วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๔ (ครึ่งแรก)

“คุณเป๊กกี้คะ คุณเป๊กกี้”

เปมิกาสะดุ้งรู้สึกตัว ดวงตาคมหวานกะพริบปริบ เหลียวมองรอบกายด้วยความงวยงงสงสัย หล่อนมายืนอยู่ในห้องทำงานตั้งแต่ฃเมื่อไร จำได้ว่าตนอยู่ในลิฟต์กับวาริ พูดคุยอะไรกันบ้างก็จำไม่ได้ แล้วนี่เขาหายไปไหน

“คุณประยุทธสั่งให้คุณเป๊กกี้ไปพบที่ห้องทำงานค่ะ” เลขาฯสาวรายงานคล่อง ก่อนหอบแฟ้มงานไปวางบนโต๊ะ

“เอ่อ...เห็นคุณว่านไหม”

คนถูกถามเงยหน้ามองเจ้านาย แววตาฉงน

“คุณว่านมาเมื่อไหร่คะ”

“อ้าว ก็มาพร้อมฉันไง”

“ไม่มีค่ะ” หญิงสาวส่ายหน้าหวือ “คุณเป๊กกี้เดินมาคนเดียวค่ะ ท่าทางเหม่อลอยเชียว”

เปมิกานิ่งงัน เม้มริมฝีปากแน่น ฤทธิ์ยาที่ได้รับเข้าไปเมื่อคืนยังไม่หมดไปจากเนื้อตัวหรือไร จึงทำให้หล่อนวาดมโนภาพขึ้นมาได้สมจริงเช่นนั้น ฝ่ามือบอบบางชื้นชุ่มไปด้วยเหงื่อ เท้าทั้งสองพาร่างอรชรตรงเข้าห้องน้ำ สำรวจหน้าตาตนเองในกระจกเงาบานใหญ่เหนืออ่างล้างมือ

นอกจากความซูบซีดผิดตาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ใต้ขอบตาถูกปกปิดด้วยคอนซีลเลอร์จนไม่เหลือร่องรอยหมองคล้ำของคนอดนอนให้เห็น หวังว่าประยุทธจะมองไม่รู้ เดาไม่ออกว่าลูกสาวคนเดียวที่ท่านเฝ้ารักและดูแลให้อยู่ในกรอบกรงอันดีงาม ได้กางปีกโบยบินไปบนเส้นทางที่ตนเลือกแล้วอย่างอิสรเสรี หนทางสายนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนาน เริงร่า ท้าทาย และตราบใดยังมีชรัณอยู่เคียงข้าง หล่อนไม่มีวันย้อนกลับเข้าไปอยู่ในกรงดังเดิมแน่นอน

เมื่อมั่นใจว่าตนไม่มีสิ่งใดผิดปกติจนน่าหวาดหวั่น เปมิกาก็ตรงไปหาบิดาที่ห้องทำงานทันที

“นั่งลงสิ” ประยุทธเสียงเข้ม ดวงตาคมดุมองลูกสาวเขม็ง ราวกับเครื่องสแกนที่กำลังหาร่องรอยตำหนิในร่างบอบบางอรชรที่ตนรักทะนุถนอม และหวงแหนมาโดยตลอด

เปมิกาหลุบตามองพื้นโต๊ะขณะหย่อนกายลงนั่ง แม้พยายามทำตัวไร้พิรุธ แต่ก็ยังอดเสียวสันหลังวาบๆไม่ได้อยู่ดี
“คุณพ่อมีอะไรจะคุยกับเป๊กกี้หรือคะ” หล่อนทำใจดีสู้เสือ

“พ่ออยากให้เป๊กกี้กลับไปอยู่บ้าน” เสียงเข้มดุออกคำสั่ง

คนถูกสั่งเหลือบตาขึ้นมองสบดวงตาบุรุษวัยใกล้หกสิบ เห็นแววตาเฉียบขาดนั้นแล้วใจเริ่มสั่น ยามอยู่ต่อหน้าบิดาผู้เข้มงวด หล่อนก็กลายเป็นเด็กหญิงเล็กๆไร้พิษสง

“ทำไมล่ะคะ”

“ทำไมต้องให้พ่อชี้แจงความเหลวไหลของเราอีก” ประยุทธเสียงดังขึ้น แสดงชัดว่าไม่พอใจเอามากๆ

เปมิกาหน้าเจื่อน ริมฝีปากแห้งผากสั่นระริกจนต้องกัดไว้ แข็งใจสบตาบิดา พยายามกดเก็บความขลาดกลัวไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจวบจนเติบใหญ่ ทำไมหล่อนจะไม่รู้ว่าประยุทธเข้มงวดกวดขันเรื่องการใช้ชีวิตให้ดีงามมากเพียงใด

สมัยเรียนมัธยม หล่อนเคยโดดเรียนตามเพื่อนๆไปดูหนังและเที่ยวเล่นหลายครา หนังสือที่ทางโรงเรียนส่งไปแจ้งผู้ปกครองก็ถูกหล่อนทำลายทิ้งระหว่างทาง ไม่เคยถึงมือบิดาสักที กว่าอาจารย์ที่โรงเรียนจะโทร.ไปแจ้ง หล่อนก็หมดสิทธิ์สอบไปแล้ว ทั้งที่ท่านเป็นผู้มีอุปการคุณรายใหญ่แก่โรงเรียนเนื่องจากเป็นสถาบันที่ท่านจบมา ท่านกลับไม่ยื่นมือช่วย ปล่อยให้เรื่องราวของหล่อนดำเนินการไปตามกฎของโรงเรียน ครั้นหล่อนร้องไห้ตีโพยตีพายว่าพ่อไม่รัก ประยุทธก็เอ่ยเสียงดุดันด้วยความโกรธจัดว่า

‘ทุกที่มีกฎเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยและดีงาม ถ้าจะอยู่ที่ไหน ก็ต้องเคารพกฎที่นั่น ถ้าทำตามกฎไม่ได้ก็สมควรได้รับการลงโทษไปตามระเบียบ พ่อรักลูกนะ ถ้าไม่มีลูก พ่อคงไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ เห็นไหม พ่อทำงานเหนื่อยกลับมาก็ไม่ได้หนีลูกไปนอนพักอย่างที่อยากจะทำ พ่ออยู่ข้างๆลูกจนลูกหลับ ที่เข้มงวดคอยบอกคอยสอนให้คิดดีทำดีก็เพื่อให้ลูกเป็นคนดี คนดีอยู่ที่ไหน ใครก็รัก แต่ถ้าทำตัวไม่ดี นอกจากพ่อแล้วก็จะไม่มีใครรัก จำเอาไว้’

“นึกแล้วไม่ผิด ว่าออกมาอยู่คอนโดคนเดียวแล้วจะเป็นแบบนี้ รู้อย่างนี้พ่อลากตัวกลับบ้านตั้งแต่พ่อกลับจากต่างประเทศแล้ว ไม่ปล่อยให้อยู่ต่อแบบนี้หรอก เห็นว่าโตแล้ว นึกว่าจะดูแลตัวเองได้” น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวส่อชัดถึงความผิดหวัง

“เป๊กกี้เหลวไหลอะไรคะพ่อ” หล่อนแข็งใจถาม และกลั้นใจรอฟังคำตอบ

“นี่คิดว่าพ่อมองไม่ออกใช่ไหมว่าเดือนกว่าๆมานี้เป๊กกี้ผอมลงขนาดไหน ต่อให้แต่งหน้ากลบยังไงพ่อก็รู้ว่าลูกโทรมลงไปมาก พ่อไม่เข้าใจว่าความสุขที่พ่อทุ่มเทให้ลูกไม่รู้เท่าไหร่ มันไม่เพียงพอหรือไง ถึงต้องทำร้ายตัวเองแบบนี้”

เปมิกาก้มหน้า ขอบตารื้นด้วยน้ำอุ่นๆ เอ่อคลอจวนเจียนจะหยาดไหลลงมาให้ได้

“เป๊กกี้ เป๊กกี้ขอโทษค่ะพ่อ” น้ำเสียงเครือจัดลอดผ่านริมฝีปากสั่นระริก ภาพชวนบัดสีที่ตนก่อไว้เมื่อคืนแล่นโลดเข้ามาในหัว ความละอายเอิบอาบหัวใจ...น้ำตาหยดแรกหลั่งรินรดแก้มนวล

“เอาละ ไม่ต้องร้อง คนเราทำผิดแล้วก็แก้ไขใหม่ได้” เห็นน้ำตาลูกสาวแล้วประยุทธก็เสียงอ่อนลงมานิด แต่ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเด็ดขาด เงียบไปเป็นครู่กว่าจะเอ่ยต่อ

“ต่อไปก็ดูแลตัวเองดีๆ อย่าเอาแต่ดูซีรีส์เกาหลีจนไม่เป็นอันกินอันนอนแบบนี้อีกล่ะ โทรมจนหมดสวยแล้ว ระวัง นายว่านเขาจะไม่แต่งด้วย”

เปมิกาอึ้งไปสามวินาที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาบิดา ทั้งที่ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก

“พ่อว่าอะไรนะคะ...ซีรีส์เกาหลี?”

“ก็ใช่น่ะสิ เราน่ะชอบนักไม่ใช่เหรอ ตอนอยู่บ้านยังมีพ่อคอยกำราบไม่ให้นอนดึก คอยตามตัวมากินข้าวอย่างกับเด็กสิบขวบ นี่แยกไปอยู่คนเดียว คงจะเพลิดเพลินจำเริญใจละสิ...ถ้าดูแลตัวเองได้แย่แบบนี้ กลับไปอยู่บ้านให้พ่อดูแลดีกว่า”

หญิงสาวใช้หลังมือป้ายน้ำตาป้อยๆพร้อมปล่อยเสียงหัวเราะ รู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก หลังจากนั่งใจหายใจคว่ำมาพักใหญ่

“ขอเป๊กกี้อยู่ต่ออีกนิดเถอะค่ะพ่อ รับรองว่าเป๊กกี้จะไม่ดูซีรีส์จนดึกดื่นอีกแล้ว”

แววตาผู้มากวัยกว่าคลางแคลงคล้ายไม่เชื่อใจ

“นะคะพ่อ เป๊กกี้สัญญา” เธอเอ่ยเสียงอ้อน

ประยุทธนิ่งไปนิด ก่อนพยักหน้า “ก็ได้ พ่อให้โอกาสเป๊กกี้อีกครั้ง”

“ขอบคุณค่ะพ่อ” หล่อนประนมมือไหว้เรียบร้อย จากนั้นขอตัวกลับไปทำงานต่อ แม้ประยุทธไม่รู้เรื่องราวที่ตนก่อไว้ แต่เป็นหล่อนเองที่ไม่สามารถสบตาพ่อได้เต็มตา

“เดี๋ยวก่อนสิ” ประยุทธรั้งบุตรสาวไว้

ร่างอรชรเตรียมลุกจากเก้าอี้ตัวนุ่มชะงักนิดหนึ่ง แล้วหย่อนกายลงนั่งตามเดิม

“พ่อได้ข่าวว่าว่านประสบอุบัติเหตุ อาการหนักพอสมควร ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”

คนถูกถามนึกทบทวน จากการที่เขาโทร.หาหล่อนวันก่อน และ...เปมิกาค่อนข้างแน่ใจว่าพบเขาหน้าลิฟต์ก่อนขึ้นมาทำงาน แต่กลับจำไม่ได้ว่าเขาแยกไปตอนไหน แต่ทั้งหมดนี้น่าจะสรุปได้ว่า

“คงหายดีแล้วแหละค่ะ”

“คงหายดีงั้นหรือ” คิ้วหนาของผู้เป็นพ่อขยับเข้าหากันจนเกิดรอยย่นระหว่างกลาง “เป๊กกี้พูดเหมือนไม่ใช่แฟน เหมือนไม่ใช่คนที่คอยเอาอกเอาใจดูแลและให้กำลังใจยามเจ็บป่วยอย่างนั้นแหละ”

“เอ่อ...” เปมิกากัดริมฝีปาก สมองใคร่ครวญ ก่อนตอบไปอย่างระมัดระวัง “เป๊กกี้เลิกกับว่านแล้วค่ะ”

“อะไรนะ!” ประยุทธดูตกใจระคนแปลกใจอยู่ครามครัน ก่นจะแปรเป็นโกรธเกรี้ยวในไม่ช้า “มันบอกเลิกเป๊กกี้ใช่ไหม มิน่าเล่า ลูกถึงได้ดูซูบซีดทรุดโทรมแบบนี้ ทำไมต้องทนตรอมใจอยู่คนเดียว ไม่มาหาพ่อ บอกเล่าให้พ่อฟัง เป๊กกี้ก็รู้ว่าพ่อยินดีจะอยู่เป็นเพื่อนลูกเสมอ”

“ไม่ใช่หรอกค่ะพ่อ” หล่อนละล่ำละลัก “คือ...เป๊กกี้เป็นคนบอกเลิกเขาเองค่ะ”

“อ้าว” คราวนี้บิดาร้องเสียงดัง “ทำไมล่ะ ว่านก็ดูเป็นคนดีนะ เป๊กกี้ไปบอกเลิกเขาทำไม หรือเขามีคนอื่น...คบซ้อนงั้นรึ เลวมาก แล้วยังมีหน้าไปกินเหล้าจนเมาขับรถหัวทิ่มหัวตำ แหม มันน่าตายๆไปซะตั้งแต่ตอนนั้นเลย” ประยุทธถามเอง ตอบเอง ด่าเองเสร็จสรรพ

เล่นเอาเปมิกาสะดุ้งอยู่ในใจ คล้ายคำด่านั้นกราดมายังหล่อนโดยเฉพาะ

“เปล่าค่ะพ่อ” เสียงหล่อนแผ่วลงในประโยคท้าย และไม่รอให้บิดาซักไซ้ หล่อนรีบแจงเหตุผลซึ่งตนคิดขึ้นมาสดๆร้อนๆ “ทัศนคติของเราไม่ตรงกันค่ะ คบกันต่อไป ยังไงก็คงไม่รอด”

“มิน่าเล่า ว่านมันถึงได้ไปกินเหล้าเมา ถูกสาวหักอกนี่เอง” ประยุทธปะติดปะต่อเหตุการณ์จนเป็นเรื่องเป็นราว
หล่อนคิดตาม และส่ายหน้าไม่เห็นด้วย

“ว่านดูไม่เสียใจสักนิดค่ะพ่อ เขาอาจไปดื่มฉลองชัยให้อิสรภาพที่เพิ่งได้รับก็ได้ค่ะ”

พ่อลูกสนทนากันอีกสองสามประโยค เปมิกาก็ขอตัวกลับไปทำงาน ก่อนหล่อนจะลุกจากมาจริงๆ บิดาก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนผิดหู

“เป๊กกี้ ลูกจำไว้นะ บางอย่างมันทำให้เราสนุกได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว พอความสนุกจบไป สิ่งที่เหลือไว้คือสุขภาพทรุดโทรม หากรักตัวเอง อย่าทำร้ายตัวเองด้วยความสนุกฉาบฉวยเพียงชั่วแล่นนะ”

คำพูดกำกวมกินความหมายกว้างเช่นนี้ ทำวัวสันหลังหวะเริ่มร้อนเนื้อร้อนตัว

“เอ่อ...พ่อหมายถึงเรื่องดูซีรีส์เกาหลีใช่ไหมคะ”

ประยุทธมอบรอยยิ้มใจดีให้หล่อน ก่อนส่งคำพูดเปี่ยมเมตตาตบท้าย

“พ่อหมายถึงทั่วๆไป ก่อนจะรับอะไรเข้ามาในชีวิต พิจารณามันให้ดี...ความสุขที่แท้จริงเกิดจากการสละออกไป ไม่ใช่ขวนขวายรับเข้ามาแบบไม่ลืมหูลืมตา”




“พี่รันคะ” เสียงอ้อนดังมาตามสาย

คนฟังซึ่งยังคงนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงปิดปากหาวหวอด ความง่วงยังคงรุกรานเขาแม้เวลาจะล่วงเข้าห้าโมงเย็นแล้ว เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้ชรัณตาสว่าง เฝ้าคิดวนเวียนถึงภาพที่ตนเห็นเองจะจะแก่ตา อาคันตุกะยามค่ำคืน ให้ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คน อสุรกายน่ากลัวทำท่าจะหลุดลอยจากร่างแบบนั้น คนที่ไหนจะทำให้เกิดขึ้นได้ เว้นแต่นักมายากลผู้เก่งฉกาจเท่านั้นละ
แต่เล่าไปก็ไม่มีใครเชื่อ มีแต่หาว่าเขาเมาจนตาฝาด ป่วยการจะพูด เขาเมาจริง แต่ไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ แต่ก็นั่นแหละ คำพูดคนเมา ใครจะเชื่อ

กว่าจะหลับลงได้ ตะวันก็ขึ้นสายโด่ง หากเปมิกาไม่โทร.มา เขาก็คงหลับยาวไปถึงค่ำ

“ว่าไงเป๊กกี้” เขาปั้นเสียงอ่อนโยน

“พี่รันหายโกรธเป๊กกี้หรือยังคะ” เปมิกาเอ่ยกล้าๆกลัวๆ

“เด็กโง่ พี่ไปโกรธเธอตอนไหนกัน”

“ก็เมื่อคืนพี่รัน...” หญิงสาวอึกอัก คล้ายกระอักกระอ่วนใจหากต้องเอ่ยถึงเรื่องเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา

ชรัณคิดตาม ภาพเปมิกาในสภาพมึนเมาดูเย้ายวนไปทั้งเนื้อทั้งตัว ยิ่งยามเล่นรักกับชายอื่นต่อหน้าต่อตาเขา ยิ่งกระตุ้นกำหนัดในกายให้ตื่นโพลง เพียงคิดถึง ยังทำให้เลือดในกายฉีดพล่าน ร้อนรุ่มจนอยากระบายออก

“พี่ทำไม” เขารุก

“พี่รันหุนหันกลับไป ไม่ล่ำลาเป๊กกี้เหมือนเคย” ล่ำลา ที่หมายความว่าขึ้นไปต่อกันที่คอนโดของเขา แล้วหล่อนจะอยู่ถึงเช้าในวันที่ไม่ได้เอารถมาเช่นเมื่อคืน แต่สิ่งที่เขาทำ คือพาหล่อนไปส่งที่คอนโดแล้วกลับเลยโดยไม่พูดไม่จา

จริงอยู่ เขาโกรธที่หล่อนทำให้ช่วงเวลาแห่งความตื่นเต้นเร้าใจของเขาหยุดลงก่อนเวลาอันควร ครั้นส่งหล่อนแล้วจะให้ขับรถกลับคอนโดก็ไกล กลับมานอนบ้านใกล้กว่า...แต่ไม่คุ้มเลยเมื่อเทียบกับเรื่องชวนหวาดผวาที่ประสบพบเจอ แทนที่จะได้นอนหลับให้หายเพลีย กลับกลายเป็นตาสว่างยันเช้า

“พี่เห็นเราเหนื่อยๆเลยไม่อยากกวน”

“วันนี้เป๊กกี้หายเหนื่อยแล้วค่ะ ให้เป๊กกี้ไปหาพี่รันที่คอนโดนะคะ”

“เปลี่ยนบรรยากาศบ้างไม่ดีเหรอ” ชรัณเริ่มหว่านล้อม เขายังคงหลงใหลบรรยากาศรื่นเริงแบบเมื่อคืนอยู่ เป็นครั้งแรกที่ริลอง แล้วก็เกิดติดใจขึ้นมา

เขาไม่นึกสงสัยเลยว่าเหตุใดตนจึงไม่ห่วง ไม่หวงเปมิกา เพราะเขาไม่ได้รักหล่อน เขาเพียงติดเนื้อพึงใจในรูปกายภายนอก และหล่อนตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการได้อย่างถึงอกถึงใจ และการเห็นหล่อนร่วมรักกับชายอื่นกลายเป็นความตื่นเต้นสดใหม่
ชรัณรู้ ยามใดหล่อนเมา ยามนั้นหล่อนจะร้อนแรงและชวนดื่มด่ำไม่ต่างจากเหล้ารสเลิศ

หากเปลี่ยนจากเปมิกาเป็นพิมพ์แพรเล่า เขาจะกล้าผลักไสหล่อนลงไปในวังวนเหล้ายากามารมณ์เหล่านี้ไหม คำตอบเด่นชัดในใจ...ไม่...ไม่มีทางแน่นอน

พิมพ์แพรเป็นรักแรกและรักเดียวของเขา แต่กว่าจะรู้ตัว หล่อนก็ลาลับโลกนี้ไปแล้ว ทิ้งรอยบาปด่างดำไว้ในใจเขาจนวันนี้ มันมิอาจลบเลือน...ทำได้เพียงกลบเกลื่อนมันด้วยการสำเริงสำราญกับสุรา นารี ยาอี ยาไอซ์...มันช่วยให้เขาไม่หมกมุ่นครุ่นคิดถึงเรื่องผิดบาปครั้งนั้น

เหตุการณ์ดังกล่าวทำท่าจะเข้ามาเต้นเร่าในหัว แต่ก็มีอันต้องสลายวับไปเสียก่อน เพราะเปมิกาเอ่ยเสียงอ่อยว่า
“เป๊กกี้อยากอยู่กับพี่รันแค่สองคนค่ะ...ได้ไหมคะ”

ชรัณระบายลมหายใจอย่างหงุดหงิด ทว่ายังคงรักษาความสุภาพนุ่มนวลในน้ำเสียงไว้ได้
“อย่างนั้นก็ได้จ้ะ ค่ำนี้เจอกันนะ”

ทั้งที่ใจคิดตรงข้าม...ทำไมจะต้องเรื่องมาก ทั้งที่ดูก็รู้ว่าหล่อนเองก็ชอบอยู่ไม่น้อย เอาเถอะ ยังมีเวลา ค่อยๆรุกคืบทีละน้อย อีกหน่อยเถอะ ขี้คร้านหล่อนจะเป็นฝ่ายชักชวนเขาเอง

น้ำใสสะอาด หากหมั่นเติมน้ำหวานสีสวยลงไปบ่อยเข้า วันหนึ่งมันก็เปลี่ยนสีได้เอง ชรัณคิดอย่างมั่นใจ ไม่สนใจด้วยว่า น้ำหวานสีสวยนั้น แท้จริงแล้วเคลือบทับยาพิษไว้ เฝ้ารอวันสะสมเต็มที่แล้วออกฤทธิ์ทีเดียว แค่มันทำให้เขาเพลิดเพลินและลืมเรื่องราวบัดซบที่ตนก่อไว้ในอดีตได้ก็พอ

อีกฟากฝั่งหนึ่งของการสนทนา เปมิกาวางเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะ ยกมือกอดอก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ทำงาน ขาเรียวโผล่พ้นกระโปรงสั้นเหนือเข่ายกไขว้กัน สีหน้าท่าทางครุ่นคิด

หล่อนต้องการพบชรัณ ต้องพบให้ได้ คล้ายมีภาระหน้าที่ต้องกระทำให้ลุล่วง แต่หน้าที่อันใดนั้น เปมิกาครุ่นคิดมาตั้งแต่กลับจากห้องทำงานของประยุทธ แต่พยายามสักเท่าไรก็นึกไม่ออกจริงๆ




ว่ากันว่าความรักของพ่อแม่เป็นดั่งรั้วกางกั้นลูกไม่ให้พาตนไปมั่วสุมคลุกคลีกับเรื่องไม่ดีไม่งามทั้งหลาย รั้วรักของประยุทธคงไม่แข็งแรงพอกระมัง เปมิกาจึงโลดแล่นไปบนหนทางผิดบาป ทั้งที่รู้ ทั้งที่เข้าใจว่าเหล้าและยาเสพติดอื่นๆไม่ดี แต่ด้วยความอยากรู้อยากลองจึงทำให้หล่อนถอนตัวไม่ขึ้น หล่อนไม่แน่ใจแล้วว่า ระหว่างชรัณกับเกล็ดสีขาวใสในถุงซิปที่อยู่ในมือเขา หล่อนต้องการสิ่งใดมากกว่ากัน

ความสนุกครึกครื้นรื่นเริงอันหาไม่ได้ในยามปกติประเดประดังมาทุกครั้งที่หล่อนเสพมัน หล่อนไม่คิดจะเลิกเพราะมั่นใจว่าตนไม่ได้ติด สามารถคุมความต้องการของตนเองได้ รั้งตัวเองไหว ทว่าในความเป็นจริง หล่อนใช้มันถี่ขึ้นเรื่อยๆ จากที่ใช้เฉพาะวันหยุดกลายเป็นเกือบทุกคืน และนอนยาวไปจนสายหรือบ่ายอีกวัน พอตื่นขึ้นมาก็สามารถลุกไปทำงานไหว แต่สมองตื้อตันจนคิดอะไรไม่ออก...อาการแบบนี้ มันต้องอัพเพิ่ม ถึงจะโล่ง

จากจุดเริ่มต้นคือเหล้าซึ่งทำให้หล่อนเมาขาดสติ และก้าวเดินมาบนเส้นทางแปลกใหม่ หล่อนรุดมาถึงจุดนี้อย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ตัว น่าสังเวชที่ยังลำพองตนว่าควบคุมมันได้ ทั้งที่หล่อนปล่อยใจให้มันยึดครองไปนานแล้ว หล่อนยังคงหลงระเริงไปบนหนทางที่ตนเลือก...หนทางแห่งความประมาท

คืนนี้ หล่อนขลุกอยู่กับชรัณตั้งแต่หัวค่ำยันย่ำรุ่ง หลงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง คนในครอบครัว หน้าตา ชื่อเสียง รู้เพียงว่าสมองตื่นโพลง และสนุกสุดเหวี่ยงกับสิ่งที่ชรัณปรนเปรอให้ ทั้งคู่หมดเรี่ยวแรงและนอนตาลอยเคว้งคว้างก็จวนสว่างของอีกวัน

อีกนานหลายชั่วโมงกว่าชรัณจะปิดตาหลับสนิท ปล่อยให้เปมิกานอนนิ่ง นัยน์ตาปรือปรอยเลื่อนลอยมองเพดาน จินตนาการโบยบินไปไกลถึงแห่งใดไม่มีใครรู้ แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น ไร้ที่มา เหมือนว่ามันบันทึกลงในดวงจิตสนิทแน่น และผุดโผล่มายามขาดสติเช่นนี้

‘เอาไปเปลี่ยนกับของชรัณ จำไว้ เอาไปเปลี่ยนกับของชรัณให้ได้ ทำให้ได้’

คนออกคำสั่งไม่ต้องบอกชัดเจน หล่อนก็รู้ว่าต้องนำสิ่งใดไปเปลี่ยน พวงกุญแจเปลือกหอยแกว่งไกวอยู่ตรงหน้า หล่อนรับมาซุกไว้ในกระเป๋าสะพาย แล้วหลงลืมมันไปเสียสิ้น จนบัดนี้...

ร่างเปลือยเปล่าลุกจากเตียง ไม่สนใจผมเผ้ารุ่ยร่าย หล่อนเดินเหมือนคนละเมอไปยังกระเป๋าสะพายบนโซฟา คุ้ยค้นกุกกักจนได้สิ่งที่ต้องการ เท้าบอบบางก้าวช้าๆไปบนพื้นห้อง เป้าหมายอยู่บนโต๊ะในห้องรับแขก กุญแจรถของชรัณ!

เบี้ยแก้ถูกเปลี่ยน ของจริงถูกทิ้งลงถังขยะ หลุดร่วงผ่านช่องว่างระหว่างขยะชิ้นโตๆไปซุกอยู่ก้นถังลึกสุด

ร่างอรชรกลับไปทิ้งตัวลงบนเตียงดังเดิม นัยน์ตาเลื่อนลอยพริ้มหลับ การกระทำต่างๆของตนเลือนหายไปจากความทรงจำ

*************************
ทักทายท้ายเรื่อง

อสิตารา คนเขียนต่างหากที่บงการให้เผด็จปั้นน้ำเป็นตัว ที่ลงถึงวันที่เก้าเพราะวันที่สิบจะลงตอนพิเศษที่ติญญาเขียน ทิ้งเวลาว่างสี่ห้าวันแล้วไปเจอของจริงที่งานหนังสือเลย

เกดซ่า น้ำหนึ่งใจแข็งเพราะเขารักวาริคนเดียว รักที่จิตใจ ไม่ใช่ร่างกาย

หนูยิ้งจัง เจอเผด็จเข้าไปหลายตอน ถึงกับพูดไรไม่ออกเลย เหลือแต่รอยยิ้มเก้อๆ ๕๕๕

คุณรินทรแวะมาทักทายกันเสมอ ำม่มีขาดหาย ขอบคุณค่ะ น่ารักจริงๆเลย

คุณสุขุมวิท ๖๖ เรื่องที่ว่าทำไมมองไม่เห็นวิญญาณวาริ จะมีเฉลยไว้ในเล่มค่ะ พอดีลงไม่ถึงจุดนั้นอะ ๕๕๕ ตอบอย่างนี้ จะฆ่ากันไหหมเนี่ย

คุณบุลินทรหมีร้าย คุณได้สิทธิ์นั้นเดี๋ยวนี้ เราจะขอกางเกงในจีสตริงลายกระต่ายสีทองของอสิตามาแจกคุณ ๕๕๕

คุณโกลเด้นท์ซัน ตอนนี้วาริเป็นวิญญาณเร่ร่อนไร้ร่างอยู่ค่ะ กำลังรวมพลัง ฮึบ ฮึบ อีกนิดเดียว

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ ดูท่าทางนายเผด็จจะเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆนะคะ ตอนนี้อาจจะแค่รำคาญ หมั่นไส้ แต่ต่อไปจะเกลียดเลย รับรอง อุ้ย ไม่ ไม่ ไม่ ไม่สปอยล์แล้ว

น้องหนอนน้อยดังปัณณ์ เจ้าแม่เดา ดักเจ๊ไว้ทุกทางแบบนี้แล้ว เจ๊จะขยับหลบหลีก สับขาล่อหลอกไปทางไหนได้ ฮึ

คุณ Weera-anong Suwankornsakol ขอบคุณที่ยกมือแสดงตัวค่ะ จะได้ร่วมสนุกรับของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆกัน

ติดตามกันต่อพรุ่งนี้นะคะ

อย่าลืม! อย่าพลาด! ใครที่เข้ามาอ่าน เข้ามาไลค์ ช่วยทิ้งคอมเม้นท์แสดงตัวไว้นิดนะคะ ผู้เขียนจะได้รวบรวมรายชื่อทั้งหมดไปจับรางวัลหลังการโพสต์ยุติลง เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้นักอ่านมีเรี่ยวแรงอ่านกันต่อไป





ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 ต.ค. 2557, 02:41:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 ต.ค. 2557, 02:41:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1289





<< บทที่ ๑๓ (จบตอน)   บทที่ ๑๔ (จบตอน) >>
อสิตา 2 ต.ค. 2557, 03:37:03 น.
ข้าแจกกางเกงในกระต่ายทองให้คนเม้นต์บ้างดีกว่า


ketza 2 ต.ค. 2557, 06:24:10 น.
อุ๊ต่ะ ภารกิจลุล่วงแย้ววว ... รึเปล่าาาา
จะว่าไปหล่อนก้น่าสงสารนะยัยเปมิกา เหอๆๆๆ


yimyum 2 ต.ค. 2557, 09:49:21 น.
ตอนแรกไม่ชอบเปมิกานะ แต่ตอนนี้รู้สึกสงสารแล้วอะ


patok 2 ต.ค. 2557, 12:55:14 น.
นั่งอ่านมาตั้งแต่ตอนแรก เอ้า จบแล้วหรอ 555+ ว่าแต่ว่า พระเอกจริงๆ ใช่วาริตัวจริงหรือเปล่าคะ?


Sukhumvit66 2 ต.ค. 2557, 13:58:54 น.
ไม่เป็นไรคร่า เด๋วซื้อเป็นเล่ม เราจะไปหาคำตอบเลย อิอิ


ดังปัณณ์ 2 ต.ค. 2557, 14:48:29 น.
เป๊กกี๊นี่ก็น่าสงสารนางนะขุ่นพี่ แต่นางทำตัวนางเองอ่ะ
นี่พ่อก็เตือนแล้วเห้อ นังรันนี่โคตะระเลวอ่ะ ทีนี้ละงานเข้า เบี้ยแก้ดันถูกทิ้แล้ว เด็จจี้อาละวาดดดดดดดดดดด โฮ่งๆ บรู้วววววววววววววววววว อร๊ายๆๆๆๆๆๆ น่ากลัวๆๆๆๆ 555+


Barby 2 ต.ค. 2557, 16:00:03 น.
ตามอ่านทันสะที555 พิมแพรพี่สาวน้ำหนึ่งอะป่าว เกิดอะไรขึ้น


goldensun 2 ต.ค. 2557, 16:33:52 น.
คนรักของพิมพ์แพร ชรัณหรอกหรือ น้ำหนึ่งรู้มั้ยนะ
ทั้ี่พ่อรัก ดูแลอย่างดี เป๊กกี้ก็ยังพร้อมจะออกนอกลู่นอกทาง รอผลอย่างเดียว
สงสารประยุทธจัง
ส่วนชรัณ เสียของป้องกันไปแล้ว เผด็จจะได้แก้แค้นคนที่ฆ่าตัวเองแล้วสิ
แล้วเล่นยาหนักอย่างนี้ พ่อเลี้ยงรู้รึเปล่า


นักอ่านเหนียวหนึบ 2 ต.ค. 2557, 18:52:23 น.
เด็ดดี้! นายทำยังไงก็ดูไม่ดีขึ้นหรอก! เด๋วพอนายล้างแค้นเสดนะ เชื่อเหอะ เจ้ไรเตอร์เอานายกลับนรกแน่!!!! 555


ใบบัวน่ารัก 2 ต.ค. 2557, 19:04:15 น.
เนี่ยนะคนรวย ลูกคนรวยที่งมงาย
พ่อก็บอกก็สอน แต่ไม่มีเวลาให้กับลูก
เศร้าใจจัง


บุลินทร 3 ต.ค. 2557, 00:38:54 น.
กดไลค์ๆ หายไปไหนกันวันนี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account