วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: บทที่ ๑๑ (ครีึ่งแรก)
นี่คือบ้าน บ้านของเขา วรุตม์บอกตัวเองขณะก้าวช้าๆขึ้นบันไดหินอ่อนหน้าตึก บ้านหลังนี้สร้างจากน้ำพักน้ำแรงของเขา แต่เหตุใดเขาจึงพาตัวและหัวใจออกไปไกลบ้านทุกที...ทุกที
คำตอบเด่นชัดในใจ เพราะสิ่งที่เขารักล้วนอยู่นอกบ้านอย่างไรล่ะ ทั้งการงานและผู้คน
จริงหรือ...ความคิดฟุ้งซ่านตามติดเขาไปทุกฝีก้าว หากบ้านนี้ไม่มีคนที่เขารัก เขาจะมาหยุดยืนตรงนี้ทำไม...หน้าห้องนอนวาริ
มือกำหลวมๆเตรียมเคาะชะงักค้าง เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกมาจากด้านในอย่างแผ่วเบา ระมัดระวัง
เห็นชัดว่าคนที่กำลัง ‘ย่อง’ ออกจากห้องสะดุ้งเมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบเขา
“ทำไมต้องทำลับๆล่อๆแบบนี้ด้วยล่ะวี”
วิไลวรรณยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากตนเองส่งสัญญาณไม่ให้เขาเสียงดัง ปิดประตูห้องแล้วนั่นละ หล่อนจึงกล้าพูดเต็มเสียง
“ว่านหลับน่ะ”
ขณะเดินเคียงกันไปตามโถงทางเดิน วรุตม์อดถามไม่ได้
“ทำไมวันนี้อยู่บ้านได้ล่ะ”
วิไลวรรณหันขวับมามองหน้า แววตาหมางเมิน
“ฉันอยู่ติดบ้านตั้งแต่ลูกบาดเจ็บ มีแต่คุณนั่นแหละที่ไม่เคยอยู่ดู”
วรุตม์เข้าใจโดยที่หล่อนไม่ต้องแจกแจงละเอียด ที่ว่าไม่เคยอยู่ดู ใช่ว่าไม่อยู่ดูว่าเธออยู่ติดบ้าน แต่ไม่อยู่ดูอาการลูกต่างหาก
“ถึงไม่เคยอยู่ดู แต่ก็เป็นห่วง” เขาสารภาพ และไม่รอให้หล่อนยอกย้อนเยาะเย้ยใดๆ รีบถามต่อโดยพลัน “ว่านเป็นไงบ้าง พอจะจำอะไรได้บ้างหรือยัง”
คงมีเรื่องลูกเรื่องเดียวกระมังที่จะฉุดรั้งวิไลวรรณให้ยอมคุยกับเขาได้นานๆ หล่อนถอนหายใจหนักหน่วงพลางส่ายหน้าช้าๆ กระแสความกลัดกลุ้มกังวลขังอยู่ในดวงตาคู่สวย
“ไม่เลยค่ะ ฉันรู้สึกว่าคนที่ฉันพูดคุยด้วยไม่ใช่ลูกเรายังไงก็ไม่รู้ เขาไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมาไว้หนวดเคราเสียหน้าเข้มแทบจำไม่ได้ ของที่ชอบก็กลับไม่ชอบ รู้ไหมวันนี้ว่านอยากกินอะไร”
เขาไม่ได้คาดเดา เพียงแค่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย อีกฝ่ายก็เปิดปากเล่า
“ลาบเลือดค่ะ ร้อยวันพันปีว่านเคยแตะของพวกนี้ที่ไหนกัน แต่ก็แปลกนะ...” สาวใหญ่เอียงคอครุ่นคิด ท่าทางไม่รู้ตัวสักนิดว่าเดินตามวรุตม์เข้ามาในห้องนอนใหญ่แล้ว
ครั้งหนึ่งหล่อนก็เคยนอนในห้องนี้ ก่อนแยกออกไปนอนห้องว่างซึ่งอยู่ติดกันเพราะยอมรับพฤติกรรมของเขาไม่ได้
หล่อนเงียบไปนานจนเขาต้องถามด้วยความอยากรู้
“แปลกยังไง”
“พอกินลาบเลือดเข้าไป ว่านก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที หน้าตาเนื้อตัวที่ดูซีดๆก็มีสีสันขึ้น”
“ตอนเกิดอุบัติเหตุคงเสียเลือดเยอะมั้ง เลยต้องการเลือดเข้าไปเพิ่ม”
“ก็คงแบบนั้นแหละ” วิไลวรรณเออออ แต่หน้าตาดูไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก “แล้ววันนี้ตอนหัวค่ำ ฉันเล่าเรื่องสมัยเขาเด็กๆให้ฟัง คุณรู้ไหมคะว่าว่านพูดยังไง”
วรุตม์รู้ว่าคนถามไม่ต้องการคำตอบ แต่หล่อนต้องการเล่าความแปลกประหลาดของบุตรชายผู้สูญเสียความทรงจำ ความหลากใจขับไล่แววกังวลในดวงตาหล่อนไปจนสิ้น
“ว่านมานอนหนุนตัก ขอให้ฉันเล่านิทานให้ฟัง พอเล่าให้ฟังก็หลับปุ๋ยไปอย่างกับเด็กที่เล่นซนมาทั้งวันจนหมดแรง ทั้งที่คืนก่อนๆฉันแอบเห็นว่านนอนไม่หลับ ลงไปเดินเล่นข้างล่างจนดึกดื่นค่อนคืน”
“คงอยากรำลึกถึงอดีตมั้ง”
“ก็ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะ ไม่ใช่สมองกลับตาลปัตรไปเป็นเด็กอีกหนหรอกนะ”
คนฟังยิ้ม พลางส่ายหน้า “ไม่หรอก เด็กที่ไหนจะมาเถียงผมฉอดๆ แถมพูดมาแต่ละคำ ผมไม่รู้จะตอบโต้ยังไง วีก็ได้ยินไม่ใช่เหรอ วันที่ออกจากโรงพยาบาล”
วิไลวรรณพยักหน้าช้าๆ แววตาบอกชัดว่ารำลึกนึกถึงเรื่องราววันนั้นได้ และเหมือนหล่อนจะรู้ตัวว่าก้าวล้ำเข้ามาในห้องนอนใหญ่ของวรุตม์เข้าแล้ว จึงรีบขอตัวกลับไปนอน
“เดี๋ยวสิวี” พร้อมกับเรียก วรุตม์คว้าแขนภรรยาไว้ รีบเอ่ยต่อโดยไม่รอให้หล่อนถาม “ขอบใจนะที่ดูแลลูกเรามาอย่างดี ตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าไม่มีวี ก็ไม่รู้ว่าว่านจะโตมาเป็นแบบไหน...ผม...ผมไม่อยากให้เขาเหมือนผม”
ริมฝีปากบอบบางเหยียดยิ้มเยาะหยัน สะบัดแขนหลุดจากพันธนาการพลางส่งเสียงหึในลำคอ
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ เพราะฉันไม่ได้ทำตามหน้าที่ ไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำตามที่หัวใจต้องการและมีความสุขที่ได้ทำ ฉันไม่เคยลืมว่าลูกเกิดจากความรักของฉัน...ของฉันคนเดียว” ท้ายประโยคเครือจนเกือบสะอื้น
เหมือนมีก้อนแข็งๆแล่นมาจุกตรงคอหอย วรุตม์พูดไม่ออก แต่ในที่สุด เขาก็เอ่ยสิ่งที่ตนต้องการออกมาจนได้ วิไลวรรณทำตามที่หัวใจต้องการฉันใด วรุตม์ก็ทำฉันนั้น
“คุณสนิทกับว่านมาก ว่านเชื่อฟังคุณ คุณน่าจะช่วยเกลี้ยกล่อมให้ลูกกลับไปทำงานได้ สหทรัพย์ต้องการเขา”
ต้องการไปสืบสานต่อยอดความเจริญรุ่งเรือง เสริมส่งความยิ่งใหญ่ในตลาดน้ำเมา วรุตม์ไม่ต้องการให้สิ่งที่เขาก่อร่างสร้างขึ้นจบอยู่แค่คนรุ่นเขา มันต้องถูกสืบทอดส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน ชื่อเขาจะต้องถูกจารึกไว้รำลึกจดจำในฐานะผู้สร้าง
“ขอโทษค่ะ ฉันทำไม่ได้”
วิไลวรรณก้าวถอยหลังออกห่างจากเขาด้วยท่าทีรังเกียจ
“ความสุขของลูกสำคัญกว่าความสุขของคุณค่ะ คุณมันเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ความสุขของตัวเองยังไม่พอ ยังคิดเบียดเบียนยัดเยียดความทุกข์ให้คนอื่นเพื่อให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ คุณทำกับฉันได้ แต่ฉันไม่มีทางให้คุณทำกับว่านได้อีกเด็ดขาด ว่านทนทำเพื่อคุณมามากพอแล้ว ลูกรอดตายมาครั้งนี้ ควรได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักบ้าง ไม่ใช่ก้มหน้ารับใช้คุณไปทั้งชาติ” หล่อนกางปีกปกป้องบุตรชายเต็มที่ “คุณจะเอาเปรียบฉันอย่างไรฉันไม่ว่า เพราะฉันหาทางเอาคืนได้เท่ากัน แต่คุณเป็นพ่อประสาอะไร คิดจะเอาเปรียบกระทั่งลูก”
“ผมไม่ได้เอาเปรียบ ผมแค่มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เขา”
“ดีที่สุดสำหรับคุณคนเดียวน่ะสิ เลิกคิดเรื่องนี้ไปได้เลย เชิญคุณมีความสุขในอาณาจักรของคุณ ในโลกของคุณเถอะ”
วิไลวรรณเดินกระแทกเท้าออกไปแล้ว วรุตม์ซวนเซไปนั่งบนเตียง มือใหญ่กดบริเวณชายโครงขวาซึ่งเจ็บแปลบขึ้นมาอีกแล้ว ร่างกายล้าแรงจนต้องล้มตัวลงนอนไปทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำผลัดเสื้อผ้า
ในวัยเพียงห้าสิบปี เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ
คู่ทุกข์คู่ยากมันเป็นแบบนี้นี่เอง มาลินบ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจ ขณะชุบผ้าขนหนูผืนเล็กลงในอ่างแก้วใบย่อมซึ่งบรรจุน้ำอุ่นอยู่ค่อนอ่าง บิดจนหมาดแล้วนำไปเช็ดตัวให้คนบนเตียงซึ่งนอนซมด้วยพิษไข้ แม้ไม่ถึงกับสลบไสลไม่ได้สติ แต่ก็ดูสะลึมสะลือคล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่น มาลินพันผ้ารอบฝ่ามือแล้วเช็ดทวนรูขุมขนเพื่อระบายความร้อน
สตรีวัย ๕๒ มองสามีแล้วถอนหายใจ ไม่ควรเลย...ไม่ควรสงสารเขาเลยจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องยกเลิกนัดและป่านนี้ก็คงมีความสุขสำราญบานใจไปแล้ว ไม่ต้องมาอดตาหลับขับตานอนเฝ้าเช็ดตัวคนป่วยอยู่แบบนี้ มันเป็นงานน่าเบื่อมากถึงมากที่สุด
แล้วเต็มใจทำหรือเปล่า...แน่นอนละ คนอย่างมาลิน หากไม่เต็มใจใครก็บังคับไม่ได้ คิดถึงตรงนี้หล่อนก็ถอนหายใจออกมาอีกคำรบ
หล่อนเข้าใจว่าความรักของหล่อนเลือนหายไปนานแล้ว ตั้งแต่รู้ความจริงว่ารัฐมนตรีบดินทร์มิอาจให้ความสุขกับตนได้เช่นคู่สามีภรรยาทั่วไป แต่ความจริงแล้วรักนั้นยังคงอยู่ แต่เป็นหล่อนเองที่เกลื่อนกลบมันไว้ด้วยไม่อยากสมเพชเวทนาตนเอง ความต้องการอันมากล้นไม่ได้รับการเติมเต็ม หล่อนต้องออกไปแสวงหาความสุขนอกบ้านจนเคยชินและแทบขาดไม่ได้ หากคนเป็นสามีไม่ป่วยถึงขั้นล้มหมอนอนเสื่อ เชื่อว่าหล่อนก็คงยังไม่ย้อนกลับมามองใจตนเองอย่างที่กำลังกระทำอยู่ตอนนี้
ถ้าวันหนึ่งเขายอมหย่าตามคำท้าของหล่อนจริงเล่า จะทำอย่างไร เพียงคิด มาลินก็ใจหาย
“ขอบใจนะที่อยู่ดูแล” เสียงแผ่วโหยลอดผ่านริมฝีปากบุรุษวัย ๕๕ ปีที่นอนซมอยู่บนเตียง
มาลินละความสนใจจากผ้าขนหนูในมือ ช้อนสายตาขึ้นมอง พบรอยยิ้มบางๆ ดวงตาหรี่โรยด้วยพิษไข้
“ฉันเป็นภรรยา ก็ต้องดูแลสามีสิ” หล่อนตอบเสียงสะบัด ใจกระหวัดถึงความสุขที่รออยู่นอกบ้าน
“ทั้งที่ฉันไม่เคยทำหน้าที่สามีที่ดีเลย”
“ถ้าพูดมากได้ขนาดนี้แปลว่าหายแล้วสิ งั้นก็ดูแลตัวเองไปละกัน” มาลินทิ้งผ้าขนหนูลงอ่างน้ำอย่างไม่อินังขังขอบ หล่อนไม่ชอบให้ใครมาจี้จุดด้อยในชีวิตคู่ของตน แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นสามีหล่อนเองก็ตาม
ภรรยารัฐมนตรีปึงปังลงจากเตียง เดินหายไปยังห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ซึ่งมีประตูเชื่อมถึงกัน แต่งตัวเสร็จจึงหยิบกระเป๋าสะพาย แต่แล้วมือข้างนั้นก็ตกลงข้างตัว กระเป๋าถูกวางลงดังเดิม เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดนอน เช็ดเครื่องสำอางจนเหลือเพียงใบหน้ากลมขาวเกลี้ยงเกลา ล้างหน้าให้สะอาดแล้วคลานขึ้นเตียง
เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน...หรือเกือบปีกระมังที่หล่อนได้นอนเคียงข้างเขา กอดเขาไว้หลวมๆ ซึมซับไออุ่นจากคนที่ได้ชื่อว่าสามี...แก่ๆกันแล้ว ได้เท่านี้ก็พอ จะหมกมุ่นต้องการสิ่งใดมากมายอีกเล่า
ดวงตาคมกล้าเปิดขึ้นช้าๆท่ามกลางความสลัวราง เขานอนไม่หลับ และไม่รู้ว่าอีกกี่ชั่วโมงกว่าจะหลับลงได้ การนอนหลับดูไม่จำเป็นสำหรับเขาเลย ความมืดทำให้เขาตื่นตัวจนอยากสลับมาใช้ชีวิตกลางคืน และนอนหลับกลางวัน แต่หากทำเช่นนั้นเขาจะยิ่งดูเหมือนผีดิบเข้าไปใหญ่ เขาไม่อยากเป็นผี อยากใช้ชีวิตแบบคนปกติธรรมดาทั่วไป
กลิ่นกล้วยไม้ขาวเจือจางอยู่ในอากาศที่เขาสูดเข้าไป...ลมหายใจบ่งบอกความมีชีวิต เผด็จยันกายลุกขึ้นนั่ง มองแจกันกล้วยไม้ที่วิไลวรรณบรรจงจัดแต่งมาประดับห้องนอนทุกวี่ทุกวัน หล่อนว่าวาริชอบกล้วยไม้ขาว นั่นมันวาริ แต่นี่มันเผด็จ เขาไม่ชอบดอกไม้ มันงดงามแต่ดูอ่อนแอ บานอวดความงามให้กลิ่นหอมจรุงไม่นานก็เหี่ยวเฉา
ตายไปแล้วจึงรู้ ชีวิตคนเราก็เฉกเช่นเดียวกับดอกไม้ เต่งตูม เบ่งบาน และวันหนึ่งก็เหี่ยวเฉาโรยรา ส่วนชีวิตของเขาก็คงเหมือนดอกไม้ในแจกันนี่ ถูกเด็ดจากต้นตั้งแต่เบ่งบาน ไร้โอกาสร่วงโรยคาต้นตามธรรมชาติ
‘ไม่ต้องเอาดอกไม้มาปักแจกันแล้วนะครับ’ เขาบอกวิไลวรรณเมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา
‘ทำไมล่ะ ว่านเคยชอบดอกไม้นะ บอกว่ามีอยู่ในห้องแล้วสดชื่นดี’
‘ปล่อยให้มันเหี่ยวร่วงคาต้นไปเถอะ คนอื่นเดินผ่านไปมาจะได้ชื่นชมมันบ้าง เอามาปักแจกันในห้องนี้ ผมก็อยู่ดูวันละไม่กี่ชั่วโมง’
วิไลวรรณมองหน้าเขา คล้ายค้นหาวาริคนเดิมว่าไปซุกซ่อนอยู่ที่ใด ยังหรอก หล่อนยังไม่มีวันหาพบจนกว่าเวลาของเขาจะหมด เมื่อไรกันเล่า...เขาเองก็ไม่รู้รู้แต่ว่าแค่คิดก็ใจหาย ไม่อยากไป
‘ผมอยากฟังเรื่องสมัยผมเด็กๆ’ อยากรู้นักว่าวาริเป็นเด็กแบบใด จึงได้เติบโตมาแบบเซื่องซื่อและอ่อนโยนเช่นนั้น
หากเรื่องราวในวัยเยาว์ของวาริที่กำลังเลื่อนไหลผ่านการบอกเล่าของวิไลวรรณเป็นดั่งสายน้ำ สมองและการรับรู้ของเผด็จก็เปรียบดุจผืนทรายซึ่งซึมซับสายน้ำนั้นไว้ ทุกบททุกตอนเขาจดจำได้แม่นยำ
‘ว่านชอบทะเลมาก ชอบเล่นน้ำ ตอนเด็กๆว่านเล่นน้ำจนเหนื่อยเพลียไปหมด ทำท่าเหมือนตาจะปิดตั้งแต่กินข้าวเย็น’ ภาพเด็กชายวารินั่งตาปรืออยู่บนโต๊ะอาหารถูกหยิบขึ้นมาอวด ‘แต่พอถึงเวลาเข้านอนแทนที่จะหลับ ก็ยังอุตส่าห์มาหนุนตักอ้อนให้แม่เล่านิทานให้ฟัง ขาดนิทานไม่ได้เลย’
เผด็จไม่รู้ว่าความรู้สึกร้อนๆในดวงจิตนี่เรียกว่าความริษยาหรือเปล่า แต่มันส่งผลให้เขาล้มตัวลงนอนบนตักวิไลวรรณ กอดเอวหล่อนไว้ แล้วเอ่ยเสียงอ้อนอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยทำมาก่อน
‘ผมอยากฟังนิทานอีก แม่จำได้ไหมว่าวันนั้นแม่เล่าเรื่องอะไรให้ผมฟัง’
มือนุ่มลูบศีรษะที่มีผมสั้นเกรียนของเขาช้าๆ ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความปรารถนาดี ขนาดเขาไม่ใช่ลูกยังซึมซับรับไว้เต็มหัวใจ ไม่แปลกหรอกหากวาริจะเติบโตมาเป็นชายหนุ่มผู้อบอุ่นอ่อนโยนนุ่มนวลไปทุกกระเบียดนิ้ว...จนน่าหมั่นไส้
น้ำเสียงสดใสเริ่มเล่าเรื่องราวของพินอคคิโอที่ยามโกหกครั้งใด จมูกก็จะยื่นยาวออกมาอย่างเห็นได้ชัด เผด็จเผลอลูบจมูกตัวเองแล้วขำ หากคนเราโกหกแล้วจมูกยื่นออกมาเหมือนเด็กชายในการ์ตูนได้ คงเลิกนิสัยโกหกกันได้เด็ดขาด และเขาเองก็คงไร้โอกาสเข้ามาซุ่มซ่อนอยู่ในร่างของวาริแบบนี้
เผด็จแสร้งทำเป็นหลับเพื่อเปิดใจให้ซึมซับบรรยากาศอบอุ่นระหว่างแม่ลูก ซึ่งเขาโหยหามาตลอดชีวิต วาริโชคดีที่มีแม่แบบวิไลวรรณ หล่อนเติมเต็มในส่วนที่วรุตม์ทำขาดหาย แม้หล่อนจะดูประเปรียวทันสมัย ไม่แคร์สื่อ ไม่แคร์สังคม แต่ยามรับบทแม่ หล่อนทิ้งภาพเหล่านั้นจนหมดสิ้น เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่มีหัวใจรักอันยิ่งใหญ่
ชายหนุ่มรู้ว่าตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับวาริ วิไลวรรณก็ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่มาดูแลบุตรชาย ยอมห่างเหินจากริชาร์ด หล่อนเห็นลูกสำคัญกว่าใครทั้งหมด หล่อนพร้อมทิ้งทุกอย่างเพื่อลูก เหมือนที่วรุตม์พร้อมทิ้งทุกอย่างเพื่องานที่เขารักและชีวิตส่วนตัวแบบที่เขาชอบ
‘เราไปทะเลกันเมื่อไหร่ดีครับ แม่กับริชาร์ดจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน’
เผด็จเป็นฝ่ายออกปากชวนโดยที่ยังคงนอนหลับตาให้วิไลวรรณลูบศีรษะอย่างทะนุถนอมอยู่อย่างนั้น
‘แม่ตั้งใจว่าจะอยู่กับว่านสองคน ใช้เวลากับว่านให้เต็มที่ถ้าริชาร์ดอยู่ด้วย ว่านจะเหงานะรู้ไหม เพราะแม่จะจี๋จ๋ากับริชาร์ดทุกนาที’ หล่อนเอ่ยอย่างคนมีอารมณ์ขัน
เผด็จยิ้มชอบใจ ‘ตามสบายเลยครับ ผมว่าจะชวนเพชรไปด้วย’
‘เขาจะยอมไปเหรอ ว่านเคยเล่าให้แม่ฟังว่าเพชรสนิทกับคุณตินพล และสงสัยว่าเขาจะชอบๆกันอยู่’
เผด็จลืมตา ทำเสียงหยัน ‘หมอนั่นนะเหรอ’ ใจนึกถึงผู้หญิงที่พ่อดาราหนุ่มคิวทองแอบซุกไว้ในคอนโด คิดแล้วก็สงสาร ยิ่งตามอ่านข่าวตินพลย้อนหลัง ยิ่งเห็นว่าเขาคบใครได้ไม่นานก็เลิก ไม่รู้เธอผู้นั้นจะมีชะตากรรมเช่นไร แต่ที่รู้ๆ เผด็จไม่อยากให้น้ำหนึ่งตกอยู่ในสภาพเดียวกับสาวๆที่ตินพลเคยควง
‘ผมว่าตอนนี้เขาไม่สนใจเพชรหรอกครับ เพราะมีคนอื่นน่าสนใจกว่า’
วิไลวรรณทำหน้าฉงน คงสงสัยว่าเขาไปรู้อะไรมา แต่ก็มิได้ถาม กลับเอ่ยว่า
‘ถ้าว่านมั่นใจแบบนั้นก็เอาสิ ชวนเพชรไปด้วย ว่านพร้อมเมื่อไหร่ล่ะ’
‘ปลายเดือนนี้ก็ได้ครับ’
เมื่อได้ข้อสรุป เขาก็แกล้งอ้อนขอนิทานอีกเรื่อง ใครว่าผู้ชายไร้มารยา...ไม่จริง ห้าร้อยเล่มเกวียนของผู้หญิงน่ะ มักแพ้ลูกอ้อนของผู้ชายเสมอ
คราวนี้เผด็จแสร้งทำเป็นหลับคาตักไปอย่างนั้นเอง เขาอยากเป็นเด็กอีกครั้ง และอยากเป็นเด็กชายวาริ สหทรัพย์ เสียด้วยสิ
******************************
ทักทายท้ายเรื่อง
คาดว่าตอนนี้คงจะทำให้คนที่เชียร์วาริหมั่นไส้เผด็จมากมาย แต่ฮีฝากบอกมาว่าฮีไม่สนนะ ฮียืนยันว่าระหว่างที่วาริไม่อยู่ ฮีจะปฏิบัติหน้าที่แทนอย่างเต็มความสามารถ ๕๕๕
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นพระรอง ต้องติดตามจนจบโน่นแหละค่ะกว่าจะรู้ แต่เชื่อเถอะ คนอย่างเผด็จ ไม่มีใครยัดเยียดตำแหน่งพระรองให้เขาได้หรอก เพราะเขาจะทำตัวเป็นพระเอกในแบบของเขาตลอดเวลา
น้องยิ้มจัง ใช่ค่ะ บ้านเป็นสถานที่พักกายพักใจที่ดีที่สุด และจะดีมากถ้าบ้านนั้นไม่รุมร้อนหรือเยียบเย็นจนคนอยู่ไม่เป็นสุข
ยายเกศราซ่าแสบ เธอยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยนะ มีเบื้องลึกเบื้องหลังอันใดสารภาพมาเสียดีๆ
น้องหนอนน้ออยดังกี้ ช่วงนี้แบ่งลง อาจมีสั้นบ้างยาวบ้าง เดี๋ยวท้ายๆจะลงเต็มตอนเลยจ้า อ่านที่น้องหนอนมโมแล้วพี่เสียวด้านหลังวาบๆ แต่เหมือนจะไม่ใช่หนอนคนเดียวที่คาดเดาเช่นนั้น เอาเถอะ จะมโนอันใดก็เอา แล้วมาลุ้นกันว่าหวยจะออกที่ใคร ถ้าเป็นครูฤทธิ์ละก็...ฮาาาา
คุณโกลเด้นท์ซัน เรื่องผีประจำตึกนี่เล่าลือกันมาจนคนฟังเองยังสยอง ยิ่งมโนภาพตอนเขียนดึกๆแล้ว กรึ๋ยยย รักแรกของวรุตม์เป็นใคร นั่นสิ นั่นสิ
คุณสุขุมวิท ๖๖ อิฉันได้กลลิ่น Y คละคลุ้งจากคอมเม้นท์ของนักอ่านนี่แหละค่ะ ๕๕๕ แต่ละคน เม้นท์มาแบบว้ายยยย วาย
คุณหมีบุลินทร แต่วิไลวรรณก็เป็นฝ่ายยินดีให้คลุมนะ แต่พอเปิดถุงมาดูแล้วตาชักสว่าง นางเลยไประเริงที่อื่นดีกว่า
ไอ้พี่เก้า พักนี้ลงก่อนตลอดๆ ขยันนักนะ
คุณ Minnie Befearm สองเพลงที่นึกถึงได้อารมณ์มาก เพลงแรกพาให้คิดถึงประโยคนี้ เลือด เลือด ข้าต้องการเลือดดดดด
คำตอบเด่นชัดในใจ เพราะสิ่งที่เขารักล้วนอยู่นอกบ้านอย่างไรล่ะ ทั้งการงานและผู้คน
จริงหรือ...ความคิดฟุ้งซ่านตามติดเขาไปทุกฝีก้าว หากบ้านนี้ไม่มีคนที่เขารัก เขาจะมาหยุดยืนตรงนี้ทำไม...หน้าห้องนอนวาริ
มือกำหลวมๆเตรียมเคาะชะงักค้าง เมื่อประตูห้องถูกเปิดออกมาจากด้านในอย่างแผ่วเบา ระมัดระวัง
เห็นชัดว่าคนที่กำลัง ‘ย่อง’ ออกจากห้องสะดุ้งเมื่อเงยหน้าขึ้นมาพบเขา
“ทำไมต้องทำลับๆล่อๆแบบนี้ด้วยล่ะวี”
วิไลวรรณยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากตนเองส่งสัญญาณไม่ให้เขาเสียงดัง ปิดประตูห้องแล้วนั่นละ หล่อนจึงกล้าพูดเต็มเสียง
“ว่านหลับน่ะ”
ขณะเดินเคียงกันไปตามโถงทางเดิน วรุตม์อดถามไม่ได้
“ทำไมวันนี้อยู่บ้านได้ล่ะ”
วิไลวรรณหันขวับมามองหน้า แววตาหมางเมิน
“ฉันอยู่ติดบ้านตั้งแต่ลูกบาดเจ็บ มีแต่คุณนั่นแหละที่ไม่เคยอยู่ดู”
วรุตม์เข้าใจโดยที่หล่อนไม่ต้องแจกแจงละเอียด ที่ว่าไม่เคยอยู่ดู ใช่ว่าไม่อยู่ดูว่าเธออยู่ติดบ้าน แต่ไม่อยู่ดูอาการลูกต่างหาก
“ถึงไม่เคยอยู่ดู แต่ก็เป็นห่วง” เขาสารภาพ และไม่รอให้หล่อนยอกย้อนเยาะเย้ยใดๆ รีบถามต่อโดยพลัน “ว่านเป็นไงบ้าง พอจะจำอะไรได้บ้างหรือยัง”
คงมีเรื่องลูกเรื่องเดียวกระมังที่จะฉุดรั้งวิไลวรรณให้ยอมคุยกับเขาได้นานๆ หล่อนถอนหายใจหนักหน่วงพลางส่ายหน้าช้าๆ กระแสความกลัดกลุ้มกังวลขังอยู่ในดวงตาคู่สวย
“ไม่เลยค่ะ ฉันรู้สึกว่าคนที่ฉันพูดคุยด้วยไม่ใช่ลูกเรายังไงก็ไม่รู้ เขาไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย อยู่ดีๆก็ลุกขึ้นมาไว้หนวดเคราเสียหน้าเข้มแทบจำไม่ได้ ของที่ชอบก็กลับไม่ชอบ รู้ไหมวันนี้ว่านอยากกินอะไร”
เขาไม่ได้คาดเดา เพียงแค่เลิกคิ้วด้วยความสงสัย อีกฝ่ายก็เปิดปากเล่า
“ลาบเลือดค่ะ ร้อยวันพันปีว่านเคยแตะของพวกนี้ที่ไหนกัน แต่ก็แปลกนะ...” สาวใหญ่เอียงคอครุ่นคิด ท่าทางไม่รู้ตัวสักนิดว่าเดินตามวรุตม์เข้ามาในห้องนอนใหญ่แล้ว
ครั้งหนึ่งหล่อนก็เคยนอนในห้องนี้ ก่อนแยกออกไปนอนห้องว่างซึ่งอยู่ติดกันเพราะยอมรับพฤติกรรมของเขาไม่ได้
หล่อนเงียบไปนานจนเขาต้องถามด้วยความอยากรู้
“แปลกยังไง”
“พอกินลาบเลือดเข้าไป ว่านก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที หน้าตาเนื้อตัวที่ดูซีดๆก็มีสีสันขึ้น”
“ตอนเกิดอุบัติเหตุคงเสียเลือดเยอะมั้ง เลยต้องการเลือดเข้าไปเพิ่ม”
“ก็คงแบบนั้นแหละ” วิไลวรรณเออออ แต่หน้าตาดูไม่เห็นด้วยเท่าใดนัก “แล้ววันนี้ตอนหัวค่ำ ฉันเล่าเรื่องสมัยเขาเด็กๆให้ฟัง คุณรู้ไหมคะว่าว่านพูดยังไง”
วรุตม์รู้ว่าคนถามไม่ต้องการคำตอบ แต่หล่อนต้องการเล่าความแปลกประหลาดของบุตรชายผู้สูญเสียความทรงจำ ความหลากใจขับไล่แววกังวลในดวงตาหล่อนไปจนสิ้น
“ว่านมานอนหนุนตัก ขอให้ฉันเล่านิทานให้ฟัง พอเล่าให้ฟังก็หลับปุ๋ยไปอย่างกับเด็กที่เล่นซนมาทั้งวันจนหมดแรง ทั้งที่คืนก่อนๆฉันแอบเห็นว่านนอนไม่หลับ ลงไปเดินเล่นข้างล่างจนดึกดื่นค่อนคืน”
“คงอยากรำลึกถึงอดีตมั้ง”
“ก็ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะ ไม่ใช่สมองกลับตาลปัตรไปเป็นเด็กอีกหนหรอกนะ”
คนฟังยิ้ม พลางส่ายหน้า “ไม่หรอก เด็กที่ไหนจะมาเถียงผมฉอดๆ แถมพูดมาแต่ละคำ ผมไม่รู้จะตอบโต้ยังไง วีก็ได้ยินไม่ใช่เหรอ วันที่ออกจากโรงพยาบาล”
วิไลวรรณพยักหน้าช้าๆ แววตาบอกชัดว่ารำลึกนึกถึงเรื่องราววันนั้นได้ และเหมือนหล่อนจะรู้ตัวว่าก้าวล้ำเข้ามาในห้องนอนใหญ่ของวรุตม์เข้าแล้ว จึงรีบขอตัวกลับไปนอน
“เดี๋ยวสิวี” พร้อมกับเรียก วรุตม์คว้าแขนภรรยาไว้ รีบเอ่ยต่อโดยไม่รอให้หล่อนถาม “ขอบใจนะที่ดูแลลูกเรามาอย่างดี ตั้งแต่เล็กจนโต ถ้าไม่มีวี ก็ไม่รู้ว่าว่านจะโตมาเป็นแบบไหน...ผม...ผมไม่อยากให้เขาเหมือนผม”
ริมฝีปากบอบบางเหยียดยิ้มเยาะหยัน สะบัดแขนหลุดจากพันธนาการพลางส่งเสียงหึในลำคอ
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ เพราะฉันไม่ได้ทำตามหน้าที่ ไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำตามที่หัวใจต้องการและมีความสุขที่ได้ทำ ฉันไม่เคยลืมว่าลูกเกิดจากความรักของฉัน...ของฉันคนเดียว” ท้ายประโยคเครือจนเกือบสะอื้น
เหมือนมีก้อนแข็งๆแล่นมาจุกตรงคอหอย วรุตม์พูดไม่ออก แต่ในที่สุด เขาก็เอ่ยสิ่งที่ตนต้องการออกมาจนได้ วิไลวรรณทำตามที่หัวใจต้องการฉันใด วรุตม์ก็ทำฉันนั้น
“คุณสนิทกับว่านมาก ว่านเชื่อฟังคุณ คุณน่าจะช่วยเกลี้ยกล่อมให้ลูกกลับไปทำงานได้ สหทรัพย์ต้องการเขา”
ต้องการไปสืบสานต่อยอดความเจริญรุ่งเรือง เสริมส่งความยิ่งใหญ่ในตลาดน้ำเมา วรุตม์ไม่ต้องการให้สิ่งที่เขาก่อร่างสร้างขึ้นจบอยู่แค่คนรุ่นเขา มันต้องถูกสืบทอดส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลาน ชื่อเขาจะต้องถูกจารึกไว้รำลึกจดจำในฐานะผู้สร้าง
“ขอโทษค่ะ ฉันทำไม่ได้”
วิไลวรรณก้าวถอยหลังออกห่างจากเขาด้วยท่าทีรังเกียจ
“ความสุขของลูกสำคัญกว่าความสุขของคุณค่ะ คุณมันเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ความสุขของตัวเองยังไม่พอ ยังคิดเบียดเบียนยัดเยียดความทุกข์ให้คนอื่นเพื่อให้ตัวเองได้ในสิ่งที่ต้องการ คุณทำกับฉันได้ แต่ฉันไม่มีทางให้คุณทำกับว่านได้อีกเด็ดขาด ว่านทนทำเพื่อคุณมามากพอแล้ว ลูกรอดตายมาครั้งนี้ ควรได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรักบ้าง ไม่ใช่ก้มหน้ารับใช้คุณไปทั้งชาติ” หล่อนกางปีกปกป้องบุตรชายเต็มที่ “คุณจะเอาเปรียบฉันอย่างไรฉันไม่ว่า เพราะฉันหาทางเอาคืนได้เท่ากัน แต่คุณเป็นพ่อประสาอะไร คิดจะเอาเปรียบกระทั่งลูก”
“ผมไม่ได้เอาเปรียบ ผมแค่มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้เขา”
“ดีที่สุดสำหรับคุณคนเดียวน่ะสิ เลิกคิดเรื่องนี้ไปได้เลย เชิญคุณมีความสุขในอาณาจักรของคุณ ในโลกของคุณเถอะ”
วิไลวรรณเดินกระแทกเท้าออกไปแล้ว วรุตม์ซวนเซไปนั่งบนเตียง มือใหญ่กดบริเวณชายโครงขวาซึ่งเจ็บแปลบขึ้นมาอีกแล้ว ร่างกายล้าแรงจนต้องล้มตัวลงนอนไปทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำผลัดเสื้อผ้า
ในวัยเพียงห้าสิบปี เขาหมดสิ้นเรี่ยวแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ
คู่ทุกข์คู่ยากมันเป็นแบบนี้นี่เอง มาลินบ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจ ขณะชุบผ้าขนหนูผืนเล็กลงในอ่างแก้วใบย่อมซึ่งบรรจุน้ำอุ่นอยู่ค่อนอ่าง บิดจนหมาดแล้วนำไปเช็ดตัวให้คนบนเตียงซึ่งนอนซมด้วยพิษไข้ แม้ไม่ถึงกับสลบไสลไม่ได้สติ แต่ก็ดูสะลึมสะลือคล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่น มาลินพันผ้ารอบฝ่ามือแล้วเช็ดทวนรูขุมขนเพื่อระบายความร้อน
สตรีวัย ๕๒ มองสามีแล้วถอนหายใจ ไม่ควรเลย...ไม่ควรสงสารเขาเลยจริงๆ ไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องยกเลิกนัดและป่านนี้ก็คงมีความสุขสำราญบานใจไปแล้ว ไม่ต้องมาอดตาหลับขับตานอนเฝ้าเช็ดตัวคนป่วยอยู่แบบนี้ มันเป็นงานน่าเบื่อมากถึงมากที่สุด
แล้วเต็มใจทำหรือเปล่า...แน่นอนละ คนอย่างมาลิน หากไม่เต็มใจใครก็บังคับไม่ได้ คิดถึงตรงนี้หล่อนก็ถอนหายใจออกมาอีกคำรบ
หล่อนเข้าใจว่าความรักของหล่อนเลือนหายไปนานแล้ว ตั้งแต่รู้ความจริงว่ารัฐมนตรีบดินทร์มิอาจให้ความสุขกับตนได้เช่นคู่สามีภรรยาทั่วไป แต่ความจริงแล้วรักนั้นยังคงอยู่ แต่เป็นหล่อนเองที่เกลื่อนกลบมันไว้ด้วยไม่อยากสมเพชเวทนาตนเอง ความต้องการอันมากล้นไม่ได้รับการเติมเต็ม หล่อนต้องออกไปแสวงหาความสุขนอกบ้านจนเคยชินและแทบขาดไม่ได้ หากคนเป็นสามีไม่ป่วยถึงขั้นล้มหมอนอนเสื่อ เชื่อว่าหล่อนก็คงยังไม่ย้อนกลับมามองใจตนเองอย่างที่กำลังกระทำอยู่ตอนนี้
ถ้าวันหนึ่งเขายอมหย่าตามคำท้าของหล่อนจริงเล่า จะทำอย่างไร เพียงคิด มาลินก็ใจหาย
“ขอบใจนะที่อยู่ดูแล” เสียงแผ่วโหยลอดผ่านริมฝีปากบุรุษวัย ๕๕ ปีที่นอนซมอยู่บนเตียง
มาลินละความสนใจจากผ้าขนหนูในมือ ช้อนสายตาขึ้นมอง พบรอยยิ้มบางๆ ดวงตาหรี่โรยด้วยพิษไข้
“ฉันเป็นภรรยา ก็ต้องดูแลสามีสิ” หล่อนตอบเสียงสะบัด ใจกระหวัดถึงความสุขที่รออยู่นอกบ้าน
“ทั้งที่ฉันไม่เคยทำหน้าที่สามีที่ดีเลย”
“ถ้าพูดมากได้ขนาดนี้แปลว่าหายแล้วสิ งั้นก็ดูแลตัวเองไปละกัน” มาลินทิ้งผ้าขนหนูลงอ่างน้ำอย่างไม่อินังขังขอบ หล่อนไม่ชอบให้ใครมาจี้จุดด้อยในชีวิตคู่ของตน แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นสามีหล่อนเองก็ตาม
ภรรยารัฐมนตรีปึงปังลงจากเตียง เดินหายไปยังห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ซึ่งมีประตูเชื่อมถึงกัน แต่งตัวเสร็จจึงหยิบกระเป๋าสะพาย แต่แล้วมือข้างนั้นก็ตกลงข้างตัว กระเป๋าถูกวางลงดังเดิม เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดนอน เช็ดเครื่องสำอางจนเหลือเพียงใบหน้ากลมขาวเกลี้ยงเกลา ล้างหน้าให้สะอาดแล้วคลานขึ้นเตียง
เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน...หรือเกือบปีกระมังที่หล่อนได้นอนเคียงข้างเขา กอดเขาไว้หลวมๆ ซึมซับไออุ่นจากคนที่ได้ชื่อว่าสามี...แก่ๆกันแล้ว ได้เท่านี้ก็พอ จะหมกมุ่นต้องการสิ่งใดมากมายอีกเล่า
ดวงตาคมกล้าเปิดขึ้นช้าๆท่ามกลางความสลัวราง เขานอนไม่หลับ และไม่รู้ว่าอีกกี่ชั่วโมงกว่าจะหลับลงได้ การนอนหลับดูไม่จำเป็นสำหรับเขาเลย ความมืดทำให้เขาตื่นตัวจนอยากสลับมาใช้ชีวิตกลางคืน และนอนหลับกลางวัน แต่หากทำเช่นนั้นเขาจะยิ่งดูเหมือนผีดิบเข้าไปใหญ่ เขาไม่อยากเป็นผี อยากใช้ชีวิตแบบคนปกติธรรมดาทั่วไป
กลิ่นกล้วยไม้ขาวเจือจางอยู่ในอากาศที่เขาสูดเข้าไป...ลมหายใจบ่งบอกความมีชีวิต เผด็จยันกายลุกขึ้นนั่ง มองแจกันกล้วยไม้ที่วิไลวรรณบรรจงจัดแต่งมาประดับห้องนอนทุกวี่ทุกวัน หล่อนว่าวาริชอบกล้วยไม้ขาว นั่นมันวาริ แต่นี่มันเผด็จ เขาไม่ชอบดอกไม้ มันงดงามแต่ดูอ่อนแอ บานอวดความงามให้กลิ่นหอมจรุงไม่นานก็เหี่ยวเฉา
ตายไปแล้วจึงรู้ ชีวิตคนเราก็เฉกเช่นเดียวกับดอกไม้ เต่งตูม เบ่งบาน และวันหนึ่งก็เหี่ยวเฉาโรยรา ส่วนชีวิตของเขาก็คงเหมือนดอกไม้ในแจกันนี่ ถูกเด็ดจากต้นตั้งแต่เบ่งบาน ไร้โอกาสร่วงโรยคาต้นตามธรรมชาติ
‘ไม่ต้องเอาดอกไม้มาปักแจกันแล้วนะครับ’ เขาบอกวิไลวรรณเมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา
‘ทำไมล่ะ ว่านเคยชอบดอกไม้นะ บอกว่ามีอยู่ในห้องแล้วสดชื่นดี’
‘ปล่อยให้มันเหี่ยวร่วงคาต้นไปเถอะ คนอื่นเดินผ่านไปมาจะได้ชื่นชมมันบ้าง เอามาปักแจกันในห้องนี้ ผมก็อยู่ดูวันละไม่กี่ชั่วโมง’
วิไลวรรณมองหน้าเขา คล้ายค้นหาวาริคนเดิมว่าไปซุกซ่อนอยู่ที่ใด ยังหรอก หล่อนยังไม่มีวันหาพบจนกว่าเวลาของเขาจะหมด เมื่อไรกันเล่า...เขาเองก็ไม่รู้รู้แต่ว่าแค่คิดก็ใจหาย ไม่อยากไป
‘ผมอยากฟังเรื่องสมัยผมเด็กๆ’ อยากรู้นักว่าวาริเป็นเด็กแบบใด จึงได้เติบโตมาแบบเซื่องซื่อและอ่อนโยนเช่นนั้น
หากเรื่องราวในวัยเยาว์ของวาริที่กำลังเลื่อนไหลผ่านการบอกเล่าของวิไลวรรณเป็นดั่งสายน้ำ สมองและการรับรู้ของเผด็จก็เปรียบดุจผืนทรายซึ่งซึมซับสายน้ำนั้นไว้ ทุกบททุกตอนเขาจดจำได้แม่นยำ
‘ว่านชอบทะเลมาก ชอบเล่นน้ำ ตอนเด็กๆว่านเล่นน้ำจนเหนื่อยเพลียไปหมด ทำท่าเหมือนตาจะปิดตั้งแต่กินข้าวเย็น’ ภาพเด็กชายวารินั่งตาปรืออยู่บนโต๊ะอาหารถูกหยิบขึ้นมาอวด ‘แต่พอถึงเวลาเข้านอนแทนที่จะหลับ ก็ยังอุตส่าห์มาหนุนตักอ้อนให้แม่เล่านิทานให้ฟัง ขาดนิทานไม่ได้เลย’
เผด็จไม่รู้ว่าความรู้สึกร้อนๆในดวงจิตนี่เรียกว่าความริษยาหรือเปล่า แต่มันส่งผลให้เขาล้มตัวลงนอนบนตักวิไลวรรณ กอดเอวหล่อนไว้ แล้วเอ่ยเสียงอ้อนอย่างที่ชีวิตนี้ไม่เคยทำมาก่อน
‘ผมอยากฟังนิทานอีก แม่จำได้ไหมว่าวันนั้นแม่เล่าเรื่องอะไรให้ผมฟัง’
มือนุ่มลูบศีรษะที่มีผมสั้นเกรียนของเขาช้าๆ ทั้งอบอุ่นและอ่อนโยนเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักความปรารถนาดี ขนาดเขาไม่ใช่ลูกยังซึมซับรับไว้เต็มหัวใจ ไม่แปลกหรอกหากวาริจะเติบโตมาเป็นชายหนุ่มผู้อบอุ่นอ่อนโยนนุ่มนวลไปทุกกระเบียดนิ้ว...จนน่าหมั่นไส้
น้ำเสียงสดใสเริ่มเล่าเรื่องราวของพินอคคิโอที่ยามโกหกครั้งใด จมูกก็จะยื่นยาวออกมาอย่างเห็นได้ชัด เผด็จเผลอลูบจมูกตัวเองแล้วขำ หากคนเราโกหกแล้วจมูกยื่นออกมาเหมือนเด็กชายในการ์ตูนได้ คงเลิกนิสัยโกหกกันได้เด็ดขาด และเขาเองก็คงไร้โอกาสเข้ามาซุ่มซ่อนอยู่ในร่างของวาริแบบนี้
เผด็จแสร้งทำเป็นหลับเพื่อเปิดใจให้ซึมซับบรรยากาศอบอุ่นระหว่างแม่ลูก ซึ่งเขาโหยหามาตลอดชีวิต วาริโชคดีที่มีแม่แบบวิไลวรรณ หล่อนเติมเต็มในส่วนที่วรุตม์ทำขาดหาย แม้หล่อนจะดูประเปรียวทันสมัย ไม่แคร์สื่อ ไม่แคร์สังคม แต่ยามรับบทแม่ หล่อนทิ้งภาพเหล่านั้นจนหมดสิ้น เป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่มีหัวใจรักอันยิ่งใหญ่
ชายหนุ่มรู้ว่าตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงกับวาริ วิไลวรรณก็ทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่มาดูแลบุตรชาย ยอมห่างเหินจากริชาร์ด หล่อนเห็นลูกสำคัญกว่าใครทั้งหมด หล่อนพร้อมทิ้งทุกอย่างเพื่อลูก เหมือนที่วรุตม์พร้อมทิ้งทุกอย่างเพื่องานที่เขารักและชีวิตส่วนตัวแบบที่เขาชอบ
‘เราไปทะเลกันเมื่อไหร่ดีครับ แม่กับริชาร์ดจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน’
เผด็จเป็นฝ่ายออกปากชวนโดยที่ยังคงนอนหลับตาให้วิไลวรรณลูบศีรษะอย่างทะนุถนอมอยู่อย่างนั้น
‘แม่ตั้งใจว่าจะอยู่กับว่านสองคน ใช้เวลากับว่านให้เต็มที่ถ้าริชาร์ดอยู่ด้วย ว่านจะเหงานะรู้ไหม เพราะแม่จะจี๋จ๋ากับริชาร์ดทุกนาที’ หล่อนเอ่ยอย่างคนมีอารมณ์ขัน
เผด็จยิ้มชอบใจ ‘ตามสบายเลยครับ ผมว่าจะชวนเพชรไปด้วย’
‘เขาจะยอมไปเหรอ ว่านเคยเล่าให้แม่ฟังว่าเพชรสนิทกับคุณตินพล และสงสัยว่าเขาจะชอบๆกันอยู่’
เผด็จลืมตา ทำเสียงหยัน ‘หมอนั่นนะเหรอ’ ใจนึกถึงผู้หญิงที่พ่อดาราหนุ่มคิวทองแอบซุกไว้ในคอนโด คิดแล้วก็สงสาร ยิ่งตามอ่านข่าวตินพลย้อนหลัง ยิ่งเห็นว่าเขาคบใครได้ไม่นานก็เลิก ไม่รู้เธอผู้นั้นจะมีชะตากรรมเช่นไร แต่ที่รู้ๆ เผด็จไม่อยากให้น้ำหนึ่งตกอยู่ในสภาพเดียวกับสาวๆที่ตินพลเคยควง
‘ผมว่าตอนนี้เขาไม่สนใจเพชรหรอกครับ เพราะมีคนอื่นน่าสนใจกว่า’
วิไลวรรณทำหน้าฉงน คงสงสัยว่าเขาไปรู้อะไรมา แต่ก็มิได้ถาม กลับเอ่ยว่า
‘ถ้าว่านมั่นใจแบบนั้นก็เอาสิ ชวนเพชรไปด้วย ว่านพร้อมเมื่อไหร่ล่ะ’
‘ปลายเดือนนี้ก็ได้ครับ’
เมื่อได้ข้อสรุป เขาก็แกล้งอ้อนขอนิทานอีกเรื่อง ใครว่าผู้ชายไร้มารยา...ไม่จริง ห้าร้อยเล่มเกวียนของผู้หญิงน่ะ มักแพ้ลูกอ้อนของผู้ชายเสมอ
คราวนี้เผด็จแสร้งทำเป็นหลับคาตักไปอย่างนั้นเอง เขาอยากเป็นเด็กอีกครั้ง และอยากเป็นเด็กชายวาริ สหทรัพย์ เสียด้วยสิ
******************************
ทักทายท้ายเรื่อง
คาดว่าตอนนี้คงจะทำให้คนที่เชียร์วาริหมั่นไส้เผด็จมากมาย แต่ฮีฝากบอกมาว่าฮีไม่สนนะ ฮียืนยันว่าระหว่างที่วาริไม่อยู่ ฮีจะปฏิบัติหน้าที่แทนอย่างเต็มความสามารถ ๕๕๕
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ ใครจะเป็นพระเอก ใครจะเป็นพระรอง ต้องติดตามจนจบโน่นแหละค่ะกว่าจะรู้ แต่เชื่อเถอะ คนอย่างเผด็จ ไม่มีใครยัดเยียดตำแหน่งพระรองให้เขาได้หรอก เพราะเขาจะทำตัวเป็นพระเอกในแบบของเขาตลอดเวลา
น้องยิ้มจัง ใช่ค่ะ บ้านเป็นสถานที่พักกายพักใจที่ดีที่สุด และจะดีมากถ้าบ้านนั้นไม่รุมร้อนหรือเยียบเย็นจนคนอยู่ไม่เป็นสุข
ยายเกศราซ่าแสบ เธอยังตกเป็นผู้ต้องสงสัยนะ มีเบื้องลึกเบื้องหลังอันใดสารภาพมาเสียดีๆ
น้องหนอนน้ออยดังกี้ ช่วงนี้แบ่งลง อาจมีสั้นบ้างยาวบ้าง เดี๋ยวท้ายๆจะลงเต็มตอนเลยจ้า อ่านที่น้องหนอนมโมแล้วพี่เสียวด้านหลังวาบๆ แต่เหมือนจะไม่ใช่หนอนคนเดียวที่คาดเดาเช่นนั้น เอาเถอะ จะมโนอันใดก็เอา แล้วมาลุ้นกันว่าหวยจะออกที่ใคร ถ้าเป็นครูฤทธิ์ละก็...ฮาาาา
คุณโกลเด้นท์ซัน เรื่องผีประจำตึกนี่เล่าลือกันมาจนคนฟังเองยังสยอง ยิ่งมโนภาพตอนเขียนดึกๆแล้ว กรึ๋ยยย รักแรกของวรุตม์เป็นใคร นั่นสิ นั่นสิ
คุณสุขุมวิท ๖๖ อิฉันได้กลลิ่น Y คละคลุ้งจากคอมเม้นท์ของนักอ่านนี่แหละค่ะ ๕๕๕ แต่ละคน เม้นท์มาแบบว้ายยยย วาย
คุณหมีบุลินทร แต่วิไลวรรณก็เป็นฝ่ายยินดีให้คลุมนะ แต่พอเปิดถุงมาดูแล้วตาชักสว่าง นางเลยไประเริงที่อื่นดีกว่า
ไอ้พี่เก้า พักนี้ลงก่อนตลอดๆ ขยันนักนะ
คุณ Minnie Befearm สองเพลงที่นึกถึงได้อารมณ์มาก เพลงแรกพาให้คิดถึงประโยคนี้ เลือด เลือด ข้าต้องการเลือดดดดด

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.ย. 2557, 03:51:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.ย. 2557, 03:51:01 น.
จำนวนการเข้าชม : 1317
<< บทที่ ๑๐ (จบตอน) | บทที่ ๑๑ (จบตอน) >> |


ketza 26 ก.ย. 2557, 06:35:59 น.
มาแล้วค้าาา
มาแล้วค้าาา

yimyum 26 ก.ย. 2557, 07:26:52 น.
เผด็จจะกลายเป็นเด็กชายแล้ว 555
เผด็จจะกลายเป็นเด็กชายแล้ว 555

นักอ่านเหนียวหนึบ 26 ก.ย. 2557, 08:42:20 น.
ชิชะ เด็กขี้อิจฉา!!
คิดจะแย่งทุกอย่างไปจากเฮียริใช่มะ
แย่งร่างกาย แย่งแฟน แย่งกระทั่งแม่ นี่มันซีนพระเอกจรงไหนยะ ชริๆๆ รีบไปเลยนั เด๋วใจอ่อนนน 5555
ชิชะ เด็กขี้อิจฉา!!
คิดจะแย่งทุกอย่างไปจากเฮียริใช่มะ
แย่งร่างกาย แย่งแฟน แย่งกระทั่งแม่ นี่มันซีนพระเอกจรงไหนยะ ชริๆๆ รีบไปเลยนั เด๋วใจอ่อนนน 5555

ketza 26 ก.ย. 2557, 09:04:23 น.
อ้าว เผด็จเริ่มเคลิ้มมม คุณแม่คนสวยก็น่าร๊ากกกก
อ้าว เผด็จเริ่มเคลิ้มมม คุณแม่คนสวยก็น่าร๊ากกกก

Barby 26 ก.ย. 2557, 09:57:35 น.
ชอบประโยคที่ว่า มารยาผู้หญิงแพ้ลูกอ้อนของผู้ชาย555
มาลินคงไม้กิ๊กกับวรุตหรอกนะ
ชอบประโยคที่ว่า มารยาผู้หญิงแพ้ลูกอ้อนของผู้ชาย555
มาลินคงไม้กิ๊กกับวรุตหรอกนะ

ดังปัณณ์ 26 ก.ย. 2557, 11:22:03 น.
บ่องตง ถ้าเป็นครูฤทธิ์ หนอนจะวิ่งไปผูกคอตายใต้ต้นผักชี! กร๊ากกกกกกกกกกกกก
เด็จจี้นี่นางอ้อนมากอ่ะ ขุ่นพี่ภาวี่ อ้อนได้อย่างน่าหมั่นไส้ แต่วรุฒน์นี่เห็นแก่ตัวเองจริงๆแฮะ ถือเอาความรักความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่จริงๆ คงเป็นที่การถูกปลูกฝังจินะ นี่ฮีเป็นโรคหัวใจอีก จะรอดได้อีกกี่ตอนล่ะนั่น หุๆๆ
ขุ่นพี่...ตอนนี้มโนเกิน 50% เรื่องนี้มีคู่เกย์ฟันธง! 555+
บ่องตง ถ้าเป็นครูฤทธิ์ หนอนจะวิ่งไปผูกคอตายใต้ต้นผักชี! กร๊ากกกกกกกกกกกกก
เด็จจี้นี่นางอ้อนมากอ่ะ ขุ่นพี่ภาวี่ อ้อนได้อย่างน่าหมั่นไส้ แต่วรุฒน์นี่เห็นแก่ตัวเองจริงๆแฮะ ถือเอาความรักความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่จริงๆ คงเป็นที่การถูกปลูกฝังจินะ นี่ฮีเป็นโรคหัวใจอีก จะรอดได้อีกกี่ตอนล่ะนั่น หุๆๆ
ขุ่นพี่...ตอนนี้มโนเกิน 50% เรื่องนี้มีคู่เกย์ฟันธง! 555+


goldensun 26 ก.ย. 2557, 18:59:08 น.
กลายเป็นผีขี้อิจฉาไปซะแล้ว เผด็จแค่สวมร่าง ไม่ได้กลายเป็นคนแน่ ยังรับส่วนบุญแล้วอิ่ม
แต่ที่กินลาบเลือดนี่ เพราะหนีนรกมา เลยชอบคาวๆ รึเปล่าคะ
บทจะเนื้อหอม น้ำหนึ่งถูกรุมชอบแล้ว ก็วาริทั้งตัวจริง ตัวปลอม ปักใจกับน้ำหนึ่งทั้งคู่เลย
กลายเป็นผีขี้อิจฉาไปซะแล้ว เผด็จแค่สวมร่าง ไม่ได้กลายเป็นคนแน่ ยังรับส่วนบุญแล้วอิ่ม
แต่ที่กินลาบเลือดนี่ เพราะหนีนรกมา เลยชอบคาวๆ รึเปล่าคะ
บทจะเนื้อหอม น้ำหนึ่งถูกรุมชอบแล้ว ก็วาริทั้งตัวจริง ตัวปลอม ปักใจกับน้ำหนึ่งทั้งคู่เลย

บุลินทร 26 ก.ย. 2557, 19:11:53 น.
ภาวินมาลงเกือบตีสี่ ยังไม่นอนหรือเพิ่งตื่นนั่น / ตอนนี้แต่ละครอบครัวก็ต่างมีปมปัญหากันทั้งน้านนน
ภาวินมาลงเกือบตีสี่ ยังไม่นอนหรือเพิ่งตื่นนั่น / ตอนนี้แต่ละครอบครัวก็ต่างมีปมปัญหากันทั้งน้านนน