วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๕

ตั้งแต่วันที่กลับจากโรงพยาบาล วาริไม่โผล่หน้ามากวนประสาทน้ำหนึ่งอีกเลย นอกจากรอคอยการติดต่อจากมารดาแล้ว จิตใจเธอก็จดจ่ออยู่กับงาน สบายใจที่ไม่มีใครมาก่อกวนให้หงุดหงิดอารมณ์เสีย หญิงสาวร่างแบบไว้หลายๆแบบเพื่อให้ลูกค้าได้เลือกในสิ่งที่ตรงใจ วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ เธอต้องเดินทางไปดูสถานที่จริงเพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะขับรถไปเอง แต่
ลูกค้าจองตั๋วเครื่องบินให้ เธอจึงไม่กังวลเรื่องการเดินทาง

สภาพร่างกายก็ดีขึ้นเป็นลำดับ อาการหน้ามืดเวียนหัวซึ่งแรกๆเป็นบ่อยช่วงเปลี่ยนท่าเร็วๆก็หายเป็นปกติ จนกระทั่งวันเสาร์แผลหายสนิท ร่างกายแข็งแรงเต็มที่ น้ำหนึ่งตื่นแต่เช้า หิ้วปิ่นโตเปล่าปั่นจักรยานไปตลาดซึ่งอยู่ใกล้ๆเพื่อซื้ออาหารคาวหวาน คราแรกที่ออกจากบ้านก็ไม่รู้สึกอะไร ทว่าปั่นไปได้หน่อยกลับรู้สึกว่าท้ายรถหนักขึ้น...หนักเหมือนมีใครซ้อนท้ายอยู่อีกคน
เพียงคิด ดวงตากลมโตก็เหลือบมองไปยังเบาะว่างด้านหลัง เตรียมใจไว้แล้วว่าหากพบผู้โดยสารซึ่งไม่ได้รับเชิญ เธอจะพยายามทำตัวเป็นปกติที่สุด จะไม่แสดงความตกใจจนผู้คนแตกตื่นแน่นอน

ทว่าสิ่งที่พบมีเพียงเบาะสีขาวหม่นอันว่างเปล่า ไม่มีใครซ้อนท้ายเธออย่างที่กังวล แต่ทำไมมันช่างหนักอย่างนี้นะ หนักขนาดผู้ชายตัวโตๆคนหนึ่งเลยทีเดียว น้ำหนึ่งมั่นใจว่าต้องมีตัวอะไรเกาะท้ายรถเธอมาแน่ๆ

หญิงสาวประคองรถไปอย่างเชื่องช้า ตั้งจิตสงบใจจนนิ่งแล้วจึงเอ่ยเบาๆว่า

“มาทางไหนก็ไปทางนั้นนะ อย่าเบียดเบียนกันแบบนี้เลย รถมันหนัก ทรงตัวลำบาก”

กระแสลมเย็นพัดผ่านเพียงวูบ น้ำหนักกดทับบนเบาะด้านหลังพลันหาย แต่กระนั้นยังเหมือนมีบางอย่างอยู่เคียงข้างเธอตลอดเวลา เป็นเพื่อนเดินทางที่มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก แปลกนะ ใจที่กังวลหวั่นหวาดกลับถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นวางใจ ความรู้สึกแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับน้ำหนึ่งในวันที่ถูกคนร้ายจี้ตรงลานจอดรถ และพบวาริตาม รปภ. ไปช่วย จากนั้นเขาก็อยู่กับเธอตลอดจนกระทั่งเรื่องราวเรียบร้อย ก่อให้เกิดความอุ่นใจว่ามีเพื่อนคอยเคียงข้างใกล้ๆ ไม่ทอดทิ้งกัน

ความรู้สึกแบบนี้หวนคืนตั้งแต่ฟื้นขึ้นในโรงพยาบาล และตามติดมาจนตอนนี้ ชวนให้คิดว่ามีบางสิ่งที่มองไม่เห็นตามติดไปทุกที่ ทุกเวลา ยกเว้นแต่เวลาอยู่ในบ้าน คล้ายสิ่งนั้นถูกกีดกันไว้มิให้ล่วงล้ำเข้าไปได้

ตลาดยามเช้าจอแจ ผู้คนออกมาจับจ่ายซื้อข้าวปลาอาหารกันอย่างคึกคัก น้ำหนึ่งจอดจักรยานหน้าร้านสะดวกซื้อ คล้องโซ่ล็อกกุญแจอย่างแน่นหนา ลงเดินเรื่อยๆไม่รีบร้อนเข้าไปในตลาด ผักสดหลากชนิดแน่นขนัดบนแผงยาวด้านขวามือ ส่วนด้านซ้าย ปลานิลตาใสตัวเป็นๆกระโดดอยู่ในกะละมังซึ่งมีตาข่ายคลุม ในกระบะอะลูมิเนียมบนโต๊ะตัวยาวใกล้กันถูกรองพื้นด้วยน้ำแข็งจนพูนสวย ปลาเคราะห์ร้ายจำนวนหนึ่งถูกขอดเกล็ดผ่าท้อง ตัดแก้มอวดเหงือกแดงสดนอนเรียงเป็นระเบียบรอผู้คนมาจับจ่ายเลือกซื้อ
น้ำหนึ่งเดินผ่านแผงอาหารสดนานาชนิด ทั้งหมู เห็ด เป็ด ไก่ ครบครัน เห็นแล้วนึกถึงกระเพาะเล็กๆของคนเรา...ไม่น่าเชื่อว่า ตลอดช่วงชีวิต มันสามารถบรรจุซากพืชซากสัตว์ได้อย่างมากมายไร้ขอบเขต เหมือนสุสานดีๆนี่เอง วันนี้อยากกินเป็ด พรุ่งนี้อยากกินไก่ วันต่อไปอยากกินกุ้ง หอย ปู ปลา...

เราตอบสนองความอยากกันจนเคยชินและมองเป็นเรื่องธรรมดา คิดๆดูแล้ว ไอ้ความอยากนี่เหมือนผีร้ายที่ฝังตัวอยู่ในใจเราอย่างแนบเนียน บงการให้เราดิ้นรนทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องกินเรื่องเดียวหรอก มันมีอิทธิพลเหนือจิตใจเราทุกเรื่องเชียวละ หากเป็นอิสระจากมันเสียได้ ชีวิตคงเบาสบายและเรียบง่ายขึ้นอีกเยอะ

ความคิดต่างๆหมุนเปลี่ยนไปเมื่อน้ำหนึ่งเดินถึงแผงขายข้าวแกง ข้าวสวยร้อนๆฟูเต็มหม้อขนาดใหญ่ แกงหลายชนิดยังร้อนควันกรุ่นอยู่ในถาดซึ่งวางเรียงเป็นแถวยาว ท้ายสุดของแผงเป็นอาหารประเภททอด ทั้งไข่เจียว ไข่ดาว กุนเชียง และปลาสลิดตัวโต
น้ำหนึ่งส่งปิ่นโตให้แม่ค้าซึ่งเพิ่งว่างจากการตักแกงใส่ถุงให้ลูกค้า ดวงหน้ากลมแป้นนั้นพราวด้วยหยาดเหงื่อ ดูเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้าตั้งแต่เริ่มวันได้ไม่นาน ทว่ารอยยิ้มที่มอบให้ลูกค้าทุกรายนั้นสดใสและอิ่มเอม เหงื่อทุกหยดแปรเป็นเงินสุจริตลงไปนอนอุ่นในกระเป๋าซึ่งคาดเคียงเอว

หญิงสาวสั่งข้าวเปล่าและกับข้าวสองสามอย่างที่ตนจำได้ว่าพิมพ์แพรชอบ เมื่ออาหารบรรจุปิ่นโตครบตามต้องการ จึงส่งเงินให้แม่ค้าพร้อมรอยยิ้มแบบเดียวกับที่แม่ค้ามอบให้ จากนั้นซื้อขนมหวานและผลไม้ กว่าจะได้ของครบครันก็เกือบเจ็ดโมงแล้ว เธอรีบปั่นจักรยานไปยังวัดใกล้บ้านซึ่งอยู่ท้ายสุดซอย ห่างจากบ้านประมาณแปดร้อยเมตรเห็นจะได้




หลังจากทำบุญถวายภัตตาหารเช้าเสร็จ เธอตั้งจิตกรวดน้ำแผ่ส่วนกุศลให้พิมพ์แพร พระภิกษุชราซึ่งนั่งสงบอยู่บนอาสนะตรงหน้าเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมปรานี

“อย่าลืมอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรด้วยนะ เขามาใกล้ตัวแล้ว”

น้ำหนึ่งเงยหน้ามอง ดวงตาของพระคุณท่านมองต่ำที่มือตนเอง แลสงบ ยากจะดักเดาความคิดได้

“เจ้ากรรมนายเวรหนูหรือคะหลวงตา”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ คนที่เราเคียดแค้นชิงชัง อโหสิกรรมแก่กันไม่ได้ก็ผูกเวรกันเรื่อยไป” ท่านเหลือบตามองเธอนิดหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “เจ้ากรรมนายเวร บางครั้งก็มาในรูปคนรัก บางคราก็มาในรูปศัตรู ไม่ว่าจะมารูปแบบไหน หากอภัยกันได้ก็เหมือนปลดห่วงกรรมออกจากกัน”

“แต่หนูก็ไม่เคยแค้นเคืองใครนะคะหลวงตา”

คราวนี้ท่านยิ้มละไม “ยังนึกไม่ออกละสิ...คราวนี้หนักหนานะ ถ้าตั้งสติดีๆก็ผ่านพ้นไปได้ อย่าลืมว่าการให้อภัยกันจะปลดเราจากบ่วงกรรม ถ้าเกลียดใครไม่อยากพบเจอใครอีก ก็อภัยให้เขาซะ จะได้ไม่ต้องตามไปพบเจอกัน”

ไม่ได้อยากต่อปากต่อคำกับพระ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า

“แล้วถ้าเราอภัย แต่อีกฝ่ายไม่ให้อภัยเราล่ะคะ”

“เขาก็ทุกข์อยู่ฝ่ายเดียวไง ความแค้นเหมือนไฟเผาใจตัวเอง เราช่วยเขาไม่ได้ นอกจากหมั่นแผ่เมตตาให้เขาไป”

“แต่เขาจะทำร้ายเรานะคะ”

“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม สิ่งที่เราได้รับคือสิ่งที่เราทำมา...เอาละ ตั้งใจกรวดน้ำนะโยม”

ภิกษุชราตัดบทแล้วเริ่มสวด...ยะถา วาริวะหา ปูรา...ปาริปูเรนติ สาคะรัง...

น้ำหนึ่งสำรวมใจกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้พิมพ์แพร รวมถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ทั้งเจ้ากรรมนายเวรที่มาถึงตัวแล้ว และเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจะมาถึงตัว...

จากนั้นก็นำน้ำไปเทตรงโคนต้นโพธิ์ใหญ่ข้างศาลา ขนาดของมันใหญ่ประมาณสามคนโอบ สายน้ำสะอาดใสหลั่งรินรดใบโพธิ์สีเขียวเข้มที่เพิ่งหลุดร่วงได้ไม่นาน ก่อนซึมหายลงผืนแผ่นดิน

ครั้นลุกขึ้นยืนก็พบว่ามีความเคลื่อนไหวอยู่อีกฟากของโคนไม้ใหญ่ หญิงสาวชะเง้อมอง คิ้วเข้มสวยขมวดเข้าหากัน ดวงตากลมโตกวาดมองร่างขะมุกขะมอมซอมซ่อซึ่งเอนหลังพิงต้นโพธิ์แล้วหลับคอพับคออ่อน ผมเผ้าหนวดเครารุงรังจับเป็นแผ่นหนา ด้วยคงไม่ได้ผ่านน้ำมานานแรมปี เสื้อผ้าแหว่งวิ่นหลายแห่งจนแทบปกปิดร่างกายแทบไม่มิด คราบสกปรกกระดำกระด่างเกาะติดหน้าตาเนื้อตัวอันผ่ายผอม แขนที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกเกาะกอดขวดเหล้าไว้อย่างหวงแหน กลิ่นสาบลอยมาแตะจมูกทันทีที่ร่างชวนรังเกียจนั้นขยับพลิกกาย...

หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงอุทาน นี่เอง คนบ้าขี้เมาที่เขาร่ำลือกัน คนที่ป้าช้อยบอกว่าไปด้อมๆมองๆหน้าบ้านเธอหลายครั้ง คนที่ทำให้แม่เธอคลุ้มคลั่งอาละวาดขว้างปาข้าวของใส่ด้วยความหวาดผวา
เปลือกตาสกปรกค่อยๆหรี่ปรือราวกับรู้ว่ามีคนกำลังจ้องมอง เผยให้เห็นดวงตาแดงเรื่อฉ่ำเยิ้ม...น้ำหนึ่งรีบก้าวถอยหลังและหมุนตัวเดินเร็วๆกลับขึ้นศาลา ก่อนชายวิกลจริตจะเห็นเธอเต็มตา...




น้ำหนึ่งกลับมาถึงบ้านแปดโมงเช้า และพบว่าริมบาทวิถีบริเวณหน้าบ้าน คนที่หายหน้าไปหลายวันยืนกอดอกพิงรถยนต์คันหรู มาดเท่ราวกับหลุดมาจากปกนิตยสาร ไม่สนใจเลยว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่ผ่านไปมา มั่นใจนักนะพ่อคุณ ขนาดตินพลเป็นถึงดาราโด่งดังยังไม่เคยมายืนเก๊กแบบนี้

ดูเถอะ เพียงพบหน้า ยังไม่ทันได้พูดคุย ก็มีเรื่องให้คิดค่อนขอดเสียแล้ว

“หายดีแล้วหรือ ถึงได้ขี่จักรยานปุเลงๆแบบนั้น” ถามพร้อมกับลดมือที่กอดอกลงมาเท้าเอว หน้าตาเอาเรื่องทีเดียว...

“เราไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรมา แต่สงสัยจะไม่ได้รับ ถึงตามมาราวีกันอีก” เธอตวัดสายตามองเขา เจตนาให้รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรของเธอก็คือเขานั่นแหละ

ชายหนุ่มนิ่งงันไปครู่ ก่อนยิ้ม...ยิ้มแบบที่ดูแล้วสบายตา สบายใจ ไม่ใช่ยิ้มร้ายๆหรือยียวนกวนประสาทอย่างที่เห็นบ่อยในระยะหลัง

“ขอบใจนะ”

เขาเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงอบอุ่น รอยยิ้มละมุนละไม ทำให้น้ำหนึ่งยอมพูดคุยกับเขาดีๆ

“มาทำไมแต่เช้า มีธุระอะไรหรือเปล่า” ถามขณะก้มหน้าก้มตาไขกุญแจประตูเล็กข้างประตูรั้ว

“หายไปหลายวัน กลัวเธอคิดถึงจนกินไม่ได้นอนไม่หลับน่ะสิ”

น้ำหนึ่งเหลือบตามองเขาอย่างหน่ายใจ ชักจะกวนประสาทขึ้นมาอีกแล้ว และเหมือนคนถูกมองก็รู้ตัว จึงยิ้มกว้าง

“โทษที ว่าจะไม่ยั่วแล้ว แต่เธอมันยั่วขึ้น น่าแหย่จะตาย” เขายอมรับ และเดินตามเธอเข้าบ้านหน้าตาเฉยโดยไม่รอให้ใครเชิญ ปากก็ถามเรื่อยๆ “เธอสบายดีแล้วใช่ไหม”

“ก็อย่างที่เห็น”

“งั้นแสดงว่าแข็งแรงดีแล้ว” เขาสรุป นัยน์ตาพร่างพราว น้ำเสียงกระตือรือร้น “เธอยังจำได้ใช่ไหม เรื่องที่ฉันชวนเธอไปพบคน
สำคัญของฉัน”

“เธอยังจำได้ใช่ไหม” เธอเลียนแบบคำพูดเขา “ว่าเราไม่ว่าง”

“ไหนบอกธุระของเธอมาซิ” เขาตอแยไม่ลดละ

ธุระสำคัญของเธอวันนี้จบไปแล้ว แต่ยังมีเรื่องเล็กๆน้อยๆต้องทำให้ลุล่วง

“ฉันต้องไปส่งของที่ไปรษณีย์ และต้องจัดกระเป๋าเดินทางเตรียมไปต่างจังหวัดพรุ่งนี้”

“กระเป๋ากลับมาจัดคืนนี้ก็ทัน ไปหยิบของที่จะส่งมาสิ เดี๋ยวเราแวะไปรษณีย์กันก่อนค่อยออกเดินทาง”
คนชวนวางแผนให้เสร็จสรรพ ไม่มีท่าทางยียวนให้เห็น

“ออกเดินทาง” น้ำหนึ่งทวนคำ “พูดอย่างกับจะไปไกลอย่างนั้นแหละ”

“สระบุรี...ไปนะ ถือว่าไปพักผ่อนสมองก่อนเริ่มลุยงาน รับรองว่าฉันจะดูแลเธออย่างดี”

คำพูดหว่านล้อมน่าฟัง น้ำเสียงจริงจังอ่อนโยน แต่...

“หวังว่าเธอจะไม่กวนประสาทเราไปตลอดทางนะ”

เพียงเท่านั้น ชายหนุ่มก็ยิ้มหน้าบาน ลักยิ้มกดเป็นรอยบุ๋มน่ารัก “แปลว่าตกลงแล้ว”




แปลว่าตกลงหรือเปล่าไม่รู้ น้ำหนึ่งรู้แต่ว่าตัวเองมานั่งอยู่ในรถคันหรูพร้อมกระเป๋าสะพาย หยูกยาที่ยังต้องกิน และห่อพัสดุในมือ เธอเห็นหรอกว่าวาริเหล่มองชื่อบนซองสีน้ำตาลแล้วเบ้ปากนิดๆ น้ำหนึ่งก้มลงมองบ้าง ริมฝีปากอิ่มอมยิ้มจนแก้มตุ่ย

“ยิ้มอะไร” คนรับหน้าที่ขับรถถามรวนๆ

“ยิ้มขำคนขี้อิจฉา”

“ใครอิจฉาใครไม่ทราบ ไอ้นายเตเต้ตินพลอะไรนั่น ไม่เห็นมีอะไรน่าอิจฉา”

หลังความจำเสื่อม วาริมีอะไรเหมือนเธออยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือชอบตั้งชื่อให้ใครต่อใครตามใจตัว ตั้งอย่างที่ตัวเองอยากจะเรียก

“เออนะ คนเรา ยังไม่ได้เอ่ยชื่อสักหน่อย ทำเป็นร้อนตัว”

เจอคำยอกย้อนไปแบบนี้ ก็เล่นเอาคนขี้อิจฉาไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว เขายิ้มเหมือนแยกเขี้ยวใส่เธอ แต่ดูท่าทางแล้วเขาคงอยากทำมากกว่านั้น...ถ้ากินหัวเธอได้ เขาคงทำไปแล้ว

หนุ่มสาวนั่งเงียบกันมาในรถพักหนึ่ง แล้วฝ่ายชายก็อดรนทนไม่ได้ ต้องถามขึ้น

“ส่งอะไรไปให้น่ะ” ดวงตาดำล้ำลึกเหล่มองซองบนตักเธออีกครั้ง

“ของขวัญวันเกิด พรุ่งนี้วันเกิดตังเต...แต่ฉันไม่อยู่ ต้องไปต่างจังหวัดหลายวัน เลยส่งทางไปรษณีย์ สะดวกดี”

คนฟังพยักหน้า แถมเบ้ปากเหยียดเยาะ ทำท่าทางน่าหมั่นไส้มาก

“ข้างในเป็นอะไร...คนเจ้าชู้พรรค์นั้น สมควรซื้อถุงยางอนามัยให้สักกุรุส”

“เสียดสี ปากจัด” น้ำหนึ่งหันไปว่า และไม่เข้าใจ ทำไมตัวเองต้องอธิบายต่อด้วยก็ไม่รู้ “หนังสือรวมสูตรเกมมาริโอ ตังเตชอบเล่นเกมน่ะ”

“รู้ใจกันจริงนะ” น้ำเสียงประชดประชันลอยมาแทบทันที

น้ำหนึ่งหันขวับไปมอง ขึงตาดุ และพูดด้วยเสียงเฉียบขาด

“ถ้าเธอไม่หยุดกวนประสาท เราจะฟาดปากเธอด้วย...” ตากลมโตกวาดมองหาสิ่งของภายในรถที่พอจะใช้ฟาดปากคนพูดจากวนโมโหได้

“ถ้าหาอาวุธไม่เจอ ฟาดด้วยปากเธอก็ได้”

อึ้งไปสามวินาที ถ้าคุยผ่านไลน์หรือโปรแกรมแชทในเฟซบุ๊ก เธอคงพิมพ์คำว่า “แอร๊ายยยยย” ลงไป ตามด้วยรูปการ์ตูนขัดเขินจนแก้มแดง แต่นี่ชีวิตจริง เธอไม่สามารถกรีดร้องออกเสียงเป็นคำพิลึกพิลั่นนั่นได้

น้ำหนึ่งดีใจที่รถจอดลงตรงหน้าที่ทำการไปรษณีย์เสียที ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าบทสนทนาซึ่งชะงักงันจะไปต่ออย่างไร

ใช้เวลาเพียงไม่นาน ทั้งคู่ก็ออกเดินทางต่อ ท้องฟ้าวันนี้มีเมฆมาก บางครั้งดวงตะวันฉายแสงสดใสก็หลบไปอยู่หลังหลืบเมฆ บางคราวก็แย้มพรายสาดแสงจัดจ้า คนขับรถเพ่งสายตามองถนน ส่วนคนนั่งมองฟ้ามองต้นไม้ไปเรื่อย บทสนทนาขาดหายไปตั้งแต่เขาแนะให้ใช้ปากเป็นอาวุธนั่นแล้ว น้ำหนึ่งไม่คิดจะสานต่อ แต่ดูเหมือนเขาไม่อยากให้ความเงียบเข้ามายึดครองพื้นที่ภายในรถนานนัก มือใหญ่ละจากพวงมาลัยไปเปิดวิทยุ ปล่อยเสียงเพลงรักหวาน...หวานและเซ็กซี่ซ่านทรวงเสียด้วยสิ น้ำหนึ่งคิดภาพตามเนื้อเพลงเป็นฉากๆเชียวละ

ตั้งแต่วันที่ฉันได้คุยเคียงคู่สองคนกับเธอครั้งก่อน
กลับมานอนครวญครางละเมอคอยพร่ำหาเธอเหมือนจะอ้อนวอน
เกิดอะไรขึ้นมานะเออมันอยากรู้นัก เปลี่ยนฉันไปจากเดิม...โอ๊ย...

นิ้วเรียวเคาะกับพวงมาลัยเป็นจังหวะ เสียงห้าวทุ้มฮัมตามทำนองเพลงอยู่ในลำคอ ริมฝีปากหยักแต้มรอยยิ้มบางๆ แววตาพริบพราวรื่นรมย์

จะเป็นเพียงแววตาของเธอทั้งคู่ฉายมาสะกดหรือเปล่า
อาจเป็นดาวดวงใดใช้เธอมาหลอกเล่นกล...เป็นไปไม่ได้...
ออกจะงงคงเป็นเพราะเธอทำสับสน โอ๊ย
เดี๋ยวอยากรัก เดี่ยวอยากลืม โอ๊ย โอ๊ย
ทุกสิ่งเปลี่ยนไปเพราะเธอ

เธอทำให้ฉันรักเธอก่อน ไม่อาจถอน
หัวใจมันคอยแอบๆมองแบบซึ้งๆ
เธอทำให้ฉันหลงใจอ่อน นอนกอดหมอนทุกคืน
จะทนได้นานสักเท่าไร หากคิดถึง โอ๊ย...โอ๊ย...

จากยิ้มบางๆเขาเริ่มร้องคลอ ไม่ร้องเปล่า ยังเหลือบตามองเธออีกด้วย และดันเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอมองเขาพอดีเสียด้วยสิ สายตาสองคู่จึงประสานกันอย่างไม่ทันเลี่ยงหลบ ดวงตาคมปลาบอาบประกายระยิบระยับดุจริ้วน้ำยามต้องแสงตะวัน ริมฝีปากสีสดในวงล้อมหนวดเคราเข้มครึ้มขยับเปล่งเสียง...คล้ายต้องการบอกกับเธอโดยเฉพาะว่า...

อยากจะกินกลืนเธอทั้งตัวไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น
อยากได้ยินเพียงเสียงของเธอเพรียกบอกรักเพ้อถึงฉันผู้เดียว
กดอารมณ์ทนไปไม่ไหวใจมันหวิววาบ
ไม่เจอคงขาดใจ โอ๊ย โอ๊ย
โอ่ย โอ๊ย คิดถึงจังเธอ

คำ ‘โอ่ย...โอ๊ย’ ของเขาฟังดูเว้าวอนเจือกระแสสั่นพร่าน้อยๆ เมื่อรวมกับแววประหลาดในดวงตายามจับจ้องเธอ แม้เป็นเวลาชั่วไม่กี่วินาที ก็มีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้น้ำหนึ่งรู้สึกเหมือนตนเองถูกจับเปลือยกายพลีร่างสังเวยเขาอย่างไรอย่างนั้น
เพลงโอ๊ย โอ๊ย ของศิลปิน เบน ชลาทิศ จบ...แต่เหมือนอารมณ์ในใจยังไม่จบ อับจนคำพูด ได้แต่เหลือบตามองกันเป็นระยะ ดวงตากลมโตฉายแววระแวดระวังราวกับนั่งอยู่ใกล้ฆาตกรบ้ากาม ผิดกับดวงตาสีนิลที่กึ่งขำกึ่งเอ็นดู และหากเขาไม่พูด ความอึดอัดกระอักกระอ่วนคงอบอวลอยู่ในรถจนถึงจุดหมายปลายทางเป็นแน่

“ฉันหิวแล้ว”

น้ำหนึ่งนิ่งเงียบ รอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อจากประโยคบอกเล่าสั้นๆนั้น จะชวนกินข้าว หรือแวะเข้าร้านสะดวกซื้อ หาขนมปัง ขนมจีบซาลาเปารองท้อง หรืออะไรก็ว่ามา

ทว่าเขาไม่พูด กลับยิ้มและฮัมเพลงหงุงหงิงให้เธอได้ยิน

“อยากจะกินกลืนเธอทั้งตัว ไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น...”

หญิงสาวกัดริมฝีปาก รู้ตัวว่าถูกยั่วและพยายามข่มใจไม่ให้เต้นไปตามเพลง...จู่ๆใจก็อุ่นวาบ ละม้ายมีมือที่มองไม่เห็นลูบหลังไหล่ปลอบโยน น้ำหนึ่งเหลียวมองบนเบาะหลังทันทีด้วยความหวาดระแวง มีแขกไม่ได้รับเชิญโดยสารมาด้วยหรือไร

ทว่าสิ่งที่เห็นคือความว่างเปล่า กระนั้นก็ตาม ความอบอุ่นยังคงอาบอวลในหัวใจ...เหมือนมีวาริคนเดิมอยู่ใกล้ๆ...แต่ให้มองอย่างไร หนุ่มปากร้ายที่กำลังร้องเพลงหงิงๆยั่วเธออยู่ตอนนี้ ก็ไม่น่าทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้

“เฮ้ ข้างหน้ามีร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าอร่อย กินกันไหม”

“เอาสิ” น้ำหนึ่งตอบสั้นๆโดยไม่อิดออด

ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือที่ว่าติดป้ายใหญ่เด่นหราราคาชามละสิบบาท น้ำหนึ่งเดาออกว่าคงเป็นชามตราไก่ใบน้อย ก๋วยเตี๋ยวในชามคีบสองทีก็คงหมด แต่ปริมาณรถยนต์ในลานจอดรถข้างร้านก็ช่วยการันตีความอร่อยได้เป็นอย่างดี

เมื่อเข้าไปนั่ง น้ำหนึ่งเหลือบตามองโต๊ะข้างเคียง จริงอย่างที่คิด ก๋วยเตี๋ยวชามน้อยน่ารักอย่างนี้ ชามเดียวไม่อิ่มแน่ ครั้นพนักงานมารับออร์เดอร์ เธอจึงสั่งทีเดียวห้าชามรวด จนคนร่วมโต๊ะทำหน้าตกใจ

“ไม่สั่งทีละชามล่ะ เดี๋ยวเส้นก็อืดหมดหรอก” เขาติง

“เราชอบกินแบบอืดๆ มันดูเยอะดี” เธอตอบอย่างที่คิด “แล้วคนก็เยอะอย่างนี้ สั่งไปกว่าจะได้คงนาน มัวสั่งทีละชาม มันกินไม่ต่อเนื่อง เสียอรรถรส”

“กินจุนัก” เขาว่า แล้วสั่งเส้นหมี่น้ำตกห้าชามเช่นกันอย่างไม่ยอมแพ้

สิบห้านาทีต่อจากนั้น ก๋วยเตี๋ยวสิบชามถูกลำเลียงจากถาดวางเต็มโต๊ะ น้ำหนึ่งถึงกับหัวเราะออกมาเป็นครั้งแรก

“คนอื่นคงมองว่าเราตะกละ” เธอพูดขณะหยิบช้อนมาตักน้ำซุปขึ้นชิมรสและพยักหน้าพอใจ

“ช่างปะไร ไม่อิ่มก็สั่งเพิ่มได้เลยนะ ฉันเลี้ยงเอง” คนพูดตักพริกราดลงในชามของตน

“เราเลี้ยงดีกว่า เรายังไม่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลคืนเธอเลย”

“ไม่ต้อง” วาริเอ่ยเสียงเข้ม “บอกแล้วไงมันเป็นเรื่องที่เราต้องรับผิดชอบ”

“ทำไมต้องรับผิดชอบล่ะ” น้ำหนึ่งจ้องหน้าเขาอย่างค้นหา อยากรู้ว่ามีความจริงอื่นใดซุกซ่อนอยู่หรือไม่ “หรือเธอเป็นคนทำให้เราต้องไปนอนโรงพยาบาล”

ชายหนุ่มยักไหล่ ตอบรวนๆ “อยากรับผิดชอบก็คืออยากรับผิดชอบ ไม่มีเหตุผลอะไรจะอธิบาย”

เมื่อน้ำหนึ่งยังคงจ้องหน้าเขาด้วยแววตาคาดคั้น วาริก็ถอนหายใจพรืดใหญ่ แล้วยื่นข้อเสนอว่า

“เอางี้ ถ้ามื้อนี้เธอกินชนะฉัน ฉันยอมให้เธอจ่าย ตัดสินโดยการนับชามที่กิน โอเคไหม”

เขาท้าดวล หญิงสาวนิ่งไปนิดก่อนยิ้ม...เป็นยิ้มร้ายๆและเจ้าเล่ห์อย่างที่น้อยคนนักจะมีโอกาสได้เห็น

“ตกลง เธอไม่มีทางชนะเราอยู่แล้ว”

“นั่นเป็นสิ่งที่ฉันควรพูดมากกว่า” เขาเอ่ยอย่างมั่นใจก่อนลงมือกิน

ครั้นชามที่สามถูกวางซ้อน น้ำหนึ่งก็สั่งเพิ่มอีกสอง วาริข่มขวัญเธอโดยการสั่งเพิ่มอีกห้า ข้างตัวเขามีชามซ้อนไปแล้วสี่ใบ น้ำหนึ่งเริ่มแผนตัดกำลังโดยการชวนคุย

“ตอนเรียนมหา’ลัย มันจะมีเรื่องเล่าบนโต๊ะอาหาร รุ่นพี่ชอบเล่าให้ฟัง...”

“ถ้าเป็นเรื่องหมาตาย ไส้ทะลัก เลือดนอง บอกเลยว่ามันใช้ไม่ได้ผลกับฉัน” ชายหนุ่มดักคออย่างรู้ทัน

“ไม่มีเรื่องน่าขยะแขยงพวกนั้นหรอก นี่มันเรื่องตลก...มีอาแปะคนนึง...” เธอเริ่มเรื่อง “เข้าไปดูหนังในโรง แกกินป็อปคอร์นและน้ำอัดลมแล้วมีเสมหะตีตื้นขึ้นมา แกไม่รู้จะไปบ้วนที่ไหน หนังก็กำลังสนุก จะออกไปข้างนอกก็ขัดจังหวะ แกเลยบ้วนเสมหะลงในแก้วน้ำอัดลมที่ดูดจนหมดแล้ว ระหว่างดูหนัง เสมหะก็ขึ้นมาเรื่อยๆ แกก็บ้วนทิ้ง บ้วนทิ้งจนแก้วเต็ม แกก็ไม่รู้ว่าจะทำไงดี เพราะเสมหะยังมีมาเรื่อยๆ...เธอรู้ไหม อาแปะทำไง”

ก๋วยเตี๋ยวล็อตใหม่ถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมๆกับชามที่ห้าของวาริกำลังจะกลายเป็นอดีต

“บ้วนใส่กระป๋องป็อปคอร์นต่อมั้ง” เขาเดา หยิบชามที่หกมาเติมเครื่องปรุง

น้ำหนึ่งส่ายหน้า “ไม่ใช่ แกยกแก้วที่มีเสลดเต็มๆกระดกใส่ปากแบบนี้” พูดแล้วน้ำหนึ่งก็หยิบแก้วน้ำดื่มขึ้นกระดกดื่มประกอบเรื่อง “กลืนกินจนหมด เหลือแก้วเปล่าๆ แล้วแกก็เริ่มบ้วนเสมหะลงในแก้วใบเดิม”

คนฟังถึงกับวางตะเกียบ ทำท่าพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วกออกมาให้ได้

“เธอมันแย่มาก ไร้มารยาท” เขาลงเสียงหนัก “ฉันยอมแพ้เลย ไม่ไหว...” เห็นชัดว่าเขากลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น ก่อนเข่นเขี้ยวถาม “เด็กถาปัตย์มันบ้าบออย่างเธอทุกคนหรือเปล่าเนี่ย”

เด็กถาปัตย์ยักไหล่ แล้วยั่วด้วยการคีบก๋วยเตี๋ยวใส่ปาก แสร้งทำท่าทางเอร็ดอร่อยทั้งที่ตัวเองก็แทบจะคายของเก่าออกมาเหมือนกัน!




นอกจากความจำเสื่อมจนจำเรื่องราวต่างๆในอดีตไม่ได้ราวกับกลายเป็นคนใหม่แล้ว วาริคนนี้ยังขับรถเร็วกว่าเดิมอีกด้วย เพียงสิบโมงกว่าๆก็ถึงสระบุรีแล้ว สีเขียวสดของป่าเขาริมทางช่วยให้สบายตา สบายใจ หากสายตาไม่พร่ามัวคงชื่นชมได้ชัดเจนฉ่ำใจกว่านี้ น้ำหนึ่งยังคาดเดาไม่ออกว่าคนสำคัญของวาริเป็นใคร และทำไมเขาต้องพาเธอมาพบ ความสงสัยใคร่รู้นั่นละผลักดันเธอมาจนถึงจุดนี้

“ใกล้ถึงแล้วนะ”

เสียงห้าวทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับที่น้ำหนึ่งรู้สึกปวดท้องจี๊ดๆขึ้นมา อาจเป็นเพราะกินเข้าไปเยอะกระมัง ขนแขนลุกชัน เริ่มนั่งไม่เป็นสุข โชคดีเป็นของเธอแล้ว...หญิงสาวดีใจยิ่งกว่าได้ทอง เมื่อเห็นป้ายปั๊มน้ำมันอยู่ไม่ไกล

“แวะปั๊มหน่อย ปวดอึจะราดแล้ว” เธอออกคำสั่งรัวเร็ว สิ้นไร้ชั้นเชิง

ชายหนุ่มเหลือบตามองเธอแวบหนึ่ง มุมปากกระตุกยิ้ม ความเร็วถูกเร่งขึ้นอย่างทันท่วงที

ครั้นรถจอดสนิท น้ำหนึ่งก็ถลาไปหาห้องน้ำหญิงทันที ไม่มีโอกาสเห็นว่าเพื่อนร่วมทางกำลังมองตามหลังด้วยแววตาขบขัน
เขาชอบผู้หญิงไร้จริตจะก้านแบบนี้แหละ เผด็จบอกตัวเองก่อนลงจากรถเดินเรื่อยๆตรงไปยังห้องน้ำชาย รอยยิ้มยังคงแต้มแตะอยู่บนใบหน้า กระทั่งสวนกับคนคนหนึ่งตรงทางเข้าห้องน้ำ รอยยิ้มจึงเลือนหาย กลายเป็นความประหลาดใจมาแทนที่

“คุณริชาร์ด” เผด็จทัก

คนที่กำลังก้มหน้าก้มตาเดินเงยขึ้น เมื่อเห็นว่าเจ้าของเสียงคือใคร ริมฝีปากหุบสนิทก็แปรเป็นยิ้มกว้าง นัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างสดใสเหมือนท้องทะเลฤดูร้อน...แบบนี้นี่เล่า วิไลวรรณจึงหลงนักหนา

“คุณว่าน บังเอิญจริงๆ มาทำอะไรที่นี่ครับ”

“ผมมาหาเพื่อน” เผด็จตอบได้รวดเร็วโดยไม่เสียเวลาคิด “แล้วคุณล่ะครับ”

“มาทำธุระ นี่ก็จะกลับกรุงเทพฯแล้ว”

“โชคดีครับ” เผด็จอวยพรไปตามมารยาท

อีกฝ่ายพยักหน้า “เจอกันพรุ่งนี้นะครับ ผมจะล่วงหน้าไปดูแลความเรียบร้อยก่อนตั้งแต่เย็นนี้”

สองหนุ่มแยกย้ายกันตรงหน้าห้องน้ำชาย น้ำหนึ่งก็เดินตัวปลิวออกมาจากห้องน้ำหญิงเช่นกัน ยืนรอที่รถไม่นานสารถีก็กลับมาประจำที่

“บอกได้หรือยังว่าคนสำคัญของเธอคือใคร” น้ำหนึ่งถามทันที่ที่รถเคลื่อนตัว

“เป็นคนตั้งชมรมเรื่องลี้ลับที่เธอเคยเป็นสมาชิกนั่นแหละ”

“เหรอ แล้วเขาสำคัญกับเธอยังไง”

“ไปเจอเขาก่อนสิ แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง”

สิบห้านาทีต่อมา รถยนต์คันงามก็แล่นลอดโค้งประตูซึ่งมีป้ายหินอ่อนสลักตัวอักษรสีทองอร่ามเรือง มีทั้งภาษาไทยและภาษาจีน น้ำหนึ่งอ่านข้อความบนป้ายแล้วนิ่งอึ้ง ระหว่างทางที่รถแล่นไปบนถนนสายเล็กซึ่งทอดไปไกลสุดลูกตา หายลับไปในทิวเขาเบื้องหน้า น้ำหนึ่งสอดส่ายสายตามองสองฟากฝั่ง ความสงสัยสุมรุมจิตใจราวกับมันคือเหยื่ออันโอชะ

วาริพาเธอมาทำอะไรที่นี่ บนพื้นที่อันไพศาลหลายร้อยไร่ประกอบด้วยเนินดินสูงๆต่ำๆนับไม่ถ้วน ด้านหลังติดภูเขา ตรงข้ามกับเทือกเขาเขียวขจี แลเห็นอยู่ลิบๆคือบึงน้ำธรรมชาติกว้างใหญ่ ดวงตะวันหนีไปซ่อนตัวอยู่หลังทิวเมฆสีเทา บรรยากาศรอบกายสงบ ร่มเย็น ร้างไร้ผู้คน ทว่า...คลาคล่ำไปด้วยวิญญาณ!

ดวงตากลมโตมองผ่านเนินดินเหล่านั้น มันปกคลุมด้วยพรมหญ้าเขียวขจีเย็นตา เว้นระยะเป็นช่วงๆให้แก่สิ่งก่อสร้างซึ่งมีรูปร่างละม้ายคล้ายกัน สิ่งก่อสร้างนี้มีชื่อเรียกว่า...ฮวงซุ้ย

“นี่ไม่ใช่เทศกาลเช็งเม้งนี่” น้ำหนึ่งถาม ดวงตาเบิกกว้าง วาริจะรู้หรือเปล่าว่าเธอมองเห็นสิ่งใด

วิญญาณอาแปะ อากง อาม่า ประจำอยู่ตามจุดต่างๆ ราวกับเป็นสถานชุมนุม มากมายจนรู้สึกหลอน

ถ้ารู้ว่าจะพามาที่แบบนี้ รับรองว่าไม่มีวันปลงใจมาด้วยเด็ดขาด แม้ไม่พอใจจนไม่อยากมองหน้า เธอก็จำเป็นต้องเบนสายตามาหยุดที่เขาอยู่นั่นเอง เพราะมันดีกว่าการสบตากับวิญญาณบรรพบุรุษเหล่านั้น

“ฮื่อ...ไม่ใช่” คนตอบตอบเสียงขรึม ไร้วี่แววกวนประสาท

ยิ่งขับรถเลยลึกเข้าไปด้านในของพื้นที่ เขายิ่งดูเคร่งขรึมและเครียดจนน้ำหนึ่งสัมผัสได้ ในที่สุด เขาก็เบนรถชิดขอบทางและดับเครื่องยนต์ น้ำหนึ่งเปิดประตูลงไป สัมผัสสายลมแรงจนพวงผมหยักเป็นลอนสลวยซึ่งรวบสูงสะบัดไหว ก่อนเธอจะหันไปไถ่ถามให้หายคับข้องใจ เสียงห้าวทุ้มก็เอ่ยขึ้นจากเบื้องหลัง...ใกล้เหลือเกิน

“แบบนี้สวยกว่า”

ที่มาพร้อมกับคำว่า ‘แบบนี้’ คือพวงผมหนาหนักตกลงมาระแก้มกระจายเต็มแผ่นหลัง หนังศีรษะที่ถูกดึงรั้งจากการรัดรึงเส้นผมไว้จนแน่นผ่อนคลาย

“เฮ้ย”

น้ำหนึ่งร้อง มือคว้าจับบนศีรษะโดยอัตโนมัติ พลางหันขวับกลับไปด้วยความฉุนโกรธ เธอไม่ชอบให้ใครมาล่วงเกินแบบนี้ พบคนตัวสูงกำลังพับมีดสั้นคมกริบเก็บใส่กระเป๋ากางเกงยีน...เดี๋ยวนี้วาริพกมีด น้ำหนึ่งมองพลางย้อนคิดถึงแผลบนเนินอกอย่างช่วยไม่ได้...เป็นไปไม่ได้หรอก เขาจะทำไปเพื่ออะไร หญิงสาวหลุบตาซ่อนความระแวง เศษยางมัดผมขาดวิ่นร่วงอยู่บนพื้นตรงปลายเท้าเขานั่นเอง ทั้งที่หน้าตายังขรึมเครียด ยังมีแก่ใจมายั่วโมโหเธออีก

น้ำหนึ่งยังไม่ทันต่อว่าโวยวายที่เขาถือวิสาสะมาปล่อยผมเธอ เขาก็ยื่นมือมาจับปอยผมที่ระใบหน้าไปทัดข้างหูให้หน้าตาเฉย น้ำหนึ่งเบี่ยงศีรษะหลบแต่ไม่พ้น...

แล้วโดยไม่มีใครคาดคิด จู่ๆชายหนุ่มก็หน้าคะมำราวกับถูกใครตบกะโหลกอย่างแรง หากน้ำหนึ่งกระโดดหลบไม่ทัน คงโดนชนเข้าอย่างจัง

“โอ๊ย”

คนหัวซุนร้องเสียงดัง หันขวับกลับไปด้านหลังพร้อมเอ่ยอย่างฉุนเฉียวเกรี้ยวกราด

“ใครวะ”

น้ำหนึ่งไม่เห็นใคร นอกจากวิญญาณอากงอาม่าคู่หนึ่งหัวเราะคิกคักชอบใจ

“สมน้ำหน้า ขโมยร่างเขายังไม่พอ ยังจ้องจะงาบแฟนเขาอีก” วิญญาณอาม่าดูสาแก่ใจยิ่งนัก

“เออ ดูสิ มันงงใหญ่” ผีอากงผสมโรง “เป็นอั๊วนะ ใครมาจีบลื้ออย่างนั้น อั๊วจะเตะตูดแล้วกระทืบซ้ำๆๆๆ” เท้าของผู้พูดกระทืบลงบนพื้นอย่างเมามัน

“เฮ้อ” อาม่าโบกไม้โบกมือพลางส่ายหน้า “ลื้อมันเก่งแต่ปากน่า แก่หง่อมออกอย่างงี้ จะกาทืบใครไหว”

น้ำหนึ่งไม่ได้สนใจบทสนทนาของวิญญาณชราคู่นั้นอีก ใจจดจ่ออยู่ที่คำสามคำ

ขโมยร่าง งาบแฟน จีบ...อาม่าหมายถึงใครกัน เธอสอดส่ายสายตามองหามือดีที่เล่นงานวาริ แต่ไม่พบเจอสิ่งใดอยู่ใกล้พอจะกระทำเช่นนั้นได้

วาริดูหงุดหงิดมากเมื่อไม่พบใคร เขาคงไม่ได้ยินเสียงอากงอาม่าแบบเธอ

“ไปกันเถอะ”

เมื่อหามือมืดไม่พบ เขาก็ลากข้อมือเธอดุ่มเดินไปตามทาง น้ำหนึ่งพยายามบิดออก แต่ยิ่งพยายามเท่าไร เขาก็ยิ่งกำแน่นขึ้นเท่านั้น

หญิงสาวเม้มปากแน่น...ก็ได้ อยากเอาชนะ เธอยอมให้ชนะก็ได้

ครั้นยอมจำนน คนตัวสูงกลับหันมองอย่างแคลงใจ แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้เป็นอิสระ แค่คลายออกนิดหน่อย และดูเหมือนเตรียมพร้อมจะกระชับแน่นตลอดเวลาหากว่าเธอคิดดึงหนี

กระทั่งถึงบริเวณหนึ่งซึ่งฮวงซุ้ยดูอลังการกว่าฮวงซุ้ยอื่นๆในบริเวณข้างเคียง ข้อมือเธอได้รับอิสระเมื่อชายหนุ่มเดินสำรวจ น้ำหนึ่งกวาดตามองป้ายชื่อผู้ล่วงลับ

พลันที่เห็นนามสกุล...เลือดในกายถึงกับเดือดพล่านด้วยความเคียดแค้นชิงชัง วาริคิดอย่างไรพาเธอมาที่นี่ พามายังหลุมศพของตระกูลเผดิมชัย ตระกูลของไอ้เผด็จ เผดิมชัย ฆาตกรใจโฉดที่มันฆ่าข่มขืนพิมพ์แพรพี่สาวเธอ!


จบตอนจ้าาา

**************************

ทักทายท้ายเรื่อง

วันนี้ลงกันยาวๆ เต็มๆ เนื่องจากเวลากระชั้นมาทุกทีแล้ว หนังสือใกล้ออกจากโรงพิมพื คาดว่าปลายๆสัปดาห์หน้าก็คงออกมาอวดโฉมนักอ่านบนแผงหนังสือได้แล้ว แจ้งนิดหนึ่งค่ะ ชุด ๕ ปรารถนานี้มีบ๊อกเซ็ตนะคะ วางขายในงานมหกรรมหนังสือที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ ๑๕ ตุลาคมนนี้เป็นครั้งแรก เฉพาะบ๊อกเซ็ตนี้มีจำนวนจำกัดค่ะ ซื้อได้ที่บูทสำนักพิมพ์คำต่อคำและบูทสำนักพิมพ์ดวงตะวัน ส่วนนักเขียนจะไปวันและเวลาใดคงแจ้งได้ภายในสองสามวันนี้ หากต้องการพบกันเพื่อต่อว่าต่อขานนายเผด็จอย่างถึงอกถึงใจก็สามารถไปพบกันได้ในงานหนังสือนี้นะคะ

และย้ำนักย้ำหนาว่าอย่าลืมน้าาา ใครมาอ่าน มาเม้นท์ ลงชื่อไว้ให้รู้นิดหนึ่งเพื่อรับสิทธิ์ลุ้นการจับรางวัลมอบของที่ระลึกเล็กน้อยหลังการโพสต์ยุติลง มาร่วมสนุกกันค่ะ

คุณอสิตารา ข้าอยากได้จับปิ้งทองคำ ให้พี่เก้าปล้นมาให้ข้า ข้าจะใส่ไปงานหนังสือ ก๊ากกก

คุณหนอนหนังสือ เพิ่งพบกัน ขอบคุณมากค่ะที่แสดงตัว สาวน้อยปริศนาลากถุงขยะไปทำอะไร เชื่อว่าหลายคนคงอยากรู้ ต้องติดตามค่ะ

อัศวินนภา ยินดีต้อนรับอีกเช่นกัน คนบ้าคือวาริรึเปล่า เอ เรื่องนี้บอกไม่ได้ค่ะ ต้องรออ่านตอนต่อไปแล้ว

น้องยิ้มจัง ตัวนุ่มมาลากถุงขยะรึ แอร๊ายยยย จะเป็นไปได้ไง เดี๋ยวพี่เก้าโดดตีลังกาม้วนห้าตลบถีบยอดอกคนเขียน โทษฐานที่เอาตัวนุ่มมาทำงานรับใช้คนพวกนี้

หนูเกดซ่า ตอนนี้เธอกลายเป็นผู้ต้องสงสัยอีกแล้วนะนะนะ ยายเด็กทำความสะอาดนั่นใช่เธอปลอมตัวมาสืบราชการลับหรือเปล่า สารภาพมาซะดีๆ

คุณรินทร แวะมาทักทายอีกแล้ว น่ารักที่สุด ม้วฟ ม้วฟ

คุณน้องหมีบุลินทร เอ ใช่หรือไม่ ใช่หรือเปล่า ลอยหน้าเกาคาง

คุณPatok ฟันธงได้ตรงใจคนอ่านมากค่ะ ต้องรอลุ้นๆๆๆ ว่าใช่หรือไม่

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ เรื่องยุ่งเหยิงมากจริงๆ ตอนเขียน คนอ่านมึนตึ้บๆๆๆ ตูจะผูกปมมาทำไมเยอะแยะขนาดนี้เนี่ย

คุณน้องหนอนน้อยดังปัณณ์ พิมพ์แพรถูกข่มขืน แต่ไม่ได้ถูกรุมค่าาา แต่ว่าทำไมนายเด็ดจี้ต้องไปข่มนางพิมพ์ อุอิ ค้างคาไว้ในใจ ให้คนเขียนอยากรู้เล่นแบบนี้แหละ

คุณโกลเด้นท์ซัน ตอนนี้พายุเงื่อนปมทั้งหลายได้ซัดเข้าสู่ผู้อ่านแล้ว สารภาพว่าเมื่อเขียนถึงตอนนี้ผู้เขียนเองก็งงงันไม่แพ้ผู้อ่านในเวลานี้เลยค่ะ และได้แต่ก่นด่าตัวเองว่าจะขยันผูกปมให้เรื่องมันยากไปทำไม แต่ให้เขียนง่ายๆก็ไม่สนุกอีกค่ะ มาลุ้นไปด้วยกันดีกว่า

คุณปลาวาฬสีน้ำเงิน ขอบคุณสำหรับรอยยิ้มค่ะ อย่าลืมมาลุ้นในวันที่ประกาศผลรางวัลนะคะ

คุณ Moona Narak ดีใจจังค่ะ นานๆจะได้ยินคนบอกชอบหนังสือหนาสักที ที่ผ่านมาได้ยินแต่ชอบบางๆ แต่เรื่องนี้มันจบไม่ลงจริงๆเพราะปมมันเยอะ เลยออกมาเล่มหนากว่าเล่มไหนๆที่เคยเขียนมาเลย

แล้วเจอกันพรุ่งนี้ค่ะ มาลุ้นซิว่าพรุ่งนี้จะลงครึ่งตอนหรือเต็มตอน




ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 ต.ค. 2557, 00:59:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 ต.ค. 2557, 00:59:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1301





<< บทที่ ๑๔ (จบตอน)   บทที่ ๑๖ (ครึ่งแรก) >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 4 ต.ค. 2557, 01:56:31 น.
อั้ยยะนี่สินะ เจ้ากรรมนายเวรที่อยู่ใกล้ตัว กรี้ดดด แล้วหนึ่งจะบอกิอกไปไหม หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมหนึ่งถึงยังมองไม่เห็นวาริอีกละ ตบหัวพุ่งได้ขนาดนั้น 5555


อสิตา 4 ต.ค. 2557, 02:41:50 น.
อะไรวะ มีลงเต็มตอนครึ่งตอนด้วย ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย เห็นของกินแล้วหิวมาก
ข้าวสวยร้อนๆฟูเต็มหม้อ..............


Pat 4 ต.ค. 2557, 08:11:48 น.
มาเต็มตอนละกันค่า สงสัยว่าเห็นวิญญาณทุกตนแต่ทำไมไม่เห็น'วาริ' ล่ะคะ


ketza 4 ต.ค. 2557, 08:51:59 น.
วาริตามไปทุกที่เยยย เป้นห่วงจินะ
ในที่สุดก้รู้แล้วว่า เผด็จกับน้ำหนึ่งเป้นเจ้ากรรมนายเวรกันได้อย่างไร เง้อๆๆๆ เอาใจช่วยกันต่อไป ฮึ๊ปๆๆๆ


yimyum 4 ต.ค. 2557, 09:14:56 น.
อ้าว เผด็จเป็นคนฆ่าเหรอ อากงอาม่าท่าทางสะใจมากค่ะ 555


ดังปัณณ์ 4 ต.ค. 2557, 14:10:47 น.
โอ้ วานี่ถึงเธอเป็นแบบนี้ชั้นก็รักเธอ โถพ่อคุณมาเป็นเพลง สายลมแห่งรักพัดมา ขอจงอย่าพารักไป อย่าพัดให้ใจ....ลั้นล้า (จำไม่ได้แล้วง่ะขุ่นพี่ 555+)

โถ รันนี่ถึงว่าน่าฉงฉานนะหล่อนนะ แต่ แต้ แต่! ไม่ต้องมาหลอกล่อ หนอนเชื่อ เด็จจี้กับรันนี่กับต้องแย่งพี่สาวของน้ำกันแน่ มันต้องเป็นรักสามเส้าสี่เส้าห้าเส้า ที่ตอนนี้ขุ่นพี่ยังไม่เฉลย หึๆ....หรี่ตามองจ้องจับ หนอนน้อยหลอกไม่ง่ายนะ หุๆ (ดูนางมั่นใจมาก พอเฉลยได้หงายเงิบ TT^TT )

อ่ะโถ มันต้องมีมือที่สามสี่ห้า แต่ว้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา นั่นพ่อหนูน้ำก็ออกมาแระชิมิ วานี่นางก็ลอยคอพัดไปพัดมาไม่มีพลังจะปรากฏตัวจินะ 555+


goldensun 4 ต.ค. 2557, 19:26:03 น.
งง ทำไมเพชรไม่เห็นวิญญาณว่านล่ะ หรือเพราะว่านยังไม่ตาย
เผด็จได้รู้ล่ะ ว่าที่คิดว่าตัวเองสำคัญ น้ำหนึ่งเกลียดแค่ไหน
ว่าแต่ทำำำำำ หรือโดนชรัณใส่ร้ายจริงจริจรจ


Barby 6 ต.ค. 2557, 19:09:12 น.
เรื่องมันยังไงๆอยู่นะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account