วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๖ (จบตอน)

ครู่ใหญ่ กว่าความเจ็บและจุกจะทุเลาจนเผด็จสามารถลุกขึ้นยืนและเดินไปปกติ เขาได้แต่เท้าเอวยืนมองท้ายรถที่น้ำหนึ่งขับห่างไกลออกไปลิบๆ ทั้งโกรธทั้งโมโหที่ตนเสียเหลี่ยมสิ้นท่าให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งได้ ทีนี้จะกลับอย่างไรล่ะเนี่ย...
ระหว่างคิดหาทางกลับบ้าน เผด็จเดินย้อนกลับไปยังฮวงซุ้ยของตนเอง ไม่คิดว่าบดินทร์จะให้เกียรติลูกเลวๆอย่างเขาโดยการสร้างฮวงซุ้ยให้อย่างงดงามหรูหรา ก็คงทำให้สมแก่ฐานะของตัวเอง ไม่ใช่เพราะความรักหรอก ใครจะรักไอ้ฆาตกรหื่นกามอย่างเขาได้ลง

ร่างสูงทรุดกายลงนั่งยองๆบนส้นเท้า หยิบช่อบูเกต์ซึ่งวางพิงป้ายชื่อเขาขึ้นมาพิจารณา กุหลาบแรกแย้มสีโอลด์โรสจัดเป็นช่อกลม แซมด้วยเยอบีร่าสีขาว มีการ์ดเล็กๆน่ารักคล้องอยู่กับริบบอนสีม่วงเข้ม เขาพลิกขึ้นดูพบลายมือคุ้นตาคุ้นใจ

รักเจ้าเอย
ไฉนเลยไม่เปลี่ยนผัน
ฤๅจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์
อยู่ในความฝัน ในความหลัง ที่ยังจำ

หลับให้สบายนะ...รำลึกถึงเสมอ

เผด็จอึ้ง ความซาบซึ้งเอิบอาบในหัวใจ ริมฝีปากหยักเม้มเข้าหากันแน่นสะกดกลั้นอารมณ์หวั่นไหวภายซึ่งพลุ่งพล่านขึ้นในอก ในขณะที่เขาพยายามทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งสนใจ กลับมีผู้หญิงอีกคนมอบความรักให้เขาไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ทั้งที่เขาตายไปพร้อมกับตราบาป...ฉายาไอ้ฆาตกรหื่นใจโฉดมันน่าชังจนไม่อยากเชื่อว่าจะมีใครรักเขาได้ลง

ชายหนุ่มรู้สึกตัวเมื่อแว่วเสียงฝีเท้ามาจากเบื้องหลัง เขาวางช่อบูเกต์ลงตำแหน่งเดิม พร้อมๆกับเสียงคุ้นหูทักขึ้น

“คุณนั่นเองเป็นเจ้าของช่อบูเกต์ ฉันสงสัยมาตลอดสามปีว่าเป็นของใครกัน”

เผด็จหันขวับกลับไป ความรู้สึกหวานๆอุ่นๆในใจเมื่อครู่มลายวับไปเมื่อพบเจ้าของเสียง เขายืนขึ้น สีหน้าเข้มขรึม

“คุณมาลิน...”

ใช่ มาลิน แม่เลี้ยงของเขาเอง หล่อนมาพร้อมตะกร้าอาหารและธูปหอมมัดใหญ่ไม่ต่างจากยามไหว้บรรพบุรุษ

“อ้าว คุณว่าน” น้ำเสียงประหลาดใจมาพร้อมคิ้วโค้งสวยขมวดมุ่น

ทั้งวาริและมาลินต่างก็เป็นคนมีหน้ามีตาในวงสังคม ไม่แปลกที่คนทั้งคู่จะรู้จักกัน ต่อให้ไม่เคยพบกันมาก่อน ก็น่าจะเคยเห็นกันผ่านตาตามสื่อต่างๆ

“มาทำอะไรที่นี่คะ”

ไม่ใช่มาลินคนเดียวที่ประหลาดใจ เผด็จเองก็แปลกใจเช่นกัน

“ผมมาเยี่ยมเพื่อนครับ...พี่เผด็จ...” เขาสวมบทเป็นวาริ “ไม่คิดว่าจะพบคุณมาลินที่นี่”

“เผด็จเป็นลูกเลี้ยงดิฉันนี่คะ...เพิ่งรู้ว่าคุณว่านรู้จักเผด็จด้วย”

“ช่างเป็นแม่เลี้ยงที่น่ายกย่องมากเลยนะครับ”

มาลินมองหน้าเขา น้ำเสียงเครียดขึ้นนิดยามเอ่ยถามตรงๆ “ทำไมคุณว่านต้องประชดดิฉันด้วยล่ะคะ คิดว่าแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงต้องเป็นศัตรูกันเสมออย่างนั้นหรือ”

ในขณะที่เผด็จยืนนิ่งด้วยความประหลาดใจ มาลินก็ปูผ้าลงบนพื้น ลำเลียงอาหารในตะกร้ามาวาง ปากก็เอ่ยไปเรื่อยๆว่า

“ตั้งแต่เผด็จตาย ดิฉันก็มาทุกปีเพราะคุณบดินทร์ไม่ว่างมา และฉันก็พบช่อบูเกต์นี้ทุกปีเช่นกัน นึกสงสัยว่าใครมาฝากรักให้เผด็จ ที่แท้ก็...” หล่อนเหลือบตามองเขา

เผด็จหน้าร้อนวูบ เดาออกว่ามาลินคิดอะไรอยู่ รีบปฏิเสธเสียงแข็ง

“ไม่ใช่ของผมหรอกครับ ผมเพิ่งมาครั้งแรก”

“ไม่ต้องเขินหรอกค่ะคุณว่าน เดี๋ยวนี้การนิยมชมชอบเพศเดียวกันเป็นเรื่องปกติแล้ว แต่ดิฉันอยากเตือนคุณ...” หล่อนมองสบตาเขาจริงจัง พูดตรงๆโดยไม่เกรงใจ และออกจะแรงเกินไปสำหรับคนเพิ่งพบกัน “ดิฉันได้ข่าวว่าคุณกำลังจะแต่งงาน ถ้าคุณมั่นใจว่าไม่ได้ชอบผู้หญิง ก็อย่าแต่งเลยค่ะ จะเป็นการทำร้ายความรู้สึกผู้หญิงเปล่าๆ”

เผด็จยืนเท้าเอว ส่ายหน้าอย่างหน่ายใจ วันนี้มันเป็นวันซวยของเขาจริงๆ เขาเหนื่อยและมีเรื่องให้คิดมากเกินพอแล้ว ไม่อยากเสียเวลาปฏิเสธเรื่องราวบ้าบอแบบนี้อีก

“คุณมาลินอย่าไปพูดที่อื่นแล้วกันครับ” ขอร้องกันดีๆแบบนี้หวังว่าคงเข้าใจ เขาไม่อยากทำให้วาริเสียหาย และไม่อยากให้ข่าวลวงแบบนี้ล่วงรู้ถึงหูน้ำหนึ่งด้วย

“วางใจเถอะค่ะ” หล่อนยิ้มให้เขาสบายใจ แล้วหันไปจุดธูปเตรียมเชิญวิญญาณเขามากินข้าวปลาอาหารที่หล่อนตระเตรียมมา
เผด็จเม้มปากแน่น เขาไม่ได้โง่จนมองไม่ออกว่าสีหน้าแววตามาลินจริงใจเพียงใด หล่อนไม่ได้เกลียดเขาอย่างที่เขาเข้าใจมาโดยตลอด หลายปีที่หล่อนแต่งงานกับบดินทร์ หล่อนเมินเฉยและร้ายใส่เขาได้แนบเนียน หรือเขาโง่จนไม่สามารถมองทะลุถึงแก่นแท้ของหัวใจกันแน่

ทว่าในนาทีต่อมาเขาก็นึกสงสัย บางที...ที่เขากำลังพบเจออยู่เวลานี้ อาจเป็นละครฉากหนึ่งของหล่อนก็ได้ เผด็จเริ่มลังเลไม่แน่ใจแล้วว่าตัวตนแท้จริงของมาลินเป็นเช่นไร

“แล้วคุณว่านมายังไงคะ ดิฉันไม่เห็นรถจอดอยู่เลยสักคัน”

ริมฝีปากหยักได้รูปซึ่งเม้มแน่นขณะครุ่นคิดคลายออก “เพื่อนมาส่งครับ เดี๋ยวคงต้องหาทางกลับเอง” ชายหนุ่มเจตนาโยนหินถามทาง

มาลินทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ “เป็นไปได้ยังไงคะ ไฮโซอย่างคุณว่านมาเดินย่ำต๊อกในสุสาน โดยไม่รู้ว่าจะกลับอย่างไร”

“เป็นเรื่องจริงครับ คุณมาลินจะรังเกียจไหม ถ้าผมจะขออาศัยรถกลับด้วยคน” คนอย่างเผด็จไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา เป้าหมายอยู่ตรงไหน เขาก็มุ่งไปตรงนั้น

เธอมองด้วยแววตาฉงน แต่ใบหน้ากลมขาวระบายรอยยิ้ม

“ยินดีเลยค่ะ”




เมื่อกลับมาถึงบ้านสหทรัพย์ เผด็จยื่นกุญแจสำรองให้คนขับรถไปนำรถเขากลับมา ส่วนตัวเองกลับขึ้นห้อง อาบน้ำแต่งตัวและหยิบเลือดในตู้เย็นมารินดื่มอย่างใจเย็น ใจครุ่นคิดถึงคำบริภาษด่าทอของน้ำหนึ่งที่สาดใส่ตนไม่ยั้งเมื่อกลางวันที่ผ่านมา ยิ่งคิด ยิ่งกระตุ้นความเคียดแค้นที่มีต่อชรัณลุกโชนขึ้นในใจ จนเขาอยากไปจับมันหักคอเสียให้รู้แล้วรู้รอด

แต่ยังหรอก รอให้กลับมาจากกระบี่ก่อน ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำ คือกอบกู้ความรู้สึกดีๆของน้ำหนึ่งคืนกลับมา จะทำอย่างไรล่ะ เผด็จถามตัวเอง...ไม่รู้สิ...เขาไม่รู้จริงๆ รู้แต่ว่าตอนนี้อยากพบเธอ และพูดสั้นๆว่า...ขอโทษ

ขอโทษที่ทำให้พิมพ์แพรตายไปอย่างน่าเวทนา เขาเองก็ไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนั้น แต่ไม่อาจหักห้ามใจได้จริงๆ จะโทษว่าเพราะเขาดื่มเหล้าก็คงไม่ผิด แต่หากในเหล้านั้นไม่มีสิ่งอื่นปลอมปน คนอย่างเขามีหรือจะระงับอกระงับใจไม่ได้

เรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในค่ำวันฝนพรำเมื่อสามปีก่อน เผด็จอยู่บ้านไม่ได้ไปไหน เขานอนหลับยาวเนื่องจากค่ำคืนที่ผ่านมาดื่มจัดจนเกือบสว่าง จนถึงเวลาค่ำก็ตื่นขึ้นด้วยความกระปรี้กระเปร่า อาบน้ำแต่งตัวและเตรียมจะไปต่อ เป็นเรื่องปกติที่เขาลงมาแล้วพบกับบ้านเงียบเหงา ร้างไร้ผู้คน มาลินมักออกไปข้างนอกตั้งแต่หัวค่ำ กว่าจะกลับก็ดึกดื่นหรือไม่ก็สว่าง รัฐมนตรีบดินทร์มักมีงานให้กลับห้าทุ่มเที่ยงคืนอยู่เสมอ บางทีไปตีกอล์ฟตั้งแต่เช้าตรู่ กว่าจะกลับก็เย็นของอีกวัน ส่วนชรัณมักไปตามรับส่งพิมพ์แพรแฟนสาวของตน บริวารในบ้านไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ตึกใหญ่ หลังหมดหน้าที่ ทุกคนต่างแยกย้ายพักผ่อนในเรือนเล็ก

แต่วันนั้นแปลกกว่าทุกวัน เขาลงมาพบพิมพ์แพรนั่งก้มหน้าเศร้าซึมอยู่ในห้องรับแขก เขาไม่คุ้นเคยกับหล่อน เจอกันแค่ครั้งสองครั้ง ผู้หญิงหน้าตาจืดชืด เงียบและเรียบร้อยเหมือนนางในวรรณคดี ไม่มีสิ่งใดดึงดูดให้เขาเหลียวกลับไปมองซ้ำ หล่อนยกมือพนมไหว้เขาอย่างนอบน้อมจนเขารับไหว้แทบไม่ทัน

‘มารอชรัณหรือ’ เขาถามไปอย่างนั้น ไม่สนใจอยากรู้ แต่ไม่อยากให้หล่อนเก้อ

‘ค่ะ พี่รันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้แพรรอที่นี่’

เขาพยักหน้าไปแกนๆ แล้วผละไปยังบาร์เครื่องดื่ม ใครๆในบ้านต่างก็รู้ว่าเขานิยมดื่มเหล้าช่วงค่ำแบบนี้ อุ่นเครื่องก่อนไปสนุกต่อข้างนอก

วอดก้าเย็นเฉียบถูกนำออกจากช่องแช่แข็ง ขวดใสใหม่เอี่ยมยังไม่ได้เปิดพราวไปด้วยเกล็ดน้ำแข็งราวกับฝังมันไว้ในกองหิมะมาตลอดคืน น้ำแข็งก้อนเหลี่ยมใสถูกเคาะจากถาด หยิบแก้วช็อตมาส่องกับแสงไฟจนแน่ใจว่าสะอาด ไร้ฝุ่นผงเกาะติด จึงคีบน้ำแข็งจุ่มลงในขวดเกลือและหย่อนลงแก้วเสียงดังกริ๊ก รินวอดก้าแรงร้อนตามลงไป นิ้วเรียวแข็งแรงหยิบมีดคมกริบและมะนาวในตะกร้าบนเคาน์เตอร์ ฝานมะนาวเป็นแผ่นบางใส่ลงไปในแก้วช็อต วางมีดลงที่เดิมแล้วจึงกระดกแก้ววอดก้ารวดเดียวหมด

น้ำสีขาวใสเย็นจัดลื่นไหลลงคอ ทิ้งก้อนน้ำแข็งและมะนาวไว้ในโพรงปาก ความร้อนแผ่ซ่านเป็นทางลงไปยังช่องท้อง ไอระเหยของแอลกอฮอล์ส่งกลิ่นหอมของมะนาวขึ้นจมูก เกลือช่วยให้ความหวานที่แอบซ่อนอยู่ปรากฏออกมา เขากำซาบความรู้สึกเหล่านั้นอย่างสำราญใจ...

ทว่าความร้อนจากวอดก้าช็อตนั้นไม่ได้แผ่อยู่แค่ลำคอและทางเดินอาหาร มันส่งกระแสร้อนรุ่มไปทั่วทุกอณูกาย ร้อนจนอยากดึงทึ้งเสื้อผ้าออกจากร่างและระบายความเร่าร้อนนั้นใส่ใครสักคน...ใครก็ได้ช่วยปลดปล่อยเขาจากความเร่าร้อนหวิวหวามอันแสนทรมานนี้ที

แค่คิดถึงวิธีปลดปล่อย เลือดในกายก็ฉีดพล่าน ใจเต้นรัวแรงเหมือนจะปะทุออกมานอกอก

ความรู้สึกที่อยู่เหนือจิตใจยามนี้ไม่ใช่ความต้องการ แต่มันเป็นความหื่นกระหาย และเมื่อพบร่างอรชรของพิมพ์แพรก้าวออกจากห้องรับแขก ก็อยากกระโจนเข้าใส่ราวกับหล่อนเป็นอาหารจานโอชะ

‘ฝากบอกพี่รันด้วยนะคะว่าแพรกลับก่อน ต้องแวะรับน้องสาวกลับบ้านด้วยกัน’ เสียงใสปนเศร้าบอกเขา

ท่าทีสงบเสงี่ยมเจียมเนื้อเจียมตนและเรียบร้อยราวกับผ้าพับไว้ไม่ได้ช่วยให้เผด็จเย็นลง ตรงกันข้าม เขาอยากกระชากผ้าผืนนี้ออกมาสะบัดคลี่แผ่ให้เห็นเนื้อแท้ภายใน ขยำ ขยุ้ม กอดรัดฟัดเหวี่ยงให้สมใจปรารถนา

เขาไม่รอช้า...สิ่งใดเผด็จอยากได้ สิ่งนั้นเผด็จต้องได้

‘พี่เผด็จเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมหน้าแดงตัวสั่นแบบนี้’

คำถามนั้นไร้คำตอบ ร่างอ้อนแอ้นปลิวหวือเข้าสู้อ้อมอกเขาโดยพลัน จมูกปากซอนไซ้เนื้อนวลราวกับผีเสื้อผู้หิวโหยเพิ่งพานพบ
เกสรหวานล้ำเป็นครั้งแรก หนักหน่วง รุนแรงตามอารมณ์อันพลุ่งพล่าน

เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือหลุดจากปากหล่อนทันทีที่เขาผละจากริมฝีปากมาดื่มด่ำซอกคอหอมละมุน

‘เงียบ’ เสียงกระเส่าสั่งดุดัน

คนถูกสั่งหาได้เกรงกลัวไม่ ทั้งหยิก ข่วน เตะ ถีบเขาสารพัด และส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา มือใหญ่ตะปบปิดปากหล่อนไว้ ก่อนที่ใครจะได้ยินและมาฉุดกระชากเขาลงจากเส้นทางสู่สวรรค์ ฟันคมๆกัดหมับเข้ากลางฝ่ามือ เผด็จจึงใช้มืออีกข้างกดทับลงไปบนหลังมือ ยิ่งหล่อนดิ้น เขายิ่งกด กด และกด จนหล่อนหมดเรี่ยวแรงแน่นิ่ง

เขาฉีกทึ้งเสื้อผ้าออกจากกายแกร่งโดยไร้ความละอาย แล้วโหมกระหน่ำทุกความต้องการลงบนเรือนร่างบอบบาง โดยมิรู้เลยว่า ร่างงามนั้นกลายเป็นศพไปเสียแล้ว

สองมือของเขาไม่เพียงปิดปาก แต่มันลามเลยไปถึงปลายจมูกแหลมเล็กนั่นด้วย

หากร่างเขาเหมือนภูเขาไฟซึ่งอัดแน่นไปด้วยลาวาเหลวร้อน ยามนี้ มันได้ระเบิดพร่างและทะลักทลายไหลบ่า ไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดหรือฉุดรั้งไว้ได้...

แต่อนิจจา ภูเขาไฟยังไม่ทันสงบ ชีวิตเขาก็มีอันต้องจบลงเสียก่อน

‘ไอ้เผด็จ...มึง...’

นั่นคือคำสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนสิ้นชีพ ครั้นเหลียวไปมอง ก็พบชรัณถลาไปคว้ามีดที่เขาใช้ฝานมะนาวเมื่อครู่ใหญ่ ตรงมายังเขาอย่างมุ่งร้าย เผด็จเพิ่งผละจากร่างพิมพ์แพร ยังไม่ทันตั้งตัว ปลายมีดแหลมคมก็กระซวกลงมาบนหน้าท้อง ชำแรกเนื้อหนัง กดกรีดล้ำลึกถึงอวัยวะภายใน

ฉึก! เสียงดึงมีดออกจากหน้าท้อง เผด็จสะดุ้งตาม ก่อนงอกาย มือกุมปากแผลแน่น ตาลอย มองหน้ามือมีดด้วยความเจ็บปวด อีกฝ่ายไม่ปรานี กระหน่ำแทงลงมาไม่ยั้ง...ความโกรธเกลียดเคียดแค้นทั้งหลายในดวงตาที่เผด็จมองสบ ได้แปรเป็นรอยแผลเหวอะหวะ โดยที่เขาไม่สามารถทัดทานหรือต่อสู้ปกป้องตัวเองได้เลย

ฉึก...ฉึก...ฉึก...กี่ครั้งกี่หนเผด็จไม่มีทางรู้ รู้เพียงว่าวิญญาณหลุดลอยจากร่างก่อนกายเปลือยเปล่าน่าบัดสีทุเรศนัยน์ตาจะทรุดกองกับพื้นนองเลือดนั่นเสียอีก

ไม่มีเส้นทางสายสวรรค์ใดๆทอดรับคนทำผิด มีเพียงหนทางมืดคล้ำดำดิ่งสู่นรกภูมิ

ตอนนี้ เผด็จเริ่มปะติดปะต่อเห็นภาพบางอย่างเลือนราง เขาไม่เคยมีความต้องการอันรุนแรงจนยากแก่การควบคุมเช่นนั้น มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมียาบางชนิดแปลกปลอมปะปนไปกับเหล้าที่ดื่ม จะปะปนไปได้อย่างไรเล่า ในเมื่อวอดก้าขวดนั้นเขาเป็นคนเปิดเองกับมือ แก้วที่ใช้ก็พิจารณาอย่างถ้วนถี่ เขาไม่ชอบแก้วที่มีฝุ่นจับ ถ้าอย่างนั้นก็เหลือสิ่งน่าสงสัยแค่มีด น้ำแข็ง และเกลือ
หากเป็นมีดและน้ำแข็ง เป้าหมายอาจผิดไปได้ เพราะสองสิ่งนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าคนอื่นจะหยิบไปใช้ แต่เกลือขวดนั้นไม่มีใครกล้ายุ่งแน่ ถ้าเป้าหมายคือเขาจริง คนวางยาต้องเลือกปะปนมันลงในเกลือขวดนั้นอย่างแน่นอน

แล้วใครล่ะ ใครคือผู้ไม่หวังดีคนนั้น และทำลงไปเพื่ออะไร

ชื่อผู้ต้องสงสัยลอยเข้ามาในใจ ชรัณ ต้องเป็นมันแน่ๆ มันชังน้ำหน้าเขาราวกับเป็นศัตรูกันมาแต่ปางก่อน ถ้าเขาตายเสียคน รัฐมนตรีบดินทร์ก็คงยกทุกอย่างให้มัน เพราะเดิมก็รักและเอาใจมันอยู่แล้ว แต่เผด็จไม่เข้าใจ มันเอาพิมพ์แพรมาเป็นเหยื่อล่อทำไม ทั้งที่รักและจี๋จ๋ากันออกปานนั้น

เผด็จอยากแล่นไปกระชากคอชรัณแล้วเค้นเอาความจริง ว่ามันทำแบบนั้นทำไม แต่ความรู้สึกของน้ำหนึ่งสำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ขอให้เธอได้ฟังความจริงทั้งหมดจากปากเขาก่อน แล้วจะโกรธหรือเกลียดเขาก็จะไม่ว่าอะไรเลย

ความทุกข์ใจรุมเร้าขึ้นเรื่อยๆดุจถ่านไฟแดงๆที่ถูกลมกระพือใส่ หากทิ้งไว้เช่นนี้ เพลิงทุกข์คงท่วมใจ เผด็จไม่อาจทานทนจนถึงเวลานั้นได้ เขาขับรถออกจากบ้านในเวลาทุ่มเศษๆ ตั้งใจไปหาคนที่บังอาจมาบุกรุกพื้นที่หัวใจ ทำให้เขาเสียเวลาไปหลายชั่วโมงโดยไม่ได้อะไรเลย นอกจากความกลัดกลุ้ม

แน่ละ คนคนนั้นไม่ใช่ไอ้ชรัณ แต่เป็นคนที่บังอาจมาทุบกล่องดวงใจเขาจนเจ็บระบม ตั้งแต่เกิดจนตายไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนกล้าทำกับเขาแบบนี้ แล้วดูเถอะ แทนที่เขาจะเป็นฝ่ายโกรธ กลับมานั่งทุกข์นั่งโทษตัวเองอยู่ได้ เผด็จคนเดิมหายไปไหน คนที่ทำอะไรตามใจตัวโดยไม่แคร์ความรู้สึกของใครหน้าไหนทั้งนั้น

เพราะฝนตก รถราบนท้องถนนจึงเนืองแน่นตามเคย เผด็จเลี่ยงไปใช้เส้นทางสายเล็กซึ่งซอกแซกไปตามซอยต่างๆ ถึงจะไกลหน่อย แต่รถเคลื่อนตัวได้ก็ดีกว่าไปจอดนิ่งอยู่บนทางสายหลักนั่นแหละ

และเส้นทางสายนี้เองพาเขามาค้นพบความจริงบางอย่าง เมื่อแท็กซี่คันหลังเบี่ยงออกขวาและเร่งความเร็วแซงขึ้นหน้าไป ทำให้เขาเห็นรถอีกคันซึ่งมาแทนที่ตำแหน่งแท็กซี่คันนั้นอย่างชัดเจน เขาจดจำได้ทั้งรถและคนขับตั้งแต่แวบแรกที่เห็น

มาลิน...หล่อนมาทำอะไรบนถนนสายเล็กที่เลาะลัดเข้ามาในย่านอยู่อาศัย แทนที่จะไปเฉิดฉายบนถนนสายเศรษฐกิจเลิศๆหรูๆกลางกรุง เผด็จเหลือบซ้ายแลขวา ไม่เห็นมีสิ่งใดน่าสนใจนอกจากชุมชนแออัดและโรงแรมม่านรูด ชายหนุ่มเลื่อนสายตามองกระจกหลังอีกครั้ง พบรถของมาลินเลี้ยวไปจอดในซอยแคบๆซอยหนึ่ง

ความสงสัยใคร่รู้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดึงดูดให้เท้าแตะเบรก ตามองหาจุดจอดรถเหมาะๆ ก่อนเทียบจอดเลยร้านคาราโอเกะไปนิดหนึ่งแล้วเดินย้อนกลับไปยังซอยที่มาลินเลี้ยวหายเข้าไป

ชายหนุ่มจำเป็นต้องเดินผ่านคาราโอเกะอย่างเลี่ยงไม่ได้ สายฝนพร่างพรมบางเบาทำให้ร้านดูเงียบเหงา หน้าร้านมีเด็กสาวรุ่นๆอายุคงไม่เกินยี่สิบนั่งเรียงราย สวมเสื้อผ้าราคาถูกเปิดเนื้อหนังมังสาล่อตาล่อใจเพศตรงข้าม มองปราดเดียวก็รู้ว่าพวกหล่อนทำงานอะไร

เพียงเผด็จก้าวลงจากรถ เด็กสาวในเสื้อยืดเกาะอกอวดเนินเนื้ออวบอิ่มก็ปราดมาเกาะแขน ยิ้มยั่ว

“มาคนเดียวหรือคะป๋า”

ป๋าก้มมองร่างเตี้ยตันนั้นด้วยความสังเวชใจ ยังโตไม่เต็มตัว ทรวดทรงยังไม่เข้าที่เข้าทาง แก้มสองข้างยังอิ่มเอิบตามธรรมชาติของเด็ก วัยขนาดนี้ควรนอนทำการบ้านหรืออ่านทบทวนตำรับตำราอยู่กับบ้าน ไม่ใช่มานุ่งน้อยห่มน้อย ทำตัวเป็นดอกไม้ริมทางล่อแมลงอยู่แบบนี้

เผด็จถอนหายใจ เพราะเขาแก่แล้วใช่ไหมถึงคิดแบบนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนตอนเขาอยู่ในวัยคะนองก็ไม่เคยกลับบ้านไปอ่านหนังสือท่องตำรา มีแต่ไปเที่ยวมั่วสุมกับเพื่อน หัดกินเหล้าสูบบุหรี่จนคนเป็นพ่อเอือมระอาคร้านจะด่าทอ

พ่อคงไม่รู้ หากด่าเขาบ้าง สนใจเขาบ้าง เขาคงไม่ถลำลึกไปไกลเพราะรู้ว่ามีคนรักมีคนเป็นห่วง แต่การเพิกเฉยของพ่อ มันเหมือนคำประกาศว่าแกจะทำอะไรก็เรื่องของแก ฉันไม่สนใจ

ไม่ใช่หรอก ไม่ใช่เพราะแก่ เผด็จบอกตัวเอง แต่เป็นเพราะเขาลงไปรับรู้รับเห็นมาแล้วว่านรกมีจริง และเด็กๆเป็นเหมือนกล้าไม้ที่จะเติบโตเป็นไม้ใหญ่อันงดงามต่อไปในอนาคต ไม่น่าถูกมดมอดกัดแทะชอนไชจนเกิดตำหนิและเติบใหญ่ไปอย่างผิดรูปผิดรอย

“เหงาแย่เลย หนูนั่งเป็นเพื่อนนะคะ” เสียงดัดจริตเกินงามฉะอ้อนถาม

เผด็จหลุดจากวังวนความคิด ปลดมือนุ่มออกจากต้นแขน

“ฉันจะไปธุระ” พูดจบก็ดุ่มเดินจากไป นึกคิดไปว่าพ่อแม่เด็กเหล่านี้อยู่ที่ไหน รู้หรือเปล่าว่าลูกสาวกำลังทำในสิ่งที่สุ่มเสี่ยงเพียงใด...แล้วจะคิดให้มันได้อะไรขึ้นมา คิดไปก็ช่วยอะไรไม่ได้เสียหน่อย ตัวเองยังเคยทำตัวเป็นปัญหาสังคมทั้งที่มีพ่อเป็นถึงรัฐมนตรี
เผด็จช่วยไม่ได้ แต่มาลินช่วยได้...ชายหนุ่มตระหนักถึงความจริงข้อนี้เมื่อเข้ามาพบภาพหนึ่งซึ่งกระแทกใจอย่างแรง

ท่ามกลางวงล้อมของเด็กหญิงหน้าตามอมแมมในเพิงเตี้ยๆใต้ต้นมะขามสูงใหญ่ มาลินกำลังเล่านิทานพร้อมใช้หุ่นมือรูปสัตว์ต่างๆประกอบเรื่อง เด็กเหล่านั้นให้สนใจฟังและดูจนตาแทบไม่กะพริบ

เด็กเหล่านี้คือลูกหลานผู้คนในชุมชนแออัดที่จะเติบโตเป็นหนุ่มสาวรุ่นต่อไป เผด็จทึ่งกับภาพตรงหน้า มาลินราวกับนางฟ้าใจดี รอยยิ้มและแววตาเปี่ยมเมตตายามทอดมองเด็กๆ

ดวงตาไร้เดียงสาจับจ้องหล่อนตั้งอกตั้งใจฟัง มาลินดัดเสียงให้เข้ากับเรื่องราว

“จำไว้นะเจ้าจระเข้ตัวดี” เสียงใหญ่ดุดันขณะเชิดหุ่นสิงโตในมือให้อ้าปากพะงาบ “หากเจ้ากินเหล้าอีก ข้าจะตัดลิ้นเจ้าให้สั้นกุดจนไม่รู้รสอื่นใดอีกเลย”

หล่อนทำเสียงตกใจขณะมืออีกข้างเชิดหุ่นจระเข้ “อย่านะท่านเจ้าป่า ข้ายอมแล้ว ข้าจะไม่กินเหล้า ไม่ระรานใครอีก”

“แต่แล้วจระเข้ก็รักษาสัญญาไว้ไม่ได้ มันยังคงกลับไปกินเหล้าและระรานสัตว์อื่นอยู่เสมอ สุดท้ายมันจึงถูกตัดลิ้น...จนทุกวันนี้
จระเข้ถึงไม่มีลิ้นไงคะ” มาลินสรุปก่อนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “จำไว้นะคะเด็กๆ หากอยากแต่งตัวสวยๆแบบป้า อยากมีรถขับ อยากกินขนมอร่อยๆแบบที่ป้าซื้อมาฝากพวกหนู หนูต้องเป็นคนดี ตั้งใจเรียน ไม่กินเหล้าเมายา ไม่เบียดเบียนตัวเองและสังคม แล้วหนูจะได้ทำงานดีๆ มีคนยกย่องให้เกียรติ”

มาลินหายไปจากบ้านทุกค่ำคืนด้วยเหตุนี้เองหรือ นี่คือความสุขสำราญใจที่หล่อนขวนขวายออกมาแสวงหา ทำไมไม่มีการลงข่าวสังคมหน้าไหน หล่อนทำมานานเท่าใดก็สุดรู้...ชายหนุ่มผู้ยืนมองอยู่ในเงามืดสะท้อนใจ ก่อนเดินจากไปเงียบๆ




ใช่...นี่คือความสุขสำราญใจของมาลิน คือสิ่งที่ช่วยคลี่คลายความเงียบเหงา อ้างว้าง เดียวดายในหัวใจ และทำให้รู้สึกมีคุณค่า โลกนี้ยังมีคนต้องการหล่อนอยู่

เมื่อก่อน มาลินก็ไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วซอมซ่อที่ถูกหยิบมาบำบัดคราบสกปรก ใช้เสร็จแล้วเหวี่ยงทิ้ง สิ้นไร้ความไยดี ไม่มีใครคิดถึงจนกว่าจะถึงเวลาต้องใช้อีกครั้ง บัดนี้ผ้าสกปรกผืนนั้นแปรเป็นผ้าไหมเลอค่า ใครจะมาหยิบไปเช็ดแล้วเหวี่ยงทิ้งแบบเดิมไม่ได้แล้ว

หล่อนยิ้มน้อยๆขณะเดินกลับมายังรถ หลังจากส่งเด็กๆกลับบ้าน ซึ่งในบ้านหลังนั้น อาจมีพ่อเลี้ยงขี้เมา แม่เล่นการพนัน และพี่ชายติดยา เหมือนครอบครัวที่หล่อนเกิดและเติบโตมาก็เป็นได้

ดวงตาในเงาสลัวพลันหม่นหมอง อดีตอันขื่นขมถูกกลบฝังไว้ ไม่แย้มพรายให้ใครรู้ แต่กระนั้น รัฐมนตรีบดินทร์และชรัณก็ล่วงรู้เข้าจนได้ รู้ก็ช่างปะไร หล่อนเหลียวกลับไปมองด้านหลัง เด็กๆในชุมชนแออัดเหล่านี้ต้องไม่ตกลงไปในหลุมอบาย หรือแม้แต่ตกเป็นเหยื่อถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจอย่างที่หล่อนประสบพบเจอมา หล่อนจะออกแรงผลักดันให้เด็กๆเหล่านี้ป่ายปีนและก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงสง่างามเหมือนที่หล่อนทำได้มาแล้ว

ความรักจากเด็กๆเยียวยารอยแผลใจในอดีต มันไม่เคยหาย แต่ค่อยๆเลือนลบไป ใครๆก็อยากถูกรัก อยากได้รับการเทิดทูนบูชาไม่ใช่หรือ โดยเฉพาะคนที่เคยถูกกระทำย่ำยีเยี่ยงผ้าขี้ริ้วไร้ค่าอย่างหล่อน ยิ่งต้องการความรักและการยอมรับนับถือเพื่อตอกย้ำว่าตนเป็นคน หาใช่ผ้าขี้ริ้วเปื้อนราคีไม่

เสียงฝีเท้าดังขึ้นเบื้องหลังขัดจังหวะความคิด ร่างอวบเหลียวกลับไปมอง ร่างกายเตรียมพร้อมระแวดระวัง

“คุณป้าช่วยไปดูยายหนูหน่อยสิคะ ยายหนูไม่สบาย” เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งตามมา เอ่ยน้ำตาคลอ มือผอมกะหร่องจับแขนอวบขาวเขย่าเบาๆ

“ไปสินุ่น” หล่อนพยักหน้าโดยไม่อิดออด ในกระเป๋าสะพายใบใหญ่มียาสมุนไพรบรรจุแคปซูลแยกใส่กล่องเรียบร้อยติดอยู่เสมอ ส่วนใหญ่เป็นยาพื้นฐานประเภทดับพิษร้อนถอนพิษไข้บำรุงธาตุ

ด้วยความที่เคยมีสามีเป็นหมอยาสมุนไพร ความรู้นั้นตกทอดถึงหล่อน มาลินไม่สืบทอดกิจการร้านยาของสามี เนื่องจากมรดกที่เขาทิ้งไว้มากพอสำหรับเลี้ยงตัวไปทั้งชีวิต หล่อนนำความรู้ที่มีติดตัวมาช่วยเหลือผู้คนในชุมชน ยังมีคนอีกมากที่เจ็บป่วยตายไปโดยไม่มีเงินรักษา

หวังว่าความดีที่หล่อนหมั่นสร้าง จะชดเชยความผิดบาปที่เคยกระทำในอดีต และความผิดที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบัน

ยายของนุ่นชื่อกล่ำ แกแก่มากแล้ว ผมกระเซิงเหมือนไม่เคยเจอหวีมานานแรมเดือนแผ่อยู่บนหมอนคล้ำแบน ผ้าห่มบางเปื่อยยุ่ยห่อหุ้มร่างซอมซ่อตั้งแต่ต้นคอจรดปลายเท้า แต่ดูเหมือนมิอาจบรรเทาความหนาวได้ เพราะร่างผอมเกร็งยังสั่นเทาราวกับลูกนกตกน้ำ

“กร กรอยู่ไหน” แกพร่ำเพ้อหาลูกชายคนเดียวซึ่งรักมาก เขาต้องโทษคดีฆ่าคนตายเมื่อสามสิบปีก่อน ครั้นพ้นโทษก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนแกก็ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา เล่นการพนัน มั่วอบายมุขซึ่งมีกระจายอยู่ทั่วชุมชน รายได้หลักมาจากแม่ของนุ่นลูกสาวคนสุดท้องที่ไปทำงานโรงงานอยู่ต่างจังหวัด โดยทิ้งลูกสาวไว้ให้ผู้เป็นแม่เลี้ยง

กลิ่นเหล้าคละคลุ้งปะปนมากับลมหายใจหอบเหนื่อย ครั้นเปลือกตาเหี่ยวย่นเปิดปรือเห็นมาลินก็ร้องโวยวายด่าทอตามนิสัย
“อีบ้า มาทำไม มาบ้านกูทำไม ไป ไปให้พ้น ไปจากบ้านกูเลย”

มาลินไม่สนใจคำด่าทอนั้น หล่อนดูอาการให้ตามปกติ หญิงชรามีแรงด่าแต่ไร้แรงปัดป้อง ครั้นจัดยาให้เสร็จก็ลุกจากมาง่ายๆ
“พรุ่งนี้ป้าจะมาเล่านิทานอีกหรือเปล่าคะ” เด็กหญิงตัวน้อยถามขึ้น ขณะเดินมาส่งหล่อนถึงประตูบ้านซึ่งเป็นเพียงแผ่นสังกะสีผุพัง หลังจากหล่อนดูอาการและจ่ายยาให้ “หนูต้องไปขอใช้โทรศัพท์ที่ร้านค้าโทร.หาคุณป้าหรือเปล่า”

“ไม่ต้องหรอกจ้ะ” หล่อนก้มมองเด็กหญิงตัวน้อยหน้าตาขะมุกขะมอม ขี้มูกเกรอะกรัง ราวกับเห็นภาพอดีตของตนเอง

“ป้าจะไปต่างจังหวัดสักอาทิตย์น่ะจ้ะ”

“ว้า...” เด็กน้อยร้องด้วยความผิดหวัง “หนูก็ไม่ได้ฟังนิทานสนุกๆ ไม่ได้กินขนมอร่อยๆสิคะ”

“ป้าสัญญาว่าป้าจะมาหาหนูทันทีที่กลับมาเลยละจ้ะ เป็นเด็กดีนะ” หล่อนลูบศีรษะยุ่งเหยิงเหม็นสาบนั้นอย่างไร้ความรังเกียจ
ร่างกายสกปรก ชำระชะล้างให้สะอาดได้ไม่ยาก แต่ใจสกปรกโสมมของคน ไม่มีสิ่งใดชำระล้างได้ เด็กๆก็เหมือนผ้าขาว เติมแต้มสีใดไปก็เป็นสีนั้น หล่อนจะต้องระบัดระบายสีสันอันงดงามขึ้นในใจของพวกเขาเหล่านี้ เป็นตัวอย่างที่ดีให้เห็น สิ่งที่หล่อนทำไปไม่ต้องการให้สังคมรับรู้ ไม่จำเป็นต้องมีข่าว หล่อนไม่อยากให้ใครมารื้อฟื้นอดีตอันน่าอดสูใจของหล่อน

ที่สำคัญ หล่อนไม่ได้งดงามดีพร้อมราวกับนางฟ้าอย่างที่เด็กเหล่านี้คิด หล่อนยังลักลอบกระทำในสิ่งที่ผิดบาป ทำทั้งที่รู้ว่ามันผิด แต่ทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อมันเป็นความสุขของหล่อน ความทุกข์ระทมขมขื่นที่หล่อนกล้ำกลืนฝืนทนควรได้รับการชดเชยบ้างอย่างสาสม

มาลินกลับถึงบ้านค่อนข้างดึก ชรัณกำลังจะออกไปข้างนอก เห็นหน้าตาซูบเซียวของบุตรชายแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้

“พักบ้างเถอะรัน โทรมมากแล้วนะพักนี้”

“ผมกำลังจะออกไปพักผ่อนอยู่นี่ไงล่ะครับ”

มาลินกัดริมฝีปากแน่น เตือนตัวเองให้ใจเย็น หล่อนพยายามดึงเด็กๆในสลัมขึ้นจากหลุมอบาย แต่ลูกตัวเองกลับดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ ยิ่งฉุดขึ้นเท่าไร ชรัณก็ยิ่งปล่อยตัวให้เลื่อนไหลลงสู่ที่ต่ำไม่ต่างจากสายน้ำ

หากไม่เกิดเหตุร้ายกับพิมพ์แพร ชรัณคงไม่ซวนเซออกนอกลู่นอกทางแบบนี้ และถ้าหล่อนรู้ว่าเหตุการณ์เลวร้ายส่งผลสืบเนื่องยาวนาน ค่ำวันนั้นหล่อนคงไม่โทร.เรียกชรัณออกไปรับที่หน้าหมู่บ้าน

‘รันมารับแม่หน่อยสิ แม่มาซื้อของที่ซูเปอร์หน้าหมู่บ้าน แต่รถสตาร์ตไม่ติด’

ชรัณอึกอักในคราแรก แต่ก็ยอมตกลง ‘เอ่อ...ก็ได้ฮะแม่’

ครั้นกลับถึงบ้าน ชรัณจะรีบขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อพาพิมพ์แพรไปข้างนอก มาลินมัวแต่คุยโทรศัพท์ กว่าจะเข้ามา เหตุการณ์ต่างๆก็เลวร้ายเกินกว่าจะแก้ไขเสียแล้ว หล่อนได้แต่ปิดปากกลั้นเสียงร้อง ตัวสั่นเทา สายตาเพ่งมองภาพอุจาดชวนอนาถใจบนพื้นซึ่งเนืองนองไปด้วยเลือดแดงฉาน กว่าจะตั้งสติและเข้าไปโอบกอดชรัณซึ่งกำลังคลั่งราวกับคนบ้าได้ บริวารในบ้านก็แห่กันมาเต็ม

หากไม่ได้รัฐมนตรีบดินทร์ช่วยไว้ ชรัณคงไม่หลุดรอดลอยนวลมาจนวันนี้ แต่กระนั้น ชรัณก็ขลาดเกินกว่าจะเยี่ยมหน้าไปพบครอบครัวพิมพ์แพร เขาเคยบอกหล่อนหลังเกิดเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า เขาละอายที่ไม่อาจปกป้องคนรักไว้ได้

“รัน แม่ดูออกนะว่ารันติดยา” มาลินเอ่ยเสียงเข้ม หลังจากผลักภาพเลวร้ายในอดีตออกจากใจ

“ผมไม่ได้ติด แม่อย่ามากล่าวหาผมนะ” สายตาเขายามมองหล่อนช่างอวดกล้า ท้าทาย

ความผิดหวังเสียใจโบยตีหัวใจมาลินจนเจ็บร้าว หล่อนมองตามร่างสูงของบุตรชายเดินจากไปโดยไม่แยแสหล่อนสักนิด เขาไม่มีสิทธิ์ทำกับหล่อนแบบนี้ นึกสงสัยอยู่ครามครัน หล่อนอบรมสั่งสอนเขามาไม่ดี หรือว่าเลือดพ่อมันแรงกันแน่!

 ********************************

ทักทายท้ายเรื่อง

หนูเกดซ่า ถึงเผด็จจะเป็นซาตาน แต่ก็เป็นซาตานที่อยู่ในร่างเทพบุตรนะ

ไอ้พี่เก้า แม้แต่ในนิยายก็ยังปลอดผักชีรึ วันนี้วังวนวารีไม่มีอาหาร ซดมาม่าต่อไป

พี่แตงกวาจ๋า ชูป้ายไฟเชียร์วาริหรือเนี่ย ไม่สนใจอะไรแซ่บๆบ้างหรือคะ

คุณใบบัวน่ารัก วันนี้เผยเหตุผลที่ทำให้เผด็จทำเรื่องเลวร้ายลงไปแล้ว พอจะอภัยหรือเห็นใจเขาสักนิดหรือยังคะ

น้องยิ้มจัง เผด็จไม่โดนเล่นค่าาา แต่วาริที่หายไปนี่สงสัยไอ้พี่เก้าเอาไปเลี้ยงเป็นพรายกระซิบแล้วมั้ง ไม่ยอมโผล่มาสักที

คุณสุขุมวิท ๖๖ ยังมีพลิกอีกหลายตลบค่ะกว่าจะจบเรื่อง ยั่วๆ ^____________^

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ เผด็จเฮี้ยนจริงๆนั่นแหละ เอางี้ ให้เขาเป็นพระเอกไปเลยดีมะ ๕๕๕

น้องหนอนน้อยดังปัณณ์ วันนี้คอมเม้นท์สั้นกว่าทุกคราว แต่ดูสะอกสะใจมากที่เผด็จโดนทุบเป้าและฉกรถ นี่ถ้าตอนจบเผด็จยึดตำแหน่งพระเอกไปครอง น้องหนอนจะมาทุบเป้า เอ๊ย ทุบปากพี่หรือเปล่า

คุณน้องหมีบุลินทร เรื่องนี้ปมเยอะจริง ตัวละครแต่ละตัวผ่านสมรภูมิชีวิตกันมาไม่ใช่น้อย เข้มข้นขึ้นทุกทีแล้ว

คุณหนอนหนังสือ นั่นสิคะ น่าเห็นใจวาริจริงๆ ตาเผด็จชำเราร่างวาริจนเสียหายยับเยินหมดแล้ว ต้องรอดูว่าสุดท้ายแล้ว วาริจะทวงร่างคืนได้หรือไม่ และด้วยวิธีไหนนะ

เอาละ เหลืออีกสามวันเท่านั้นนะคะที่่จะได้อ่านวังวนวารีในเว็บนี้ ตอนนี้ทราบว่าหนังสือเริ่มเสร็จแล้ว ใครที่เข้ามาอ่าน เข้ามาไลค์ รบกวนลงชื่อแสดงตัวในช่องคอมเม้นท์หน่อยนะคะ พอลงจบเราจะมีการจับฉลากเพื่อแจกของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆ เป็นการตอบแทนนักอ่านที่น่ารักที่อยู่เคียงข้างกันเสมอมา มาร่วมสนุกกันค่ะ

แล้วเจอกันพรุ่งนี้จ้าาา



ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ต.ค. 2557, 02:37:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ต.ค. 2557, 02:37:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1291





<< บทที่ ๑๖ (ครึ่งแรก)   บทที่ ๑๗ >>
พันธุ์แตงกวา 6 ต.ค. 2557, 05:40:59 น.
ทำไมถึงน่าสงสารกันแบบนี้ เบื้องหลังของเบื้องหลัง มีแต่คนถูกกระทำ ยังจะมีเบื้องลึกของเบื้องลึกอีกสินะ
แบบนี้มันต้องจัดการกับคนเขียน นางคือตัวร้ายที่ชักใยเรื่องทั้งหมดอย่างแท้จริง


Pat 6 ต.ค. 2557, 06:25:17 น.
ชักจะเห็นด้วยกับคุณพันธุ์แตงกวาแฮะ


goldensun 6 ต.ค. 2557, 07:11:43 น.
เพราะยาปลุกนี่เอง เผด็จถึงเป็นไปอย่างนั้น แต่ใครทำกันนะ ผลร้ายเลยไปลงที่พิมพ์แพเลย
ว่าแต่ บาปปัจจุบันที่มาลินทำคืออะไรกัน แต


ดังปัณณ์ 6 ต.ค. 2557, 08:06:35 น.
โอ้วโน้ววววววววววววววววว เหนแหมะว่าแล้น 555+

เด็จจี้ทำต้องมีสาเหตุดิ ว่าแต่มาลินบอกให้รันนี่ไปรับ อืม...ตอนแรกก็....เอ หรือมาลินจิทำ 555+ แต่นางจิทำไปทำมึ้ย ฆ่าพิมพ์แพรโดยไม่ตั้งใจแต่ก็ขื่นขมจนตายไปแหล่ว เห้อ...ถึงไงๆก็รับไม่ได้ เด็จจี้มันก็สำนึกมากแล้วนะเนี่ย ยอมผิดแต่โดยดี แต่การโบ้ยไปให้รันนี่ก็ไม่ใช่นะคุณ!

ป.ล. ขุ่นพี่ปุ๊กมะวานหนอนหนีไปซีคอนมา เกือบสาย กร๊ากกกกกกกกกกกก


yimyum 6 ต.ค. 2557, 08:12:18 น.
เผด็จคิดได้แล้วเหรอ?


อสิตา 6 ต.ค. 2557, 09:04:22 น.
ต้องจัดการกกับคนเขียน รังแกอีเผด็จเยอะดี ข้าชอบ //วันนี้ตื่นสาย เวลาเปลี่ยนแล้ว


ketza 6 ต.ค. 2557, 09:40:20 น.
แง้ๆๆ ซาตานก็น่าฉงฉานนน ใครวางยาซาตานง่ะ ยันแม่เลี้ยงรึ????
เรื่องนี้่น่าฉงฉานหลายคน เหอๆๆๆๆ


patok 6 ต.ค. 2557, 09:46:53 น.
อยากให้วาริกลับเข้าร่างสักทีค่ะ สงสารน้ำหนึ่ง


ริญจน์ธร 6 ต.ค. 2557, 11:17:23 น.


Sukhumvit66 6 ต.ค. 2557, 13:56:47 น.
เย้ย...ยังมีพลิกกว่านี้อีกเหรอ......น่าลุ้นมาก ๆ เลยค่ะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 6 ต.ค. 2557, 17:39:45 น.
ม่ายยยยยย ม่ายนะ ม่ายๆๆๆ ผู้ชายเจนโลก ทั้งโลกมนุษย์ โลกนรกแบบนั้น ปลาอยฮีไปที่ชิบ ที่ชอบเถ้อออ อย่ามาสิงแถวนี้นานนักเลย แค่นี้ ภาพต่างๆ ก็ดูย่ำแย่มากละ ยิ่งมาเปิดเผยปมเก่าเนี่ย ชัดเลย เออ ว่าแต่ใครกันนะ ที่เป็นเบื้องหลังเหตุการณ์ฆ่าข่มนั่น เจ้แพรก็คงถึงคราวพอดีละ อะไรกั๊น เอามือปิดปากจนตาย มะเจ้า เอ หรืออิตาเดดดี้ จะแรงถึก คึกยิ่งกว่าคูโบต้า!


Barby 6 ต.ค. 2557, 19:51:21 น.
มันขยี้หัวใจจิงๆ แต่รู้สึกบางตอนมันกั๊กๆไว้ ต้องมีการเฉลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account