วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๓ (ครึ่งแรก)

สวัสดีค่ะ ก่อนเข้าเรื่อง ผู้เขียนขอแจ้งให้ทราบนิดหนึ่งค่ะว่า ใครที่เข้ามาอ่าน เข้ามากดไลค์ ช่วยแสดงตัวด้วยการใส่คอมเม้นท์หรือเป็นอีโมเล็กไว้ก็ได้ เนื่องจากผู้เขียนไม่ได้สมัคร วีไอพี ไว้ จึงไม่อาจดูได้ว่าใครไลค์บ้าง เหตุผลที่ให้แสดงตัวในช่องคอมเม้นท์ เพราะเมื่อยุติการโพสต์ เราจะจับรางวัล มอบของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆให้กับคนอ่านค่ะ เพื่อเป็นการตอบแทนที่เคียงข้างกันมาเสมอ อย่าลืมนะคะ ของรางวัลไม่ใช่หนังสือ แต่งดงามน่าเก้บน่าใช้มากค่ะ

-------------------------

‘...เพชรเขาต้องดูแลแม่ แม่เขาสติไม่ค่อยดี เพี้ยนๆไปตั้งแต่ลูกสาวคนโตถูกฆ่าข่มขืน บางวันก็คลุ้มคลั่งอาละวาด ว่านนั่นแหละเล่าให้แม่ฟังเองว่าแม่เพชรเจอว่านทีไร อาละวาดจนบ้านแทบแตกทุกที น่าสงสารนะครอบครัวนี้ อยู่กันผู้หญิงลำพัง ถ้าขาดเพชรไปเสียคน แม่เขาคงลำบาก’

คำพูดจากปากวิไลวรรณซึ่งเขาไม่เคยสนใจจดจำ กลับย้อนเข้ามาในห้วงคำนึง เผด็จลังเล

‘ทำไมต้องลังเลด้วยเล่า เขาไม่ใช่คนดีวิเศษวิโสมาจากไหน เคยทำเรื่องระยำเลวร้ายไว้ก่อนตายตั้งเยอะ พอมาตอนนี้คิดจะกลับใจเป็นพระเอกอย่างนั้นหรือ’ ดวงจิตด้านร้ายเย้ยเยาะ

‘แล้วผลเป็นอย่างไรเล่า โทษทัณฑ์ในนรกไม่ทำให้สำนึกบ้างเลยหรือไง’ ดวงจิตด้านดีตอกย้ำให้ตระหนัก

เผด็จเหลือบตามองคนเจ็บอีกครั้งแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เลือดจากกายเธอใช่ไหมที่ไปกระตุ้นจิตสำนึกส่วนดีให้ทำงาน ชายหนุ่มเหยียบคันเร่งอีกครั้ง พารถโผนทะยานไปข้างหน้า เลิกคิดว่าเมื่อเธอรอดชีวิตใครจะได้ครอบครอง เลือดเธอต่อชีวิตเขา เขาก็ต้องช่วยชีวิตเธอสิ

แม้กระนั้น เขาก็ไม่ลืมปกป้องตนเองด้วยการหยิบโทรศัพท์มือถือมาติดต่อไปยังหมายเลขของน้ำหนึ่งสองสามครั้ง เขาไม่อยากตกเป็นผู้ต้องสงสัย หากไม่มีพยาน ก็ต้องสร้างหลักฐานแบบนี้นั่นละ




น้ำหนึ่งรู้สึกตัวเอาจวนสว่าง พบสายเลือดสายน้ำเกลือเสียบติดหลังมือก็ออกอาการงงงัน นึกไม่ออกว่าตนเป็นอะไร เหตุใดตนจึงมานอนอยู่ที่นี่ได้ ตัวอักษรสีขาวบนเสื้อผ้าสีน้ำเงินบอกให้รู้ว่านี่คือโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

“ไม่ต้องจูบก็ฟื้นแฮะ” คนพูดยืนยิ้มกว้างอวดฟันขาวและลักยิ้มสองข้างแก้ม ดวงตาสีนิลพราวระยับ

น้ำหนึ่งย่นคิ้ว ใจขุ่น เธอไม่ควรพลาดไปจูบเขาเลยจริงๆ ไม่งั้นคงไม่ถูกนำมาล้อจนถึงตอนนี้ ก็ใครจะรู้เล่าว่าเขาจะดันฟื้นขึ้นมาตอนถูกเธอจูบพอดี ทำอย่างกับในนิทาน

“เราเป็นอะไร ทำไมต้องมานอนที่นี่”

“พูดเหมือนนางเอกละครตอนฟื้นใหม่ๆเลย...จะไปรู้เหรอ ฉันไปเจอเธอก็นอนหมดสติอยู่แล้ว ถ้าฉันไม่พามาส่งโรงพยาบาล เธอคงตายไปแล้วละ ฉันว่า” เขาพูดเอาบุญเอาคุณ

คนฟังขมวดคิ้วอีกคำรบ เธอเนี่ยนะนอนหมดสติ น้ำหนึ่งพยายามคิดทบทวน นึกออกแค่วาริมาหาเธอในสภาพสะบักสะบอมเหมือนผ่านสนามรบมาหมาดๆ เนื้อตัวมีร่องรอยไฟลวกหลายแห่ง เธอพาเขาเข้าบ้านเพื่อโทร.เรียกรถพยาบาล แล้วไฟเจ้ากรรมก็ดันดับตอนที่เธอกำลังจะขึ้นไปหยิบโทรศัพท์มือถือจากห้องทำงานบนชั้นสอง คลับคล้ายคลับคลาว่าลื่นล้ม แล้วสติก็วูบหายไปตอนนั้นเหมือนถูกปิดสวิตช์

แล้วพอรู้สึกตัวอีกที กลับกลายเป็นเธอต้องมานอนโรงพยาบาล ส่วนคนอาการหนักอย่างวาริกลับมายืนกวนประสาทอยู่ข้างเตียง ผิวกายยังขาวสะอาดไร้ร่องรอยบาดเจ็บใดๆ เขาไม่ได้อยู่ในชุดเสื้อแขนยาวสีดำและกางเกงยีนอย่างที่จดจำได้ แต่สวมเสื้อยืดแขนสั้นสีกรมท่า กับกางเกงขาสั้นแค่เข่า แม้แต่กลิ่นเหล้าจากลมหายใจเขาก็เหมือนจะมลายหายไปด้วย หรือทั้งหมดที่เธอจดจำได้จะเป็นเพียงความฝัน

น้ำหนึ่งก้มมองตนเอง เพียงขยับ ก็เจ็บแปลบบนเนินอกซ้าย ผ้าก๊อซสีขาวพับทบสี่เหลี่ยมปิดมิดชิดตรงจุดที่เจ็บ
นิ้วเรียวทาบทับบนผ้าปิดแผล มองสบดวงตาสีนิล

“เราโดนอะไร”

“หมอบอกว่าของมีคม จำได้หรือเปล่าล่ะว่าไปแอบเล่นซนอะไรมา”

คนถูกกล่าวหาว่าเล่นซนนิ่งทบทวนจนสมองจะระเบิดก็นึกไม่ออก เรื่องที่จดจำได้กลับผิดเพี้ยนไปหมด

“เปล่านะ พักนี้ของมีคมอย่างเดียวที่เราโดนบ่อยสุดก็...ปากเธอนั่นแหละ”

เผด็จหัวเราะเสียงดังราวกับนั่นเป็นคำชม ไม่ใช่คำค่อนแคะประชดประชัน

“โดนบ่อยที่ไหน ก็แค่ครั้งเดียวตอนที่เธอแอบจูบฉันตอนอยู่โรงพยาบาล”

เขาวกกลับมาเรื่องเดิมอีกจนได้ ถ้าหากมีเรี่ยวแรงกว่านี้สักนิด น้ำหนึ่งคงลุกไปบีบคอเขาให้รู้แล้วรู้รอด เมื่อไหร่นะ วาริคนเดิมจะกลับมาเสียที ก่อนที่เธอจะฆ่าวาริคนนี้ตายดับคามือ

ทุกครั้งเมื่อพบหน้า เขาทำให้เธออารมณ์ขึ้นๆลงๆราวกับหญิงวัยทอง น้ำหนึ่งไม่อยากเห็นหน้าสบตากับคนกวนประสาทให้อารมณ์ขุ่นมัว จิตตกวูบอีก จึงเบือนหน้าหนีไปอีกฟากหนึ่งของเตียง

การมองเห็นของเธอยังย่ำแย่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าดวงตาจะจับภาพได้พร่ามัวอย่างไร น้ำหนึ่งก็มองเห็นร่างบางใสราวกับสลักด้วยน้ำแข็งยืนเกาะเตียงอยู่อีกฟาก เป็นผู้ชายแน่ๆ เพราะรูปร่างและส่วนสูงถอดโครงวาริมาราวกับเงา แม้มองไม่ชัดเจน ทว่าลักษณะท่าทางที่แสดงออกมาดูห่วงใย เขาเอื้อมมือมาทาบบริเวณแผลตรงเนินอกซ้าย น้ำหนึ่งยกมือขึ้นปิดพลางเบี่ยงหนีโดยอัตโนมัติ โดยสายตายังคงจับอยู่ที่ร่างนั้น

“เป็นอะไร ทำไมลุกลี้ลุกลน”

พลันที่เผด็จเอ่ยถาม ร่างบางใสก็ไหวโยนคลอนแคลน ก่อนเลือนหายไปราวกับอากาศธาตุ

“เอ่อ...” น้ำหนึ่งอ้ำอึ้ง เพ่งมองความว่างเปล่าข้างเตียง มองให้แน่ใจว่าจะไม่มีอะไรผุดโผล่ขึ้นมาอีก “ไม่ได้เป็นอะไร”

คนถามมองเธอด้วยแววตาค้นหาคล้ายไม่เชื่อ ครู่หนึ่งจึงเปลี่ยนเรื่องว่า

“แล้วแม่เธอไปปฏิบัติธรรมที่ไหน จะให้โทร.บอกท่านหรือเปล่า ว่าเธอนอนเจ็บอยู่ที่นี่”

“ไม่ต้องหรอก ไม่จำเป็นต้องกวนท่าน เราไม่เป็นอะไรมาก”

คิ้วเข้มหนาปลายตวัดเฉียงขึ้นนิดๆของวาริขมวดเข้าหากัน

“เมื่อไหร่ท่านจะกลับ”

“อีกหลายวัน”

“อย่างนี้ใครจะดูแลเธอ” เขาเสียงดังขึ้น ท่าทางหงุดหงิดไม่ใช่น้อย

“ทำไมต้องมีใครดูแล นี่มันโรงพยาบาลนะ หมอก็มี พยาบาลก็มี อยากได้อะไรก็กดกริ่งเรียกพยาบาล เรื่องง่ายๆแค่นี้ ทำไมต้องโวยวายอารมณ์เสียด้วย” น้ำหนึ่งโวยกลับแบบนี้ แปลว่าเธอเองก็ไม่พอใจเหมือนกัน “สิ่งที่เราอยากรู้ไม่ใช่ว่าใครจะเป็นคนมาดูแล แต่เราอยากรู้ว่ามันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นกับเรา อยู่ดีๆถึงมานอนเจ็บอยู่นี่”

“รู้ไปแล้วมันจะทำให้เธอหายเร็วขึ้นอย่างนั้นเหรอ...”

“มันอาจไม่ได้ช่วยให้เราหายเร็วขึ้น แต่ถ้าเราถูกทำร้าย เราจะได้แจ้งความไง เราไม่ยอมเจ็บฟรีหรอก...”

“ถ้าเป็นอย่างนั้น มันไม่ฆ่าเธอก็บุญแล้ว เธอควรดีใจที่รอดมาได้มากกว่า”

“อ๋อ แปลว่าถ้ามีคนทำร้ายเราจริง มันก็เป็นคนใจดีมีเมตตาสินะ ที่ไม่ฆ่าเราน่ะ...เราควรจะขอบคุณมันใช่ไหม” น้ำหนึ่งตาวับวาวด้วยความโกรธ

“แล้วเธอไปเจอเราได้ยังไง” หญิงสาวคาดคั้น

“ก็...ฉันเกิดเป็นห่วงเธอขึ้นมาน่ะสิ...” คนพูดยักไหล่ แล้วสายตาที่สานสบมาแต่แรกก็เบนเบือนไปยังหน้าต่างกระจกอย่างจงใจ ขณะเล่าต่อด้วยน้ำเสียงปกติว่า “เป็นห่วงเพราะรู้ว่าเธออยู่บ้านคนเดียว กดกริ่งตั้งนานไม่เห็นมาเปิดประตู โทร.เข้าไปก็ไม่รับสาย เลยปีนรั้วเข้าไปดู ก็เห็นเธอนอนตัวซีดอยู่แล้ว”

น้ำหนึ่งจ้องหน้าเขาเขม็ง น้ำเสียงเอาเรื่องทีเดียว เมื่อเอ่ยว่า

“รู้ไว้เถอะ ถ้าเราแจ้งความจริง เธอนั่นแหละว่านจะตกเป็นผู้ต้องสงสัย เพราะเราเจอเธอเป็นคนสุดท้ายก่อนหมดสติ”




สายวันนั้น เผด็จพกพาความหงุดหงิดกลับมาบ้านเต็มหัวใจ ทำไมน้ำหนึ่งช่างเป็นผู้หญิงที่แข็งกระด้างและดื้อรั้นอย่างนี้ เพิ่งฟื้นแท้ๆ ยังมีแรงเถียงเขาไม่ลดละ อยากรู้นักว่ากับวาริคนเดิม เธอเคยเถียงคำไม่ตกฟากแบบนี้หรือเปล่า เขาอยากขอบคุณพยาบาลที่เลือกยาแก้ปวดชนิดทำให้ง่วงมาฉีดเข้าน้ำเกลือ คนปากเก่งช่างยอกย้อนถึงหมดฤทธิ์หลับไปได้

ชายหนุ่มจอดรถพรืดข้างถังขยะหน้าหมู่บ้าน เอื้อมมือไปยังเบาะหลัง คว้าเสื้อผ้าชุดเมื่อคืนซึ่งขาดวิ่นราวกับโดนเพลิงผลาญ เปิดประตูลงไปยัดใส่ถังไม่ต่างจากขยะชิ้นหนึ่ง เขาต้องกำจัดมันเนื่องจากไม่อยากตอบคำถามให้วุ่นวาย โชคดีที่เขามีเสื้อผ้าแขวนติดรถอยู่อีกชุด ก็เกิดจากนิสัยชอบดื่มจัดสมัยเป็นเผด็จคนเดิมนั่นแหละ เสื้อผ้าชุดใหม่และหมากฝรั่งจึงมีติดรถอยู่ไม่ขาด วิธีกำจัดกลิ่นเหล้าไปจากเนื้อตัวในขั้นต้น เพื่อตบตาตำรวจซึ่งชอบตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ตอนดึกๆ หวังว่าน้ำหนึ่งคงไม่สงสัยเขาอย่างที่เธอพูดมาหรอกนะ

คิดอีกทีก็น่าเห็นใจ น้ำหนึ่งคงสับสนน่าดู แต่ก็คงดีกว่าเธอรู้ความจริงนั่นละ หากรู้ว่ารอยแผลบนเนินอกนั่นเกิดจากฝีมือเขา แถมยังดูดดื่มเลือดเธอไปอีกไม่น้อย เธอคงทั้งหวาดกลัวและขยะแขยงในพฤติกรรมของเขาจนไม่อยากเข้าใกล้ น้ำหนึ่งคงไม่คิดว่าเขาเป็นผีดิบหรอก แต่จะคิดว่าเป็นคนวิกลจริตมากกว่า

เพียงคิด ความกลัวก็วาบลึกในอก เขาไม่อยากถูกน้ำหนึ่งรังเกียจ ให้เธอต่อปากต่อคำกับเขา จิกกัดเขาให้แสบๆคันๆในหัวใจเสียยังดีกว่า ไม่ต้องให้ความสนิทสนมมากมายแบบนายวาริก็ได้ แค่อย่ารังเกียจชิงชังกันก็พอ

จัดการกับหลักฐานชิ้นสำคัญเสร็จ ชายหนุ่มก็แวะร้านสะดวกซื้อซึ่งอยู่ถัดไปนิด ซื้อหนังสือพิมพ์เพื่อเช็กข่าว มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มพอใจเมื่อไม่พบข่าวขโมยย่องขึ้นบ้านรัฐมนตรีบดินทร์ เผด็จมั่นใจว่าตนไม่ได้ทิ้งหลักฐานใดๆให้สาวถึงตัววาริได้

เผด็จแปลกใจเมื่อกลับถึงบ้านแล้วพบวรุตม์ สายจนป่านนี้แล้ว เหตุใดชายสูงวัยยังไม่ไปทำงาน แต่กลับนั่งจมอยู่บนโต๊ะอาหารเพียงลำพัง ชายหนุ่มยืนมองหลังไหล่คู้ค้อมนั้นอย่างสงบ กลิ่นอายความอ่อนแออบอวลไปทั่วร่างบุรุษกลางคน ครั้นเงยหน้าขึ้น ดวงตาชายสองวัยก็สบประสานกันพอดี วรุตม์เป็นฝ่ายเปิดยิ้มและทักทาย

“หายไปทั้งคืนแบบนี้ หายดีแล้วหรือว่าน”

“รู้ได้ยังไงว่าผมหายไปทั้งคืน”

“เพราะเมื่อคืนพ่ออยู่บ้านน่ะสิ”

จริงสิ สองสามวันมานี้วรุตม์อยู่ติดบ้าน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ เพิ่งสังเกตนี่แหละว่าวรุตม์ดูไม่ค่อยดี ท่าทางอมโรคอย่างไรชอบกล

“มานั่งนี่สิ พ่อมีเรื่องอยากคุยด้วย”

พ่ออยากคุยด้วย...เผด็จเกลียดคำนี้ เพราะทุกครั้งที่รัฐมนตรีบดินทร์เรียกเขาไปหาและเอ่ยประโยคนี้ มันคือลางบอกเหตุ...เรื่องที่คุยไม่ใช่เรื่องดีแน่

ชายหนุ่มอยากผละหนีดังเคยทำกับพ่อของตน แต่แววตาอิดโรย และท่าทางอ่อนเพลียน่าเห็นใจของวรุตม์ ชักนำให้เท้าทั้งสองข้างก้าวเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ตัวใกล้ๆได้อย่างไม่เกี่ยงงอน วันนี้วรุตม์ดูแปลกตาไป ด้วยบนใบหน้ามีแว่นกรอบเหลี่ยมใสบดบังดวงตา...คงเป็นแว่นที่เจ้าตัวจะยอมใส่ก็ต่อเมื่อต้องใช้สายตามากๆ เดาจากเอกสารกองโตใกล้มือ

ชายหนุ่มมองจานข้าวที่ถูกผลักออกไปทั้งที่ยังไม่พร่อง...ไม่สบาย ข้าวปลาไม่กิน แทนที่จะพักผ่อน กลับมานั่งอ่านเอกสารกองใหญ่ คงจะหายหรอกนะ

“ว่านรู้ตัวหรือเปล่า ว่าว่านดูดีขึ้นมาก ไม่บอกก็คงไม่มีใครรู้ว่าเพิ่งประสบอุบัติเหตุปางตายมเมื่อเดือนก่อน”
เผด็จนิ่งฟัง อยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะวกเข้าเรื่องอะไร

“ผิดกับพ่อที่แย่ลงทุกวัน...จนบางวันเหมือนจะไม่ไหว” ชายวัยห้าสิบสารภาพ ดวงตาท้อแท้สิ้นหวัง

“วันนี้เลยไม่ไปทำงาน...ใช่ไหมครับ” เขาเพิ่มประโยคท้ายเพราะรู้สึกว่ามันห้วนเกินไป เขาอยู่ในร่างวาริ และนั่นคือพ่อ
บุรุษกลางคนพยักหน้า

“ใช่ พ่อเพลียเหลือเกิน เรี่ยวแรงไปไหนหมดก็ไม่รู้” นิ่งไปนิดคล้ายกำลังตัดสินใจ จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ว่านออกไปไหนมาไหนได้เองแบบนี้แล้ว พร้อมจะกลับมาทำงานหรือยัง มาช่วยพ่อ”

ณ เวลาสั้นๆที่การสนทนาเว้นช่วง ดวงตาผู้มากวัยทอประกายความหวัง

เผด็จทำลายประกายแห่งหวังในดวงตาคู่นั้นด้วยการส่ายหน้าช้าๆ แววตาแน่วนิ่งมั่นคง

“ผมไม่พร้อม...” ก่อนวรุตม์จะโน้มน้าวด้วยคำใด เผด็จก็รีบเอ่ยสืบไปว่า “ผมจะไม่ทำในสิ่งที่ผมไม่อยากทำ ไม่ว่ามันจะผิดบาปหรือถูกต้องดีงามอย่างไร ผมจะเลือกทำในสิ่งที่ใจต้องการเท่านั้น”

“ว่าน!” วรุตม์เสียงดัง เห็นชัดว่าเส้นเลือดบนขมับปูดโปนด้วยความเครียด “ที่พ่อทำทุกอย่างก็เพื่อแกทั้งนั้น แต่แกกลับจะผลักไสทุกอย่างทิ้ง ทั้งที่มันคือหยาดเหงื่อแรงงานของพ่อ”

“พ่อก็กอดเก็บไว้สิครับ จะมาผลักภาระให้ผมทำไม” เผด็จเอ่ยอย่างเห็นแก่ตัวเต็มที่ ไม่สนใจว่าคำพูดของตนจะทำร้ายจิตใจคนป่วยไข้ตรงหน้าอย่างไรบ้าง เขาต้องการชี้ให้เห็นความจริงที่วรุตม์ละเลยมานาน “ถ้าผมบังคับ...เอ่อ...ขอร้องให้พ่อมาทำในสิ่งที่ผมรักผมชอบบ้างล่ะ พ่อจะทำไหม”

“สิ่งที่แกรักแกชอบ...คือการมีบริษัทโฆษณาเล็กๆของตัวเองงั้นสิ” น้ำเสียงดูแคลนยิ่งนัก “สิ่งที่แกรักน่ะ ทำไปทั้งชาติ มันก็ไม่เท่ากับสิ่งที่พ่อให้แกหรอก”

เผด็จไม่รู้ว่าความฝันของวาริคืออะไร ใช่การเป็นเจ้าของบริษัทโฆษณาเล็กๆอย่างที่วรุตม์บอกหรือเปล่า แต่จะใช่หรือไม่ เรื่องราวเช่นนี้ก็ชวนให้คนใจบาปหยาบช้าอย่างเขานึกเห็นใจวาริอยู่ครามครัน การมีพ่อแบบนี้คงไม่ต่างจากนักโทษชั้นดี คือกินดีอยู่สบาย แต่ไร้อิสรภาพในการตัดสินใจลงมือทำสิ่งต่างๆตามใจคิดหวัง

ด้วยความเป็นคนเอาแต่ใจ เผด็จจึงไม่เคยประสบพบเจอเรื่องราวเหล่านี้กับตนเอง แต่เขาเกลียดชีวิตแบบนี้ จึงตอบโต้ไปโดยไร้ความเกรงใจ

“คุณไม่มีสิทธิ์ดูถูกความฝันของใคร เพราะคุณค่ามันไม่ได้อยู่ที่ฝันนั้นจะเล็กน้อยหรือใหญ่โต ทุกความฝัน เมื่อมันเป็นจริง มันก็ทำให้คนเราสุขได้เหมือนกัน คนที่เขาฝันอยากมีแผงขายของในตลาดนัดสักแผง เมื่อเขาได้มา เขาก็มีความสุขเหมือนกับคุณตอนได้เป็นเจ้าของบริษัทผลิตเหล้านั่นแหละ”

วรุตม์นิ่งอึ้งนานนับอึดใจ จากนั้น ความประหลาดใจในดวงตาก็แปรเป็นโทสะ

“ว่าน เดี๋ยวนี้ทำไมก้าวร้าวนัก” ประธานสหทรัพย์ไม่รอให้ใครถกเถียง เขาโพล่งออกมาราวกับทำนบกั้นน้ำพังทลาย “เด็กสมัยนี้มันเหมือนกันไปหมด เรียกร้องจะทำในสิ่งที่รักที่ชอบ ไม่สนใจจะแบ่งเบาภาระทางบ้าน ทำตัวเป็นนักล่าฝัน โธ่เอ๊ย มันก็แค่คำพูดเท่ๆของคนเอาแต่ใจ เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่า ถ้าที่บ้านมีธุรกิจใหญ่โตอยู่แล้ว ตัวเองไม่ช่วย แถมยังดิ้นรนจะออกไปทำเองส่วนตัว คนอื่นเขามองเข้ามาจะคิดยังไง”

วรุตม์จบคำพูดยาวเหยียดนั้นลงด้วยอาการเหนื่อยหอบ เพลิงโทสะในดวงตายังคุกรุ่น ทว่าเผด็จพบแสงแห่งหวังอยู่รำไร นาทีนี้ เขาไม่สนใจแล้วว่า หากวาริถูกพูดใส่หน้าเช่นนี้จะตอบโต้เช่นไร แต่เขามีคำตอบในใจอยู่แล้ว

“ผมเอาแต่ใจ” เผด็จหลุดเสียงเยาะอย่างที่ตนเคยชิน “ก็เหมือนคุณนั่นแหละ เอาแต่ใจ แต่ผมไม่เคยบังคับให้ใครมาตามใจผม และผมไม่เคยสนใจด้วยว่าคนอื่นข้างนอกจะคิดยังไง เพราะคนอื่นที่คุณพูดถึง เขาทำได้แค่มองดูแล้วก็วิพากษ์วิจารณ์ไปตามที่ตัวเองคิด แต่ไม่ได้มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผมด้วยสักหน่อย ทำไมผมต้องแคร์”

พูดมาถึงตรงนี้ สองหนุ่มต่างวัยสบตากันนิ่งนานราวกับจะหยั่งความรู้สึกในส่วนลึกของกันและกัน ดวงตาหลังกรอบแว่นผิดหวังร้าวราน ดวงตาอีกคู่ผยองถือดี และเป็นเจ้าของดวงตาร้าวรานที่เอ่ยทำลายความเงียบ

“เอาละว่าน พ่อจะไม่ทะเลาะกับว่านอีก แต่ในฐานะที่พ่อเป็นพ่อ พ่อขอสั่งให้ว่านรับช่วงต่อดูแลกิจการจากพ่อ ไม่อย่างนั้น พ่อจะไม่ให้อะไรว่านเลยสักแดงเดียว”

‘พ่อขอสั่ง...’ คำนี้กึกก้องอยู่ในหัว ทำไมวรุตม์ชอบเอ่ยคำที่เขาเกลียดอยู่เรื่อย หรือมันเป็นคำศัพท์ฉบับคุณพ่อ...ไม่ว่าพ่อเขา หรือพ่อใครก็พูดเหมือนๆกัน

คำที่บดินทร์เคยพูดใส่หน้าเขาดังซ้อนทับขึ้นมาในใจ

‘ทำไมทำตัวเหลวไหลแบบนี้ ดูน้องบ้างสิว่าตั้งใจเรียนแค่ไหน ต่อไปนี้พ่อขอสั่งให้แกเลิกเที่ยวเตร่ เลิกกินเหล้าเมายา เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าถ้าแกถูกไล่ออกเพราะเกรดเฉลี่ยห่วยๆ พ่อจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน’

วรุตม์คงไม่รู้ ว่าคำพูดของเขาเป็นดั่งสายลมโหมกระพือใส่ถ่านไฟที่ยังไม่มอดดับ ครั้นถูกลมโหมใส่ เพลิงโทสะจึงลุกพรึ่บขึ้นไม่ยาก

“ไม่มีใครสั่งผมได้”

เห็นชัดว่ามือที่วางอยู่บนโต๊ะกำแน่น บุรุษกลางคนสบตาบุตรชายไม่ลดละ เปล่งวาจาอวดดื้อถือดีไม่แพ้กัน

“ไม่มีใครขัดคำสั่งพ่อได้เช่นกัน”

“ผมนี่ไง” เผด็จสวนกลับทันควัน

เงาสะท้อนจากเลนส์แว่นของวรุตม์ ชายหนุ่มพบดวงตาสีนิลวาวโรจน์ จากนั้นแปรเป็นสีแดงเรื่อราวกับมีกองเพลิงสุมอยู่ภายใน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเรื่อเรืองอย่างประหลาด

ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที แต่เผด็จรู้สึกว่านานเหลือเกิน เริ่มจากมวลพลังอุ่นวาบหมุนวนในโพรงอกแล้วแล่นลิ่วขึ้นยังดวงตา ซึ่งเขารู้จักมันมาพอสมควร และรู้ว่ามันใช้ทำอะไร แต่กระแสเย็นชื่นซึ่งจุดขึ้นในอกซ้ายนี่เล่า คืออะไรกัน เผด็จรู้สึกเหมือนมีดาบอยู่ในมือสองเล่ม และตนเท่านั้นเป็นผู้เลือกว่าจะใช้เล่มไหน เขาตัดสินใจ ‘ลอง’ ใช้กระแสเย็นซ่าน เพียงจิตจับอยู่กับกระแสประหลาดซึ่งอยู่ลึกลงไปในอกซ้าย พลังอุ่นจัดในดวงตาก็เลือนหายไป กระแสฉ่ำชื่นดุจสายน้ำเอ่อท้นขึ้นแทน

“อย่าบังคับให้ผมทำอะไรตามใจคุณอีก” เผด็จเน้นคำพูดชัดเจน ดวงตาทั้งคู่ยังคงตรึงสายตาที่ตนสานสบไว้แน่วนิ่ง

วรุตม์ออกอาการงงงวย เหม่อลอยขึ้นมากะทันหัน ริมฝีปากพะงาบส่งเสียงแผ่วเบา

“ไม่บังคับให้ทำอะไรตามใจอีก”

ขณะอีกฝ่ายเหม่อลอยเหมือนคนละเมอ เผด็จกลับตะลึงตะลานกับผลงานตรงหน้า...เขาจดจำได้แม่นยำ ดวงตาสีฟ้าเรืองแบบนี้ น้ำหนึ่งเคยทำให้เขาเห็นมาก่อน แปลว่าเลือดของเธอส่งผลให้เขามีพลังสะกดจิตให้อีกฝ่ายยอมจำนนอย่างนั้นหรือ แสดงว่าเธอมีความสามารถเช่นนี้อยู่ในตัว ทว่ามันไม่สามารถใช้กับเขาได้ และบัดนี้ มันได้ถูกถ่ายทอดมายังเขาแล้วด้วย

นี่เองคือสิ่งที่เขาอยากรู้ หมดสิ้นความคับข้องใจเสียทีสินะ

ชายหนุ่มปล่อยวรุตม์ให้นั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น ส่วนเขาลุกพรวดพราดขึ้นยืน และพบว่าตนเองเซถลาหน้ามืดไปวูบหนึ่งจนต้องคว้าเก้าอี้ยึดไว้ รู้สึกตัวอีกที ดวงตาทั้งคู่ก็พร่ามัวจนเหมือนมีม่านสีขาวบางเบากางกั้นในเขตสายตา

เผด็จไม่รู้ว่าสิ่งพิเศษที่เขาได้รับถ่ายทอดมาเป็นเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น หากเขาดื่มเลือดเธอมากกว่าที่ทำไปเมื่อคืน เขาจะสามารถมองเห็นภูตผีและหน่วยล่าวิญญาณที่กระชั้นเข้ามาทุกที

**********************

ทักทายท้ายเรื่อง

โฮะ โฮะ โฮะ สาแก่ใจนัก ตอนที่ผ่านมา นายเผด็จเผ็ดถึงใจโดนรุมหมั่นไส้ หนอยแน่ บังอาจมายึดพื้นที่ของฉัน นายว่านฝากมาบอกเพื่อนรักนักอ่านว่า ให้ไปพบกันที่งานหนังสือ เพราะเขาคงกลับมาไม่ทัน เนื่องจากผู้เขียนจะลงนิยายถึงวันที่ ๙ ตุลาคม ซึ่งดูแล้วว่าตอนสุดท้ายที่ลง นายว่านก็ยังเป็นแค่วิญญาณวับๆแวมๆให้ผู้อ่านได้เรียกร้องโหยหาต่อไป มีแต่นายเผด็จที่วาดลวดลายไม่เกรงใจใคร แต่เชื่อเถอะว่าดิฉันจะลงโทษมันให้สาสม เอีะๆ ไม่ ไม่ ไม่สปอยล์ ๕๕๕

ไอ้พี่เก้า แกไปขุดขุมทรัพยืพญาดำโน่น ทวารอุจจารีย์ จะมีเพียงข้า เกดซ่า และเผด็จ ล้อมวงจกอึ กร๊ากกกก

เกดซ่าจ๋า เผด็จมิได้ใจร้ายเยี่ยงนั้นสักหน่อยน่า

น้องยิ้มจัง เผด็จมาจากนรกค่ะ มันทำได้ทุกอย่างแล้วละ ดีนะที่ไม่ปล่อยให้น้ำหนึ่งตายตกไปตามมัน

น้องหนอนน้อยดังปัณณ์ เด็จจี้บอกว่าความจริงอยากดูดที่ตาตุ่ม แต่มันไกลไป กระดืบไปไม่ถึง ๕๕๕

คุณรินทร ขอบคุณสำหรับรอยยิ้มนะจ๊ะ

คุณใบบัวน่ารัก วิญญาณนายว่านอยู่ใกล้ๆน้ำหนึ่งคร่าาา

นักอ่านเหนียวหนึบ เป็นอีกคนที่คอมเม้นท์ได้สะใจคนเขียนนัก แหม อีเผด็จไม่ได้ดูดนมไปเยอะแยะออะไร คงไม่ต้องอัพไซส์มั้งคะ พาคนเขียนไปอัพแทนดีกว่า อิ อิ

คุณโกลเด้นท์ซัน เผด็จเป็นตัวอย่างของคนไม่ดีที่พยายามจะดี แต่ก็ไม่อาจรักษาสัจจะไว้ได้ จริงๆเขาเคยทำเรื่องเลวร้ายกว่านี้อีกค่ะ ถึงได้ตกนรกหมกไหม้โดนไฟเผาจนตัวดำมะเมื่อมขนาดนั้น

คุณ Lies เราเพิ่งพบกันในคอมเม้นท์ ยินดีต้อนรับค่ะ เผด็จจะไม่ได้สิ่งไหนไหม มันต้องมีแน่นอนเลยค่ะ โลกนี้ไม่มีใครสมหวังทุกอย่าง แต่จะเป็นอะไรก็ต้อองติดตามกันต่อไป

คุณหมีบุลินทร คุณเดาถูกต้องนะคะ เรื่องนี้ ตอนช่วงท้ายๆมีเซอร์ไพรส์เยอะจริงๆ แต่ต้องไปติดตามกันในเล่มอะค่ะ

แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะคะ




ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ก.ย. 2557, 04:33:35 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ก.ย. 2557, 04:33:35 น.

จำนวนการเข้าชม : 1649





<< บทที่ ๑๒ (จบตอน)   บทที่ ๑๓ (จบตอน) >>
อสิตา 30 ก.ย. 2557, 05:18:57 น.
นักจกอึ เปลี่ยนมาลงรุ่งสางแล้วสินะคุณแม่


ketza 30 ก.ย. 2557, 06:19:07 น.
มาแย้วค้าาา


ketza 30 ก.ย. 2557, 06:30:52 น.
วาริแน่เยยยน เงาๆที่ว่า น่าสงสารง่ะ เหอๆๆ


พันธุ์แตงกวา 30 ก.ย. 2557, 06:31:37 น.
หม่อมเจ้พาลูกสาวไปศัลยกรรมลบปานแดงปานดำที่ประตูน้ำโพลีคลินิกเรียบร้อยแล้วมังคะ

ป้าด คอมเม้นท์ของเผด็จ แซ่บเหมือนเผด็จจริงๆเลย ไปดูดเลือดเค้าแล้วมาทำเป็นดี ตกลงสำนึกผิดจริงเปล่า เนียนนะพ่อคุณ เนี้ยน เนียน


Pat 30 ก.ย. 2557, 06:36:51 น.
อ่านอยู่ค่าาาาาาา


ใบบัวน่ารัก 30 ก.ย. 2557, 09:01:29 น.
เป็นแวมไพหรือไงนายเผด็จ
นำ้เลือดหมดตัวแน่
ว่านมาช่วยเร็วๆนะ จะชวนไปกินโจ๊ก กะต้มเลือดหมูกันเผด็จไม่ชวนนะ


ดังปัณณ์ 30 ก.ย. 2557, 09:49:35 น.
555+ ขุ่นพี่ ตาตุ่มเลยรึ แหม....กว่าจะเจอเส้นเลือด สงสัยเส้นเอ็นน้ำจะขาดก่อนนะ กร๊ากกกกกกกกกก

โอะโฮ นังเด็จจี้คิดเรื่องทะลึ่งๆๆขึ้นมาได้อีกแล้วสิ จิแอบไปลักดูดเลือกน้ำเค้าอีกอ่ะดิ๊ เอ้อ ดูดมาเยอะๆนะเด็ดจี้ เตี๋ยวน้ำตกรออยู่ อ๊ะๆลาบเลือดก็คอย หลายโต๊ะทีเดียว 555+

แล้วไอ้ตัวใสๆบางๆยื่นมือมาทาบนั้นหุๆ วานี่ชิมิ วานี่ หล่อนมีตัวตนบางเบาเหลือเกินนะยะ 555+


yimyum 30 ก.ย. 2557, 10:41:55 น.
ตอนนี้เข้าขั้นงง ว่าตกลงแล้วใครเป็นพระเอกอะคะ ต้องตามในเล่มแน่เลย TT


yimyum 30 ก.ย. 2557, 10:42:06 น.
ตอนนี้เข้าขั้นงง ว่าตกลงแล้วใครเป็นพระเอกอะคะ ต้องตามในเล่มแน่เลย TT


นักอ่านเหนียวหนึบ 30 ก.ย. 2557, 12:15:49 น.
เผด็จ!! คือจะเป็น all in one เลยป้ะ เป็นเองทุกอย่างเลยช้ะ จะเป๋นพระเอกในตัว เป็นนางเอกด้วย เป็นภาคดาร์ค ภาคแองเจิ้ล คราวหน้าก็ทุบทำร้าย ทะเลาะกะตัวเองไปเลยป้ะ
แย่งซีนวาริไม่พอ ยังมาแย่งซีนหนึ่งอี๊ก แล้วนี่คือระ อยากกลับไปนรกภูมิไวๆ ช้ะ เถียงพ่อ บังคับพ่อ ทำร้ายจิตใจพ่อ ชริ เด็กไม่น่ารัก คนนิสัยไม่ดี ไม่หลงรักแล่วววว


Sukhumvit66 30 ก.ย. 2557, 12:35:02 น.
นี่คงคิดกินน้ำหนึ่งหมดทั้งตัวเลยมั้ง เผด็จ

ม่ายยย นะ.....


บุลินทร 30 ก.ย. 2557, 13:31:50 น.
มาแสดงตัวลุ้นของรางวัลลลล ฮ่าๆๆๆ


goldensun 30 ก.ย. 2557, 18:24:19 น.
พลังพิเศษถ่ายทอดทางเลือดได้ซะด้วย สุดยอด ยังดีที่กลับใจไม่ปล่อยน้ำหนึ่งตายนะนั่น เกือบไปแล้ว
แถมแต่งเรื่องซะกลับด้านไปเลย จากที่มาขอความช่วยเหลือ เป็นมาช่วยซะงั้น ว่านก็เป็นได้แค่เงาอยู่ข้างน้ำหนึ่งนี่เอง
แล้ววรุตน์เป็นอะไร ทำไมอยู่ดีๆ ป่วยได้ล่ะ มาทะเลาะกับลูก ถ้าไม่โดนสะกดก่อน ไม่โกรธหน้ามืดไปแล้วเหรอคะ


Barby 2 ต.ค. 2557, 15:23:09 น.
มีการถ่ายทอดพลังกันด้วย


หนอนหนังสือ 3 ต.ค. 2557, 02:11:32 น.
ติดตามทุกตอนค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account