วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๔ (จบตอน)

เมื่ออยู่ในร่างวารินานเข้า เผด็จก็ได้เรียนรู้ว่า พลังพิเศษในตัวอยู่ได้ไม่นาน สองคืนที่เขานอนเป็นเพื่อนน้ำหนึ่งในโรงพยาบาล เขานอนไม่หลับเช่นเคย จึงลงไปเดินเล่นและพยายามทดลองพลังจิตกับยามรักษาความปลอดภัย ทว่ากลับไม่มีกระแสอุ่นวาบหรือเย็นซ่านเกิดขึ้นในโพรงอกเลยแม้แต่น้อย มันคงสูญสลายไปพร้อมกับเลือดที่ร่างกายรับมาและใช้จนหมด

ทว่าแปลกนัก เขากลับไม่รู้สึกหิวโหยเหมือนเช่นเคย มันอิ่มเอมอยู่ในดวงจิต เขาเคยรู้สึกเช่นนี้มาแล้ว เท่าที่สังเกต มันจะเกิดขึ้นในวันพระ ใครทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้เขานั่นละ...แต่วันนี้ไม่ใช่วันพระนี่นา ทำไมรู้สึกแบบนี้ได้ มีใครรักและเป็นห่วงจนนึกถึงเขาทุกวันอย่างนั้นหรือ

แต่ความรู้สึกอิ่มเอมเช่นนี้มันสงบงามเกินไป และไม่ก่อให้เกิดพลังอำนาจพิเศษเช่นเวลาดื่มเลือดสดๆ โดยเฉพาะเลือดจากกายน้ำหนึ่งซึ่งก่อเกิดพลังแตกต่างจากเดิม เขาชอบพลังเหนือธรรมชาติ อยากครอบครอง มันให้ความรู้สึกยิ่งใหญ่เหนือผู้อื่นอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน

หากมีสิ่งพิเศษนี้อยู่ในตัว การแก้แค้นก็ง่ายขึ้น...คิดมาถึงตรงนี้ ดวงตาสีนิลก็วาวโรจน์คล้ายเพลิงแค้นปะทุอยู่ภายใน เขาได้แต่หวังว่าคำสั่งที่บันทึกลงในดวงจิตของเปมิกาจะไม่เสื่อมสลายไปก่อนภารกิจจะลุล่วง เพราะหากมันสำเร็จ แค่มือเปล่า เขาก็สามารถจัดการชรัณได้แล้ว

เช้ามืดวันนั้น เผด็จขับรถออกจากโรงพยาบาลไปตลาดสดใกล้ๆ และซื้อเลือดสดหลายถุงใส่ท้ายรถ ก่อนมุ่งหน้ากลับบ้านสหทรัพย์ ลักลอบหอบหิ้วขึ้นไปยังห้องนอน เก็บกวาดน้ำดื่ม ผลไม้ และน้ำอัดลมออกจากตู้เย็นจนเกลี้ยง ก่อนเรียงถุงเลือดจนอัดเต็ม เขาจำเป็นต้องใช้มัน อย่างน้อยก็เพื่อให้มีชีวิตอยู่ได้เยี่ยงคนปกติ มิต้องหวาดกลัวแสงแดดราวกับผีดูดเลือดในหนังฝรั่ง

ชายหนุ่มเทของเหลวสีแดงสดเข้มข้นคาวคลุ้งลงเหยือกแก้วเจียระไน ดวงตาคมกล้าฉายแววกระหาย เขายกเหยือกใบนั้นจรดริมฝีปาก ค่อยๆละเลียดดื่มอย่างใจเย็นราวกับมันเป็นไวน์รสเลิศ กว่าจะหมดเหยือก แสงแห่งวันก็ทอทอดลอดม่านเมฆสีเทาทึมลงมาเป็นลำ ท้องฟ้าฤดูฝนอันหม่นมัวไม่อาจทำให้ใจเผด็จหมองหม่นตามไปด้วย เขาเดินผิวปากหวือเข้าไปอาบน้ำ แต่งตัวเตรียมออกไปโรงพยาบาลอีกครั้ง วันนี้น้ำหนึ่งจะกลับบ้าน เขาต้องไปรับเธอ

ครั้นลงมาชั้นล่างก็พบวิไลวรรณ หล่อนกำลังปรุงกาแฟอยู่ในห้องรับประทานอาหาร เผด็จแวะเข้าไปทักทายตามปกติ หล่อนยิ้มแล้วเอ่ยชวน

“วันนี้กลับมากินมื้อเย็นที่บ้านนะ แม่จะทำก๋วยเตี๋ยวน้ำตกให้กิน จะทำตั้งแต่วันก่อนแล้ว แต่แม่บ้านบอกว่าเลือดสดที่แม่สั่งซื้อมันหายไปจากตู้เย็น” วิไลวรรณหัวเราะขำ มือถือช้อนคนกาแฟในแก้วส่งเสียงกรุ๊กกริ๊ก ควันอ่อนจางลอยกรุ่น กลิ่นหอมอวลในอากาศ

“แม่ว่ามันไม่ได้หายไปไหนหรอก ป้าแกคงซื้อแล้ววางลืมทิ้งไว้ที่ตลาดนั่นแหละ คนแก่แล้วก็หลงลืมเป็นธรรมดา"

คนรู้ดีแก่ใจว่าเลือดถุงนั้นหายไปไหนเริ่มยืนไม่เป็นสุข แต่พูดเรื่องเลือดมาก็ดีแล้ว ทำให้เขานึกออกว่าต้องบอกกับวิไลวรรณว่า

“แม่ครับ ถ้าผมไม่อยู่ ไม่ต้องให้ใครขึ้นไปดูแลความเรียบร้อยบนห้องผมนะครับ”

“อ้าว ทำไมเกิดหวงขึ้นมา แอบซ่อนอะไรไว้ล่ะเรา...”

ซ่อนเลือดไว้น่ะซี มากเสียด้วย ชะดีชะร้ายใครไปเห็นเข้า อาจตกใจจนช็อกได้ง่ายๆ เผด็จได้แต่ตอบอยู่เพียงในใจ

“...หรือซ่อนหนังโป๊ไว้” วิไลวรรณแซวเหมือนเขาเป็นหนุ่มน้อยนมเพิ่งแตกพาน

“ระดับผมไม่มีหรอกครับหนังโป๊ มันต้องโซ่ แส้ กุญแจมือ และตุ๊กตายาง” เผด็จทำหน้าตาขึงขัง จริงจัง

“แหม ว่างๆแม่จะแอบเข้าไปดู เพิ่งรู้รสนิยมลูกชายวันนี้แหละ”

แม้วิไลวรรณจะพูดเช่นนั้น แต่เผด็จรู้ว่าหล่อนพูดเล่น ดวงตาคู่สวยนั้นบอกเขาว่าให้สบายใจได้ ตราบใดเขาไม่อนุญาต จะไม่มีใครล่วงล้ำเข้าไปในห้องส่วนตัวเขาเด็ดขาด

“แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วจะออกไปไหนแต่เช้า พักนี้ตะลอนนอกบ้านทุกวันนะ หายดีแล้วใช่ไหม ไม่คิดว่าแม่จะห่วงบ้างหรือไง...”

“แม่ครับแม่” เผด็จยกมือสองข้างทำท่ายอมแพ้ “บ่นยาวแบบนี้ ผมฟังไม่ทัน”
ฟังไม่ทัน แต่ใจกลับชอบเหลือเกิน...บ่นว่าด้วยความรัก ด้วยความห่วงใย เขาไม่เคยสัมผัสความรู้สึกแบบนี้เลยตลอดชีวิต กระทั่งได้มาอยู่ในร่างวาริ

เผด็จเคยคิดว่าตนจะเป็นวาริให้แนบเนียน แต่ดูท่าทีแล้วไม่มีใครคิดว่าร่างกายนี้มีวิญญาณดวงอื่นมาสิงสู่ ทุกคนคิดว่าวาริมีพฤติกรรมแปลกเปลี่ยนไปจากเดิม เนื่องจากประสบอุบัติเหตุจนความจำเสื่อม เขาจึงกล้าเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ ดังนั้น หากใครจะรักหรือจะเกลียด ก็ขอให้รู้สึกกับตัวตนจริงๆของเขา ไม่ใช่แบบที่เขาก๊อบปีใครมา

“ผมไปเฝ้าเพชรไงครับ เธอไม่สบาย วันนี้หมออนุญาตให้กลับบ้านได้ ผมก็เลยจะไปรับ”

“เออ นั่นสินะ แม่ก็ลืมว่าหนูเพชรไม่สบาย” วิไลวรรณมองหน้าเขา รอยยิ้มเปี่ยมเลศนัย สายตาคล้ายรู้เท่าทัน “ว่าแต่ว่านเถอะ เอาแต่ไปหาหนูเพชรแบบนี้ ใจคอจะฟื้นฟูความทรงจำกับเพชรคนเดียวหรือไง”

“ใครบอก” เขายิ้มแบบเดียวกับหล่อน “ผมจะไปสร้างความทรงจำใหม่ต่างหาก”

“ร้ายนะเรา...แล้ววันอาทิตย์นี้หนูเพชรจะไปกระบี่กับเราได้หรือ เพิ่งหายป่วยแบบนี้”

เผด็จส่ายหน้าด้วยความหน่ายใจ “เธอติดงาน คงไปกับเราไม่ได้หรอก” ถึงจะเป็นงานที่กระบี่เหมือนกันก็ตาม แม้รู้จักกันไม่นาน แต่เผด็จมั่นใจว่าคนอย่างน้ำหนึ่ง ลองบอกว่าไม่ก็คือไม่

“แม่น่ะนะอยากไปตั้งแต่วันเสาร์ แต่ริชาร์ดเขาไม่ว่าง บอกว่าติดธุระที่ต่างจังหวัด” วิไลวรรณบ่น

“วันอาทิตย์ดีแล้วครับ วันเสาร์ผมก็ไม่ว่างเหมือนกัน”

“แม่ไม่เห็นว่านว่างเลยสักวัน ทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยลอยชายไปมา เมื่อไหร่จะทำงานตามฝันของตัวเองสักที”

“ขอเวลาอีกนิดสิครับ ตอนนี้ผมความจำเสื่อมอยู่”

วิไลวรรณเพ่งมองหน้าเขา แล้วส่ายหน้าน้อยๆ

“รู้ตัวหรือเปล่า ว่าว่านไม่เหมือนคนความจำเสื่อมเลยแม้แต่น้อย”

“แล้วคนความจำเสื่อมเขาเป็นยังไงล่ะครับแม่ ต้องกินข้าววันละห้าหกมื้อ ไปไหนแล้วกลับไม่ถูก เอาผักไปเก็บในเครื่องซักผ้าแทนตู้เย็นอย่างนั้นหรือครับ” เผด็จย้อนพร้อมรอยยิ้มขำ

“บ้า นั่นมันอัลไซเมอร์แล้ว” วิไลวรรณค้อนวงใหญ่ ก่อนถามต่อ “ตกลงหนูเพชรไม่ได้ไปกับเราหรอกเหรอ หรือเราจะเลื่อนดี รอให้หนูเพชรเสร็จงานค่อยไป ว่านจะได้สร้างความทรงจำใหม่กับเธอไง”

“อย่าเลยครับ ผมคิดว่ารู้จักเพชรดี ยังไงเธอก็ไม่ไป” เผด็จเอ่ยอย่างมั่นใจ

หากจะเอาตัวเธอไปด้วยจริงๆ เขาก็ทำได้ แต่เขาไม่อยากให้เธอเกลียดหน้ามากไปกว่านี้ ทุกวันนี้ก็ดูรู้หรอกว่าเธอรำคาญและเบื่อขี้หน้าเขาเต็มที แต่การได้ก่อกวนเธอ ได้ยั่วโมโหเธอ มันทำให้ชีวิตเขามีสีสันและไม่น่าเบื่อนี่นา ไหนๆเขาก็คงไม่ได้อยู่กับเธอตลอดไปอยู่แล้ว มีเวลาก็ตักตวงไว้ให้เต็มที่ก่อน จะเป็นไรไป

น้ำหนึ่งไม่ไปกระบี่กับเขาก็ไม่เป็นไร ขอให้เธอยอมไปพบคนสำคัญที่เขาอยากให้เธอได้รู้จักไว้ก็พอ




หญิงสาวร่างเพรียวกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย หมอนใบโตหนุนซ้อนหลัง นิ้วเรียวหมุนแหวนทองคำสลักนามสกุลพรรณเสถียรบนนิ้วนางข้างขวาเล่น ริมฝีปากอิ่มระบายรอยยิ้มน้อยๆ แต้มเติมความสดใสให้ดวงหน้าซีดเซียว

การตื่นขึ้นมาแล้วไม่พบวารินอนเขลงอยู่บนโซฟาเป็นเรื่องน่ายินดี นี่เธอควรดีใจใช่ไหมที่ตัดใจจากเขาเสียได้ ปกติยามเจอหน้าเขา จะมีความสุขซ่อนอยู่ลึกๆในใจเสมอ ทว่าตั้งแต่เขาความจำเสื่อมและนิสัยผิดแผกไปจากเดิมเหมือนคนละคน ความรู้สึกอ่อนหวานในใจก็พลอยมลายไปด้วย

สำหรับน้ำหนึ่งแล้ว ความรักไม่ใช่เรื่องของหัวใจอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของเหตุผลด้วย คนทำตัวน่ารักถูกใจเธอหรอก เธอจึงมอบความรักให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน

แต่วาริคนใหม่นี่ ช่างกวนประสาทเสียเสียเหลือเกิน จนเธออยากยกฉายา ‘ไอ้ตัวน่ารำคาญ’ ให้เขาอีกคน

แปลกนะ ทั้งที่ตนอยู่ในห้องเพียงลำพัง กลับรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยราวกับมีเพื่อนสนิทอยู่ใกล้ๆอย่างนั้นละ เธอพยามยามมองหา ทว่ามองไม่เห็น มันรู้สึกด้วยใจ หรือเธอคิดไปเองก็ไม่รู้

จะอย่างไรก็เถอะ เธอชอบความรู้สึกแบบนี้ อย่างนี้กระมังที่เรียกว่า...อุ่นใจ

ดื่มด่ำกำซาบความรู้สึกแสนงามได้ไม่เท่าไร มันก็มีอันต้องถูกทำลายลง เพราะคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามานั่นละ

“อะไรกัน เมื่อกี้เห็นนั่งอมยิ้มอยู่ดีๆ พอหันมาเจอกันก็หน้าบึ้ง อย่างนี้หมายความว่าไง”

“เธอจะมาทำไมอีกล่ะว่าน วันนี้เราจะกลับบ้านแล้ว เธอหายดีแล้วก็ไปทำงานทำการสิ”

“ก็ไม่ได้อยากทำงาน อยากมารับเธอกลับบ้านนี่” เขาพูดเสียงดุ เดินมาหยุดข้างเตียง ยกมือเท้าเอว กวาดตามองเธอทั่วร่าง “เธอเพิ่งดีขึ้น ไม่อยากให้นั่งแท็กซี่กลับ มันไม่ปลอดภัย เกิดมันพาเธอไปปล้ำ เธอจะสู้มันไหวเหรอ”

ถึงไม่ใช่คำพูดหวานหูชวนฟัง แต่นี่เรียกว่าความห่วงใยใช่หรือเปล่า น้ำหนึ่งมองคนตรงหน้า มองแบบที่เรียกว่าจ้องกันจนแทบทะลุถึงหัวใจ เห็นชัดว่าเขาพยายามซ่อนความขัดเขินไว้ใต้ท่าทีเคร่งขรึม แต่ไม่แนบเนียนเลย เพราะเขาไม่อาจควบคุมใบหน้าขาวจัดซึ่งเปลี่ยนเป็นแดงเรื่อลามเลยไปจนถึงใบหูนั่นได้

“เดี๋ยวฉันไปจัดการเรื่องค่ารักษาพยาบาลให้เธอดีกว่า บิลมาหรือยัง” เขาเปลี่ยนเรื่อง กวาดตาไปยังตู้วางของข้างเตียง พบบิลค่ารักษาของโรงพยาบาลวางอยู่ก็เดินดุ่มไปหยิบและออกจากห้องทันที

น้ำหนึ่งไม่ได้เห็นแก่เงินและอยากห้ามปราม แต่ก็จนใจ เพราะทั้งเนื้อทั้งตัวไม่มีเงินสักบาท กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือล้วนอยู่ที่บ้านทั้งสิ้น แถมที่บ้านก็ไม่มีใครอยู่อีก ป้าช้อยเพื่อนบ้านที่พอจะพึ่งพาได้ก็จำเบอร์โทรศัพท์แกไม่ได้ เธอควรขอบคุณวาริใช่ไหมที่เขามาถูกที่ถูกเวลาแบบนี้

จัดการเรื่องค่าใช่จ่ายเสร็จ วาริก็พาเธอกลับมาส่งถึงบ้าน น่าแปลกใจที่วันนี้เขาไม่พูดจายียวนกวนประสาทเธอเท่าไร ตลอดทางที่นั่งรถกลับมาด้วยกัน เขานั่งเงียบ ส่งสายตามาเป็นระยะ จนกระทั่งถึงบ้าน ส่งเธอแล้วเขาก็ลากลับง่ายๆ

“ฉันกลับละ เธอก็พักผ่อนซะ จะได้ฟื้นตัวไวๆ”

“เดี๋ยวสิ เราต้องคืนเงินเธอก่อน รอเดี๋ยวนะ” พูดจบ เธอทำท่าจะวิ่งขึ้นบันไดไปหยิบกระเป๋าเงินในห้องนอน แต่ต้นแขนถูกรั้งไว้

“ค่อยๆเดิน เธอเพิ่งให้เลือดมา อย่าเพิ่งให้ร่างกายสะเทือนมากสิ” เขามองด้วยสายตาแบบผู้ใหญ่ดุเด็ก ซึ่งสายตาแบบนี้ ทำให้น้ำหนึ่งรู้สึกเหมือนเขาเป็นผู้ใหญ่กว่าเธอหลายปี ทั้งที่เขาก็อยู่ในวัยเบญจเพสเหมือนเธอ

“แล้วเรื่องเงินก็ไม่ต้องมาใช้คืนหรอก มันเป็นเรื่องที่ฉันควรรับผิดชอบอยู่แล้ว”

“อ้าว เธอจะมารับผิดชอบเราทำไมล่ะ”

“เถอะน่า ฉันอยากรับผิดชอบก็แล้วกัน” เขาตัดบทแล้วกล่าวลาดื้อๆ “กลับละ”

น้ำหนึ่งเดินออกมาส่งวาริถึงประตูรั้ว ก่อนจะปิดลงล็อกแน่นหนา ครั้นชายหนุ่มขับรถจากไป เธอยังไม่ทันเดินกลับเข้าบ้าน ป้าช้อยก็ก้าวฉับๆข้ามถนนมาหา หน้าตาบ่งบอกว่ามีเรื่องอยากเล่า...และอยากรู้

สายตาป้าช้อยมองตามท้ายรถวาริไป ก่อนวกกลับมายังน้ำหนึ่ง ป้าไม่ต้องเอ่ยเป็นคำพูด สายตาแกฟ้องหมดสิ้นว่าคิดไปไกลถึงไหนต่อไหนแล้ว

“หนูเพชร หายไปไหนมาสองสามวัน เห็นรถจอดอยู่ ป้าชะเง้อหาจนคอยาว ตะโกนก็แล้ว โทร.หาก็แล้ว ไม่มีใครรับสายเลย ป้าตั้งใจว่าถ้าเย็นนี้ยังติดต่อหนูเพชรไม่ได้ ป้าจะให้คนปีนเข้าไปดู”

น้ำหนึ่งยิ้มเพลียๆ “ไม่สบายค่ะ อยู่โรงพยาบาล”

“อ้าว หนูเพชรอยู่โรงพยาบาลรึ ป่วยเป็นอะไร ทำไมป้าไม่รู้” ท่าทางหญิงสูงวัยตกอกตกใจยิ่งนัก

“คืนที่ฝนตกหนักน่ะค่ะ อยู่ดีๆก็ฟุบไป ฟื้นมาอีกทีก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว”

“อ้าว” ป้าช้อยอุทานคำเดิม มันคงเป็นคำติดปากไปแล้ว “แล้วใครพาหนูเพชรไปโรงพยาบาลล่ะ”

“เพื่อนแวะมาหาพอดีน่ะค่ะ เลยพาไปส่งโรงพยาบาล” น้ำหนึ่งไม่รู้จะตอบอะไรได้มากกว่านี้ เพราะเรื่องราวในค่ำคืนนั้นยังคงเป็นปริศนาในใจเธอเช่นกัน

ตกลงว่าเธอไม่ได้ช่วยเหลือวาริให้รอดพ้นจากการบาดเจ็บสะบักสะบอมอย่างที่ตนจดจำได้ แถมยังเป็นฝ่ายบาดเจ็บเสียเลือดมากจนเขาต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล หญิงสาวทาบฝ่ามือลงบนเนินอกซ้าย สัมผัสได้ถึงขอบเขตของผ้าพันแผลที่ปิดทับร่องรอยบาดเจ็บไว้ ยังคงกังขา...มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

แววตาของป้าช้อยกำลังถามเธอว่า เพื่อนชาย...มาหาทำไมกลางดึก แต่เมื่อคำถามนั้นไม่หลุดออกจากปาก เธอจึงทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่นึกอยากแก้ไขความสงสัยใดๆ สิ่งที่ทำคือเปลี่ยนหัวข้อสนทนาซะ

“แล้วทางนี้มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าคะ”

คราวนี้ป้าช้อยตาโตเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้

“ไอ้คนบ้าน่ะสิ มันมาป้วนเปี้ยนหน้าบ้านหนูอีกแล้ว เมื่อวานตอนเย็นๆน่ะ แต่ท่าทางมันไม่ดีเลย ดูผอมกะหร่องยิ่งกว่าเดิม คนแถวๆวัดเล่ากันว่ามันไม่สบาย นอนซมอยู่วันสองวัน คนเขาสงสารก็เอาข้าวเอาน้ำไปให้ มันก็ขอแต่เหล้า...ป้าว่ามันคงไม่ใช่โจรหรอก คงจะบ้าจริง”

น้ำหนึ่งฟังแล้วไม่สบายใจ ทำไมต้องมาป้วนเปี้ยนแถวบ้านเธอด้วย แต่ก็โล่งใจไปเปลาะที่ช่วงนี้แม่ไม่อยู่บ้าน จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้าให้คลั่งอาละวาดอีก

“แล้วทำไมเจาะจงมาวุ่นวายหน้าบ้านเราด้วยนะ” หญิงสาวเปรย แววตาครุ่นคิด

“มันอาจไปบ้านอื่นด้วย แต่เราไม่เห็นก็ได้”

เธอพยักหน้าเห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานของป้าช้อย แต่แปลกนัก คนบ้ามาวนเวียนหน้าบ้านบ่อยขนาดนี้ เธอกลับแคล้วคลาดไม่ได้เจอทุกทีไป

น้ำหนึ่งขึ้นมานอนพักบนห้องหลังแยกจากป้าช้อย ก่อนนอน ไม่ลืมหยิบโทรศัพท์มาชาร์จแบตแล้วเปิดเครื่อง พบว่าคืนเกิดเหตุ วาริโทร.หาเธอหลายครั้งจริงตามคำบอกเล่าของเขา ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่เธอจดจำได้ว่าวาริบาดเจ็บมาหา มาขอความช่วยเหลือจากเธอ ก็เป็นเรื่องที่เธอคิดและรู้สึกไปเองน่ะซี

หญิงสาววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ สะบัดศีรษะไล่ขับความมึนงง ยังไม่ทันกลับถึงเตียงนุ่มน่านอน เสียงเรียกเข้ากลับดังขึ้น สองสามวันที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เป็นช่วงเวลาปลอดเสียงโทรศัพท์โดยแท้ ไม่ได้คุยกับใครผ่านโปรแกรมแชต และไม่ได้ติดตามข่าวสารในเฟซบุ๊กอย่างที่ทำเสมอยามอยู่ว่างๆ แต่การขาดโทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นเหมือนอวัยวะส่วนที่สามสิบสามของคนในยุคปัจจุบัน ก็ไม่ทำให้น้ำหนึ่งเหงาหรือโหยหามันแต่อย่างใด

จะมีเวลาเหงาให้โหยหาหรือ ในเมื่อมีผู้ชายตัวเป็นๆคอยพูดจากวนประสาทอยู่ด้วยเกือบตลอดวัน สิ่งที่เธอโหยหาคือความเงียบสงบมากกว่า ครั้นเห็นชื่อและภาพคนโทร.เข้ามา น้ำหนึ่งก็รีบรับสายด้วยความตื่นเต้น รีบถามไถ่ก่อนทักทายเสียอีก

“แม่ ไหนบอกปฏิบัติธรรม ปิดการสื่อสารไงล่ะ”

“ขอเขาใช้แป๊บนึงน่ะ แม่เป็นห่วงเพชรนะลูก” น้ำเสียงสตรีมากวัยสั่นเครือคล้ายหวาดกลัว “แม่อยากกลับไปหาเพชร ไปอยู่เป็นเพื่อนเพชร แต่เขายังไม่ให้แม่กลับ”

น้ำหนึ่งเอะใจ โพล่งถามไปอย่างที่คิด “แม่ นี่แม่ไปปฏิบัติธรรมหรือถูกลักพาตัวกันแน่”

“ปฏิบัติธรรมสิ” มารดารีบตอบ “แม่สวดมนต์แผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของเพชรอยู่ทุกวัน หวังว่าเจ้ากรรมนายเวรของเพชรคงได้รับและเลิกเบียดเบียนลูกแม่”

คำพูดของมารดาสะกิดใจ การที่เธอเกิดบาดเจ็บขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุเกี่ยวกับเจ้ากรรมนายเวรหรือเปล่านะ

“แม่สบายใจได้ ลูกแม่ยังสบายดี” แม้จะมีคนคอยเบียดเบียนด้วยการพูดจากวนโมโหให้ปวดหัวอยู่ร่ำไปก็ตาม

“แล้วไอ้คนบ้ามันยังมาแถวๆบ้านเราอยู่หรือเปล่า”

ฟังแค่เสียงก็รู้ว่ามารดาเป็นห่วงเธอเพียงไร

“ก็ยังมาอยู่ แต่เพชรยังไม่เคยเห็นจังๆสักที มีแต่ป้าช้อยคอยเล่าให้ฟัง”

“ไม่เจอน่ะดีแล้ว”

น้ำหนึ่งไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เธอรู้สึกว่าเสียงอัญชันดุขึ้นอีกเท่าตัว หรือธรรมะที่แม่ได้รับยังไม่ละเอียดถึงขั้นขจัดความเครียดที่นอนเนื่องในดวงจิตได้

“แล้วเกดซ่าล่ะแม่ บรรลุธรรมขั้นไหนแล้ว” เธอจงใจเปลี่ยนเรื่อง

“เอ่อ...” อัญชันอึกอักคล้ายกำลังครุ่นคิดคำตอบ

คำถามง่ายๆแค่นี้ ทำไมต้องคิดหนัก คิดนาน

“ขอเพชรคุยกับเกดซ่าหน่อยสิแม่” น้ำหนึ่งใจร้อน

“เกดไม่อยู่ที่นี่...ออกไปทำธุระ”

“ธุระ นักปฏิบัติธรรมจะมีธุระอะไรให้ออกไปทำล่ะแม่”

มารดาอึกอัก ในที่สุดก็เอ่ย “อดทนและมีสติไว้นะเพชร...แม่ต้องวางสายก่อนแล้ว”

นอกจากไม่ตอบคำถาม ยังด่วนตัดบทวางสายโดยไม่รอฟังคำล่ำลา อย่างนี้เรียกว่าพิรุธชัดๆ อัญชันกับเกศรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ใช่ไปปฏิบัติธรรมจริงหรือ แล้วทำไมต้องรีบร้อนวางสายเหมือนรู้ตัวว่าพูดมากเกินไปแบบนี้ด้วย




วันนี้ประยุทธไม่อยู่ออฟฟิศ เขาติดงานต้องไปต่างจังหวัด จึงไม่มีใครโทร.มารบกวนเวลานอนของเปมิกา ทั้งเหล้าและยาผลาญสติสัมปชัญญะหล่อนไปยังไม่พอ มันยังผลาญเรี่ยวแรงกำลังไปจนสิ้น หล่อนนอนราวกับศพ ต่างกันเพียงยังมีลมหายใจอยู่เท่านั้น ข้าวปลาอาหารไม่ค่อยตกถึงท้อง ร่างกายจึงผ่ายผอมทรุดโทรมจนต้องปกปิดด้วยเครื่องสำอางคุณภาพเยี่ยมตลอดเวลา
แม้โทษภัยของมันจะประจักษ์ชัดเจน ทว่าคนเขลาหาได้รู้ทันไม่

บ่ายแก่เกือบเย็น กว่าหนุ่มสาวจะตื่นและอิดออดอยู่บนเตียงอีกพักใหญ่ ไม่ใช่ว่าพวกเขามีอารมณ์จะร่วมรักกันอีก แต่เพราะต่างหมดเรี่ยวแรงและต้องใช้เวลากว่าจะงัดร่างสะโหลสะเหลของตนขึ้นจากที่นอนได้

เปมิกามองนาฬิกา ใกล้ถึงเวลาที่แม่บ้านของคอนโดซึ่งชรัณจ้างให้มาทำรายวันจะเข้ามาเก็บกวาดแล้ว แม่บ้านจะมาทำห้องให้สัปดาห์ละสองวันคือวันอังคารและวันเสาร์ ชรัณกำชับให้เข้ามาทำห้องตอนบ่าย เนื่องจากช่วงเช้าเขาไม่สะดวก หญิงสาวเดินหย่งเท้าเงียบเชียบไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วเก็บขวดเหล้ากลิ้งเกลื่อนบนพื้นห้องนอนใส่ถุงขยะไปวางยังห้องโถง เก็บซ่อนอุปกรณ์เสพยาไว้มิดชิด รอเวลานำกลับมาใช้ใหม่ในค่ำคืนต่อไป

ชรัณลุกขึ้นมาจัดการธุระส่วนตัว แล้วกลับไปนอนเบลออยู่บนเตียง ไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เปมิกาเป็นฝ่ายเดินไปเปิด หล่อนแปลกใจเมื่อพบเด็กสาวร่างผอมบางในชุดแม่บ้าน จำได้ว่าแม่บ้านคนก่อนรูปร่างท้วมและอายุมากแล้ว
คนถูกจับตามองคงเดาความคิดเปมิกาออก เสียงใสบอกชัด

“ป้าไม่สบายค่ะ ให้หนูมาทำแทน” ดวงตาสุกใสเหมือนลูกแก้วดูไร้พิษภัยมารยา รอยยิ้มกว้างสดใสชวนสบายตาสบายใจ
“เข้ามาสิ” หล่อนเบี่ยงกายหลบให้อีกฝ่ายหอบหิ้วอุปกรณ์ทำความสะอาดเข้ามาทำหน้าที่โดยไม่รีรอ

แม่บ้านคนใหม่ทำงานคล่องแคล่ว เพียงไม่นานห้องโถงก็สะอาดเรียบร้อย ร่างบอบบางก้มๆเงยๆอยู่กับถังขยะ ครู่หนึ่งจึงลากขยะถุงใหญ่ออกไปทิ้งยังช่องทิ้งขยะ

“ยังไม่ได้ทำห้องครัว ห้องนอน แล้วก็ห้องน้ำเลย” เปมิกาติง ปกติขยะจะถูกทิ้งเป็นลำดับสุดท้าย

“เดี๋ยวมาทำต่อค่ะ วันนี้ขยะเยอะ ต้องเอาไปทิ้งก่อน” พูดจบก็ก้มหน้าก้มตาจากไป

ช่องทิ้งขยะอยู่ตรงสุดทางเดินหน้าห้องนี่เอง เหตุใดเด็กสาวร่างผอมผู้นั้นจึงหายไปนานนัก เปมิกาปิดปากหาว เริ่มหงุดหงิด ทำไมไม่มาทำต่อให้เสร็จๆสักที หล่อนจะได้นอนพัก ให้ขับรถกลับคอนโดตัวเองตอนนี้ไม่ไหวแน่

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ประตูห้องจึงถูกเคาะอีกครั้ง ครั้นเปิดรับ หญิงสาวก็ต้องแปลกใจเป็นล้นพ้น เมื่อพบแม่บ้านร่างท้วมคนเดิม

“ขอโทษค่ะ วันนี้ป้ามาช้า”

“ไม่สบายทำไมไม่พักล่ะคะป้า เมื่อกี้หลานสาวป้ามาทำแทนแล้ว แต่ทำยังไม่ทันเสร็จก็ไม่รู้หายตัวไปไหนแล้วเนี่ย”
ครานี้ หญิงร่างท้วมกลายเป็นฝ่ายประหลาดใจ คิ้วเป็นปื้นไร้ระเบียบขมวดเข้าหากัน

“ป้าไม่มีหลานสาวนะคะคุณ แล้วก็ไม่ได้ป่วยด้วย แต่ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น อยู่ดีๆก็วูบไป รู้สึกตัวอีกทีไปนั่งหลับอยู่ตรงบันไดหนีไฟ ป้านี่แย่จริงๆ”

ป้าไม่มีหลานสาว แล้วเด็กสาวตาโตสุกใสคนเมื่อกี้เป็นใคร มาที่นี่เพื่ออะไรกัน!!!

******************************
ทักทายท้ายเรื่อง

อสิตารา ข้ามีสิทธิ์ได้กางเกงในกระต่ายทองด้วยสิ ข้าเม้นต์ตลอดๆ

เกดซ่าจ๋า เรื่องนี้ทุกคนล้วนมีมุมน่าสงสาร แต่เค้าสงสารเกดซ่าที่สุด หล่อนจิโดนซาตานเขมือบหัวตอนจบ โฮะๆๆๆ

หนูยิ้มจัง เปมิกาน่าสงสาร แต่นางก็ทำตัวเองนะ คิดว่ามีปีกแข็งแรงพอก็จะโบยบินตามที่ใจปรารถนา โดยไม่สนว่าหนทางนั้นจะดีหรือร้าย

คุณ patok ขอบคุณค่ะที่แวะมาทักทายกัน ได้ลุ้นของรางวัลไปด้วยกัน

คุณสุขุมวิท ๖๖ อ่านในเล่มจบแล้วรู้สึกสนุก ไม่สนุกยังไง ไปเมาท์กันได้ในเพจนะคะ

คุณดังปัณณ์ ด่ารันนี่ไปเถอะ ตอนจบอย่ามาสงสารรันนี่ละกัน อิ อิ

หนูบาร์บี้ ใช่แล้วค่ะ พิมพ์แพรพี่สาวน้ำหนึ่ง ความสัมพันธ์เชื่อมโยงไปมา ซับซ้อนยิ่งนัก

คุณโกลเด้นท์ซัน ใช่ค่ะ ประยุทธน่าเห็นใจมาก สรุป เรื่องนี้เป็นแหล่งรวมคนมีปัญหาที่น่าสงสาร

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ ๕๕๕ เป็นอีกคนที่ตั้งชื่อนายเผด็จได้ถูกใจ เด็ดดี้ ชื่อแปลกๆของนายคนนี้ทำให้คนเขียนแอบแปลงชื่อของนายเผด็จไปด้วย เดดซี

คุณใบบัวน่ารัก เรื่องนี้เป็นดราม่าสะท้อนสังคมไปแล้ว สะท้อนภาพครอบครัวที่หน้าฉากดูดี แต่เบื้องหลังซ่อนปัญหาต่างๆไว้ และท้ายสุด ทุกปัญหามันเชื่อมโยงถึงกันหมด โอ๊ะ ฟังดูเครียดหนักเลยนะคะ

คุณ Moona Narak ดีใจจังค่ะ ที่ได้เห็นตัวหนังสือจากปลายนิ้วคุณ เรื่องนี้เล่มหนากว่าใครๆในชุดเลยค่ะ เบ้ดเสร็จเรียบร้อย ฟาดไป ๔๙๙ หน้า แต่อย่าเพิ่งถอดใจในความหนาของมันนะคะ

แล้วพรุ่งนี้เจอกันใหม่ค่ะ



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ต.ค. 2557, 00:44:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ต.ค. 2557, 00:44:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1258





<< บทที่ ๑๔ (ครึ่งแรก)   บทที่ ๑๕ >>
อสิตา 3 ต.ค. 2557, 02:52:05 น.
เอาจับบปิ้งทองไปแกน่ะ //อยากกินเตี๋ยวน้ำตก


หนอนหนังสือ 3 ต.ค. 2557, 03:33:34 น.
โจรที่มาด้อมๆมองๆบ้านเพชรนี่จะใช่พ่อของเพชรหรือเปล่าเนี่ย
ตอนนี้ถุงขยะโดนสาวปริศนาลากไปแล้ว
แล้วคนสำคัญของเผด็จคือใครกันหนอ. น่าติดตามทุกตอนเลยค่ะ


อัศวินนภา 3 ต.ค. 2557, 03:57:43 น.
คนบ้า คงไม่ใช่วารินะ สงสาร


yimyum 3 ต.ค. 2557, 06:08:49 น.
หรือจะเป็นตัวนุ่ม เอ๊ย ผิดเรื่องแล้ว -- ใครกัน ผีปะเนี่ย


ketza 3 ต.ค. 2557, 06:48:40 น.
อุ๊ต่ะ สาวน้อยเก็บขยะตอนท้ายคงไม่ใช่????? 55555555+++


.. เกดซ่ารอซาตานขย้ำ น่าฉงฉานน้ำหนึ่งไม่แลเยยยย เหอๆๆๆ


ริญจน์ธร 3 ต.ค. 2557, 10:33:12 น.


บุลินทร 3 ต.ค. 2557, 10:55:36 น.
เด็กหญิงเกดซ่าหรือ เด็กสาวร่างผอมด้วย ข้อมูลบ่งบอก


patok 3 ต.ค. 2557, 12:46:16 น.
ยัยเกดซ่านี่ต้องมีพลังวิเศษ และก็ร้ายมากด้วย


นักอ่านเหนียวหนึบ 3 ต.ค. 2557, 16:42:16 น.
งั้นเปลี่ยนเป็นชืีอ เดดซะทีซี่ ดีกว่า
มีใครมาเป็นไส้ศึกนะ เอ่อออ เรื่องเริ่มยุ่งเหยิงอีกละ


ดังปัณณ์ 3 ต.ค. 2557, 18:25:43 น.
ฮืม มันคืออะไรเกดซ่าท่าจะไม่ใช่แค่ตัวละครหลักๆลอยๆแล้วสิ

แหมขุ่นพี่ปุ๊ก รันนี่ไม่ชอบเกียดม้านนนนนนนนนนนนนฆ่าม้านนนนนนนนนนนนนนนนนนนน ทำอะไรพี่สาวน้ำอ่ะ 555+ แต่ก็อยากรู้พี่สาวน้ำทำไมถึงได้ถูกรุมขืนข่ม

เด็จจี้นางใกล้เป็นผีดิบแล้วนะ โลภเสียนี่อยากได้พลังวิเศษจะหาทางดูดเลือดน้ำหนึ่งอีกอ่ะดี๊ ว่าแต่ไอ้ที่ทำให้อุ่นๆนี่วานี่ตัวจริงล่ะสิ แต่ทำไมน้ำหนึ่งมองไม่เห็น โถ พ่อคุณตอนอยู่ก็ทื่อมะลื่อไม่รู้ใจตัวเอง พอม่องเท่งล่ะทำเป็นมาวนเวียนป้วนเปี้ยน เด๊ยะๆๆๆๆ จับถ่วงน้ำอีกรอบร้อกกกกกกกกกก 555+

ว่าแต่คุณแม่นี่ลับลมคมในจิงจิ๊งงงงงงงงงงงงง รอบๆตัวน้ำหนึ่งมีแต่คนมีความรัก เอ้าพยายามเข้าอีหนู ป้าเชียร์ยู้!


goldensun 3 ต.ค. 2557, 18:26:57 น.
ชายขี้เมา น่าจะพ่อของน้ำหนึ่งนะคะ ส่วนแม่น้ำหนึ่ง น่าจะเป็นเกดซ่าเอาตัวไป แต่ทำไมไม่รู้สิ
สาวแม่บ้านปลอมเอาเบี้ยแก้ไปแล้วสินะคะ จงใจมาเก็บขยะนี่นา แต่เอาไปทำไม ใครให้มาเอาน้อ


ปลาวาฬสีน้ำเงิน 3 ต.ค. 2557, 20:17:07 น.


Barby 5 ต.ค. 2557, 22:49:07 น.
แม่อัญชันเขาไปไหนทำอะไรกันแน่


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account