วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๒ (ครึ่งแรก)

“อะไรนะ!” น้ำเสียงคนเอ่ยเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว ดึงสายตาเผด็จจากกรอบรูปบนผนังห้องรับแขก...รูปน้ำหนึ่งยืนอยู่ระหว่างชายหนุ่มมาดดีสองคน คนหนึ่งนั้นเขาจำได้ว่าคือตินพล ท่าทางเธอสนิทสนมกับสองคนนี้มากจึงยอมให้โอบไหล่กอดคอกันได้...แล้วไอ้วาริมันมัวเซ่ออยู่ที่ไหนวะ ทั้งที่เป็นเพื่อนสนิทเหมือนกันแท้ๆ แต่ทำได้แค่มองๆดมๆ ดูเถอะ แค่เอานิ้วแตะนิดเดียว แม่ยังตบเสียมือเกือบหลุด

“เธอถ่อสังขารมาถึงนี่ เพราะนึกได้ว่าจะถามเราว่าปลายเดือนนี้ว่างหรือเปล่า แค่เนี้ยนะ”

“มันอาจเป็นเรื่องแค่นี้สำหรับเธอ แต่สำหรับฉัน มันสำคัญนะ...จริงๆ” เขาย้ำ

น้ำหนึ่งถอนหายใจ แม้ไม่ต้องพูด สีหน้าท่าทางเธอก็บ่งชัดว่าอิดหนาระอาใจเพียงใด

“ถึงจะสำคัญแค่ไหน มันก็ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะเราไม่ว่าง ต้องไปดูโลเกชันที่กระบี่ ลูกค้าเพิ่งโทร.มานัดเมื่อเช้า”

เผด็จดีดนิ้วเผาะ “งั้นดีเลย ฉันก็จะไปกระบี่อยู่เหมือนกัน งั้นเราไปด้วยกันก็ได้ โอเคนะ”

“ไม่โอเคเว้ย” น้ำหนึ่งฉุนขาด “ตื๊ออยู่ได้ ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างมีชีวิตสิ ไส้ไม่ได้ติดกันสักหน่อย จะได้ลากตามกันไปมา”

“ไส้ไม่ได้ติด แต่มันติดที่ใจนี่นา”

ไม่รู้สมองหรือหัวใจที่สั่งให้เอ่ยออกไปเช่นนั้น พลันที่ประโยคสั้นๆสิ้นสุดลง ความเงียบก็คืบคลานเข้ามาครอบคลุมบรรยากาศรอบกาย คล้ายโลกทั้งใบพร้อมใจกันหยุดสรรพสำเนียง เพื่อเปิดทางให้เสียงของหัวใจชัดเจน

หนุ่มสาวสบตากันนิ่งนาน คล้ายบทสนทนาได้มาถึงทางตัน ไม่รู้จะไปต่อทางใด และแล้วก็เป็นเผด็จที่ทำลายบรรยากาศอันชวนอึดอัดอิหลักอิเหลื่อใจนั้นด้วยการโพล่งวาจาดื้อรั้นเอาแต่ใจ

“ไม่รู้ละ ฉันฟื้นมาเจอหน้าเธอคนแรกนี่นา ก็ย่อมผูกพันกับเธอมากกว่าใครอื่นอยู่แล้ว”

“เป็นเป็ดหรือไง โผล่จากไข่มาเจอหน้าใครคนแรกก็คิดว่าเป็นพ่อเป็นแม่ เอาแต่เดินตามต้อยๆ”

“แล้วแต่จะคิดสิ แต่ฉันอยากให้เธอไปด้วยจริงๆนะ”

น้ำหนึ่งนิ่งคิดอยู่ครู่ เผด็จรู้ว่าเธอจะปฏิเสธ ไม่รู้หรือไงว่ายิ่งยากก็ยิ่งท้าทาย

ทว่าชายหนุ่มเดาผิด เธอมิได้ปฏิเสธหรือใช้วาจารุนแรงก้าวร้าวใดๆ เพียงแต่บอกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนใจว่า

“กลับไปก่อนได้ไหมว่าน เราต้องการสมาธิในการคิดงานไปเสนอลูกค้า เราไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเธอ ต้องทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ถ้าเธอมาก่อกวนเราแบบนี้ เราทำงานไม่ได้ ขอร้องละ ช่วยเข้าใจกันหน่อย”

คำขอร้องเกือบจะอ้อนวอนแบบตรงไปตรงมานั้นกระทบใจเผด็จยิ่งกว่าการขับไล่ไสส่งรุนแรงเสียอีก เขาจำใจต้องลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้

น้ำหนึ่งไม่ได้ลุกตามไปส่งถึงหน้าบ้าน เพียงแค่มองตามเหมือนจะให้แน่ใจว่าเขากลับไปจริงๆ ไม่ได้อ้อยอิ่งถ่วงเวลาให้รกหูรกตาและก่อกวนสมาธิของเธอ

เกือบจะออกจากห้องรับแขกอยู่แล้วตอนที่เผด็จหันกลับไปมองสบตาเจ้าของบ้าน พร้อมบอกความจริงที่ตนก็เพิ่งรู้วันนี้ว่า

“ฉันเลิกกับเป๊กกี้แล้วนะ เขาเป็นฝ่ายบอกเลิกฉันเอง”




เวลาที่เขารอคอยมาถึงแล้ว บุรุษในชุดกลมกลืนกับแสงราตรีปิดหน้าจอสมาร์ทโฟนจนมืดสนิท จากที่ก่อนหน้านี้ตนนั่งเช็กข่าวย้อนหลังฆ่าเวลาอยู่ร่วมชั่วโมง ข่าวคดีการตายของเผด็จ เผดิมชัย

ยิ่งอ่านเพลิงแค้นก็ยิ่งโหมฮือขึ้นในใจจนร้อนรุ่มไปหมด ฆาตกรยังคงลอยนวลอยู่นอกคุก และแน่นอนว่าคนที่ให้ความช่วยเหลือมันย่อมไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นรัฐมนตรีบดินทร์ พ่อแท้ๆของเขาเอง

พ่อช่วยลูกเลี้ยงที่จ้วงแทงลูกในไส้จนตายดับคาที่ไม่ให้ติดคุก จะมีสิ่งใดทำให้เขาร้าวรานใจได้เพียงนี้อีกเล่า ก็น่าอยู่หรอก เขามันลูกเลว ทำแต่เรื่องระยำตำบอนจนพ่อต้องตามปกปิดไม่ให้คนในสังคมรับรู้กันในวงกว้าง กระทั่งเรื่องต่ำช้าที่เขาสร้างไว้ก่อนตายยังไม่ปรากฏในข่าว

‘ลูกชายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ดับอนาถ เหตุเกิดจากเมาอาละวาดไปหาเรื่องทะเลาะกับน้องชายต่างมารดา อีกฝ่ายบันดาลโทสะจึงใช้มีดจ้วงแทงเพื่อป้องกันตัว อ้าง อีกฝ่ายเข้ามาหวังทำร้าย’

นั่นคือข้อความยาวที่สุดที่เขาสามารถสืบสาวเรื่องราวตนเองหลังจากเสียชีวิต มุมปากกระตุกยิ้มหยัน ป้องกันตัวอย่างนั้นหรือ เผด็จจำได้ว่าก่อนสิ้นใจถูกจ้วงแทงไปหลายครั้ง แต่ก็นั่นแหละ เหมาะสมกับความชั่วช้าที่เขาก่อ แต่ที่แค้นคือคนฆ่าเขายังลอยนวลอยู่นอกคุก เหมือนว่าที่มันฆ่าตายไปนั่นไม่ใช่คน แต่เป็นเชื้อโรคร้ายอันควรกำจัดให้สิ้นซาก

ชีวิตเขาไร้ค่าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ

เผด็จหยุดความคิดเหล่านั้นก่อนมันจะกร่อนเนื้อใจให้แหว่งวิ่นมากไปกว่านี้ เขาก้าวลงจากรถซึ่งจอดซุ่มไว้ริมรั้วหน้าบ้านหลังหนึ่ง ห่างจากบ้านรัฐมนตรีบดินทร์สามสี่หลัง ต้นแปรงล้างขวดซึ่งปลูกไว้ข้างรั้วด้านในส่งใบระย้อยระย้ามานอกรั้ว บดบังบริเวณนั้นจากเงาจันทร์นวลสลัวจนยากที่เจ้าของบ้านจะสังเกตเห็น

เจ้าของร่างสูงเดินเรื่อยๆไร้พิรุธไปตามร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ภายในหมู่บ้าน ด้วยพลังพิเศษซึ่งอยู่ๆก็เกิดขึ้นมานี่เองแท้ๆที่พาให้ตนเองก้าวล่วงเข้ามาภายในหมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย ทั้งที่ได้ชื่อว่ามีระบบรักษาความปลอดภัยเข้มข้นยิ่งยวด เขาเพียงแค่แลกบัตร ไม่รอให้ยามรักษาความปลอดภัยโทร.แจ้งเจ้าบ้านที่ตนจะเข้าไปหา ไม่ต้องให้ รปภ.ขี่จักรยานนำมาถึงหน้าบ้านอย่างเปิดเผย

ทว่าการใช้พลังกับยามถึงสี่คนพร้อมกัน ทำให้พลังในกายลดลงจนเกือบหมด เผด็จรู้ได้จากความอ่อนระโหยโรยแรง ใจคอโหวงเหวง มือไม้สั่นระริก หากเขาใช้พลังอีกเพียงครั้งเดียว คงทรุดลงไปกองกับพื้นไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วซอมซ่อแน่

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมาถึงบ้านรัฐมนตรีบดินทร์ แทนที่เผด็จจะใช้อำนาจทำให้ยามรักษาความปลอดภัยในป้อมข้างประตูรั้วแข็งทื่อเป็นหุ่นปั้น แล้วผ่านเข้าไปอย่างสะดวกง่ายดาย เขากลับอ้อมรั้วไปยังด้านข้างค่อนไปทางด้านหลังตรงจุดซึ่งปลอดจากมุมกล้องวงจรปิด และเวลาดึกสงัดเช่นนี้ ลุงยามมักเปิดวิทยุแล้วนั่งสัปหงก ไม่เดินตรวจตราแข็งขันเหมือนช่วงหัวค่ำกับค่อนสว่าง
ชายหนุ่มในอาภรณ์สีดำโหนตัวขึ้นบนกำแพงรั้วอย่างคล่องแคล่ว แม้เรี่ยวแรงจะเหือดหายไปเกือบครึ่ง แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเรื่องง่ายๆแบบนี้ เคยปีนเข้าปีนออกสมัยริหนีเที่ยวกลางคืนมาไม่รู้เท่าไร

ไม่ถึงนาที เผด็จก็กระโดดตุ้บลงมายืนบนพื้นดินฉ่ำชื้นซึ่งปกคลุมด้วยหญ้าสูง ด้านนี้เป็นพื้นที่ที่กันไว้ปลูกต้นไม้ยืนต้นชนิดผลกินได้ มีทั้งมะม่วง ขนุน ชมพู่ม่าเหมี่ยว จึงไม่มีการลาดปูหญ้าเพื่อความสวยงามเหมือนสนามด้านหน้า ฤดูฝนแบบนี้ หญ้าโตไวจนบางครั้งก็กำจัดกันไม่ทันเช่นตอนนี้นั่นละ

ทุกก้าวย่าง ดงหญ้าสูงท่วมตาตุ่ม ส่งเสียงสวบสาบแผ่วเบาด้วยเจ้าตัวคอยระแวดระวัง คงไม่ดีแน่หากมีข่าวว่าวาริ สหทรัพย์ บุกเข้าบ้านรัฐมนตรีบดินทร์ในยามวิกาล ดวงตาสีนิลเล็งแลต้นปีบสูงใหญ่ใกล้หน้าต่างห้องทำงานของผู้เป็นพ่อ รู้ว่าระบบควบคุมกล้องวงจรปิดจุดต่างๆในบ้านอยู่ในห้องนั้น เขาต้องเข้าไปปิดก่อนที่มันจะจับภาพเขาได้

เมื่อลัดเลาะเล็ดลอดมาถึงต้นปีบที่หมายตา ชายหนุ่มก็ปีนไต่ไปตามกิ่งก้านของมัน จนกระทั่งไปทรงตัวอยู่บนกิ่งใกล้กับหน้าต่างกระจกแบบเลื่อนขึ้น แน่ละ มันถูกล็อกไว้ ภายในห้องมืดสนิทแสดงว่าไม่มีใครอยู่ รอดูท่าทีอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจ ชายหนุ่มจึงหยิบหมวกไหมพรมขึ้นสวม ตามด้วยถุงมือและหยิบวัตถุมีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมออกจากกระเป๋ากางเกงยีน มันคือเครื่องมือโจรกรรมแบบพกพา ภายในมีทั้งใบมีด กรรไกร ไขควง เลื่อย มีแม้กระทั่งที่เปิดขวดฝาน้ำอัดลม ทั้งหมดพับซ้อนอยู่ในด้ามเดียวกัน เขาดึงมีดคมกริบออกมาใช้งาน ใบมีดวับวาวอยู่ในแสงจันทร์นวล ปลายมีดเรียวแหลมถูกเซาะซอนลงไปยังซอกหน้าต่างบริเวณที่ติดล็อก ไม่นานก็ได้ยินเสียงดังกริ๊ก

ยัง มันยังไม่หมดแค่นี้ ใบมีดถูกพับเก็บ ดึงเลื่อยขนาดจิ๋วออกมาแทน เขาเซาะไปตามร่องหน้าต่างจนชนเข้ากับกลอนซึ่งลงสลักไว้อีกชั้น แล้วลงมือเลื่อยอย่างใจเย็นทั้งที่เรี่ยวแรงก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ ความพยายามของเขาเกิดผลสำเร็จหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่
เผด็จสูดลมหายใจเข้าลึกยาว ระงับความโหวงเหวงที่จวนเจียนจะทำให้เขาหมดเรี่ยวแรงไปต่อ มือสั่นเทาเลื่อนบานหน้าต่างขึ้น วาริตัวใหญ่กว่าเขาทำให้ลอดเข้าไปลำบาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถ...ในที่สุดเขาก็เข้ามายืนอยู่ในห้องทำงานของผู้เป็นพ่ออีกครั้ง

ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในร่างวาริ นอกจากพลังพิเศษที่ทำให้คนแข็งทื่อไม่ต่างจากท่อนไม้ ไร้แรงต่อสู้แล้ว สิ่งพิเศษอีกอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเขาคือสามารถมองเห็นชัดเจนในความมืด เห็นชัดไม่ต่างจากกลางวัน สิ่งนี้ทำให้เขานอนไม่หลับไปทั้งคืน

ก่อนอื่นใด เผด็จตรงไปปิดระบบบันทึกภาพของกล้องวงจรปิด หากพละกำลังในกายเปรียบเหมือนไฟ เวลานี้มันก็หรี่โรยใกล้มอดดับเต็มทน

เขาต้องการเลือด...เผด็จบอกตนเอง พร้อมกวาดสายตาไปทั่วห้อง แต่เลือดที่ไหนจะมาซุกอยู่ในห้องทำงานของท่านรัฐมนตรี จะมีก็แต่...เหล้า

ในตู้โชว์นั่น น้ำสีทองภายในขวดแก้วทรงสวยกำลังกวักมือเรียกเขา ข้างขวดมีฉลากสีเงินบรรจุตัวหนังสือสีดำวาว ‘อมฤต’ เหล้าไทยที่กำลังมาแรงแซงหน้ายี่ห้ออื่นๆ คงมีใครซื้อให้เป็นของขวัญ แต่ยามนี้เผด็จไม่สนใจว่ามันจะเป็นของใคร เขาสั่นไปทั้งตัว ความกล้าหาญอันอุกอาจก็กำลังจะเหือดหายไปจากเนื้อใจด้วย เหล้าอาจไม่ช่วยให้พลังคืนมา แต่มันช่วยเพิ่มความกล้าหาญห่ามห้าวให้เขาได้แน่

ร่างสูงตลบหมวกไหมพรมขึ้น โผเผตรงไปยังตู้โชว์ มือสั่นลนลานคว้าขวดอมฤตได้ก็เปิดฝาเทน้ำเมาลงคอ ไม่โง่เอาปากแนบขวดหรอก เขาคิดขณะกำซาบรสชาติขมกลมกล่อมที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นหวานนุ่มละมุนชวนพึงใจ เพียงอึดใจใหญ่ๆ ขวดเปล่าก็ถูกวางลงจุดเดิม เลือดในกายแล่นซ่าน ร้อนเร่า และเหิมหาญไม่หวั่นเกรงสิ่งใด

เผด็จก้าวออกจากห้องทำงานของรัฐมนตรีบดินทร์ ไฟตามโถงทางเดินปิดมืด เขามุ่งหน้าไปยังห้องนอนตนเอง อย่างเดียวที่เขาต้องการคือพวงกุญแจรวม มันจะพาเขาไปยังทุกที่ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องนอนของบดินทร์ หรือคอนโดของเขา ใช่ เขาต้องกลับไปที่คอนโด มีสิ่งที่เขารักและหวงแหนอยู่ที่นั่น

การปลดล็อกเข้าห้องนอนตนเองไม่ใช่เรื่องยาก เผด็จสะบัดหัวขับไล่ความมึนงง เดินตรงไปเปิดตู้เสื้อผ้า ด้านในมีช่องลับซึ่งเขาไว้เก็บกุญแจสำรองโดยเฉพาะ มันซ่อนอยู่อย่างแนบเนียนหลังกระจกเงา ยากที่ใครจะหาพบ

จริงดังคาด กุญแจสำรองของเขายังอยู่ทั้งพวง เผด็จเลือกจนได้ดอกที่ต้องการก็กุมไว้มั่น เขามีเวลาอีกไม่มาก แอลกอฮอล์ช่วยให้เขากล้า ทว่าเรี่ยวแรงลดน้อยลงเรื่อยๆ หากอยู่ต่อต้องถูกจับได้แน่

แต่ก่อนไป เขาขอไปหาบดินทร์ก่อน ต่อให้ท่านลำเอียง ไม่รักไม่เข้าข้างเขา ทำให้เขาเจ็บใจแค้นใจ แต่เขาก็อยากพบท่านสักครั้ง หากถูกหน่วยล่าวิญญาณตามตัวพบ เขาอาจหมดโอกาสเช่นนี้

ทว่าโชคไม่เข้าข้างเผด็จเลย เพียงเปิดประตูออกจากห้อง คนที่เดินโซเซมาตามทางเดินซึ่งบัดนี้กลับเปิดไฟสว่างไสวก็เงยหน้าขึ้นมาพบ ต่างคนต่างชะงัก

ในความเงียบงัน เพลิงแค้นลุกพรึ่บขึ้นในวิญญาณบาป แอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเมื่อครู่บั่นทอนสติสัมปชัญญะและความรอบคอบของเขาไปจนหมดสิ้น เขาพร้อมจะฆ่าคนที่ปลิดวิญญาณเขาออกจากร่าง แล้วลากพามันลงนรกไปด้วยกัน

“ไอ้ชรัณ มึง” เขาทำท่าจะโจนเข้าใส่ เลือดของมันจะทำให้เขาแข็งแกร่ง เขาไม่รังเกียจเลือดชั่วๆของมันเลยหากมันจะช่วยต่อเวลาในร่างวาริให้ได้ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว

“แกเป็นใคร เข้ามาในบ้านนี้ได้ไง” คนเมารู้ตัวทำท่าจะโวยวาย

เผด็จกระโจนเข้าใส่ แล้วก็ต้องร้องด้วยความเจ็บปวด แสงสีทองเรืองรองสาดส่องจากพวงกุญแจซึ่งคล้องอยู่ที่นิ้วชรัณ นั่นมันเบี้ยแก้ที่ครูฤทธิ์เคยให้เขา มันกำลังแผดเผาทำร้ายเขาเอง เสื้อผ้าบางจุดลุกติดไฟปวดแสบปวดร้อนไม่ต่างจากไฟนรกโลกันต์ ชายหนุ่มระงับเสียงร้องโหยหวนไว้อย่างยากเย็น ไม่รู้ตัวเลยว่าหน้าตาตนเองบิดเบี้ยวเหยเกน่าเกลียดน่ากลัวเพียงใด

ชรัณเองก็ดูตกใจ เขาอึ้งตะลึงทำอะไรไม่ถูก เผด็จไม่อาจเข้าถึงตัวชรัณได้ ยิ่งพยายามก็ดูเหมือนเป็นการรนหาที่ พลังงานในเบี้ยแก้ยังคงแผดเผาเขาอย่างต่อเนื่องจนดวงจิตเขาอ่อนแอจะหลุดลอยจากร่างวาริอยู่รอมร่อ

ไม่ เขาไม่ไปไหนทั้งนั้น เขาจะอยู่ในร่างนี้

หนี...คงเป็นทางเดียวที่จะทำให้เขารอด

พลันที่คิดเช่นนั้น เผด็จก็เผ่นพรวดกลับไปตามทางเดิม จนร่างสูงกะปลกกะเปลี้ยครูดลงมากับต้นปีบไม่ต่างจากนกปีกหัก นั่นแหละจึงได้ยินเสียงชรัณโวยวายลั่นบ้าน เขามีเวลาไม่นาน ต้องหนีให้ได้ก่อนความโกลาหลจะอุบัติขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้านี้




“อะไรกันรัน เกิดอะไรขึ้น” มาลินจับไหล่ทั้งสองข้างของบุตรชายเขย่าแรงๆ
รัฐมนตรีบดินทร์ตามภรรยาออกจากห้องนอนด้วย เขายังไม่หายป่วย มาลินจึงยังคงดูแลใกล้ชิด ไม่ออกไปหาความสุขสำราญที่ใด

“ขโมย...หรือผีก็ไม่รู้ มันออกมาจากห้องไอ้เผด็จ โอย น่ากลัวเหลือเกิน”

“แล้วตกลงมันเป็นขโมยหรือเป็นผี” มาลินถามเสียงเครียด “เล่ามาให้รู้เรื่อง ตั้งสติหน่อยรัน”

“ผม...ผมว่าน่าจะเป็นผี”

คนที่ไหนจะมีหน้าตาบิดเบี้ยวเหยเกน่ากลัวได้ปานนั้น ชรัณยังจดจำดวงตาแดงก่ำด้วยความโกรธแค้นนั้นได้ แต่ทำไมไม่รู้ จู่ๆไฟถึงลุกท่วมมัน อีกทั้งยังมีรูปเงาของใครบางคนซ้อนทับอยู่บนร่างของผู้บุกรุก มันดูเลื่อนไหลคล้ายวิญญาณกำลังจะหลุดลอยจากร่าง ชรัณไม่มีเวลาจดจำหน้าคนร้ายเพราะมัวตะลึงกับความน่าเกลียดสยดสยองของรูปเงาประหลาด มันดำมะเมื่อมและเต็มไปด้วยแผลปุปะ น้ำเลือดน้ำหนองฉ่ำเยิ้มชวนสะอิดสะเอียน คนที่ไหนจะทำเรื่องแบบนี้ได้ ที่สำคัญ มันรู้จักชื่อเขาด้วยสิ เขาจดจำน้ำเสียงเคียดแค้นเหมือนโกรธเคืองกันรุนแรงมาแต่ชาติปางก่อนได้ดี

“เหลวไหลน่ารัน” รัฐมนตรีบดินทร์ดุลูกเลี้ยง “เมาจนเพี้ยนหรือเปล่า ผีมีที่ไหน”

“ที่นี่แหละ ผมเห็นจริงๆ” ชรัณยืนยัน หายเมาเป็นปลิดทิ้ง

“เมาจนตาฝาดหรือเปล่า” มาลินเริ่มไม่แน่ใจ

ไม่รอคำตอบ ประมุขของบ้านถามต่อทันที “มันไปทางไหน”

คำถามของรัฐมนตรีบดินทร์บอกชัด เขาเชื่อว่าผู้บุกรุกยามวิกาลไม่ใช่ผี

“มัน...มันวิ่งไปทางห้องทำงานคุณพ่อแหละครับ”

เพียงเท่านั้น รัฐมนตรีบดินทร์ก็เดินลิ่วนำไป ห้องนั้นเป็นห้องสำคัญ เก็บความลับทางราชการไว้มากมาย ชรัณและมาลินสาวเท้าตามไปติดๆ

ครั้นหลอดไฟในห้องส่องแสงสาดสว่าง รัฐมนตรีบดินทร์เดินไปยังหน้าต่างห้องเป็นลำดับแรก แม้ว่ามันจะปิดสนิท แต่เขาก็ไม่วายลองเปิดดู ครั้นเห็นพบร่องรอยงัดแงะ อีกทั้งฝุ่นผงจากการเลื่อยกลอนที่ลงไว้แน่นหนา สีหน้าก็เครียดขรึมขึ้นโดยอัตโนมัติ

“คงไม่มีผีตัวไหนเลื่อยกลอนหน้าต่างแล้วปีนเข้ามาหรอก” น้ำเสียงเคร่งดังชัด ร่างสูงตรงไปดูภาพที่กล้องโทรทัศน์วงจรปิด เมื่อพบว่าระบบถูกปิดก็ยิ่งโกรธจัด

“แต่ผมเห็นมันเป็นผีจริงๆนะครับพ่อ น่าเกลียดน่ากลัว ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน” คนพูดห่อไหล่ ดวงตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว

รัฐมนตรีบดินทร์ไม่สนใจคำพูดของชรัณ เขาโทรศัพท์ไปยังป้อมยามสั่งให้ระดมคนในบ้านค้นหาคนร้ายทันที จากนั้นโทร.หาตำรวจให้รีบเข้ามาเก็บลายนิ้วมือเพื่อติดตามตัวคนร้ายต่อไป

มาลินมองการทำงานอันรวดเร็วของสามีแล้วรู้สึกวางใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร หล่อนจะปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้เขา ลูกชายแท้ๆของหล่อนเสียอีก มัวแต่ปอดแหกพึ่งพาอะไรไม่ได้เลย

******************

ทักทายท้ายเรื่อง

ไอ้พี่เก้า อสิตารา ข้าก็ชอบ อีเผด็จแรดดีนัก

น้องหนอนน้อยดังปังๆๆ เปลี่ยนชื่อให้แระ แหมๆ เดาไม่พลาดเลยนะ เธอแอบซ่อนอยู่ตรงใบไม้ข้างประตูบ้านน้ำหนึ่งใช่ไหม สารภาพมาซะดีๆ

เกดซ่า ชาลาล่า ไหนๆก็ต้องต่อกรกันทั้งที มันก็ต้องสมน้ำสมเนื้อนิดนึงอะนะ มีนังวาริคนเดียวที่อ่อนด้อย มีแต่ตัว (ซึ่งถูกยึดไปแล้ว) หัวใจ (ที่โดนเผด็จครอบครองไปแล้วเช่นกัน) และดวงจิต (ที่ไม่รู้ล่องลอยอยู่ที่ไหน) น่าฉงฉานเจงๆๆ

คุณรินทร ขอบคุณมากค่าที่แสดงตัว รักนะ จ๊วบๆ

น้องยิ้มจัง น้ำหนึ่งไม่ใช่คนเชื่ออะไรง่ายๆนะเออ เธอก้ทันเล่ห์เหลี่ยมเฮียเด็จอยู่เหมือนกัน แต่แพ้มารยาพันห้าร้อยคันรถสิบล้อของเฮียเข้าทุกที่เลย

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ คิดเหมือนคนเขียนเลย อิดหนาระอาใจกะเฮียเด็จมาก ตื๊อได้โล่ มันน่าโมโหนัก

คุณ Minnie Befearm ภาวินขับรถไม่เป็นค่า พึ่งบริการรถสาธารณะตลอดๆ ไม่เคยมีกรณีกะคุณตำรวจเลยแม้สักครั้งเดียว ส่วนวาริอยู่หนายยย คาดว่าต้องไปตามอ่านในเล่มจริงนะคะ เพราะกะคร่าวๆแล้ว ลงเกินครึ่งเรื่อง แต่ยังไม่ถึงตอนที่วาริออกมาเผยโฉมอยู่ดี

รออ่านตอนพรุ่งนี้ค่ะ มาดูซิว่าเฮียเด็ดจ หรือเด็จจี้ของหนอนน้อยจะรอดหรือซี้แหงแก๋คราวนี้ แต่เรามีคำสัมภาษณ์ของเผด็จมาลงให้อ่านกันนิดหน่อย เพื่อให้ท่านผู้ชมคาดเดากันไปต่างๆนานา

คำสัมภาษณ์จากปากเผด็จ (เลียนแบบอสิตาตอนสัมภาษณ์ชามัลลงเพจ)

คำถาม : คุณเผด็จจะอยู่ในร่างคุณว่านอีกนานไหมคะ
เผด็จ : ก็ไม่รู้สินะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีธุระที่ไหน อยู่ไปเรื่อยๆก่อนจะเป็นไรไป

คำถาม : แล้วคนอ่านที่เชียร์คุณว่านและหมั่นไส้คุณอยู่ จะไม่แคร์พวกเขาบ้างหรือคะ
เผด็จ : (ยักไหล่เบาๆ กระตุกยิ้ม) ที่หมั่นไส้เพราะผมเสน่ห์แรงกว่านายว่านจอมจืดใช่ไหมล่ะ กลัวห้ามใจตัวเองไม่ไหว หลงรักผมเข้าสินะ มันก็เป็นธรรมดา สมัยผมเป็นคนก็มักเจอเรื่องแบบนี้เสมอ ผมชินและยอมรับได้ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะ (ทิ้งรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ และผละจากไป)



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.ย. 2557, 00:04:13 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.ย. 2557, 00:04:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1232





<< บทที่ ๑๑ (จบตอน)   บทที่ ๑๒ (จบตอน) >>
Zeara 28 ก.ย. 2557, 00:32:23 น.
ลูกผู้ชายไม่ควรปอดแหกน้าาาาา


yimyum 28 ก.ย. 2557, 00:34:17 น.
ว้า เผด็จมีพลังด้วย ก็เหมือนกับน้ำหนึ่งนิ (ได้ข่าวว่ามันมีตั้งแต่ตอนก่อนๆ แล้วไม่ใช่เหรอ)


อสิตา 28 ก.ย. 2557, 00:34:42 น.
ชะ นางเผด็จเสร็จทุกราย เดี๋ยวแกจะเสร็จไอ้ว่าน


Sukhumvit66 28 ก.ย. 2557, 00:57:56 น.
ทำไมอ่านตอนเขาเถียงกัน เรายิ้มด้วยความฟินหว่า.....ม่ายยยเข้าจายยย


นักอ่านเหนียวหนึบ 28 ก.ย. 2557, 01:45:22 น.
แหม่! อ่านตอนท้ายแล้วอยากจะเอาข้าวสารเสก น้ำมนต์เจ็ดวัด สายสิญจน์สิบหลามาสุ่มใส่ตัวนายเด็จจริงจิ๊งงงงงง พ่อรูปหล่อ พ่อฮอตแอนด์แฮนด์ซัม พ่อคนดี ชริ! คนรักเป็นร้อยคนเกลียเป็นล้านอะดิ นายอะ! ว่าแล้วก็ไปหา ครูฤทธิ์ขอข้าวสวย เอ้ย ข้าวสารเสกมาเตรียมไว้ดีฝ่าา


ketza 28 ก.ย. 2557, 08:30:00 น.
อุ๊ต่ะ เผด็จจะเป้นไรมั้ยยยยยย

... น้ำหนึ่งใจแข็งน่าดู ต้องหมั่นหยอดทุกวันนะพ่อซาตานนนน 555


ดังปัณณ์ 28 ก.ย. 2557, 11:07:23 น.
โถ คุณพี่ขา แค่กำลังกินยอดอ่อนเข้าเพลินๆ จ๊ะเข้าพอดี๊! ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังเลยจิงๆ จิ๊งเชื่อหนอนดิ๊

ตอนนี้ก็ โถ เด็จจี้เอ๊ย ทำวานี่เดือดร้อนแล้วแหมะล่ะ โดนของๆตัวเองทำร้ายเข้าอีก จะซมซานไปหาเลือดที่ไหนละ หรือจะกลับไปกัดคอหนูน้ำ ฮี่ๆๆๆๆ

ปูลู.คำสัมภาษณ์นั่นมันน่าเบิ้ดสักปั๊ก หมั่นไส้นังเด็จจี้ มั่นอกมั่นใจเหลือเกินนะพ่อคู้นนนนนนนนนนนนนนน


บุลินทร 29 ก.ย. 2557, 00:03:03 น.
ช่วงนี้อาจไม่ได้อ่านนะคุณแม่ เพราะต้องปิดต้นฉบับก่อน แต่มากดไลค์ทุกตอนแน่นอน


Barby 2 ต.ค. 2557, 14:42:44 น.
เผด็จ สู้ๆเขาเชียร์อยู่นะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account