่เรียกเหมือนฝัน มาลุตา และนพคุณ

“มีเรื่องหนักอกหนักใจอยู่ไม่ใช่หรือ”

มองสบตาบุรุษสูงวัยแล้ว อะไรบางอย่างในดวงตาของท่านทำให้น้ำหนึ่งมั่นใจว่าท่าน ‘รู้’ ได้ด้วยจิต ไม่ใช่จากสีหน้าท่าทางหรอก

โอ้...คุณพระ! น้ำหนึ่งเพิ่งนึกออก เสียงห้าวทุ้มมีกังวานของท่านเป็นเสียงเดียวกับที่ได้ยินเมื่อครู่

‘ไม่หลง มาถูกทางแล้ว’

และเป็นเสียงเดียวกับที่ลอยลมมาเตือนตอนขณะเธอกำลังจะออกจากบ้านไปสวนสนุกในวันนั้น...

‘ระวังตัวให้ดีนะน้ำหนึ่ง’

คล้ายบุรุษตรงหน้าจะล่วงรู้ความคิด ท่านหัวเราะในลำคออย่างขบขันระคนเอ็นดู ทำเอาน้ำหนึ่งขนลุกเกรียวจนต้องห่อไหล่เข้าหากัน

ใช่แล้ว เสียงหัวเราะขบขันแบบนี้ละ เธอได้ยินตอนขับรถกลับโพธารามหลังออกจากสวนสนุก และต้องรับมือกับสัมผัสที่หกซึ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว

การมาบ้านอาจารย์ลือฤทธิ์ในวันนี้คงไม่ใช่เรื่องหลงทางหรือบังเอิญอย่างที่คิดเสียแล้ว แต่คงเป็นสิ่งที่ท่านจงใจ
เมื่อสำเหนียกรู้ จึงทำให้หญิงสาวเดินตามท่านผ่านประตูบ้านเล็กริมรั้วเข้าไปอย่างว่าง่าย อาจารย์ลือฤทธิ์มิได้ชักชวนเธอเข้าบ้าน ท่านอาจรู้ว่าถึงชวน เธอคงปฏิเสธ...ก็ดูสิ บ้านไม้เก่าแก่ขรึมขลังออกปานนั้น ข้างในคงเต็มไปด้วยสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น นั่งคุยกันสว่างๆโล่งๆข้างนอกนี่แหละดีแล้ว น้ำหนึ่งคิดขณะก้าวตามร่างผึ่งผายของบุรุษสูงวัยคราวลุง จนมานั่งยังชุดเก้าอี้ไม้ริมสนามหญ้า ได้เงาพญาสัตบรรณร่มครึ้มช่วยบดบังแสงสนธยาซึ่งใกล้ลาลับฟ้าเต็มที

“เธออยากเล่าอะไรให้ครูฟังไหม”

น้ำหนึ่งกัดริมฝีปากอิ่มอย่างครุ่นคิด สบตาคมกล้าฉายแววฉลาดเฉลียวของท่านแล้ว เธอก็โพล่งออกไปอย่างที่ใจคิด

“หนูว่าอาจารย์รู้เรื่องทั้งหมดแล้วนะคะ น่าจะรู้ดีกว่าหนูเสียอีก อาจารย์บอกหนูดีกว่าค่ะว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนู”

ผู้ทรงภูมินิ่งเงียบ ก่อนเปล่งเสียงขรึม ช้า ชัด

“มันเป็นเรื่องของกรรม แค่ยอมรับและอยู่กับมันให้ได้”

“แปลว่าอาจารย์รู้จริงๆ” น้ำหนึ่งกระตือรือร้น

อาจารย์ลือฤทธิ์พยักหน้าเนิบช้า

“บ้านปรารถนานั่นทำให้ชีวิตหนูเปลี่ยนไป หนูมองเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นเต็มไปหมด จนหนูจะเป็นบ้าอยู่แล้ว”หญิงสาวระบายออกมาอย่างอัดอั้น สิ่งที่ไม่เคยกล้าพูดกับใครพรั่งพรู

“ไม่บ้าหรอก” คนฟังเอ่ยเสียงขรึมทว่ามีรอยยิ้มเอ็นดูในดวงตา “อย่างน้อยเธอก็ไม่เห็นอะไรแปลกๆที่บ้านครูไม่ใช่หรือ”

หญิงสาวเพิ่งได้คิด เธอสอดส่ายสายตามองหาเจ้าที่เจ้าทาง ภูตผี วิญญาณเร่ร่อน หรืออื่นใดที่เธอเคยพบ แต่หามีไม่ มีเพียงบรรยากาศสงบเงียบยามเย็น สายลมผะแผ่วพัดผ่านกายช่วยให้ผ่อนคลายจากความตึงเครียดหวาดระแวง

“อาจารย์ซ่อนไว้หมดแล้วหรือคะ”

“ก็ทำนองนั้น” อาจารย์ลือฤทธิ์ตอบด้วยท่าทีสงบ “ที่เธอเห็นเป็นวิญญาณที่มีพลังกล้าแข็งพอควร ถ้าพลังเขาอ่อนแอ เธอจะไม่สามารถมองเห็นได้ เอาเถอะ แล้ววันหนึ่งมันจะมีประโยชน์กับเธอ แต่ก็เหมือนดาบสองคม เมื่อมีคุณอนันต์ ก็อาจมีโทษมหันต์ตามมา”

“หนูไม่เข้าใจค่ะ อาจารย์ช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายๆได้ไหมคะ”

ผู้มากวัยหน้าขรึม สูดลมหายใจเข้าลึกยาว

“เมื่อถึงเวลาก็จะรู้เอง ครูพูดในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอด สิ่งที่แน่นอนที่สุด นอกจากความตายแล้ว คือความไม่แน่นอนนี่แหละ”

ยิ่งอาจารย์ลือฤทธิ์พูดยาวเท่าไร น้ำหนึ่งก็ยิ่งงงงันมากขึ้นเท่านั้น เธอเม้มปากแน่น ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจทำในสิ่งที่ตนเองพยายามเลี่ยง เพราะกลัวผลกระทบที่จะตามมา ทว่าครั้งนี้ ความอยากรู้มีมากกว่า

หญิงสาวสบตาบุรุษตรงหน้าแน่วนิ่ง รอจนกระแสเย็นวาบเลื่อนไหลสู่ดวงตาทั้งคู่ เมื่อกระแสนั้นจับนิ่งอยู่อย่างมั่นคงแล้ว จึงเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม จริงจัง

“อาจารย์รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตใช่ไหมคะ ช่วยบอกหนูด้วย”

แต่ผลปรากฏกลับตรงกันข้ามกับที่น้ำหนึ่งวาดหวังโดยสิ้นเชิง นอกอาจารย์ลือฤทธิ์จะมิได้ทำตามคำสั่งของเธอแล้ว ยังรู้สึกว่ามีมวลพลังงานบางอย่างซึ่งมีอานุภาพมากกว่าต้านทานไว้ เธอดึงดันประคองกระแสไหลเย็นในดวงตาไว้เพื่อรอคอยผลสำเร็จ จนนัยน์ตาทั้งสองข้างทั้งปวดและแสบ ก็เกิดแรงผลักอย่างรุนแรงจากพลังฝ่ายตรงข้ามจนน้ำหนึ่งหน้าหัน กระแสประหลาดในดวงตาเบี่ยงทิศทางและตกวูบหายไป


“อย่าพยายามกับฉัน” อาจารย์ลือฤทธิ์ส่ายหน้าช้าๆ “มันไม่มีประโยชน์ และจะเป็นผลเสียกับตัวเธอเองด้วย มีอาวุธต้องรู้จักใช้ ใช้ให้ถูกคน ถูกเวลา อย่าชักออกมาพร่ำเพรื่อ มันจะแว้งเข้าทำร้ายตัวเอง”

คนถูกสอนเม้มปากแน่นอย่างดื้อรั้น กระแสเย็นฉ่ำละลายวับหายไป สมองครุ่นคิดหาวิธีให้อาจารย์ยอมเปิดเผยความลับ มันเป็นธรรมดาไม่ใช่เหรอ คนส่วนใหญ่ก็อยากรู้อนาคตของตนเองทั้งนั้น จะจริงหรือไม่จริง นั่นก็เป็นอีกเรื่อง

ทว่ายังไม่ทันคิดอ่านหาคำพูดหว่านล้อม พลันที่สบตาคมกล้า เสียงห้าวทุ้มมีกังวานก็ออกคำสั่ง คำพูดไม่ดังนัก แต่มีพลังมหาศาล

“กลับบ้านไปก่อนนะน้ำหนึ่ง เมื่อเวลานั้นมาถึง ฉันจะช่วยเธอเอง”

จบคำพูด หญิงสาวลุกขึ้นด้วยอาการเหม่อลอย เดินไปขึ้นรถและขับจากไปราวกับหุ่นยนต์ โดยมีแววตาเปี่ยมความห่วงใยทอดมองตามจนลับสายตา พร้อมๆกับแสงแห่งวันที่ลาลับเหลี่ยมฟ้า

ริมฝีปากผู้ทรงภูมิขยับเอื้อนเอ่ยแผ่วเบากับตนเอง

“เมื่อทวารวารีเปิด ฉันจะช่วยเธอเอง แล้วทุกอย่างจะยุติ”




หลังจากนั่งทบทวนคำพูดตนเองอยู่หลายตลบ เปมิกาก็มั่นใจว่าตนตัดสินใจถูกแล้ว ไม่มีน้ำตาสักหยดหลังการบอกเลิกกับแฟนหนุ่ม แม้คบหาดูใจกันมานานหลายปีจนมีโครงการว่าจะแต่งงานกันในเร็ววันนี้ก็ตาม เหมือนโดมิโนที่ช่วยกันตั้งต่อเรียงกัน เมื่อจวนเจียนจะถึงจุดหมายปลายทาง ก็ถูกปัดล้มครืน พังราพณาสูร

ทำอย่างไรได้เล่า ระหว่างต้มยำรสแซ่บแสบทรวงกับน้ำเปล่าจืดชืด หล่อนโปรดปรานอย่างแรกมากกว่าอยู่แล้ว ถึงอย่างหลังจะมีประโยชน์ต่อร่างกายก็เถอะ มีประโยชน์ แต่ไม่อิ่มไม่อร่อย จะให้หลงติดเนื้อพึงใจมันเป็นไปไม่ได้

หญิงสาวลุกจากเตียงเมื่อราตรีมาเยือน เลือดในกายแล่นพล่าน ใจโผนทะยานไปยังจุดหมายปลายทางอันรื่นรมย์...ใช่ ชีวิตหล่อนรื่นรมย์ สนุกสนานเพลิดเพลิน และมีสีสันจัดจ้านขึ้นกว่าเดิมเป็นไหนๆ มันเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อได้พบกับเขา...ชรัณ

อันที่จริงหล่อนเพิ่งพบเขาได้ไม่ถึงสองเดือน แต่ความสนิทสนมก่อเกิดขึ้นรวดเร็วแน่นแฟ้นราวกับคบกันมานานนับสิบปี เขาเปิดโลกใบใหม่ที่หล่อนไม่เคยรู้จักแก่สายตา จับจูงนำไปเกลือกกลั้วดังผึ้งเกลือกน้ำหวาน และหล่อนก็ติดใจหลงใหลจนไม่นึกอยากถอนตัว เปมิกานึกไม่ออกเลยว่าหล่อนจะคบหาวาริต่อไปได้อย่างไร ในเมื่อตัวและหัวใจหล่อนไปอยู่กับชรัณเช่นนี้แล้ว

มันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่คืนแรกที่พบกันในงานวันเกิดเพื่อนสนิทคนหนึ่ง เจ้าของวันเกิดเปิดห้องในโรงแรมหรูเพื่องานนี้โดยเฉพาะ แขกในงานล้วนเป็นเพื่อนสนิทของเจ้าภาพซึ่งเปมิการู้จักเพียงไม่กี่คน ทุกคนสนุกกันสุดเหวี่ยงรวมทั้งตัวหล่อนด้วย เสมือนได้ปลดปล่อยตนเองจากกรอบกำหนดและพันธนาการที่ร้อยรัดมานานกว่ายี่สิบปี

ปกติเปมิกาไม่ใช่คอเหล้า หล่อนเคยดื่มบ้างตามงาน แต่ก็นิดๆหน่อยๆเพียงสองสามจิบ แต่คืนนั้น หล่อนได้ลิ้มลองค็อกเทลสีสวยเป็นครั้งแรก ด้วยรสชาติขมแล้วเปลี่ยนเป็นหวานละมุนลิ้น ทำให้หล่อนติดใจและอยากลิ้มชิมรสสูตรอื่นๆไม่รู้จบ สีสวย รสเยี่ยม แรงร้อนจนเลือดสูบฉีดไปทั่วร่าง

ผ่านไปไม่รู้กี่แก้ว มันทำให้หล่อนตื่นตัวไปทั่วทุกอณูเนื้อ สนุกสนานครื้นเครงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นึกอยากหัวเราะก็หัวเราะออกมาดังๆ โลกทั้งใบคล้ายตกอยู่ในกำมือ ไม่ต้องสนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น อยากจะเต้นยั่วย้ายส่ายสะโพกอย่างไรก็เต้น อยากกรีดร้องเมามันเมื่อเพลงสะใจก็ทำ ไม่มีกรอบของกุลสตรีที่พ่อกำหนดให้มาขีดกั้น นี่แหละคือสิ่งที่ล่อนปรารถนามาตลอด

ชรัณเข้ามา ‘ทาบ’ ในช่วงที่อารมณ์ระเบิดถึงขีดสุด หล่อนกำลังสนุกสุดเหวี่ยง หนุ่มสาวบางคู่กอดก่ายบดจูบกันบนโซฟาอย่างไม่อายสายตาใคร ก่อให้เกิดอาการวับไหวในอก วูบวาบในช่องท้องอย่างประหลาด จนต้องดับอาการเหล่านั้นโดยการเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะดนตรีหนักหน่วงจนสุดพลัง ทว่าสายตากลับวนเวียนมองภาพเหล่านั้นบ่อยครั้งด้วยความอยากรู้...อยากลอง

ใครๆคงคิดว่าหล่อนกับวาริคบกันมานานคงพากันเตลิดไปไกลถึงวิมานฉิมพลีชั้นไหนๆแล้ว คนเหล่านั้นคิดผิดถนัด วาริไม่เคยทำอะไรมากกว่าโอบไหล่และจับมือ หลายครั้งที่นั่งดูหนังด้วยกันในโรงภาพยนตร์มืดสลัว เห็นคู่รักเอนอิงพิงซบหรือลักลอบจูบกันโดยไม่เกรงกลัวว่าใครจะเห็น หล่อนเองก็พยายามเบียดเข้าใกล้ชิด แนบแก้มนุ่มกับต้นแขนแกร่งหวังว่าเขาจะจรดปลายจมูกลงตรงขมับหรือหน้าผากอะไรทำนองนั้น แต่เปล่าเลย เขากลับสนใจภาพเคลื่อนไหวในจอกว้างตรงหน้า และป็อปคอร์นในกระป๋องบนตักมากกว่าแฟนตัวเป็นๆที่อิงแอบจนแทบจะเกยไปนั่งตัก เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้ว่าหล่อนทอดสะพาน หรือเขาทึ่มทื่อจนแปลภาษากายซึ่งหล่อนส่งไปไม่ออกกันแน่

เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาตลอดหลายปีที่คบหาดูใจกันมา หล่อนอยากให้เขาสลัดคราบสุภาพบุรุษทิ้ง และสวมวิญญาณซาตานดูบ้าง ทว่าเขายังคงรักษามาดพระเอกแสนสุภาพไว้อย่างคงเส้นคงวา หล่อนเป็นผู้หญิง จะแสดงอะไรออกนอกหน้ามากนักก็น่าละอาย เรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว จะไม่ให้เบื่อได้อย่างไร

เมื่อมาพบคนที่พร้อมจะพาหล่อนเริงโลดไปบนเส้นทางแปลกใหม่ เต็มไปด้วยรสชาติหวานแหลมซ่านทรวง มีหรือหล่อนจะไม่เกาะยึดเขาไว้แล้วโบยบินไปด้วยกัน เปมิกาผลักวาริออกจากภาพฝันในอนาคต แล้วดึงชรัณเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว

ตั้งแต่คืนแรกที่พบกัน ภาพหนุ่มสาวซึ่งเมามายจนได้ที่เล้าโลมลูบไล้กันอย่างถึงเนื้อถึงตัวกระตุ้นความกระสันรัญจวนให้ลุกพรึ่บขึ้นในร่าง ดั่งกองเพลิงต้องการหยาดน้ำเย็นฉ่ำชื่นมาโปรยดับ แอลกอฮอล์ปริมาณมากในร่างกายบั่นทอนสติสัมปชัญญะเสียสิ้น ความสำนึกผิดชอบชั่วดีถูกละทิ้ง เหลือเพียงความปรารถนาของกายและใจล้วนๆ

เวลานั้น ชรัณเป็นดั่งน้ำเข้ามาดับความปรารถนาล้ำลึก มันรุมเร้าจนหล่อนเร่าร้อน เขาสอนให้หล่อนเรียนรู้บทรักอันรัญจวน และสานต่อจนหล่อนรับรู้ว่าสุดสายปลายทางนั้นแสนหฤหรรษ์เพียงใด โดยไม่สำเหนียกสักนิดว่าสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้ไม่ใช่ต้มยำรสแซ่บอย่างที่หล่อนเข้าใจ ทว่าเป็นน้ำกรดที่จะกัดกร่อนชีวิตหล่อนไปเรื่อยๆ

เพลงรักเร่าร้อนเริ่มต้นบรรเลงขึ้นในงาน และไปจบลงยังคอนโดเขา แม้ตื่นเช้ามาจะมีความรู้สึกผิดเกาะติดเนื้อใจ ทว่าเมื่อเขาเริ่มบรรเลงเพลงรักบทใหม่ ความรู้สึกเหล่านั้นก็เลือนรางจางหายไปอย่างรวดเร็ว หล่อนรู้เพียงต้องการเขา หล่อนขาดเขาไม่ได้จริงๆ

ใช่ เปมิกาขาดเขาไม่ได้ เพราะต่อจากนั้นไม่นานเขาหยิบยื่นสิ่งอื่นให้อีก มันทำให้หล่อนติดใจยิ่งกว่าเนื้อกายแข็งแกร่งและจังหวะรักอันเร้าใจ มันทำให้หล่อนสนุกกับทุกกิจกรรมที่ชรัณสรรหามาปรนเปรอ เป็นครั้งแรกที่หล่อนมีความสุขชนิดลืมโลก

เมื่อชีวิตพลิกไปเช่นนี้ ภาพกุลสตรีผู้เรียบร้อยอ่อนหวานที่ประยุทธภาคภูมิใจ จึงเพียงแค่ฉาบหน้าไว้ยามพบบิดาเท่านั้น เปมิกาขอแยกตัวออกมาอยู่คอนโดโดยอ้างว่าใกล้ที่ทำงาน ทว่าแท้จริงแล้วเพื่อหล่อนจะได้ใช้ชีวิตแบบที่ตนต้องการได้เต็มที่ โดยไม่มีสายตาจับผิดของผู้เป็นพ่อคอยสอดส่องยามกลับบ้านผิดเวลานั่นเอง

ชีวิตเป็นของหล่อน หล่อนก็มีสิทธิ์จะโบยบินไปบนเส้นทางตามใจปรารถนาไม่ใช่หรือ เพราะจะดีหรือร้าย หล่อนก็เป็นผู้แบกรับภาระนั้นไว้ทั้งสิ้น หากมันท้าทายและทำให้ชีวิตมีรสชาติ มีสีสันไม่จืดชืด หล่อนก็พร้อมเผชิญ

เปมิกาลืมคิดไปว่า คนเรามักแบกรับความทุกข์ของคนที่ตนรักไว้ด้วยเสมอ และประยุทธได้เลี้ยงหล่อนมาแต่อ้อนแต่ออกโดยลำพัง เนื่องจากภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุตั้งแต่ยังสาว มีหรือเขาจะไม่ทุกข์ หากทราบว่านางฟ้าตัวน้อยๆของเขาได้ฉีกทึ้งชุดสวยที่เขาบรรจงสวมใส่ให้ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี และโบยบินไปบนเส้นทางดำมืดขรุขระ โดยคาดเดาไม่ได้ว่าหล่อนจะหลุดพ้นจากเส้นทางอันตรายนี้ได้เมื่อไร หากรู้ ประยุทธจะรู้สึกเยี่ยงไร




จากคอนโดของเปมิกา วาริมุ่งหน้าสู่ผับแห่งหนึ่งซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ของบริษัท อมฤตถูกส่งเข้ามายังสถานบันเทิงแห่งนี้เดือนละไม่น้อย เจ้าของผับเลยไปถึงพนักงานในร้านต่างรู้จักวาริดี เพียงเข้าไปนั่ง บาร์เทนเดอร์หนุ่มก็ปรี่เข้ามาทักทาย วาริสั่งเหล้าโดยไม่ลังเล ใจเฝ้าครุ่นคิดวกวน

ทำไมนะ ทำไมเขาเพิ่งรู้จักรู้ใจตัวเองเอาเมื่อยามเปมิกาบอกเลิก นี่เขาเสียเวลาในชีวิตไปกับเรื่องต่างๆที่ใจไม่ต้องการขนาดนี้เชียวหรือ ทั้งเรื่องงาน ทั้งเรื่องความรัก ถ้าหล่อนไม่บอกเลิก เขาคงเสียเวลาทั้งชีวิต...เวลาซึ่งเขาควรได้อยู่กับคนที่รักจริงๆ
แล้วคนที่เขารักจริงๆคนนั้นล่ะ จะมีใจกับเขาหรือเปล่า แค่คิดถึงความสนิทสนมระหว่างเธอกับเพื่อนชายที่เป็นดาราหนุ่มสุดฮอตนั่นแล้ว ใจก็ปวดแปลบเหมือนถูกมีดคมกริบเชือดเฉือน ไอ้ดาราหนุ่มนั่นก็ไม่ลงเอยกับผู้หญิงคนไหนสักที ล่าสุดนี่เพิ่งมีข่าวเลิกร้างกับนางแบบสาวที่ชื่อรุ้งพราย บางทีมันอาจยังไม่รู้ใจตัวเองเหมือนที่เขาเพิ่งรู้ก็ได้

ชายหนุ่มปล่อยให้ภาพต่างๆระหว่างน้ำหนึ่งกับตินพลผ่านเข้ามาในหัวเป็นฉากๆ ภาพตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เขาเรียนโรงเรียนเดียวกับตินพล เคยเห็นหน้ากันอยู่บ่อยๆ แต่ไม่เคยพูดคุยกัน รายนั้นเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่อายุยังน้อย นักเรียนหญิงทั้งในและนอกโรงเรียนต่างพากันรุมให้ความสนใจ ที่หมั่นไส้ก็คงมีบ้าง แต่น้อยกว่าคนที่ชอบแน่นอน แต่ก็ไม่เห็นว่าตินพลจะให้ความสนิทชิดเชื้อกับใครเป็นพิเศษ นอกจากเด็กหญิงผมหยักศกเป็นลอนตัดสั้นเสมอติ่งหูผู้เป็นเจ้าของดวงตากลมโตสุกใสฉายแววเฉลียวฉลาด ดวงตาคู่นั้นตรึงใจเขาตั้งแต่แรกเห็น ทั้งสองสามารถหัวเราะเล่นหัวถูกเนื้อต้องตัวกันได้โดยไม่ต้องเสียเวลาหยุดคิด รั้งรอ หรือคิดหน้าคิดหลังให้ดี ต่างกับเขาที่ต้องระมัดระวังทุกอย่าง

น้ำหนึ่งคงไม่รู้ว่าเขาดีใจเพียงไรเมื่อพบว่าเธอมาเรียนกวดวิชาแห่งเดียวกับเขา เธอเข้ามาชักชวนเขาพูดคุย เรื่องราวต่างๆรอบตัวถูกดึงเข้ามาในบทสนทนา โลกอันเงียบงันของเขากลับมีชีวิตชีวาน่ารื่นรมย์ขึ้นทันที แต่ก็นั่นแหละ เขายังเด็ก ไม่แน่ใจหรอกว่าความรู้สึกขณะนั้นเรียกว่าอะไรกันแน่ เป็นเพราะความรู้สึกละเมียดละไมลึกซึ้งในใจ หรือเป็นเพราะพลังฮอร์โมนเพศที่พลุ่งพล่านอยู่ในกาย ประกอบกับตินพลแวะเวียนมาหาน้ำหนึ่งบ่อยครั้งหลังเรียนพิเศษ เขาจึงหยุดความสัมพันธ์ไว้ที่คำว่าเพื่อน จนกระทั่งขึ้นชั้นมัธยมปลาย เธอก็หายหน้าไป

วันเวลาผันผ่าน เขาไม่เคยลืมน้ำหนึ่ง แต่ชีวิตก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้า เขาคบหากับเปมิกาในฐานะเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนอยู่ปีสาม หล่อนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับเขาเพียงต่างคณะ กระทั่งเรียนจบจึงได้ตกลงเป็นแฟนและวาดอนาคตร่วมกัน ใครจะรู้ว่าโลกกำลังเล่นตลก ส่งน้ำหนึ่งมาทำงานที่บริษัทแอดมีดีไซน์ของประยุทธ บิดาของเปมิกา เขาต้องพบเธออีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ น่าโกรธตรงที่ใจจริงก็ไม่อยากเลี่ยง

แต่ก็นั่นแหละ เธอยังคงสนิทสนมกับตินพลเช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จนมีปาปาราซซี่เคยจับภาพทั้งคู่ได้หลายครั้ง ตินพลกล่าวปกป้องน้ำหนึ่งทุกครั้งยามถูกสื่อรุมสัมภาษณ์ กักกั้นเธอไว้ไม่ให้แปดเปื้อนมัวหมอง วาริสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีที่หนุ่มสาวมีให้กัน...

ยิ่งคิดใจก็ยิ่งปวด ชายหนุ่มกระดกเหล้าเข้าปากแก้วแล้วแก้วเล่าราวกับมันคือน้ำเปล่า กระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งค่อนคืน สติสัมปชัญญะอันเคยครบบริบูรณ์พร่องไปกว่าค่อน เขาชำระค่าเครื่องดื่มและเดินโซเซลุกจากเก้าอี้เอาเมื่อเวลาใกล้ผับปิด

“ไหวไหมคุณว่าน จอดรถไว้ที่นี่ แล้วให้ผมเรียกแท็กซี่ให้ไหม”

“ม่ายต้อง” เขาโบกมือปฏิเสธ “ฉันไหวน่า แค่นี้ ไม่มาวหรอก”

“แค่นี้อะไรกันครับ คุณว่านดื่มไปไม่น้อยเลย ให้ผมโทร.เรียกรถที่บ้านคุณว่านมารับก็ได้”

“บอกว่าไม่ต้องไงเล่า” เขาตวาด

บาร์เทนเดอร์หนุ่มคอย่น ไม่เคยเห็นวาริกราดเกรี้ยวแบบนี้มาก่อน จึงรีบถอยฉาก

เจ้าของร่างสูงเดินปัดเป๋ไปถึงรถยนต์คันงามที่จอดในลานจอดรถด้านหลัง เปิดประตูเข้าไปนั่งเอนทิ้งศีรษะพิงเบาะนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ จึงบิดกุญแจสตาร์ตรถและขับออกไป

ไม่ว่าอย่างไร พรุ่งนี้เขาจะไปหาน้ำหนึ่ง เขาคิดขณะบังคับพวงมาลัยให้รถแล่นไปบนถนนอันค่อนข้างว่างโล่งเนื่องจากเลยเที่ยงคืนมาเกือบชั่วโมงแล้ว นัยน์ตาพร่าพรายและหรี่ปรือจวนปิดเสียให้ได้ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ชายหนุ่มสลัดศีรษะอยู่บ่อยครั้งเพื่อเรียกสติ ลอดอุโมงค์ข้ามแยกนี้ไปอีกไม่ไกลก็ถึงบ้านแล้ว ชายหนุ่มพร่ำบอกตัวเอง ทว่าไม่อาจฝืนไหว ความรู้สึกตัวได้ขาดหายไปตั้งแต่ตอนรถพุ่งดิ่งลงอุโมงค์ลอดใต้สี่แยก เหตุการณ์ที่เหลือต่อจากนี้ไม่อยู่ในความรับรู้หรือควบคุมใดๆทั้งสิ้น

รถที่แล่นตามมาข้างหลังห่างๆถึงกับเบรกจนตัวโก่ง เมื่อรถยุโรปคันหรูที่ขับนำส่ายเป็นงูเลื้อย ก่อนพุ่งเข้าชนผนังอุโมงค์ดังโครมสนั่นหวั่นไหว เหล็กแกร่งซึ่งห่อหุ้มเครื่องยนต์สมรรถนะเยี่ยมพังยับเยินทั้งคัน...แล้วคนที่อยู่ในนั้นเล่า

อนิจจา เพราะเหล้าแท้ๆที่ทำให้วาริมีอันเป็นไปเช่นนี้ แต่จะโทษใครได้ในเมื่อเขาเป็นผู้กรอกมันเข้าปากด้วยตนเอง


************************* จบตอน ******************************

ทักทายท้ายเรื่อง

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ เป็นนักอ่านที่น่ารักมากค่ะ คิดรอบด้านจริงๆ เดาได้เฉียดไปเฉียดมาตลอดเลย ลุ้นกันต่อไปค่ะ

อสิตา วันนี้ส่งไอ้พี่เก้ามาก่อนน้ำหนึ่งนะ น้ำหนึ่งนอนเพลินไปนิด

พี่แตงกวาสุดเลิฟ ทำไมเดียดฉันเป๊กกี้ขนาดนี้คะ เป๊กกี้ก็แแค่ชัดเจนในหนทางของตัวเองเท่านั้น เป๊กกี้ชอบอะไรแซ่บๆ มันผิดตรงไหน

น้องยิ้มจัง แทนที่จะกระโดดตัวลอย วาริกลับพุ่งรถทิ้มอุโมงค์ซะงั้นละ

คุณใบบัวน่ารัก สารภาพว่าอมยิ้มทุกครั้งที่พิมพ์ชื่อนี้ ถ้าเรื่องต่างๆคลี่คลายแล้วจะเข้าใจค่ะ (นั่นเป็นเหตุผลของตัวละคร แต่เหตุผลของคนเขียนคืดถ้ามีตัวละครมากๆแล้วคนเขียนจะยิ่งเหนื่อยค่ะ ๕๕๕)

น้องเกดซ่าขาาาา ซาตานมาพรุ่งนี้ ติดตามได้ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น

น้องเหมือนฝันรินทร ก็มันยังไม่ได้ครึ่งเรื่องเลยนี่นา ถ้าปล่อยให้รักกันง่ายๆตอนนี้เรื่องก็จบอะดิ ทวารวารียังไม่เปิดเลยจะจบได้ไง

น้องหนอนน้อยดังปัณณ์ น้องมโนได้สมกับที่เป็นนักเขียน แต่ไม่ๆๆๆ พี่จะไม่พูด ไม่บอกว่ามันจริงหรือไม่ ถูกหรือเปล่า

หนูบาร์บี้ที่รัก ในที่สุดก็ติดตาม ตามติดมาจนทัน มาลุ้นกันไวๆ

คุณ Moona Narak ตัวละครมันก็เหมือนคนจริงๆนั่นแหละค่ะ ในดีมีร้าย ในร้ายมีดี แต่สุดท้ายแล้วคนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีควรเอาเป็นแบบอย่างก็คงเป็นคนที่รู้ผิดชอบชั่วดีและพยายามแก้ไขในสิ่งที่ผิดนั่นแหละค่ะ

แล้วเจอกันพรุ่งนี้ พร้อมซาตานรสแซ่บ วันนี้ bye bye



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.ย. 2557, 05:12:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.ย. 2557, 05:12:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1285





<< บทที่ ๕ (จบตอน)   บทที่ ๗ (ครึ่งแรก) >>
อสิตา 17 ก.ย. 2557, 05:30:30 น.
อยากแยกร่างเป็นสอง จะได้ผลัดกันเล่นและทำงาน เห้อ
//ป้าแก่สองคนที่โผล่มาบ่นกันก่อนไก่โห่


ketza 17 ก.ย. 2557, 05:58:54 น.
มาแว้วววววว


ketza 17 ก.ย. 2557, 06:07:56 น.
^
^
นักเขียนสองคนเค้าคุยกันหนุงหนิงแต่ไก่โห่ 555555

...วาริ โดนซะแว้ววว น่าฉงฉานนน 0;0
แหมๆ ยัยเปมิกา หล่อนชอบแซ่บๆก็ไม่บอก ชิๆ แล้วอย่ามายุ่งกับซาตานของเค้านะ!!!!!


yimyum 17 ก.ย. 2557, 06:54:32 น.
สงสารวาริจัง


พันธุ์แตงกวา 17 ก.ย. 2557, 07:22:45 น.
เชิญเป๊กกี้ไปโซ้ยส้มตำน้ำตกตามสบาย วาริของเจ้จะได้ดื่มน้ำเพื่อสุขภาพซะที^^
เรื่องราวของแต่ละบ้านมันreality ยิ่งกว่า AF acadymy อีกนะ มันอินๆ


ดังปัณณ์ 17 ก.ย. 2557, 12:09:23 น.
ขุ่นพี่ก็ยังงี้แหละ ชอบยั่วววววววววววววววววววว!

เจ้ไม่สปอยล์เขียนไว้หัวเตียง ข้างเตียงมันไม่พอ!!

อะโถ เปมี่เอ๊ย โดนซะแล้วแมะล่ะ เจออิตัวเลิศเข้าแล้ว ชรัณนี่ท่าจะไม่เบา ส่วนน้ำหนึ่งก็ยังดี อาจารย์ฤทธิ์บอกจิช่วย แต่ โอ้วโน้ว! วานี่คุง หล่อนนี่มันความรู้สึกช้าเจงๆๆๆๆ ทื่อมากกกกกกกกกกกกกกกกกกก 555+ ตอนนี้สงสารทั้งน้ำหนึ่งทั้งเปมี่ เธอสองคนรักพ่อทื่อมะลื่อลงไปได้ยางงายยยยยยยยยยยย

ผีมาแย้วววววววววววว เฮียดาร์กของวานี่กำลังจะมาสินะ คุคิ


Barby 17 ก.ย. 2557, 13:30:18 น.
อารายผู้ชายแบบไหนเนี่ย ทึ่มจริงๆเลย เปิดหัวเรื่องมากำลังจะสงสัยเลยว่าคือครอบครัวใคร มารู้อีกที ชรัณ กิ๊กไม่กั๊กของเป็กกี้นี่เอง


นักอ่านเหนียวหนึบ 17 ก.ย. 2557, 15:39:32 น.
เห้อ น่าสงสารจิงจิ๊งงงง พวกคนแบกศักดิ์ แบกศรีทั้งหลาย แบกแต่พอดี ดีไหมคะ! ปัญหาสังคมสมัยนี้ก็เกิดมาจากคนกลุ่มนี้เยอะเหมือนกันนะ
พี่ริ บทจะง้องแง้งก็งี่เง่าซะจน ได้เรื่องเลยมะละ สงสัยพี่ดาร์กจะอยากออกเต็มแก่ละสิ
ต่อไปสงสัยยัยเปเป้ก็จะเข้ามายื้อแย่งพี่ดาร์กกะเค้าด้วยะสิ
เค้าขอเดามั่วเดาซั่วแบบนี้ไปเรื่อยๆนะ เค้าอยากเดางะ 55


บุลินทร 17 ก.ย. 2557, 16:34:26 น.
มาแว้ววว เมื่อวานพลาดไป กลับค่ำหมดแรง เปมิกาชอบต้มยำเหรอนี่ วาริเลยพลิกคาแรกเตอร์ที่เก็บไว้เลย


goldensun 17 ก.ย. 2557, 17:40:39 น.
วาริ กว่าจะรู้ใจตัวเอง ต้องรอเป๊กกี้บอกเลิก สงสารพ่อเป๊กกี้ เลี้ยงมาอย่างถนอม แต่ไม่มีประสพการณ์ เสียคนไปซะแล้ว
เงาหัวหายมาตั้งหลายวัน
น้ำหนึ่งกล้าสะกดอาจารย์ด้วย เจอสะกดกลับไปเลย แล้วกระจกตาเสื่อมจริงหรือเพราะใช้พลังจิตคะ


Sukhumvit66 17 ก.ย. 2557, 21:12:33 น.
เย้....ไปไล่อ่านมาครบแล้ว ฮู่เร่

แต่น่าเสียดายที่วาริไม่มีโอกาสได้พูดความในใจ เฮ้อ


ริญจน์ธร 18 ก.ย. 2557, 10:51:31 น.


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account