วังวนวารี [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
คนหนึ่งอบอุ่นอ่อนโยน คนหนึ่งห่ามห้าว ใจร้อน แตกต่างกันราวกับน้ำพุร้อนเดือดพล่านและสายฝนฉ่ำเย็น หากสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองเหมือนกัน คือเขาต่างมีใจให้เธอ แล้วเธอล่ะ จะมอบใจรักเพื่อใคร
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๑๗

เผด็จก้าวลงจากรถ หยาดฝนชุ่มชื้นโปรยสาย ทว่าไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปให้ความชุ่มเย็นแก่จิตใจได้เลย ดวงตาสีนิลมองลอดช่องว่างระหว่างรั้วระแนงเข้าไปภายในบริเวณบ้านไม้สองชั้นเก่าแก่ คืนนี้ไร้แสงไฟลอดเร้นจากหน้าต่างชั้นสอง เลื่อนสายตามายังโรงรถ มันว่างโล่ง รถญี่ปุ่นสีขาวคันกะทัดรัดหายไป

น้ำหนึ่งไม่อยู่บ้าน ไม่มีใครอยู่ ช่างเงียบงันและวังเวงเหมือนใจเขาตอนนี้ไม่มีผิด ชายหนุ่มเท้าเอวโคลงศีรษะอย่างหน่ายใจ เขาเป็นอะไรไปแล้ว ทำไมไม่มีความสุขเลย ร้อนรนกระวนกระวายอยากพบแต่น้ำหนึ่งอยู่ร่ำไป เพราะเธอยังเข้าใจเขาแบบผิดๆอยู่ใช่ไหม ใบหน้าคมคายแหงนมองฟ้าสีเทาไร้ดาวเดือน ซึมซับฝอยฝนซึ่งประโปรยลงมาด้วยความอาดูร เขาเกลียดความรู้สึกเดียวดายเช่นนี้เหลือคณา ความรู้สึกแบบนี้ตอกย้ำว่าเขาถูกทิ้ง และนั่นแปลว่า...เขามันคนไร้ค่า ไม่มีใครต้องการ

มีสิ...อีกใจหนึ่งแย้ง ร่างสูงหมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถ บิดกุญแจสตาร์ตและเปิดวิทยุขับไล่ความเงียบ ก่อนมันจะบุกรุกเข้ามาถึงหัวใจ

“ในคืนฝนพรำแบบนี้ ใครอยู่คนเดียวเหงาๆ พี่สร้อยกับพี่ออดยังอยู่เป็นเพื่อนคุณ...”

“โทร.มาขอเพลงกันได้เลยนะคะ คุณขอมา เราจัดไป...”

สองดีเจเสียงสวยขวัญใจคนอกหักพูดรับส่งกันอย่างมีจังหวะน่าฟัง

“และน้องที่ขอเพลง ทิ้ง เวอร์ชั่นของพี่แหม่มพัชริดามา พี่สร้อยกับพี่ออดจัดให้เดี๋ยวนี้เลยค่ะ”
จบคำพี่สร้อย ดนตรีเหงาๆก็เข้ามาแทนที่ ตามด้วยเนื้อร้องกระทบใจ

เฝ้ามองดาวครั้งเราผูกพัน แต่ความฝันเมฆคลุมมืดมน
ปรอยฝนโปรยลงมาดั่งน้ำตา เรียกหาเธอ
ไม่มีใจพบใครสักคน จิตสับสนเหมือนคนขาดใจ
ทนหนาวทนเดียวดายอย่างร้อนใจ ใฝ่หาเธอ
อะไรหรือที่เธอใฝ่ฝัน อะไรหรือที่ฉันขาดไป
บอกได้ไหมทำไมจะทิ้งไป...ไม่เข้าใจ...

เผด็จกดปุ่มปิดวิทยุอย่างกระแทกกระทั้น หากต้องฟังเพลงที่ชวนให้ความเจ็บปวดขยายใหญ่กินพื้นที่กว้างขึ้นแบบนี้ อยู่เงียบๆดีกว่า

อะไรหรือที่เธอใฝ่ฝัน อะไรหรือที่ฉันขาดไป
บอกได้ไหมทำไมจะทิ้งไป ไม่เข้าใจ...

เนื้อเพลงท่อนหนึ่งยังขังค้างอยู่ในใจ คำถามโง่ๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว ใครจะอยากอยู่ใกล้คนเป็นเพื่อนกับฆาตกรที่ฆ่าข่มขืนพี่สาวตัวเองแถมเข้าข้างกันอย่างเปิดเผยเล่า เผด็จไม่อยากคิดต่อเลยว่าถ้าน้ำหนึ่งรู้ว่าจิตวิญญาณในร่างวาริตอนนี้ คือจิตวิญญาณดวงเดียวกับที่อยู่ในร่างไอ้ฆาตกรหื่นใจโหด มีหวังคงฆ่าเขาให้ตายตกไปตามกันแน่นอน

เผด็จระบายลมหายใจหนักหน่วง เปิดรอยยิ้มหยันเย้ยให้กับตนเอง

สิ่งใดเผด็จอยากได้ สิ่งนั้นเผด็จต้องได้...อย่างนั้นหรือ

มันเป็นแค่คำพูดหยิ่งยโสไว้ปลุกปลอบกดข่มความอ่อนแอในใจเท่านั้นแหละ ความจริงคือเขาไม่เคยได้อะไรที่ต้องการสักอย่าง คนเกิดมาเพียบพร้อมด้วยทรัพย์สินอย่างเขาจะต้องการอะไรอีกเล่า นอกจากความรักความใส่ใจที่เงินซื้อไม่ได้ เขาโหยหามันมาตลอดชีวิต เมื่อฟื้นมาในร่างวาริ คนแรกที่มอบสิ่งนี้ให้เขาคือน้ำหนึ่ง แม้เธอจะมอบมันให้กับวาริก็ตาม แต่เขาซึมซับรับไว้แล้วเต็มหัวใจ

และอีกคนที่ใส่ใจดูแลเขาอย่างดี โดยไม่สนใจว่าเขาจะห่ามห้าวก้าวร้าวอย่างไร คนที่เขากำลังกลับไปหา...วิไลวรรณ
ความรู้สึกย่ำแย่ทำให้เขาอยากยกเลิกทริปกระบี่ในวันพรุ่งนี้ แต่วิไลวรรณคงมีความสุขมากหากได้ใช้เวลาร่วมกับบุตรชาย หล่อนมอบความสุขให้เขา เขาก็ควรมอบความสุขคืนกลับไปให้คุ้มกับที่รับมา

ต้องขอบคุณวาริที่เป็นคนดีและเป็นที่รักของคนรอบข้าง เขาเลยพลอยได้รับอานิสงส์นั้นด้วย

แต่ตอนนี้ เขาได้ทำลายความรักที่น้ำหนึ่งมอบให้วาริไปแล้วจนหมดสิ้น หวังว่าเขาจะไม่พลาดทำลายสิ่งนี้จากใจวิไลวรรณไปด้วยอีกคน

“ขอโทษนะนายว่าน ฉันเป็นคนดีได้ไม่เท่านายจริงๆ” เผด็จรำพันแผ่วในความเงียบงัน




น้ำหนึ่งหอบใจหม่นมัวมาถึงกระบี่ตอนเช้ามืดวันอาทิตย์ หลังจากตัดสินใจเก็บกระเป๋าแล้วออกเดินทางตั้งแต่หัวค่ำ ตามกำหนดเดิมนั้น เธอต้องออกเดินทางเช้าวันนี้ โดยตั๋วเครื่องบินที่ผู้ว่าจ้างจองไว้ให้ แต่จู่ๆก็เกิดเปลี่ยนใจขอขับรถไปเอง จนอีกฝ่ายกระเซ้าอย่างสนิทสนมว่า

“รีบร้อนอย่างกับหนีใครมางั้นแหละสาวน้อย”

เธอได้แต่หัวเราะกร่อยๆและขอแผนที่จากเขา ระหว่างนั้นก็เฝ้าครุ่นคิดว่าเหตุใดจึงคุ้นหน้าลูกค้ารายนี้จัง เขาไม่ใช่ไฮโซ นักร้อง หรือนักแสดงที่มีชื่อเสียงและตกเป็นข่าวไม่เว้นวันเสียหน่อย แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก

แรกเริ่มนั้นเขาเป็นฝ่ายติดต่อมา เนื่องจากเห็นบ้านเพื่อนซึ่งเป็นลูกค้ารายหนึ่งของเธอแล้วชอบใจ หลังจากพูดคุยกันแล้วเกิดต้องอัธยาศัย ความสนิทสนมจึงไต่ระดับขึ้นขนาดสามารถพูดคุยล้อเล่นกันได้ราวกับเพื่อน ทั้งที่เขาก็อายุมากกว่าเธออยู่หลายปี
สถาปนิกสาวคงหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่อย่างนั้นอีกนาน หากไม่มีเสียงเตือนว่ามีข้อความส่งมาในไลน์ เธอหยุดความสงสัยไว้เพียงเท่านั้น เปิดข้อความดูและพบภาพแผนที่อย่างละเอียด เธอเคยไปกระบี่มาแล้ว ใช้เวลาไม่นานก็นึกออกว่าสถานที่ที่เธอต้องไปดูเพื่อออกแบบต่อเติมอยู่ตำแหน่งใด

เธอรีบออกเดินทาง ไม่รู้หรอกว่าวาริจะตามมาตอแยอีกไหม รู้เพียงว่ายังไม่พร้อมจะพบหน้าเขาตอนนี้ ตอนที่ความรู้สึกผิดหวังยังสดใหม่เหมือนแผลเปิดเลือดฉ่ำ ต้องใช้เวลากว่ามันจะสนิทแนบแน่น แต่ให้แนบแน่นอย่างไรก็คงไม่สามารถแนบเนียนเช่นเดิมได้ ไม่มีวัน

รถญี่ปุ่นคันกะทัดรัดเลาะเลียบริมหาดยามแสงแห่งวันมาเยี่ยมเยือนฟากฟ้าทิศตะวันออก บ้านลูกค้ารายนี้อยู่บนหน้าผาไกลห่างจากแหล่งท่องเที่ยวพอสมควร สองฟากฝั่งถนนจึงไม่คลาคล่ำด้วยโรงแรมที่พัก น้ำหนึ่งแวะดูแผนที่เมื่อถึงทางแยก ก่อนหมุนพวงมาลัยพารถแล่นเลี้ยวไปตามทางสายเล็ก

หญิงสาวนิ่วหน้า กล่องความทรงจำถูกรื้อค้นอย่างรวดเร็ว และพบว่าเธอเคยผ่านมาทางนี้แล้วครั้งหนึ่ง เมื่อสมัยรับน้อง ก็ครั้งที่มาตามส่องผีที่บ้านร้างจนได้ยินเสียงประหลาดนั่นอย่างไร ดวงตากลมโตไล่มองริมทางฟากฝั่งที่ตนจดจำได้ว่าเป็นที่ตั้งของบ้านเก่าสไตล์นีโอคลาสสิก มันยังคงรกร้างหรือถูกทุบรื้อทิ้งไปแล้วก็ไม่รู้

คิดยังไม่ทันจบดี บ้านสีขาวหม่นในดงไม้รกครึ้มก็ปรากฏแก่สายตา เบื้องหลังคือภูเขาสูงทะมึน มาครั้งนี้ น้ำหนึ่งจึงเห็นว่ามีน้ำตกสายเล็กแซมอยู่ในหมู่ไม้เขียวครึ้มกลางเขาลูกนั้น ครั้นสายตาเลื่อนต่ำลงมายังบ้านร้าง เธอก็รีบเบือนหน้าออกถนน วันนี้เธอไม่เหมือนก่อนแล้ว เพราะสามารถมองเห็นภูตผีต่างภพภูมิได้ และนั่นไม่ใช่เรื่องดี ไม่ควรเสี่ยงไปส่องไปสอดในสถานที่อันล่อแหลมเช่นนี้ อาจพบสิ่งน่าตกใจจนไม่มีสมาธิขับรถได้

ถนนสายนั้นคดโค้ง วกวน ทอดสูงสู่เนินเขาซึ่งมองเห็นตระหง่านเงื้อมอยู่เบื้องหลังบ้านร้างเมื่อครู่ เธอต้องใช้สมาธิในการขับรถสูงมาก น้ำหนึ่งไม่รู้ว่าถนนสายนี้ทอดยาวไปสิ้นสุด ณ แห่งใด ใช่ยอดเขาสูงเสียบฟ้านั่นหรือเปล่า เพราะดูตามแผนที่แล้ว เธอต้องเลี้ยวไปตามทางอีกสายซึ่งแยกจากถนนสายหลัก ทางสายนั้นลาดลงต่ำก่อนไต่ขึ้นสูง กระทั่งแลเห็นจุดหมายปลายทางรำไร และชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดรถก็จอดนิ่งตรงลานเรียบหน้าบันไดหินซึ่งทอดเวียนขึ้นสู่ตัวบ้านสไตล์โมเดิร์นริมหน้าผาสูงชัน ตัวบ้านลดหลั่นตามลักษณะพื้นที่

เพียงเธอจอดรถ เจ้าของบ้านก็เดินลงมาต้อนรับพร้อมรอยยิ้มแจ่มใส ดวงตาสีฟ้ากระจ่างพราวราวกับท้องฟ้าฤดูร้อน

“มาถึงแต่เช้าเลยนะสาวน้อย”

“สวัสดีค่ะคุณริชาร์ด” น้ำหนึ่งพนมมือไหว้ เพราะรู้ว่าเขาอายุมากกว่า

“ไหน มีอะไรให้ฉันช่วยหอบหิ้วบ้าง วันนี้ฉันให้แม่บ้านและคนเฝ้าที่นี่กลับไปพักผ่อน ฉันจะดูแลแขกด้วยตัวเอง”

“ไม่เป็นไรค่ะ มีแค่กระเป๋าเสื้อผ้าและกระเป๋าโน้ตบุ๊กเท่านั้น” น้ำหนึ่งพูดพลางเปิดประตูตอนหลัง คว้ากระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมมาถือ แต่ถูกริชาร์ดชิงปลดไปจากมือ

“ฉันเตรียมของเช้าไว้แล้ว กินแล้วพักผ่อนซะก่อน วันนี้เราจะยังไม่พูดเรื่องงาน” ริชาร์ดเอ่ยอย่างอารมณ์ดี ผายมือเชื้อเชิญ ท่วงท่าในการเคลื่อนไหวของเขางดงามชวนมอง สมแล้วที่เป็นครูสอนเต้น

อาหารเช้าที่ริชาร์ดเตรียมไว้มีทั้งขนมปัง ไส้กรอกรมควัน ไข่ดาว และข้าวต้มกุ้งตัวโตน่ากิน คนชินกับอาหารไทยเลือกข้าวต้มหอมกรุ่น

ริชาร์ดบริการอย่างดี นิ้วมือขาวเรียวราวกับนิ้วมือผู้หญิงหยิบจับคล่องแคล่ว น้ำหนึ่งมองเพลินจนเลือนๆเรื่องราวหม่นหมองใจไปชั่วคราว

“อร่อยจังค่ะ คุณทำเองหรือคะ” เธอชมจริงใจ

“ใช่ นานๆจะทำสักที” คนแสดงฝีมือยิ้มปลาบปลื้ม

ระหว่างมื้ออาหาร ทั้งสองคุยกันด้วยเรื่องทั่วๆไป แม้ริชาร์ดไม่ประสงค์คุยเรื่องงานในวันนี้ แต่น้ำหนึ่งก็อดถามไม่ได้

“ตรงไหนคะที่คุณจะต่อเติม”

ริชาร์ดเปิดรอยยิ้มเอ็นดู “ขยันจริงสาวน้อย ใจคอจะไม่นอนพักหน่อยหรือ”

“ขอดูพื้นที่จริงก่อนค่ะ ไม่รู้ว่าแบบที่เขียนไว้คร่าวๆ ดูโลเกชันจากภาพที่คุณส่งไปจะถูกใจคุณหรือเปล่า ถ้าได้เห็นสถานที่อาจจะคิดอะไรเพิ่มเติมได้”

“นี่ สาวน้อย” ริชาร์ดกอดอก ทิ้งหลังพิงพนักเก้าอี้ ริมฝีปากบางสีสดยิ้มอยู่เนืองๆ ดวงตาสีฟ้ากระจ่างชวนมองทอประกายชื่นชม

“เธอขยันเกินไปแล้ว รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้ถุงใต้ตาเธอยานเป็นถุงไปรษณีย์เชียวละ ฉันให้เธอนอนพักผ่อน ไม่ได้ให้นอนคิดงาน ไม่ต้องรีบ ฉันมีเวลาอยู่ดูแลเธออีกหลายวัน เธอสามารถสำรวจทุกซอกทุกมุมได้ตามต้องการ แต่เวลานี้พักผ่อนก่อนนะ”

“คุณมีเวลาหลายวัน แต่ฉันมีเวลาแค่วันนี้กับพรุ่งนี้เท่านั้น”

เหตุผลของน้ำหนึ่งทำให้ริชาร์ดต้องยอมจำนน พาเธอไปดูสถานที่ก่อสร้างจนได้

“ฉันอยากต่อเติมตรงส่วนนี้ ให้เหมือนบ้านหลังเล็กๆ แต่มีทางเชื่อมกับบ้านใหญ่ เพื่อความสะดวกเวลาฝนตก มีแค่ห้องครัว ห้องน้ำ แล้วก็ห้องนอนพอ เอาไว้พักผ่อน เวลาอยู่คนเดียวในบ้านหลังใหญ่มันเวิ้งว้างและเหงาสิ้นดี”

ตรงส่วนนี้คือหน้าผาเรียบโล่งด้านข้างของตัวบ้าน เวลานี้มีชุดเก้าอี้นั่งเล่นสกัดจากหินตั้งอยู่ คงใช้เป็นที่รับลมชมวิว อากาศด้านนอกเย็นสบาย ท้องฟ้าฤดูฝนที่ไหนๆก็เหมือนกัน สลัวมัวหม่นไม่สดใสจัดจ้าเช่นฤดูร้อน แถมมีละอองฝนโปรยปรายเป็นระยะ บรรยากาศแบบนี้ทำให้เชื้อเหงาแพร่กระจายอย่างรวดเร็วอย่าบอกใครเชียวละ

“ทำไมไม่หาใครสักคนมาอยู่ด้วยล่ะคะ”

ริชาร์ดหัวเราะแผ่วๆ “ตั้งแต่พ่อกับแม่ฉันตายจากไป ฉันก็คิดว่าฉันอยู่คนเดียวได้ จนฉันมีความรัก ฉันจึงรู้ว่าฉันไม่อยากอยู่คนเดียวอีกต่อไป” เสียงนุ่มนั้นเศร้าเหลือใจ

น้ำหนึ่งไม่กล้าทัก กลัวภาพความหลังในใจริชาร์ดจะสั่นพร่าและวับหายไป

“แต่เขาก็ทิ้งฉันไป...” คนเล่าหัวเราะเสียงขื่น รอยยิ้มฝืดฝืน ดวงตาโศกเศร้าบอกชัดว่าความรักครั้งนั้นยังฝังลึกในใจ “ช่างเถอะ คนคนนั้นเขาตายไปแล้ว แล้วฉันก็พบรักใหม่...” เขาเว้นไปนิด ก่อนเล่าต่อ “ฉันคงอาภัพเรื่องความรักน่ะ คนที่ฉันรักเขามีเจ้าของแล้ว ฉันคงต้องอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิต...เธอคงไม่หาว่าฉันเสียมารยาทหรอกนะที่เล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง”

“ไม่เลยค่ะ” น้ำหนึ่งรีบปฏิเสธ ออกจะเห็นใจเขาอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่รู้จะปลอบใจอย่างไร เธอปลอบใครไม่เป็นเสียด้วยสิ จึงยิ้มให้กำลังใจ และแสร้งเดินดูพื้นที่ไปจนเกือบสุดเขตผาชัน ลมพัดแรงจนผมที่รวบไว้ปลิวสะบัด หากเธอเป็นปุยนุ่นคงปลิวคว้างอยู่กลางอากาศ ครั้นชะเง้อมองด้านล่างก็พบเวิ้งหาดขาวราวผงแป้งตัดกับน้ำทะเลสีเขียวดุจมรกต ทว่าความสูงลิบลิ่วชวนให้หวาดเสียวอยู่ไม่น้อย

“อย่าทำแบบนี้สิสาวน้อย” พร้อมกับพูด ฝ่ามืออ่อนนุ่มกระชับต้นแขนน้ำหนึ่งแล้วออกแรงรั้งออกห่างจากจุดล่อแหลม “ฝนพรำ พื้นลื่น เดี๋ยวพลาดตกลงไป ฉันรับผิดชอบไม่ไหวนะ”

ครั้นน้ำหนึ่งก้าวถอยหลังกลับเข้ามาจนพ้นจุดอันตราย เขาก็ปล่อยแขนเธอให้เป็นอิสระและตัดบทง่ายๆ
“ไปเถอะ ฉันจะพาเธอไปพักผ่อน”



ชรัณกลับมาถึงบ้านตอนใกล้เที่ยง หลังจากสนุกสุดเหวี่ยงมาทั้งคืน เหล้าและยาถูกอัดเข้าสู่ร่างกาย ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดแล้วให้รู้สึกคึกคักจนไม่อยากนอน ปมปัญหาในใจถูกลืมเลือนไปชั่วขณะ ชรัณบอกตนเองเสมอว่าเขาไม่ได้ติดยา แต่ติดใจความรู้สึกหลังเสพต่างหาก

คนขาดศีลโง่เขลาเกินกว่าจะรู้เท่าทันว่า อาการดังว่านั่นแหละเรียกว่าติดยา มันกล่อมประสาทให้ฝันเพ้อ ภาพฝันของชรัณนั้นสวยงามจนเขาไม่อยากหลุดออกมาพบความจริง...แต่ความจริงก็คือความจริงอยู่ร่ำไป ไม่มียาชนิดไหนแก้ไขความจริงได้แน่นอน
และเขาก็กลับมาพบความจริงอันชวนปวดใจ มาลินหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าขนาดย่อมลงบันได มองก็รู้ว่ากำลังเตรียมออกเดินทาง

“แม่จะไปไหนฮะ” ชรัณถามด้วยเสียงเบลอๆ นัยน์ตาหรี่โรย หลังใช้ร่างกายไปกับความสนุกสุดเหวี่ยงเต็มที่ บัดนี้มันเริ่มอ่อนล้าราแรง อยากนอนนิ่งๆไม่ต่างจากศพ รอให้เรี่ยวแรงหวนคืนเพื่อกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกครั้ง วนเวียนเรื่อยไป ชรัณก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรตนจะถอยห่างจากสิ่งเหล่านี้

รู้เต็มอกหรอกนะว่ามันไม่ดี แต่มั่นใจว่าตนเองไม่ติด เขาเป็นผู้ควบคุมการใช้ยา ไม่ใช่ยาควบคุมเขา ชรัณไม่รู้ตัวเลยว่าเขาพลาดและตกเป็นทาสมันมานานแล้ว

“แม่จะไปต่างจังหวัดสักอาทิตย์นะ” มาลินตอบ

ความชิงชังรังเกียจวาบขึ้นในใจ และมันส่งผ่านมายังสายตายามมองมารดา ชายหนุ่มไม่อาจทราบได้ว่าแววตาเช่นนั้นทำให้มาลินปวดใจเจียนแดดิ้น

“เมื่อไหร่แม่จะเลิกไปหาเขาสักที” ชายหนุ่มระเบิดเสียงฉุนเฉียวใส่มารดา...ก็เหมือนทุกครั้งที่เขารู้นั่นแหละ

ทุกครั้งที่รัฐมนตรีบดินทร์ไม่อยู่บ้านหลายวัน มาลินจะออกเดินทางไปต่างจังหวัด ไปเพื่อพบใครคนนั้น ครั้งนี้ก็เช่นกัน พ่อเลี้ยงเขาเดินทางไปต่างจังหวัดหนึ่งสัปดาห์ เปิดโอกาสให้มาลินทำอะไรผิดๆได้ตามอำเภอใจ

“แต่แม่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนนะรัน”

“ผมนี่ไง ผมเดือดร้อน แต่แม่ไม่สนใจ ส่วนคนอื่น มีเหตุผลแค่สองอย่างที่ทำให้เขาไม่เดือดร้อน หนึ่งคือเขาไม่รู้ สองคือเขาไม่รักแม่ จึงไม่รู้สึกผิดหวังเสียใจเหมือนที่ผมรู้สึก” ชรัณเอ่ยด้วยความเจ็บร้าวในอก

เรื่องราวหลบๆซ่อนๆแบบนี้ ชรัณรู้ดีนัก เมื่อใดสังเกตพบความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย เลือดนักข่าวที่หลงเหลืออยู่ในตัวจะกระตุ้นให้เขาสืบหาความจริง ความจริงบางเรื่องทำให้เขาประหลาดใจ แต่ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ต่อรองได้ในภายหลัง แต่ความจริงบางเรื่องทำให้เขาผิดหวัง เสียใจ และอยากลืม

เมื่อก่อน ตอนพิมพ์แพรยังมีชีวิตอยู่ หล่อนเป็นคนเดียวที่เขายึดไว้เหนี่ยวรั้งใจยามอยู่ในเหตุการณ์ล่อแหลมชวนเผลอพลาดเดินผิดทาง แต่เป็นความผิดของเขาเอง หล่อนจึงจบชีวิตลงแบบนั้น สิ่งมึนเมาต่างๆที่ประเคนสู่ร่างกายทุกวันนี้ทำให้เขาลืมความผิดของตน และลืมเลือนการกระทำไม่เหมาะสมของมาลินด้วย

สิ่งที่เขาอยากลืมล้วนเป็นเรื่องผิดบาปชวนอับอาย

“รัน แม่...”

“แม่ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น” ชายหนุ่มใช้ท่อนแขนปัดสองมือมารดาที่ทำท่าจะวางลงบนไหล่ ก้าวถอยหลังออกห่าง “ถ้าแม่รักผมมากพอ แม่จะทำตามที่ผมขอได้ แต่นี่แม่รักแต่ตัวเอง เห็นความต้องการของตัวเองสำคัญกว่าเรื่องอื่นทั้งหมด”

โดยที่ชรัณไม่ทันตั้งตัว และไม่เคยคาดคิด ฝ่ามืออวบขาวของคนเป็นแม่สะบัดลงบนซีกแก้มค่อนมาแถวมุมปากฉาดใหญ่ หน้าขาวหันไปตามแรงตบ ชายหนุ่มหันขวับกลับไปมองเจ้าของฝ่ามือ

“ใช่ ฉันรักแกไม่มากพอ แต่แกก็ไม่มีสิทธิ์มายืนด่าฉันปาวๆแบบนี้” น้ำเสียงสั่นเครือลอดผ่านริมฝีปากไหวระริก น้ำตาเม็ดใหญ่ๆไหลร่วงจากดวงตาคู่สวยที่ยามนี้ฉายแววผิดหวังร้าวราน หากมาลินขึ้นแกขึ้นฉันแบบนี้ แปลว่าหล่อนโกรธจัดแล้ว “ฉันอยากจะฆ่ามารหัวขนอย่างแกทิ้งไปตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว แต่ก็เปลี่ยนใจ ตั้งใจจะเลี้ยงแกให้ดี ไม่สารเลวชั่วช้าแบบพ่อแก แต่แกไม่เคยสำนึก เรียกร้องจะเอาแต่ความรัก อยากเป็นที่หนึ่งทุกเรื่อง...เคยถามตัวเองไหมว่าให้อะไรใครบ้างหรือยัง มีแต่เรียกร้องจะเอาๆ”
ชรัณผงะ ไม่คิดว่ามาลินจะโต้กลับรุนแรงเช่นนี้ ทุกทีมีแต่ยอมให้เขาจากไปอย่างผู้ชนะ

“แล้วแม่เลี้ยงผมมายังไงล่ะ ผมถึงได้เป็นแบบนี้” เขากล้ากล่าวโทษมารดาอย่างไร้ความกังขา ลูกเติบโตมาเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูของพ่อแม่ไม่ใช่หรือ

“ฉันเลี้ยงแกมาดีเกินไปไง ตามใจทุกอย่าง ไม่เคยขัดใจสักเรื่อง แกถึงกล้ามายืนค้ำหัวด่าฉันปาวๆแบบนี้” มาลินหอบหายใจแรง “ถ้าแกไม่ชอบที่ฉันทำอะไรหลบๆซ่อนๆ ฉันก็กล้าเปิดเผย แต่แกรับได้ไหมล่ะ แกจะอายไหมที่มีแม่อย่างฉัน”

เจอคำถามนี้เข้าไป ชายหนุ่มก็พูดอะไรไม่ออก แน่นอนละ เขาอาย อายมาก

สบตากันอยู่พักใหญ่ แล้วมาลินก็เป็นฝ่ายคว้ากระเป๋าก้าวออกจากบ้านด้วยฝีเท้ามั่นคงอย่างคนที่มั่นใจในการกระทำของตนเอง ชรัณรู้ในนาทีนั้นว่าไม่มีใครทัดทานมารดาได้ หล่อนจะเดินไปจนสุดเส้นทางสายปรารถนา แม้รู้ว่าสุดปลายทางคือหลุมพรางเต็มไปด้วยหนามแหลมก็ยังดึงดันจะไป

ก็เหมือนเขานั่นแหละ รู้ว่าผิด แต่ก็ทำ พอทำบ่อยๆก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับตนเอง แต่ไม่กล้าเปิดเผย เพราะรู้เต็มอก มันผิด และไม่มีใครยอมรับ

แต่เหตุใดหนอ ครั้งนี้เขากลับเป็นห่วงมาลินอย่างบอกไม่ถูก ห่วงแบบที่ไม่เคยห่วงใครมาก่อน




ห้องที่ริชาร์ดจัดไว้ให้น้ำหนึ่งอยู่ด้านเดียวกับหน้าผาชัน ผนังห้องด้านหนึ่งเป็นกระจกใส เปิดทางให้ตักตวงความงดงามของทะเลอันดามันอย่างเต็มที่ หากทิ้งกายลงบนเตียงนุ่มรูปวงกลมกลางห้องนั่น คงมองเห็นเส้นขอบฟ้าตัดกับผืนน้ำอย่างชัดเจน
น้ำหนึ่งเลื่อนประตูกระจก ก้าวไปยืนริมระเบียงหน้าห้องซึ่งยื่นล้ำออกไปในความเวิ้งว้างอย่างน่าหวาดเสียว สายลมหอบละอองฝนกระทบหน้าตาเนื้อตัวเป็นระยะ

“ระวังไม่สบายนะสาวน้อย” เสียงเตือนจากเจ้าของบ้านดังอยู่เบื้องหลัง “หวังว่าเธอจะชอบห้องนี้นะ”

“ชอบมากค่ะ” น้ำหนึ่งหันไปบอกพร้อมรอยยิ้ม

“ของใช้จำเป็นพวกสำลีปั่นหู หมวกคลุมผมอาบน้ำ สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ฉันเตรียมไว้ให้แล้ว ลองสำรวจดู ถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็
บอกได้...วันนี้เพื่อนฉันจะเดินทางมาพักที่นี่อีกสองคน แล้วฉันจะแนะนำให้รู้จักตอนอาหารค่ำ”

“ค่ะ” น้ำหนึ่งไม่รู้จะตอบอะไรมากไปกว่านั้น

“ถ้างั้นก็พักผ่อนซะ” พูดจบ ริชาร์ดก็หมุนตัวเดินกลับออกไปพร้อมปิดประตูตามหลังเบาๆ

น้ำหนึ่งกลับเข้าห้อง สำรวจข้าวของเครื่องใช้ตามที่เจ้าของบ้านบอก ริชาร์ดเป็นผู้ชายละเอียดรอบคอบมาก เขาเตรียมไว้กระทั่ง
ถุงพลาสติกขนาดเล็กสำหรับห่อผ้าอนามัย

การตกแต่งเรียบหรูและทิวทัศน์งดงามช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดที่สะสมมาตลอดวันคืนที่ผ่านมา น้ำหนึ่งหอบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำแบบเปิดโล่งติดกับระเบียง ไขน้ำอุ่นลงอ่างจากุซซี หยิบขวดสบู่เหลวสีหวานที่ริชาร์ดจัดไว้ในตะกร้าหวายบนเคาน์เตอร์ข้างอ่างล้างหน้ามาเปิดดม กลิ่นหอมถูกใจจึงผสมลงไปในอ่างจนฟองฟู ก่อนเปลื้องผ้าหย่อนกายลงในอ่างกว้างขวาง เอนศีรษะลงพาดบนขอบอ่างซึ่งออกแบบมาให้รองรับกับสรีระ กระแสน้ำวนส่งแรงดันกระทบกล้ามเนื้อ ช่วยผ่อนคลายความเครียดและเมื่อยล้า หญิงสาวปิดเปลือกตา ใช้ใจกำซาบความสุขอันน่าอภิรมย์

ท่ามกลางความสงบงาม จู่ๆน้ำหนึ่งก็เกิดรู้สึกเหมือนถูกใครจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ความคิดนี้สะกิดใจให้ลืมตาพร้อมกระถดกายเปลือยเปล่าซ่อนซุกใต้ฟองสบู่นุ่มเนียน ดวงตากลมโตกลอกไปมา พบเพียงฟากฟ้าสีหม่นในวันฝนพรำ จากขอบเขตสายตา ไม่พบสิ่งมีชีวิตหรือไร้ชีวิตใดๆ

คงเพราะไม่เคยอาบน้ำในห้องน้ำเปิดโล่งแบบนี้กระมัง จึงกังวลไปสารพัด ปลอบใจตัวเองเช่นนั้น แต่รีบคว้าผ้าขนหนูมาพันกาย ความรื่นรมย์จบสิ้นลงในเวลาแสนสั้น

อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ร่างเพรียวบอบบางก็กลิ้งตัวลงบนเตียงนุ่ม นึกชอบใจที่มันมีปุ่มปรับให้หมุนได้สามร้อยหกสิบองศา เธอนอนเอกเขนกเกยหมอนใบใหญ่ และรู้สึกเหมือนตนเองเป็นอาหารบนโต๊ะกลมแบบหมุนได้

‘อยากจะกินกลืนเธอทั้งตัวไม่อยากเหลือไว้ให้ใครได้กลิ่น...’

เพลงหวิวหวามที่วาริร้องในรถเมื่อวานดังขึ้นในห้วงความคิด ภาพการกระทำอันจาบจ้วงที่ฮวงซุ้ยตามมาติดๆ อารมณ์สุนทรีย์กลับหม่นเทา หญิงสาวนอนคู้กายกอดหมอนข้าง ทิ้งซีกแก้มลงบนหมอนหนุนใบนุ่ม พร้อมสั่งตัวเองว่า หลับซะ จะได้ไม่ต้องคิดอะไรฟุ้งซ่านให้หมดสุขอีก




ทำไมมาลินรู้สึกว่ามีคนขับรถตามหลัง หล่อนคิดไปเองหรือเปล่า ดวงตาคมเหลือบมองกระจกเป็นระยะ ก่อนเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันขนาดใหญ่ ผู้คนพลุกพล่านและเต็มไปด้วยร้านรวงไว้บริการผู้สัญจรไปมา รถคันที่หล่อนสงสัยเลี้ยวตาม ชัดเลย หล่อนกำลังถูกใครบางคนสะกดรอย แต่ยังด้อยชั้นเชิงนัก หล่อนจึงจับได้คาหนังคาเขาแบบนี้

แต่ใครกันกล้ามาตามดูพฤติกรรมหล่อน และทำมากี่ครั้ง? หล่อนเคยพลาดให้ชรัณติดตามจนพบความจริงมาครั้งหนึ่งแล้ว แต่เขาเป็นลูก ไม่มีทางนำเรื่องไม่ดีของแม่ไปโพนทะนา เพราะเขามีส่วนในความอับอายนั้นด้วย แต่คนที่ตามหล่อนมาวันนี้เป็นใคร และทำเพื่ออะไรก็ไม่รู้ หล่อนจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี สมองวิ่งวุ่นหาทางคลี่คลายปัญหา

น้ำมันยังอยู่เกือบเต็มถังเพราะแวะเติมจากปั๊มใกล้บ้านมาแล้ว มาลินจึงขับรถแล่นเลยไปจอดตรงหน้าห้องน้ำเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัย รถคันนั้นจอดเคียงข้างอย่างกล้าหาญ และก่อนที่มาลินจะก้าวลงไป คนขับรถคันดังกล่าวก็ผลักประตูเปิด มาลินมองสาวรุ่นร่างผอมบางนั้นอย่างแคลงใจ ยังเด็กแท้ๆ หน้าตาสดใสเปิดเผย ไม่น่าจะเป็นมิจฉาชีพได้ แต่คนสมัยนี้ รู้หน้าไม่รู้ใจ ใครจะรู้ ภายใต้ดวงตาสุกใสราวกับลูกแก้วนั่นอาจซ่อนเล่ห์เหลี่ยมไว้อย่างแนบเนียนก็ได้

ในขณะที่ความระแวงแคลงใจกำลังรุมเร้า กระจกข้างคนขับก็ถูกเคาะเบาๆ เด็กสาวร่างผอมบอบบางที่ขับตามหล่อนมานั่นเอง ทำท่าบุ้ยใบ้ให้เปิดประตู

ไม่...มาลินไม่มีทางเปิดแน่ เพียงแค่ลดกระจกนิดหนึ่งให้พอพูดกันรู้เรื่องก็พอ หล่อนจะไม่สัมผัส ไม่รับของ ไม่แตะต้องเนื้อตัวใดๆเด็ดขาด

“มีอะไรคะ...” ถามได้แค่นั้น เสียงก็หายเข้าลำคอ

ถ้ามีใครสักคนสังเกต จะเห็นว่าคนที่อยู่ในรถตาลอยเคว้งคว้าง หลังจากนั้นก็ลดกระจกลงกว้างขึ้น ยื่นมือรับของจากเด็กสาวที่มาชะโงกเรียก

มาลินกำของสิ่งนั้นไว้แน่น พร้อมบันทึกคำสั่งไว้ในจิตใต้สำนึก

“เก็บติดตัวไว้ตลอดเวลา”

หล่อนคล้องมันติดกับกุญแจรถทั้งที่นัยน์ตายังเลื่อนลอย

“ไปได้แล้วค่ะ”

เสียงสดใสทะลุเข้าโสตประสาท มาลินสะดุ้งเฮือกรู้ตัว และพบว่ากระจกรถถูกลดจนสุดบาน คนที่หล่อนสงสัยว่าตามสะกดรอยส่งยิ้มน่ารักมาให้ ก่อนขึ้นรถและขับจากไป

มาลินนั่งงงอยู่พักหนึ่ง หล่อนเปิดกระจกจนสุดบานตั้งแต่เมื่อไร และคุยกับเด็กสาวแปลกหน้านั่นว่าอะไรบ้าง คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก เมื่อสำเหนียกถึงความผิดปกติ มาลินก็รีบสำรวจข้าวของเครื่องใช้รวมทั้งเงินสดในกระเป๋าและบัตรต่างๆและพบว่ามันยังอยู่ครบถ้วนดี หล่อนยังไม่แน่ใจจึงลงไปกดดูตัวเลขในเอทีเอ็ม และพบว่าไม่มีเงินพร่องหายแม้สักบาทเดียว

แม้ยังไม่คลายความสงสัย แต่หล่อนสบายใจขึ้นมาก กระทั่งนิ้วแตะกุญแจรถเตรียมสตาร์ต มาลินจึงพบว่า นอกจากไม่มีอะไรหายไปแล้ว ยังมีอะไรใหม่เพิ่มขึ้นมาด้วย

อะไรที่ว่าคือพวงกุญแจทำจากเปลือกหอยอูมรี มีเชือกถักด้วยลวดลายละเอียดพันเป็นกรอบ นี่มันพวงกุญแจของชรัณนี่ มันมาอยู่กับหล่อนได้อย่างไร




น้ำหนึ่งตื่นมาตอนบ่ายแก่ใกล้เย็น ท้องฟ้ายังคงเป็นสีเทาและสิ้นไร้แสงแดดอาบย้อม หญิงสาวล้างหน้าล้างตาจนหายงัวเงีย จึงเปิดประตูเยี่ยมหน้ามองด้านนอก พบรถเข็นบรรทุกถาดอาหารว่างจอดอยู่หน้าประตู ในถาดมีแซนด์วิช นม ชา และกาแฟรอให้เธอเลือกดื่ม นิ้วเรียวหยิบกระดาษโน้ตแผ่นเล็กที่เสียบไว้ข้างถาด ไล่สายตาไปตามตัวหนังสือสวยงามเป็นระเบียบ ไม่น่าเชื่อว่าลูกครึ่งแบบริชาร์ดจะเขียนภาษาไทยได้สวยกว่าคนไทยแท้ๆอย่างเธอเสียอีก น่าละอายใจจริงๆ
‘อาหารหนักอยู่ในครัว สามารถเข้าออกได้ตลอดเวลา ฉันอนุญาต แล้วคืนนี้พบกันเวลาทุ่มตรง ที่ลานหินข้างบ้านนะสาวน้อย ทานอาหารค่ำด้วยกัน’

น้ำหนึ่งยังไม่หิว หรืออาจหิวไปแล้วขณะกำลังหลับอยู่ก็ไม่รู้ แต่ยังไม่ต้องการกินอะไรหนักๆ เธอหยิบแซนด์วิชและแก้วเซรามิกที่มีซองชาอยู่ข้างใน เข้ามากดน้ำร้อนจากกระติกภายในห้อง จากนั้นนั่งละเลียดแซนด์วิชแกล้มชาร้อนตรงริมระเบียง ทอดสายตามองวิวทิวทัศน์ยามเย็น ฝนหายแล้ว เมฆทึมเทากระจัดกระจายหายไปราวกับใครปัดกวาดจนเกลี้ยงเกลา ท้องฟ้าเตียนโล่ง ตามองวิวก็จริง แต่สมองเริ่มครุ่นคิดแบบบ้านที่ริชาร์ดต้องการคร่าวๆในหัว พออาหารว่างเกลี้ยงถาด เธอก็เปิดโน้ตบุ๊กเริ่มร่างแบบทันทีโดยไม่รั้งรอ

เมื่อรวมสมาธิมาจดจ่ออยู่กับเรื่องงาน เรื่องราวรกอกรกใจทั้งหลายก็ถูกลืมเลือนไป น้ำหนึ่งทำงานเพลิน กว่าจะรู้ตัวเหลือบตามองเวลาบนหน้าจอโน้ตบุ๊กก็ปาเข้าไปเกือบทุ่มแล้ว เธอรีบเซฟงาน ปิดเครื่อง และออกไปยังลานหินข้างบ้านตามนัด

คืนนี้ไม่มีฝนพรำ อาหารมื้อค่ำเรียงรายบนโต๊ะหินตรงลานโล่ง อาศัยแสงสว่างจากตะเกียงเจ้าพายุซึ่งดูคลาสสิกมากเมื่ออยู่ในบรรยากาศแบบนี้ เท้าซึ่งก้าวเร็วๆมาตั้งแต่ห้องนอนค่อยๆผ่อนช้าลงเมื่อเห็นผู้ร่วมโต๊ะอีกสองคนชัดเจน โดยเฉพาะชายหนุ่มผมเกรียนที่นั่งหันหลังให้เธอ เห็นวูบแรกก็จำได้ เนื้อตัวเหมือนจะแข็งชาขึ้นมาดื้อๆ ครั้นแลข้ามไหล่เขาไปก็พบสาวใหญ่ซึ่งยังคงงดงามทั้งรูปร่างและหน้าตา

วิไลวรรณ...น้ำหนึ่งนึกออกแล้วว่าทำไมเธอคุ้นหน้าริชาร์ด เพราะเคยเห็นข่าวแซวตามหน้าหนังสือพิมพ์เรื่องคู่ควงคนใหม่ของหล่อนนั่นเอง เห็น...แต่ไม่คิดใส่ใจจดจำ ยามพบตัวจริงจึงเพียงคลับคล้ายคลับคลาเท่านั้น

“อ้าว สาวน้อย ฉันกำลังจะไปตามอยู่เชียว”

ทันทีที่ริชาร์ดร้องทัก วิไลวรรณซึ่งง่วนอยู่กับเตาปิ้งบาร์บีคิวก็เงยหน้าขึ้นสบตากับสาวน้อยอย่างจัง เป็นจังหวะเดียวกับที่หนุ่มผมเกรียนเหลียวมองพอดี

“เพชร” เสียงแม่ลูกประสานกันราวกับนัดไว้

ริชาร์ดดูประหลาดใจกว่าใครทั้งหมด

“นี่หรือคะสถาปนิกที่มาออกแบบบ้านให้คุณ”

“นี่รู้จักกันมาก่อนหรือไง”

คำถามของวิไลวรรณกับริชาร์ดดังขึ้นพร้อมกัน จากนั้นวิไลวรรณเป็นคนตอบ

“ค่ะ เพชรเป็นเพื่อนสนิทของว่าน” เธอเว้นไปนิดก่อนเอ่ยต่อ “ก็คนนี้ไงคะ ที่ฉันจะแนะนำให้คุณตอนรู้ว่าคุณจะต่อเติมบ้าน แต่คุณบอกฉันว่ามีเพื่อนแนะนำให้แล้ว และคุณก็ชอบผลงานของสถาปนิกคนนั้น”

น้ำหนึ่งยกมือไหว้วิไลวรรณ หล่อนรับไหว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วเอ่ย

“ว่านบอกว่าหนูเพชรติดงานมากระบี่กับเราไม่ได้ ไม่คิดเลยว่างานหนูจะอยู่ที่นี่”

“บังเอิญจริงๆ” ริชาร์ดเสริม

ระหว่างหนุ่มสาวต่างวัยกำลังตื่นเต้นแปลกใจอยู่นั้น หนุ่มสาวที่เหลือก็สบตากันนิ่ง หยั่งเชิง ดูท่าที ดักเดาความคิดของกันและกัน

“อ้าว มัวตกใจยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นเอง มานั่งตรงนี้สิสาวน้อย” ริชาร์ดเรียกเธอว่าสาวน้อยจนติดปาก

ตรงนี้ที่เจ้าของบ้านเชิญให้นั่ง คือข้างหนุ่มหัวเกรียน นัยน์ตาคมดุเปล่งประกายพราวพร่างด้วยความพอใจ เมื่อเธอจำเป็นต้องก้าวไปทรุดกายลงนั่งอย่างจำนน

อาหารทุกจานจัดไว้สวยงามน่ากิน ราวกับสั่งจากโรงแรมหรู เน้นหนักไปทางอาหารทะเล ทั้งปูม้าตัวอวบอ้วนนึ่งสุกจนกระดองเป็นสีส้มแช้ดตัดกับสีเขียวสดของผักรองจาน กุ้งมังกรทอดพริกเกลือส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย หอยนางรมสดแกล้มน้ำจิ้มรสจัดและผักสดกรุบกรอบ ต้มยำทะเลมะพร้าวอ่อนเสิร์ฟมาในผลมะพร้าวน้ำหอม ปลากะพงนึ่งมะนาว ปลาหมึกทอดกระเทียมพริกไทย

“ลองชิมดูสิสาวน้อย ฝีมือฉันพอไปวัดไปวาได้ไหม”

“ดูจากหน้าตาแล้ว ขึ้นโรงแรมห้าดาวได้สบายเลยค่ะ” น้ำหนึ่งแสร้งรื่นเริง “ไม่น่าเชื่อว่าคุณจะทำอาหารได้น่าทานขนาดนี้”

คนถูกชมยิ้มหน้าบาน ยามยิ้ม ใบหน้าคมคายกลับอ่อนหวานอย่างประหลาด หากไม่มีแนวหนวดเครานั่นคงสวยไม่แพ้ผู้หญิง

“ลองกินปูนี่สิ ฉันซื้อมาสดๆ เนื้อหวานอร่อยมาก” พร้อมกับพูด ริชาร์ดทำท่าจะแกะปูให้น้ำหนึ่ง ดวงตาสีฟ้าสดใสมองน้ำหนึ่งด้วยความเอ็นดู

คนข้างกายเธอขยับเนื้อขยับตัว ก่อนเอ่ยเสียงขรึม “เดี๋ยวผมแกะให้ เพชรนั่งฟากเดียวกับผม สะดวกกว่า”
วิไลวรรณหันไปยิ้มกว้างกับริชาร์ด ก่อนกระเซ้าบุตรชาย

“ที่ยืดอกอาสานี่ เป็นห่วง หรือเป็นหวงจ๊ะ”

ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ตอบตรง เปิดเผย “ทั้งสองอย่างแหละครับ ผมอยากให้แม่กับริชาร์ดใช้เวลาร่วมกันให้เต็มที่ ส่วนเพชร ผมดูแลให้เอง ผมอยากดูแลเธอ”

น้ำหนึ่งกัดริมฝีปาก ไม่ให้โพล่งย้อนไปอย่างใจคิดว่า...ถามสักคำหรือยังว่าต้องการไหม

ริชาร์ดและวิไลวรรณหัวเราะชอบใจ ส่วนคนอยากดูแลหยิบปูมาวางบนจาน พูดเบาๆให้ได้ยินกันสองคน แต่น้ำเสียงคาดคั้นทีเดียว

“หนีมาทำไม”

“ไม่อยากเจอหน้า” น้ำหนึ่งตอบห้วน กระชับ ตรงความรู้สึก

มือใหญ่ชะงักจากการแกะกระดองปู ตาคมเหลือบมองเธอ “อยากคุยด้วย...จริงๆ” คำว่า ‘จริงๆ’ ของเขาคล้ายคำอ้อนวอน
คุยเพื่ออะไรกัน เธอไม่ได้โง่จนดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรกับเธอ แม้เขาจะเลิกราจากเปมิกาแล้ว แต่เขาก็ไม่ใช่วาริคนที่เธอแอบมอบใจให้อีกต่อไป วาริคนที่เธอรักตายไปแล้วพร้อมอุบัติเหตุครั้งนั้น

“แค่ชวนคุย ไม่ได้ชวนไปปล้ำเสียหน่อย ทำไมต้องคิดนาน” ดีได้ไม่นานก็ออกอาการหงุดหงิดอีกแล้ว

“จะคุยเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องไอ้ฆาตกรชั่วใจโฉดนั่น เราไม่คุย ไม่อยากพูดถึง เกลียดมัน” น้ำหนึ่งกดเสียงต่ำลอดไรฟัน

“ให้จบอาหารค่ำก่อน” เขากระซิบตอบ

“เอ้า สองคนนั่นมัวกระซิบกระซาบอะไรกัน” ริชาร์ดขัดขึ้น

หนุ่มสาวเงยหน้าแทบจะพร้อมกันและตอบเป็นเสียงเดียว

“เปล่า...” / “เปล่า...”

เรียกเสียงหัวเราะขำจากวิไลวรรณและริชาร์ด ตามด้วยคำกระเซ้าเย้าแหย่จากฝ่ายชาย “ใจตรงกันจริงนะคู่นี้”
คนถูกกระเซ้าได้แต่ยิ้ม ซึ่งดูเหมือนแยกเขี้ยวมากกว่า

“ว่าน หนูเพชร พรุ่งนี้ไปดำน้ำกันไหม ทะเลอันดามัน ปะการังสวยนะ” สาวใหญ่ออกปากชวน

น้ำหนึ่งไม่อยากดำน้ำ เธออยากสำรวจพื้นที่ เก็บภาพ เอาแบบร่างให้ริชาร์ดดูแล้วกลับไปลงรายละเอียดที่บ้าน ใช่ เธออยากกลับบ้าน ไม่ได้อยากไปดำน้ำดูปะการังกับใครที่ไหนทั้งนั้น

“ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามาเลยค่ะ” ใครได้ยินก็คงรู้ว่านี่คือคำปฏิเสธ

“ไม่เห็นยาก ที่กระบี่นี่มีขายเยอะแยะ ไปด้วยกันเถอะสาวน้อย กำหนดกลับเธอคือเช้าวันมะรืนไม่ใช่เหรอ”

“ไปด้วยกันสิหนูเพชร ไปกันหลายๆคน สนุกดี ว่านจะได้มีเพื่อน บางทีอาจจะช่วยกระตุ้นให้จำอะไรขึ้นมาได้บ้าง” วิไลวรรณช่วยพูด

เมื่อหยิบยกเรื่องความทรงจำขึ้นมาอ้าง น้ำหนึ่งก็รู้สึกเห็นใจ ประกอบกับตนเองคิดถึงวาริคนเดิมเต็มที หากมีทางใดช่วยให้เขากลับเป็นดังเก่าได้ เธอก็พร้อมช่วย

หญิงสาวพยักหน้าไปด้วยความลืมตัว สร้างรอยยิ้มพึงใจให้ทุกคน ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าตนจะรับมือกับวาริคนนี้ได้มากน้อยแค่ไหน




อาหารค่ำจบสิ้นตอนสี่ทุ่ม หลังช่วยกันขนย้ายจานชามเข้าไปเก็บในครัว รอแม่บ้านมาล้างทำความสะอาดในวันรุ่งขึ้น ริชาร์ดและวิไลวรรณแยกย้ายกันไปพักผ่อนเนื่องจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน น้ำหนึ่งทำท่าจะตามคนทั้งคู่เข้าบ้าน แต่เผด็จตาไวมือไว เขาคว้าข้อมือเธอและออกแรงรั้งไว้

“บอกแล้วไงว่าอยากคุยด้วย”

สองสายตาสบกันแน่วนิ่ง ก่อนน้ำหนึ่งจะถอนหายใจหนักๆ

“ว่ามาสิ”

เผด็จหรี่ตามอง ท่าทางเธอเหมือนพร้อมจะสะบัดหนีตลอดเวลา หากว่าเขาพูดจาไม่ถูกหูละก็ ชายหนุ่มปล่อยมือเธอให้เป็นอิสระ
วิธีเดียวที่จะทำให้เธอยอมพูดคุยกับเขานานๆ คือเขาต้องทำตัวให้คล้ายวาริมากที่สุด วาริเป็นคนแบบไหนเผด็จไม่รู้ แต่ถ้าให้เดา ก็คงตรงข้ามกับเขาทุกอย่างราวกับขาวและดำนั่นแหละ เขาไม่ภูมิใจสักนิดที่ต้องสละตัวตนและสวมบทบาทเป็นคนอื่น แต่เพื่อให้ได้พูดคุยทำความเข้าใจกับเธอ...เขายอม

“ขอโทษนะน้ำ” เขาจำได้ วาริเรียกเธอว่าน้ำ

แสงจากตะเกียงเจ้าพายุสาดส่องเข้าไปในดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้ม กระแสแห่งความยินดีไหลเวียนระยิบระยับกลอกกลิ้งอยู่ในนั้น เผด็จเห็นแล้วสะท้อนใจ เธอโหยหาวาริคนเดิมถึงเพียงนี้เชียวหรือ คนอย่างเขาคงไม่มีวันได้รับความรักจากใคร เขาคิดด้วยใจขื่นขม แต่ยังคงฝืนพูดต่อด้วยเสียงเนิบนุ่ม

“ขอโทษที่ทำรุ่มร่ามกับเธอเมื่อวานนี้ หายโกรธกันนะ”

น้ำหนึ่งมองเขาเหมือนจะให้ทะลุไปจนถึงห้วงหัวใจ ควานคว้าหาตัวตนที่แท้จริง เขาไม่เลี่ยงหลบและยืนสบตาเธออยู่เช่นนั้น
คนถูกถามนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนพยักหน้า

“ไม่เป็นไร เราจะไม่คิดถึงมันอีกก็แล้วกัน” พูดจบ เธอก็หมุนตัวกลับเข้าบ้าน

ทิ้งเผด็จให้ยืนเดียวดายบนลานหินกว้าง ความรู้สึกหนักหน่วงอัดแน่นอยู่ในอก ชายหนุ่มยกมือเท้าเอว แหงนหน้ามองฟ้าไร้เมฆ
เราจะไม่คิดถึงมันอีกก็แล้วกัน...ไม่คิดถึงเหตุการณ์นั้น ก็หมายความชัดแล้วว่าจะไม่คิดถึงเขาอีก เผด็จกดข่มความผิดหวังลงไปลึกสุดใจ เขาต้องใช้เวลาทุกนาทีให้คุ้มค่า ทวงคืนในสิ่งที่สูญเสีย เขาไม่ใช่คนมีชื่อเสียง ไม่ใช่คนดีงาม แต่ไม่ได้เลวทรามต่ำช้าขนาดคิดข่มขืนใครได้ หากเขาไม่ถูกยาสั่งให้เป็นไป เขาคงไม่ตายไปพร้อมกับตราประทับให้ผู้คนจดจำว่า...ไอ้ฆาตกรหื่นใจโฉด
เผด็จรู้ เขาไม่อาจลบเลือนภาพจำจากใจทุกคนที่ทราบเรื่องเลวร้ายครั้งนั้นได้ และเขาก็ไม่ต้องการทำแบบนั้นด้วย เขาไม่แคร์ว่าใครจะคิดอย่างไร ขอเพียงคนเดียวเท่านั้น...ขอให้น้ำหนึ่งเข้าใจเขาก็พอ

แล้วเมื่อไรเล่า เมื่อไรจะถึงเวลานั้น



จบตอน

*********************

ทักทายท้ายเรื่อง

คุณพี่แตงกวา ตัวละครเขามีชีวิตของเขา น้องไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นนะ

คุณ Pat ขา อย่าเพิ่งคล้อยตามคนข้างบนค่ะ เค้าเป็นคนตรงไปตรงมานะ ไม่ใช่จอมวางแผน จริงจริ๊ง

คุณโกลเด้นซัน ปมเก่ายังไม่ทันสางไป ปมใหม่ก็เกิดให้สงสัยตลอดเวลา จากนี้ไปเรื่องจะเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆแล้วค่ะ

น้องหนอนน้อยดังปัณณ์ แหมๆ เดาเก่งนัก เรื่องหน้าจะลดเลี้ยวให้ถึงที่สุดเชียว แล้วน้องหนีไปทำอะไรที่ซีคอนอะ พี่ไม่ได้ไปมานานนับสิบปีแล้ว คิดถึงสวนหลวง คิดถึงซีคอน T T

น้องยิ้มจัง เผด็จคิดได้เป็นระยะค่ะ ถ้ามีเรื่องกระตุ้น ความแค้นก็โหมเป็นพักๆ

หนูเกดซ่า เรื่องนี้มีเกดซ่าคนเดียวที่ไม่น่าสงสาร ซาตานพลาดท่า โดนวางยาซะงั้น

คุณ patok ถึงวาริยังไม่เข้าร่าง ใจน้ำหนึ่งก็ยังอยู่ที่เขาค่ะ ปักหลักมั่นคงไม่คลอนแคลนง่ายๆ

คุณรินทร ขอบคุณค่ะที่แวะมามอบรอยยิ้มให้กำลังใจเพื่อนร่วมปรารถนา

คุณสุขุมวิท ๖๖ มีเรื่อยๆจนจบเรื่องอะค่ะ เรียกว่าพลิกกันจนบรรทัดสุดท้ายเลยเชียว ยั่วๆ

คุณนักอ่านเหนียวหนึบ ๕๕๕ ขำคอมเม้นท์ ถึก คึก ยิ่งกว่าคูโบต้า น่าเอาไปไถนานะ ออกจากร่างวาริไปไถนาไปเลยไป๊

หนูบาร์บี้ อะไรที่กั๊กๆไว้ก็เก็บไว้ปล่อยของตอนท้ายๆ ถ้าอ่านจนจบเรื่องนี่รับรองคลายทุกปม ส่วนปมไหนยังไม่คลายแปลว่าคนเขียนจงใจทิ้งไว้ให้ค้างคาค่ะ เอ๊ะ ยังไง

รออ่านตอนต่อไปพรุ่งนี้นะคะ




ภาวิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 7 ต.ค. 2557, 02:47:01 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 7 ต.ค. 2557, 02:47:01 น.

จำนวนการเข้าชม : 1359





<< บทที่ ๑๖ (จบตอน)   บทที่ ๑๘ (แก้ไขเพิ่มเติม จบตอน) >>
ketza 7 ต.ค. 2557, 06:32:37 น.
ง่ะ ตอนนี้เผด็จน่าฉงฉานนน ไม่มีใครรักเลยยย โอ๋ๆๆๆ มาๆ มาซบอกเกดซ่าเร็ววว


... ว่าแต่ใครสะกดรอยตามมาลิน คงไม่ใช่???? เหอๆๆๆๆ


อสิตา 7 ต.ค. 2557, 06:57:56 น.
แกลืมตอบเม้นต์ข้า ช่วงนี้ข้าเวลานอนเปลี่ยนไปจริงๆแล้ว ...อ้ายนี่ชอบบรรยายอาหารซะจริง


goldensun 7 ต.ค. 2557, 07:36:49 น.
ว่าแล้ว แม่บ้านปลอมมาเอาเบี้ยแก้ไป แต่เอามาให้แม่ชรัณทำไมล่ะคะ มีอำนาจสะกดแบบเพชรซะด้วย
เพชรยิ่งเพชรยิ่งไมอยากพบ ยิ่งเจอ โลกกลมจริง
เผด็จทำตัวเอง แก้ไม่ได้ แต่ก็น่าสงสาร ขาดความรัก อยากได้ แต่ก็ห่ามเกิน


นักอ่านเหนียวหนึบ 7 ต.ค. 2557, 09:10:53 น.
อย่ามาทำตัวน่าสงสารหน่อยเล้ยยยยย
คิดร้ายอะไรไว้อีกละ
สงสารแม่มาลิน ต้องเจออะไรอีกเนี่ย แล้ว ใคร? เอาเบี้ยแก้ ป้ะ มาให้อะ เอ๊ะ ไหนว่าอันจริงทิ้งไปแล้ว เอ๊ะ รึป่าว เอ๊ะ สับสน
แต่อาหารมื้อนี้ ขอกินด้วยดะป๊าววววว


pseudolife 7 ต.ค. 2557, 09:14:22 น.
สงสารเผด็จ แต่จะไปแก้ความเข้าใจผิดกันยังไง ทั้งที่ยังอยู่ในร่างวาริแบบนี้


yimyum 7 ต.ค. 2557, 09:25:28 น.
ทฤษฎีโลกกลมและใจตรงกันนี่มันใช้ได้ทุกเรื่องเลยจริงๆ ^^


Sukhumvit66 7 ต.ค. 2557, 12:16:04 น.
จะว่าไป ก็สงสารเผด็จ เราก็รักเผด็จอยู่นะ อย่าน้อยใจไปเลย....


patok 7 ต.ค. 2557, 12:39:35 น.
ใครคือ แหม่ม พัชริดา 5555+ตอนต่อไปก็น่าจะมี มาลิน โผล่มานะคะ


พันธุ์แตงกวา 7 ต.ค. 2557, 15:19:34 น.
แหมประโยคนี้ ดวงตาสีนิลมองลอดช่อง(ว่าง) อ่านดึกๆนี่น้ำลายสอขึ้นมาเชียว
ดีนะที่เผด็จยังรักวิไลวรรณ เพราะความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของนาง ไม่ว่าลูกจะเป็นยังไงก็ตาม เจ้รักนางงงงง
คนละขั้วกับความรักของมาลินกับชรัณเลย เพราะแม่ไม่ได้เป็นที่พึ่งทางใจให้ ชรัณถึงเคว้งคว้าง
ริชาร์ดๆจะเซ็กซี่ไปไหน รักแท้แม้มีเจ้าของ


หนอนหนังสือ 7 ต.ค. 2557, 18:51:13 น.
สงสัยว่าริชาร์ดเป็นเกย์หรือเปล่าเนี่ย


ดังปัณณ์ 7 ต.ค. 2557, 18:57:14 น.
ขุ่นพี่ปุ๊กคะ เรียกคะแนนฉงฉานให้เด็จจี้เหยอค้าาาาาาาาาา 555+ แหม มีพี่สร้อยพี่ออดด้วย กร๊ากกกกกกกกกกกกก Clubfriday เอ๊ย ม่ายช่าย คลับเด็จจี้สิน่า อิๆ

เอาตังค์ที่คนฝากทำบุญกฐินไปให้น้าค่ะ แล้วสองน้าหลานก็ลั้นล้า ขุ่นพี่ปุ๊กกลับคืนถิ่นมิฮะ หนอนจิรอ 555+ เจองานสลากภัตภาคเหนือพอดี๊ ของกินเพี้ยบบบบบบบบบบบบบบบ น้ำยายไหยเบยยยยย

พอๆ.....เลี้ยวโค้งไปแระ กลับมาที่เด็จจี้ อุ...อยากดูแลเท้อออออออออออ 555+ แต่หนุน้ำหนีสุดติ่ง อ่ะแน่ะ วานี่แอบดูสาวโป๊! นิสัยไม่ดี คนเขาอาบน้ำยังจะไปเฝ้าเขาอี้กกกกกกกกกกกกกกกกกกก ลามกนะเราน่ะ บ้าๆๆๆๆๆ มาแอบดูเค้าอาบน้ำไม หุๆ


Barby 9 ต.ค. 2557, 06:27:14 น.
หลายต่อหลายปมเลยทีเดียว สงสัยๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account