วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๓ (จบตอน)

ท่ามกลางความทึบทึมภายในห้องนอนกว้างขวาง ไร้แสงไฟ ไม่มีแสงแห่งวันสาดส่องผ่านม่านหนาทึบ ไอจากเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำจนหากคนปกติย่างกรายเข้ามาคงสั่นด้วยความหนาว ทว่าคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงดูไม่อนาทรร้อนใจกับความหนาวเย็นที่ได้รับ

แน่ละ...ที่ที่เขาจากมามันร้อนเร่าทรมานจนยากจะหาคำใดมาเปรียบ เขาขยาดแขยงความร้อนแรงกล้าทุกชนิด และโหยหาความชุ่มชื่นฉ่ำเย็น เมื่อมีโอกาสก็ย่อมต้องตักตวงมันไว้ให้เต็มที่ ทว่าความเย็นจากเครื่องปรับอากาศชโลมได้เพียงกายเท่านั้น ไม่อาจแทรกซอนเข้าไปบรรเทาจิตใจเร่าร้อนด้วยเพลิงแค้นได้เลย

ดวงตาสีนิลใต้แนวคิ้วเข้มหนาจับจ้องวัตถุในมือแน่วนิ่ง แผนการ ‘ล้างแค้น’ ปรากฏขึ้นเป็นฉากๆในห้วงความคิด

“ไอ้ชรัณ” เสียงเคียดแค้นแผ่วเบาลอดไรฟัน วัตถุที่ห้อยบนนิ้วเรียวถูกตวัดเข้าสู่ฝ่ามือและกำแน่น

หนทางรกชัฏด้วยขวากหนาม จะถูกถากถางจนว่างโล่ง เปิดทางให้เขาเข้าถึงตัวชรัณได้ก็ด้วยพวงกุญแจอันนี้ อันที่น้ำหนึ่งซื้อให้ที่ตลาดนัด พวงกุญแจซึ่งทำเลียนแบบเบี้ยแก้ได้เกือบแนบเนียน หากมิได้นำทั้งสองอันมาเปรียบเทียบก็คงเห็นความแตกต่างได้ยาก

เขาต้องหาทางนำไปสลับกับของจริง แต่จะทำได้อย่างไร อานุภาพเบี้ยแก้ของจริงร้ายแรงปานใดก็รู้ดี เขาไม่สามารถเข้าใกล้ชรัณได้เลย

ทำเองไม่ได้ก็ให้คนอื่นทำแทนสิ...พลันที่คิดมาถึงตรงนี้ ริมฝีปากหยักงามก็เหยียดยิ้มหยันเย้ยราวผู้ชนะ คำพูดของเปมิกาย้อนกลับเข้ามาในความนึกคิด

‘ใครก็ไม่รู้ค่ะพี่รัน เขาโทร.ผิดน่ะค่ะ’

ร่างสูงดีดตัวขึ้นนั่ง หยิบโทรศัพท์มาติดต่อวิไลวรรณทันที ต้องเสียเวลาชำระสะสางเรื่องไม่กลับบ้านกันอยู่นาน ครั้นบอกว่าเพื่อนไม่สบาย ก็โดนซักไซ้ไล่เลียงจนได้ความจะแจ้ง

“ไม่ใช่แม่ไม่ไว้ใจว่านนะ แต่ว่านเพิ่งหายจากบาดเจ็บ แม่เป็นห่วงถึงได้ถาม” หล่อนออกตัว คงจับกระแสความหงุดหงิดในน้ำเสียงเขาได้กระมัง

“เพชรไม่สบายครับ สงสัยจะพักผ่อนน้อยเลยวูบไป แถมอยู่บ้านคนเดียว แม่เขาไม่อยู่ ไปปฏิบัติธรรม ผมเลยพาเขาส่งโรงพยาบาลและเฝ้าอยู่จนแน่ใจว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว” น้อยครั้งนักที่เผด็จจะทนอธิบายอะไรยาวๆแบบนี้ เห็นแก่ความเป็นห่วงที่วิไลวรรณมอบให้หรอกนะ

“โอ ดีนะที่ได้ว่านช่วยไว้” เสียงนั้นบ่งบอกว่าหล่อนโล่งใจ “แล้วว่านรู้ได้ยังไงว่าเพชรไม่สบาย”

“ผมสังหรณ์ใจน่ะครับ โทร.ไปไม่ยอมรับสายสักที” เผด็จอ้างไปเรื่อย เรื่องความสังหรณ์ใจนี่ยกมาอ้างได้ตลอด ไม่ต้องมีเหตุผลอื่นรองรับให้ยุ่งยาก

“เพชรโชคดีมากเลยนะที่ว่านไปได้ทันเวลา”

หากไม่เจอเขา น้ำหนึ่งคงไม่ต้องไปนอนแบ็บอยู่แบบนั้น ความรู้สึกผิดทำท่าจะคืบคลานมาเกาะกินจิตใจ เผด็จรีบผลักไสมันทิ้งอย่างเดียดฉันท์

คนอย่างเขาหรือจะรู้สึกผิดกับเรื่องแค่นี้ เขาไม่ได้ฆ่าเธอตายเสียหน่อย ก็แค่ขอแบ่งเลือดมาเล็กน้อยเพื่อต่ออายุ เสียงหนึ่งเอ็ดอึงอย่างดื้อรั้นอยู่ในใจ

“แม่ครับ ผมอยากพบยายป๊อกกี้...เอ๊ย เป๊กกี้ ผมจะไปพบเธอได้ยังไงครับ” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง

“ว่านจะไปพบเธออีกทำไมกัน เธอหายไปจากชีวิตว่านแบบนี้ก็ดีอยู่แล้ว” วิไลวรรณเสียงดุขึ้นมาทันที

“ผมมีเรื่องต้องตกลงกับเธอ...มันสำคัญมาก”

เพราะประโยคหลังนั่นกระมัง วิไลวรรณจึงจำใจบอกสถานที่ทำงานของเปมิกาให้เขาทราบ

เผด็จเผยรอยยิ้มชั่วร้ายขณะคว้ากุญแจรถ ความเคียดแค้นชิงชังบดบังสำนึกด้านดีไปเสียสิ้น ความตั้งใจก่อนเก่า...จะใช้เวลาทุกนาทีที่ได้คืนกลับมาให้คุ้มค่าและดีงาม มันถูกหลงลืมไปหมดแล้ว มีเพียงเรื่องราวความแค้นแต่หนหลัง ใกล้ถึงเวลาชำระสะสางแล้ว




ภายในห้องชุดกว้างขวาง ตกแต่งภายในไว้อย่างทันสมัย หรูหราด้วยเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงและดีไซน์เก๋ แปลกตา มองรู้ว่าออกแบบมาเพื่อตั้งวางที่นี่โดยเฉพาะ มิใช่หาซื้อได้ดาษดื่นตามท้องตลาด แต่ความสวยงาม หรูหรา เก๋ ทันสมัย ก็ไม่อาจบันดาลความสุขใจให้เจ้าของห้องได้ หล่อนจึงต้องออกไปเสาะแสวงหาความสุขจากภายนอก ดุจผีเสื้อหลงระเริงโลดแล่นไปบนเส้นทางอันอาบย้อมด้วยเกสรดอกไม้หวานล้ำ โดยไม่สำเหนียกสักนิดว่าสิ่งที่ตนเกลือกกลั้วเป็นดอกไม้พิษ

โทรศัพท์มือถือกรีดเสียงร้องซ้ำซากมาหลายครั้งหลายหน ร่างผอมเพรียวซูบซีดที่นอนคว่ำอยู่บนเตียงผงกศีรษะขึ้นจากหมอนนุ่มใบโต หน้าตางัวเงีย นัยน์ตาหรี่ปรือยังคงเลื่อนลอย มือหนึ่งเสยผมยาวรุ่ยร่ายให้พ้นหน้าตา อีกมือควานหาเครื่องมือสื่อสารบนโต๊ะข้างเตียง

“ฮัลโหล” หล่อนกรอกเสียงอู้อี้ลงไป ปิดเปลือกตา แก้มซูบแนบลงบนหมอน

“เป๊กกี้ ป่านนี้แล้วยังไม่ลุกจากเตียงอีกหรือลูก ไม่สบายหรือเปล่า” ความห่วงใยของคุณประยุทธเจือมาในน้ำเสียง

“เปล่าค่ะคุณพ่อ” คนพูดโงหัวขึ้น ขยี้ตาแรงๆ หวังให้ตาสว่าง ก่อนเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาดิจิทัลบนผนังหัวเตียง...บ่ายสอง หญิงสาวพรวดพราดขึ้นนั่งทั้งที่หัวยังมึนตื้อและหนักอึ้งจนคอนไว้แทบไม่อยู่ อยากจะถลาลงไปซุกหมอนอีกรอบ แล้วหลับลืมโลกไปเลย

“แล้วทำไมป่านนี้ยังไม่มาทำงาน เหลวไหลใหญ่แล้วนะ ถ้าไม่ปรับปรุงตัว พ่อจะลากกลับไปอยู่บ้าน” ประยุทธเข้มงวดขึ้นทันที
ลากกลับไปอยู่บ้านงั้นรึ ไม่...เปมิกากรีดร้องก้องใจ หล่อนโบยบินมาไกล และไม่อยากกลับไปอยู่ในกรอบในกรงของประยุทธอีกแล้ว ต่อให้เป็นกรงทองคำฝังเพชรประดับอัญมณีงามหรู หล่อนก็ไม่ไป เพราะไม่ว่าจะกรงชนิดไหน มันก็มีหน้าที่เหมือนกัน...คือจำกัดอิสรภาพ

“เป๊กกี้กำลังจะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”

“อืม...มาถึงแล้วเข้ามาหาพ่อด้วย” ผู้เป็นพ่อสั่งสั้นๆก่อนวางสาย

เปมิกายังคงอิดออดอยู่บนเตียงอีกพักใหญ่ กว่าจะลุกไปอาบน้ำแต่งตัวได้ ระหว่างนั้นก็คิดถึงแต่ชรัณ เมื่อคืนหล่อนไม่ได้ค้างกับเขาที่คอนโด แต่เขาพาหล่อนไปปาร์ตีที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เพื่อนเขาเปิดห้องเพื่อกิน ดื่ม เสพกันอย่างเมามัน จนมึนเมาได้ที่ ก็เริ่มหมกมั่วสมสู่สลับคู่กันไปมา ยามนั้น ทุกอย่างชวนตื่นตา ตื่นใจ และตื่นเต้นน่าลิ้มลอง เหมือนอาหารจานใหม่ที่ยังไม่เคยลิ้มรส ชรัณจับคู่หล่อนกับหนุ่มกล้ามโตคนหนึ่ง ส่วนเขาก็เล่นรักกับหญิงสาวร่างอวบที่ชายหนุ่มผู้นั้นควงมา

ความสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ จบไปตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อเกมรักกับหนุ่มกล้ามโตยุติลง ก็มีหนุ่มรายใหม่เวียนเข้ามาช่วยบำบัดความใคร่ หล่อนตอบสนองอย่างถึงใจไม่ต่างจากที่ได้รับมา จนเวลาผ่านไปครึ่งคืน หล่อนจึงขอร้องให้ชรัณมาส่ง แม้เขาจะอ้อนวอนให้หล่อนอยู่ต่อ แต่เปมิกาหมดสิ้นเรี่ยวแรงและจำได้รางเลือนว่าวันรุ่งขึ้นต้องทำงาน แม้ชายหนุ่มจะพยายามทัดทาน แต่สุดท้าย เขาก็ยอมมาส่งที่คอนโดและขับรถจากไปพร้อมอารมณ์หงุดหงิด เนื่องจากไม่ได้สนุกต่อจนถึงเช้าอย่างที่ตั้งใจไว้ จะให้กลับไปอีกรอบก็หมดอารมณ์เสียแล้ว

บัดนี้ ความละอายคืบคลานเข้ากอดกุมจิตใจเปมิกาไว้อย่างเหนียวแน่น หล่อนรักชรัณ ไม่น่าเชื่อว่าตนเองจะทนดูเขาสมสู่กับหญิงอื่นต่อหน้าต่อตาได้ อีกทั้งหล่อนยังทอดกายระทดระทวยให้หนุ่มอื่นปรนเปรอบำเรอใคร่อย่างไร้ยางอาย หล่อนทำเรื่องบัดสีนั้นลงไปได้อย่างไร หากมีสติครบถ้วนปริบูรณ์...ต่อให้ใจอยากอย่างไร ก็คงไม่กล้าลงมือทำจริงๆ มันมิใช่เรื่องอันควรสรรเสริญยกย่องสักนิด

ช่างเถอะ มันผ่านไปแล้ว หญิงสาวตัดบทความคิด แล้วเริ่มลงมือแต่งหน้าเพื่อเกลื่อนร่องรอยอิดโรย...ยามริ้วรอยหม่นหมองแผ้วพานใบหน้า ยังใช้เครื่องสำอางปกปิดให้งดงามชวนมองได้ดังเดิม แล้วจิตใจที่หม่นหมองด้วยเรื่องราวผิดบาปชวนละอายเล่า มีสิ่งใดช่วยปิดบังอำพรางมันจากความรู้สึกได้บ้าง...




ห้องชุดของเปมิกาอยู่ใกล้บริษัทแอดมีดีไซน์ หล่อนเลือกใช้บริการรถไฟฟ้า เนื่องจากสมองยังมึนเบลอจนไม่กล้าขับรถ ครั้นลงจากสถานีรถไฟฟ้า หญิงสาวก็กางร่มกันแดดจ้าเดินตรงไปยังตึกสูงอันเป็นที่ตั้งของบริษัท มุ่งหน้าไปยังลิฟต์ซึ่งมีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยดูแลตลอดเวลา

ช่วงบ่ายเช่นนี้ ผู้คนวางวายไม่ขวักไขว่เหมือนช่วงเช้า พักกลางวัน และหลังเลิกงาน ตรงหน้าลิฟต์ นอกจากพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้ว มีเพียงชายหนุ่มร่างสูงยืนรออยู่เพียงลำพัง เพียงเห็นด้านหลัง จังหวะก้าวเท้าสม่ำเสมอก็ชะลอลงโดยอัตโนมัติ หล่อนจำได้แม่น แม้ทรงผมและการแต่งตัวจะแปลกเปลี่ยนไป แต่คนคบหากันมาหลายปี มีหรือจะลืมกันง่ายดายหลังจากเลิกคบไปไม่นาน

เรื่องน่าละอายที่ตนก่อไว้ในค่ำคืนที่ผ่านมาส่งผลให้เปมิกากระอักกระอ่วนใจ ไม่สามารถเชิดหน้าสบตาใครได้เต็มตาเหมือนเก่า อีกนานเท่าใดไม่รู้ กว่าเรื่องบัดสีนี้จะเลือนหายไปจากความทรงจำ

หรือจะจริงอย่างที่เคยได้ยินมาว่า...ความผิดครั้งแรกจะกระทบกระเทือนและติดค้างอยู่ในใจ หากทำเรื่องเดิมซ้ำต่อไป มันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่กล้าเปิดเผย เปมิกาไม่อยากคิดถึงความสนุกตื่นเต้นรัญจวนใจที่ได้รับเลย มันเย้ายวนชวนให้ถลำลึก โดยเฉพาะยามสติสัมปชัญญะถูกบั่นทอนด้วยฤทธิ์เหล้ายา

ช่างเถอะ...ชีวิตเป็นของหล่อน จะใช้มันไปในทิศทางใด สนุกสนานเต็มที่เพียงไหน ก้าวผิดเดินพลาดไปบ้าง ก็ไม่มีใครเดือดร้อนด้วยเสียหน่อย

ประยุทธไง...เสียงหนึ่งแย้งขึ้นในใจ เปมิกาเม้มปากแน่น...ก็อย่าให้ท่านรู้ก็สิ้นเรื่อง หญิงสาวไหวไหล่เบาๆ

เปมิกาหยุดความคิดทั้งมวลลง เนื่องจากประตูลิฟต์เงาวับสะท้อนภาพชัดเจนราวกับกระจก ส่งผลให้คนตรงหน้าลิฟต์มองเห็นหล่อน และหล่อนก็เห็นหน้าเขาชัดเจนโดยอีกฝ่ายไม่ต้องหันกลับมา นอกจากบุคลิกจะแปลกตาแล้ว หน้าคมก็เข้มขึ้นด้วยไรหนวดเคราซึ่งถูกตัดเล็มไว้เรียบร้อยชวนมอง รอยยิ้มร้ายๆจุดขึ้นบนใบหน้า

หากที่ผ่านมาเปมิกามองวาริเหมือนน้ำเปล่า จืดชืด ไร้สีสันและรสชาติ วาริคนที่ตนสบตาด้วยขณะนี้ก็เป็นดั่งโคคาโคล่า เข้มข้นเย็นซ่าน่าสนใจ

เขาเจอหล่อนแล้ว คงยากหากคิดจะหลบเลี่ยง อย่างไรก็คงต้องเผชิญหน้า หญิงสาวเก็บกดเรื่องเมื่อคืนไว้ลึกสุดใจ ปั้นหน้าเฉยขณะก้าวไปยืนไม่ห่าง

“ดีใจที่พบคุณตรงนี้” ชายหนุ่มเป็นผู้เปิดการสนทนา เว้นจังหวะไว้ให้หล่อนสานต่อ

“มีธุระอะไรกับเป๊กกี้อีก เราเลิกกันแล้ว จำไม่ได้เหรอ” ถึงวาริในลุคใหม่จะน่าสนใจอย่างไร แอบเสียอายลึกๆเพียงไหน เปมิกาก็มิอาจนอกใจชรัณได้ ไม่นับรวมเรื่องเมื่อคืน เพราะนั่นเป็นการนอกกาย มิใช่นอกใจ

“จำไม่ได้ แต่รู้แล้ว เพราะเธอบอก” เขาตอบสั้น กระชับ เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูลิฟต์เลื่อนเปิด

หนุ่มสาวก้าวเข้าไปยืนภายใน ชายหนุ่มสอดมือลงกระเป๋ากางเกง มองดูเปมิกากดเลือกชั้นอย่างไร้ความหมาย
หญิงสาวสะบัดหน้ามองเขา พร้อมประตูลิฟต์เลื่อนปิดส่งเสียงเบาๆ

“แล้วมาทำไมอีก” หล่อนถามเย็นชา

“มีเรื่องให้ช่วยหน่อย”

แทนคำถาม คิ้วเรียวโค้งสวยเลิกขึ้นน้อยๆ

เขาไม่ตอบ กลับจ้องหน้าสบตาหล่อนแน่วนิ่ง กระแสประหลาดเย็นวาบในอกซ้ายแล่นปราดขึ้นสู่ดวงตาสีนิล ทะลวงผ่านม่านตา
แล่นรี่จับดวงจิตหญิงสาวตรงหน้า คำสั่งบางอย่างถูกบันทึกลงในนั้น

เปมิกาชะงัก นัยน์ตาเลื่อนลอย ความรำลึกนึกได้เลือนหาย มือซึ่งกระชับมั่นบนสายกระเป๋าสะพายยื่นไปรับสิ่งที่ชายหนุ่มส่งให้โดยง่ายดายไร้ข้อกังขา ครั้นลิฟต์เปิดก็ก้าวออกไปราวกับคนละเมอ โดยมีดวงตาคมกล้าของคนในลิฟต์มองตาม มุมปากกระตุกยิ้ม
สมใจ ในขณะที่ประตูลิฟต์ค่อยๆเลื่อนเข้าหากันจนปิดสนิท

เผด็จตอบตัวเองไม่ได้...จริงๆเขาคร้านที่จะยอมรับมากกว่า ว่าเหตุใดยังกลับมาป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆน้ำหนึ่งอีก ความลับที่อยากรู้ก็ได้รู้แล้ว แถมอาการตาพร่าซึ่งเป็นผลข้างเคียงของมันยังทำให้เขาหงุดหงิดรำคาญใจ แต่ชายหนุ่มก็เก็บเสื้อผ้ามานั่งเฝ้านอนเฝ้าน้ำหนึ่งที่โรงพยาบาล

เหตุผลมันชัดแจ้งประจักษ์ใจตั้งแต่เขาไม่ยอมปล่อยให้เธอตายไปเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาแล้ว!

ทว่าอะไรบางอย่าง...อะไรก็ไม่รู้ทำให้เผด็จรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่ในห้องพักคนป่วยกับน้ำหนึ่งเพียงลำพัง

ไม่ใช่เพียงเผด็จเท่านั้นที่รู้สึก น้ำหนึ่งก็รู้สึกเช่นกัน แม้จะพยายามคิดว่าโรงพยาบาลล้วนเต็มไปด้วยวิญญาณผู้ตายที่ยังหาทางไปไม่เจอ ดีที่ในห้องนี้ยังไม่พบสิ่งแปลกปลอม แต่เวลาพยาบาลเปิดประตูเข้ามา เธอมองสวนออกไปยังพบหลายครั้งหลายคราว เพียงแต่การเห็นบ่อยจนคุ้นเคยช่วยให้เธอตั้งสติได้เร็วขึ้น

แต่ที่ว่ารู้สึกเหมือนมีคนอยู่ในห้องด้วยนั้น น้ำหนึ่งมั่นใจว่าไม่ใช่วิญญาณที่หลงวนเวียนอยู่ในสถานที่แห่งนี้แน่นอน เพราะบางครั้งเหมือนมีคนอยู่ใกล้ๆ คอยห่วงใยไม่ห่าง บางคราวยามกึ่งหลับกึ่งตื่นได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาพร่าเลือน...เสียงเรียกชื่อเธออย่างสนิทสนมคุ้นเคย

“น้ำ...น้ำ”

ครั้นสะดุ้งตื่นเต็มตา เพ่งมอง เงี่ยหูฟัง ก็พบเพียงความว่างเปล่าอันเงียบงัน

ในชีวิต จำได้ว่ามีคนเดียวที่เรียกเธอแบบนี้ ก็คนที่นอนเหยียดยาวเล่นเกมในโทรศัพท์อยู่บนโซฟานั่นอย่างไร น้ำหนึ่งตื่นมาตอนใกล้เที่ยงและพบว่าเขากลับไปแล้ว หากเป็นเมื่อก่อน เธอคงรู้สึกจิตใจว่างโหวงและคิดถึง แต่ตอนนี้ไม่รู้ทำไม เธอกลับสบายใจอย่างประหลาด โล่งใจที่ไม่มีคนคอยก่อกวนให้อารมณ์ขึ้นๆลงๆ ให้อยู่คนเดียวดีกว่ามีเพื่อนกวนโมโหแบบนั้น แทนที่จะหายไวขึ้น อาจจะกลับเป็นหนักกว่าเดิมก็ได้

แต่ความสบายใจของเธอดำรงอยู่ได้ไม่นาน ครั้นเย็นย่ำใกล้ค่ำคืน หนุ่มหัวเกรียน...แถมนิสัยยังเกรียนขั้นเทพ ก็หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมมาทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเดิมหน้าตาเฉย

“หอบหิ้วมาทำไมน่ะ” เธอถาม สายตาจับอยู่ที่กระเป๋าใบนั้น

“ก็มาอยู่เป็นเพื่อนเธอสิ ถามได้” เขาตอบหน้าตาเฉย

“ถามฉันหรือยัง ว่าต้องการหรือเปล่า”

“นั่นไม่สำคัญเท่าฉันต้องการหรือเปล่า...” เขายักไหล่ ท่าทางกวนประสาทจนอยากหาอะไรขว้างใส่

“เอาน่า ไม่ต้องทำหน้ายุ่ง ฉันสัญญา...สาบานเลยเอ้า ว่าจะไม่กวนใจให้เธอโมโห” เขาชูสามนิ้วเหมือนท่าปฏิญาณตนของลูกเสือสามัญ ดวงตาพราวไปด้วยรอยยิ้มจนน่าจิ้มให้บอดนัก

“สายไปแล้ว เธอเพิ่งทำมันลงไปเดี๋ยวนี้เอง”

“ก่อนสาบานไม่นับสิ...เอาละ เธอนอนพักไปเถอะ อย่าพูดมาก เดี๋ยวหายช้าจะมาโทษว่าเป็นเพราะฉันอีก” เขาตัดบทแล้วทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา ขาเหยียดพาดบนพนักวางแขน หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาเล่นเกม และจ่อมจมอยู่เช่นนั้นเป็นชั่วโมงๆ

น้ำหนึ่งมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก รู้เพียงในใจลึกๆอยากพบวาริคนเดิมเหลือเกิน คนที่พูดคุยกันถูกคอ อบอุ่น อ่อนโยน ละมุนละไม พาให้ใจหวั่นและสั่นไหวทุกคราวที่ใกล้ชิด

ส่วนวาริคนใหม่ที่ทั้งห่ามห้าว ช่างกวนประสาทและปากเสียคนนี้ น้ำหนึ่งได้แต่ส่ายหน้า อับจนถ้อยคำจำกัดความรู้สึกที่มีต่อเขา รู้เพียงว่า วันไหนไม่เห็นหน้าเขา วันนั้นเธอสุขและสบายใจสุดๆเชียวละ

“นี่...” จู่ๆคนที่หญิงสาวลอบพิจารณาก็หันมาส่งเสียงดื้อๆ ครั้นพบว่าเธอนอนมองอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มพราวก็จุดขึ้นในดวงตาคู่นั้น ก่อนลามมายังริมฝีปากอย่างรวดเร็ว “ฮั่นแน่ แอบมอง คิดอะไรกับเขาหรือเปล่าเนี่ย”

คำตอบมาจอดจ่ออยู่ตรงริมฝีปากแล้ว...คิดสิ...คิดมากด้วย แต่ไม่อยากต่อปากต่อคำให้อารมณ์ผันผวนปรวนแปรจนจิตตัวเองก็ยังตามพิจารณาไม่ทัน จึงเฉยเสีย แต่ก็ยังสู้สายตาเขาไม่ลดละ

เกมจ้องตาดำเนินอยู่อึดใจใหญ่ น้ำหนึ่งจึงเป็นฝ่ายยอมแพ้ หมดความอดทนเต็มที
“มีอะไรจะพูดก็พูดมาสิ”

“รู้หรือเปล่าว่าหมอให้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่”

“ถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอาการอะไร มะรืนนี้สายๆก็คงกลับได้ เห็นว่าอย่างนั้น ถามทำไม”

“มีคนคนนึง สำคัญมาก อยากพาไปหา...ไปวันเสาร์นี้ ไปนะ ไปด้วยกัน”

ยามชักชวน แววตาคนพูดเปี่ยมด้วยประกายความหวัง ไร้กิริยาท่าทางกวนประสาทอย่างเช่นที่น้ำหนึ่งเห็นจนเจนตาในระยะหลัง เขาดูเหมือนเด็กชายที่กำลังอ้อนให้ผู้ปกครองพาไปเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างไรอย่างนั้น

คนถูกชวนนิ่งคิด วันเสาร์ก็อีกตั้งห้าวันกว่าจะถึง

“ไปไม่ได้หรอก วันเสาร์เราไม่ว่าง”

“แปลว่าถ้าเป็นวันอื่นที่ว่างก็ไปได้” เขารุกคืบ

น้ำหนึ่งพรูลมออกปากด้วยความหน่ายใจ ส่งสายตาคลางแคลงไปยังคนพูด

“จะพาเราไปหาใครกันล่ะ”

“อย่ามามองแบบนั้น ไม่พาไปเปิดตัวกับครอบครัวหรอกน่า”

น้ำหนึ่งขึงตาดุ ก็ปากอย่างนี้ มันน่าพูดดีๆด้วยไหมเล่า

“โอเค โอเค ไม่ล้อแล้ว รู้ว่าเขิน ไม่ต้องแกล้งทำดุกลบเกลื่อนหรอก” และไม่รอให้น้ำหนึ่งหาอะไรมาปาหัวอย่างที่เธอทำท่าว่าอยากจะทำเต็มแก่ เขาก็รีบเอ่ยต่อทันทีว่า “จะพาไปหาคนสำคัญ สำคัญสำหรับฉันมากๆ ฉันอยากให้เธอรู้จักเขา”

“ทำไมต้องรู้จัก เขาเป็นคนสำคัญของเธอ ไม่ใช่คนสำคัญของเราเสียหน่อย...เดี๋ยวนะ...เขา...แปลว่าต้องเป็นผู้ชาย อย่าบอกนะว่า
เธอหันมานิยม...” น้ำหนึ่งยกนิ้วชี้หน้าเขา อ้าปากค้าง กวาดตาสำรวจเขาทั่วร่างขึ้นๆลงๆ

“หยุดความคิดบ้าๆของเธอไปเลยนะยายเซ่อ” เขาทำหน้าดุ ริมฝีปากบึ้งตึง ยังไม่ทันจะพ้นนาทียั่วต่อ “เธอไม่อยากรู้หรือ ว่าใครกันคือคนสำคัญของฉัน”

ทำไมจะไม่อยากรู้เล่า แต่วันเสาร์นี้เป็นวันครบรอบวันตายของพิมพ์แพร อัญชันก็ไม่อยู่บ้าน เธอคงต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้พี่สาวเพียงลำพัง พอวันอาทิตย์เธอก็ต้องเดินทางไปกระบี่เพื่อดูบ้านโลเกชันที่จะออกแบบบ้าน ถึงอยากรู้เพียงใด ก็มิอาจไปพบคนสำคัญคนนั้นได้

เมื่อน้ำหนึ่งนิ่ง คนช่างยั่วจึงเอ่ยขึ้นในที่สุดว่า

“เอาเถอะ ฉันให้เวลาเธอคิด แล้ววันนั้นฉันจะไปรับ”

ให้เวลาคิด แต่ถึงวันนั้นจะไปรับ แล้วจะให้คิดไปเพื่อ...

****************************** 
ทักทายท้ายเรื่อง

ไอ้พี่เก้าอสิตารา ต้องมาลงรุ่งสางเพราะคุณลูกชอบตื่นมาเจ๊าะแจ๊ะตอนตีหนึ่งตีสอง ต้องแกล้งหลับแล้วดันหลับไปจริงๆอะดิ

เกดซ่าแฟนซาตาน วาริเป็นได้แค่เงาบางๆใสๆ สู้ซาตานแสนแซ่บไม่ได้นิ

คุณพี่แตงกวา เผด็จอยากเข้าวัง เผด็จอยากเห็นนางสนมกำนัลในบ้าง อะคริ อะคริ

คุณ Pat ยินดีต้อนรับค่ะ ขอบคุณที่แสดงตัว กลายเป็นหนึ่งในว่าที่ผู้โชคดีไปแล้ว

คุณใบบัวน่ารัก เผด็จน้อยจายยย คุณใบบัวไม่ชวนไปกินต้มเลือดหมู ของเผด็จไม่ต้องต้มด้วยนะ ขอสดๆ

คุณน้องหนอนน้อยดังปัณณ์ อ่านคอมเม้นท์ของน้องแล้วเจ๊หัวเราะตามทุกที ตัวจริงตลกเท่าาตัวหนังสือไหมนะ งานหนังสือนี้เจอกันหน่อยเป็นไง

น้องยิ้มจัง ถ้าถามพี่ว่าใครเป็นพระเอก พี่จะตอบว่าผู้ชายทุกคนในเรื่องเป็นพระเอกในมุมของตัวเอง แต่อย่าไปถามเผด็จ ฮีจะตอบว่า เผด็จเป็นพระเอก

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ ไม่รักเผด็จ ระวังวันที่เผด็จจากไปแล้วจะคิดถึง ร้องไห้กระซิก กระซิกนะเออ เค้าไม่ตามเผด็จกลับมาให้หรอก

คุณสุขุมวิท ๖๖ เผด็จคิดจะกินน้ำหนึ่งเหมือนกัน ไม่ได้อยากกินแค่เลือดแล้วละ

คุณหมีบุลินทร เดี๋ยวเราจะมอบรางวัลให้ในฐานะคนที่คิดชื่อซีรี่ส์ ๕ ปรารถนา

คุณโกลเด้นท์ซัน โรคของวรุตม์สะสมมานานค่ะ เพิ่งแสดงอาการเอาเมื่อร่างกายอ่อนแอถึงขีดสุด เผด็จก็ถนัดปั้นน้ำเป็นตัวนะคะ มาจากนรกนี่ คงทำได้ทุกอย่างแล้วละ

*******************

ป.ล. อย่าลืมนะคะ ใครมาอ่าน มาเม้นท์ ช่วยลงชื่อไว้นิดเพื่อแสดลงให้ผู้เขียนทราบ จะได้รวบรวมรายชื่อไปจับรางวัล เค้าจับจริงแจกจริงๆนะ

เรื่องนี้จะลงถึงวันที่ ๙ ตุลานะคะ ส่วนที่เหลือติดตามได้ในเล่มซึ่งจะวางแผงแน่นอนในงานหนังสือที่กำลังจะมาถึงอีกไม่นานนี้



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ต.ค. 2557, 04:38:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ต.ค. 2557, 04:38:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1643





<< บทที่ ๑๓ (ครึ่งแรก)   บทที่ ๑๔ (ครึ่งแรก) >>
อสิตา 1 ต.ค. 2557, 05:43:31 น.
เผด็จปั้นน้ำเป็นตัวเหมือนคนเขียน ทำไมลงถึงวันที่เก้าล่ะ เลขสวยรึ


ketza 1 ต.ค. 2557, 06:31:56 น.
มาแย้วๆๆๆ


ketza 1 ต.ค. 2557, 06:37:27 น.
หวายๆๆๆ ยัยเปมิกาซ่าจนได้เรื่อง ทำมาเสียใจรึ โดนผู้ชายหลอกแย้วว เชอะๆๆๆ


yimyum 1 ต.ค. 2557, 06:50:51 น.


พันธุ์แตงกวา 1 ต.ค. 2557, 07:36:09 น.
เอ่อ เจ้เกรงว่าสาวชาววังจะแตกตื่นกับถ้อยผรุสวาทของพ่อคุณจนอกสั่นขวัญแขวนกันหมดน่ะจิ๊

สงสารน้ำหนึ่ง คงทำใจยากที่วาริเปี๋ยนไป๋ อยู่ใกล้แล้วรำคาญ เวลาอยู่ห่างอย่าแอบคิดถึงพ่อซาตานล่ะ แหม ยายเป๊กกี้ เกิดมาชาตินี้ใช้ชีวิตคุ้มนะตัวเทอ ครุคริๆ


ketza 1 ต.ค. 2557, 09:57:46 น.
น้ำหนึ่งใจแข็งจุงเยย ซาตานต้องขยันหยอดอีกนิดๆๆๆๆ


ริญจน์ธร 1 ต.ค. 2557, 10:12:26 น.
เมนต์ๆๆๆ


Sukhumvit66 1 ต.ค. 2557, 11:41:00 น.
ทำไมมองไม่เห็นวิญญาณของว่านคะ หรือจะเกี่ยวกับตอนนี้ที่ตาพร่าหรือเปล่าคะ


บุลินทร 1 ต.ค. 2557, 11:50:21 น.
บุลินทรได้สิทธิ์ลุ้นไปรึยางงงงงงงง ล้อเล่นนะ ฮ่าๆๆ


goldensun 1 ต.ค. 2557, 13:06:35 น.
วิญญาณหลุด แต่ไม่ใช่ผีใช่มั้ยคะ น้ำหนึ่งเลยเห็นแค่เงาใสๆ แล้วไม่ต้องการให้เห็นก็ได้ใช่มั้ยคะ
จากแอบรัก กลายเป็นน่ารำคาญซะแล้ว หน่วยล่าวิญญาณทำงานช้า
รชณชดนเอาคืนแล้ววววววะโช


นักอ่านเหนียวหนึบ 1 ต.ค. 2557, 15:42:54 น.
ไม่เลย ไม่น่ารักเลย เด็ดดี้
ทำตัวดีๆ ให้แฟนคลับเอ็นดูบ้างงง
จะร้ายกาจ ก่อกวนเอาโล่รึงายยย
สงสารวิญญาณพเนจรจริงๆ ห่วงเขา รักเขา ก็มาทำได้ตอนไม่มีโอกาสแสดงตัว เอ๊าาา ทำใจเข้มๆ หน่อยยย เบ่งพลัง แสดงตัวเล้ยย


ดังปัณณ์ 1 ต.ค. 2557, 18:51:48 น.
ขุ่นพี่ หนอนไม่เป็นดังเช่นคอมเม้นค์ ถามขุ่นแม่กุเต่ยได้ หนอนเรียบร้อย สงบเสงี่ยมเจียมตัว เป็นผ้าพับรีดเรียบเชียว!

เชื่อไหม...ไม่เชื่อ 555+

อะ เด็จจี้จิพาไปหาพ่อป่ะนั่น รัฐมนโทบดินทร์ วันนี้หนอนเหนื่อยๆเพลียๆง่วงๆ เพราะมะคืนกว่าจะหลับตีสอง แถมตื่นเช้ามาลากสังขารไปออฟฟิศอีก

จะรอดูนะฮะ ว่าเด็จจี้จิทำไรต่อไป แต่แน่ๆ ไอ้ที่เรียกน้ำๆนั่นวานี่แน่นอน ใสมาเชียวพ่อคุณ!


Barby 2 ต.ค. 2557, 15:45:21 น.
ชอบการต่อปากต่อคำของน้ำหนึ่งกับเผด็จจิงๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account