ทองพญามาร [---ชุด ๕ ปรารถนา---]
จากเคยออกปล้นชิงสิ่งล้ำค่าในคืนอันมืดมิด
แสงจันทร์กลับนำพากระต่ายขาวตัวเล็กมาสู่เงื้อมมือมหาโจรอย่างเขา
พร้อมเหรียญทองปริศนาซึ่งมอบชีวิตให้ถึง ๙ ชีวิต

แถมวันดีคืนดีกระต่ายที่ว่ายังกลับกลายเป็นสาวสวย!

ไม่รู้ว่าโชคร้ายหรือดีกันแน่...
เมื่อเขากำลังถูกมือโจรลึกลับเช่นเธอช่วงชิงหัวใจดวงนี้ไป

Tags: พญาดำ เหรียญพระจันทร์ เก้าชีวิต กระต่าย ตัวนุ่ม

ตอน: ๓.๕ ขุมทรัพย์ต้องสาป

คุณบุลินทร – มาดูกัน วันนี้ใครจะลงก่อน ชะช่า ไม่ได้จ้องนากานะ ปล่อยให้โชคชะตานำพาไป
คุณภาวิน – แกควรให้มุกรำแก้บนกะข้าก่อนที่หนังสือจะตีพิมพ์นะ ข้าชอบคำว่าพี่เก้าเกือบสมสู่กะนังตัวนุ่ม

คุณเกดซ่า – ตัวนุ่มไม่ได้หลอกน้า จริงๆๆ //เอานิ้วไขว้กันไว้ข้างหลัง ตัวนุ่มถูกแกล้ง น่าสงสารออก อุจิ๊
คุณเลิฟหมวย – เรียกพี่นพเดี๋ยวจูบเลย พี่เก้าไม่ชอบชื่อตัวเอง ใครเรียกจะโดนจูบนะ
คุณยิ้มยิ้ม – รอเดี๋ยวนา ตัวนุ่มใกล้จะออกมาละ พี่เก้าลุ้นน่าดู ฉากลึกลับกำลังมา

คุณใบบัวน่ารัก – กระต่ายกินแล้วอ้วนนะ อ้วนแค่ร่างกระต่าย ร่างคนไม่อ้วน แต่คนเขียนนี่สิคะ...
คุณนักอ่านเหนียวหนึบ – ตอนแรกคนเขียนก็คิดว่าเป็นเพื่อนโจรค่ะ ตาเจตน์ แต่คนน่าสงสัยมีเยอะนา ไหนจะหมอเจ้าฮะ คนชุดดำ อย่าลืมเป็นเอกที่หายไป เอ๊ะๆๆ
คุณหนอนน้อย – แล้วถ้าเป็นเอกไม่ได้ถูกขังล่ะ อิอิอิ แหย่หนอนสบายจาย ตัวนุ่มขวัญหนีหมดแล้ว แงๆๆ

คุณโกลเด้นซัน – ชายชุดดำจะเป็นใคร เป็นเอก พ่อตัวนุ่ม เจตน์ หมอเจ้าฮะ แต่รูปร่างพวกนี้จะต่างกันนะ พอตัดตัวเลือกออกไปได้บ้าง //ตัวนุ่มยังต้องทำงานต่อ ส่วนเก้า ก่อเรื่องไว้มากมายในอดีต จะค่อยๆเฉลยออกมา
คุณบุลินหน้าหมี – ขอบคุณที่แวะกลับมาอ่าน แอบเห็นความมุ้งมิ้งในนิยายเราจนได้รึ เรื่องนี้มุ้งมิ้งหนักนะ...


“ผู้ชายชุดดำ?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว

สตรีที่ถูกอัญเชิญให้ปรากฏพยักหน้าเพียงนิด ก่อนจะเบือนหนีไปทางอื่น

“เขามารอที่นี่เพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่”

“อย่าถามเลยกรรมของคน ผีไม่เกี่ยว...” เสียงกดต่ำบางเบาคล้ายยากนักที่จะ
เปล่งคำพูดออกมา “หากฝ่ายนั้นรู้ว่าทางนี้บอก เรื่องเดือดร้อนมิใช่เบาจะมาถึงตัว”

นพคุณนิ่งงัน พยักหน้าทีหนึ่ง มองอีกฝ่ายเลือนหาย แม้แต่เจ้าที่ที่ว่าแรง
ก็ยังเกรงชายคนนั้น อำนาจของมันดูจะประมาทไม่ได้เอาเลย

ชายหนุ่มหันจาก เบื้องหลังของเขาพญาตะเคียนยังขยับกิ่งก้านสาขาดังซู่ซ่า
คล้ายนารีผู้หวั่นไหวจนเอื้อมมือมาบังพักตร์ ไม่อยากมองภาพใดซึ่งกำลังจะ
บังเกิดต่อจากนี้ไป ...เขาเดินไปหยุดหนิ่ง คุกเข่าลงสำรวจในกองไฟ
วูบนั้นมือหนึ่งแตะหมับเข้ามาจากด้านหลัง
พริบตานพคุณพลิกกายกระชากแขนอีกฝ่ายเสียหลักล้มกลิ้ง กดมีดพกจอเข้าที่คอ

“เก้า! นี่ผมเอง”

ผู้ช่วยผู้กำกับคนเก่งชื่อพี่ศรนอนแอ้งแม้งอยู่กับพื้น แววตานั้นมองมายังนพคุณอย่างตระหนก
แต่กึ่งขำกึ่งเคืองที่ถูกกดลงนอนหมดท่า แม้รูปร่างอีกฝ่ายจะหนากว่าเขาหลายขุมเห็นว่าเพราะ
ชอบเข้าฟิตเนสเน้นเฉพาะส่วน แต่ด้านเรี่ยวแรงนั้นคงจะเป็นรอง

“เกิดเรื่องแล้ว”

“ผมเห็นแล้ว ทุกคนหลับหมด ปลุกไม่ตื่น”

“หึๆ กองถ่ายนี้ผจญอาถรรพณ์มากไปหน่อยละ คิดเหมือนกันไหม” พี่ศรพึมพำ
ขณะลุกยืนขึ้นตามนพคุณ “ไม่ทุกคนหรอกที่หลับ ยังเหลือนายชาอีกคน
พี่ให้มันไปรอที่แพใหญ่กับพี่ทิมที่รอดอยู่ รวีเพื่อนน้องก็ดันหลับไปด้วย
แต่ว่าพี่อุ้มเข้าไปไว้ห้องเดียวกับสองคนนั้นแล้ว”

แล้วเพื่อนร่วมทีมของเขาอีกคน เจตน์ล่ะ หายไปไหน...



“แล้วพี่ไม่ตกใจหรือครับ เจอเรื่องประหลาดพรรค์นี้” นพคุณยกมุมปากยิ้ม
ขณะเร่งเดินคู่พี่ศรไปยังแพซึ่งคนที่ตื่นอยู่รวมตัวกันอยู่

“ไม่ตกใจก็แปลกสิวะ แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ แถวบ้านนอกบ้านพี่มันมีเรื่องแบบนี้
อยู่เหมือนกันแหละ” คนตอบส่ายหน้า “ตามประสาคนคลุกคลีกับหนังผีๆมาตลอดนะ
เวลาเจอเรื่องแบบนี้น่ะตื่นตกใจให้น้อยที่สุดเป็นดี...ถ้าอยากรอด”
คนพูดทิ้งท้ายไว้ชวนสยองสมราคาคุย

“นายชา มันไม่เคยเชื่อเรื่องทำนองนี้เลย ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นไงบ้าง”

พูดมาถึงตรงนี้พวกเขาก็เร่งเดินกันไปจนใกล้จะถึงแพใหญ่สองชั้น
เวลานี้มันกลับลอยอ้างว้างในน้ำสะท้อนแสงดาว
ดูโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาอย่างน่าประหลาด

“อ๋อเจ้าชาน่ะหรือ ตอนนี้ก็ยังไม่เชื่อ มันโวยวายใหญ่
พี่เองมีของดีติดตัวไว้นิดหน่อยเลยพอช่วยได้”

“อะไรครับ”

“เป็นแท่งตะกรุดไม้ครูที่ได้มาจากวัดแถวบ้าน พี่เอามาอมข้างนึง
ไอ้เมฆนัวๆในหัวมันหายไปหมด เลยลองเอาอีกข้างยัดปากพี่ทิมที่อยู่ใกล้ๆ
เด้งตื่นขึ้นมาเลย ไอ้ชาเพื่อนน้องมันเลยรีบขอไปลองอมบ้างแบบไม่กลัวน้ำลาย
บ่นๆว่าคงมีฤทธิ์ปลุกประสาท”

“...ที่อธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์” นพคุณต่อให้ขำๆ

“เออ มันว่างั้นแหละ”


แพลั่นเอี้ยดขณะที่ชายทั้งคู่ย่างเท้าขึ้นไป... ระลอกคลื่นกระเพื่อมของน้ำในเขื่อน
ผสานกับเสียงบางอย่างคล้ายเสียงพึมพำไร้ที่มาฟังเหมือนเสียงสวดมนต์
หรือจะเป็นเสียงสาปแช่งจากอดีตกาลก็ไม่รู้ได้

เปิดเข้าไปในห้องตามการนำของพี่ศร คนที่เหลือซึ่งมีสติอยู่ในห้องนั้น
เริ่มจากสุวิชานั่งกุมขมับอยู่บนเตียง มือปิดหู พึมพำบางอย่างอยู่ในโลกส่วนตัว
โดยดวงตาเบิกค้าง นพคุณเดาว่าน่าจะเป็นการคำนวณหาหนทางในสถานการณ์
พิลึกนี้จากตัวแปรที่มันมีอยู่จำกัดจำเขี่ย ในขณะที่เตียงอีกหลังมีกานต์รวีนอนหลับอยู่
พี่ทิมผู้กำกับที่ตอนนี้กลายเป็นผู้กำกับคู่บุญผู้ได้ร่วมชะตาอยู่เคียงใกล้ดาราสาว
นั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่บนเตียงโดยเลือกขดอยู่ชิดมุมห้อง ปากพึมพำแข่งกับสุวิชา
แต่เสียงดังกว่ากันมาก เปล่งออกมาเป็นคำสวดมนต์ที่ฟังไม่ค่อยจะได้ศัพท์มากกว่าอื่น
ไม่แน่ว่าเสียงฮึมๆที่คล้ายจะได้ยินอาจจะมาจากคนในห้องนี่เอง

แต่ที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางห้องนอนกว้างขวางกลับเป็นใครอีกคน
ที่ผู้ช่วยผู้กำกับหนุ่มซึ่งพานพคุณมาไม่ได้เอ่ยถึง

“หมอสุทัศน์ ไม่คิดว่าจะเจอหมอที่นี่” นพคุณเอ่ยยิ้มๆ

“หมอไม่ได้อยู่กับรวี ว่าจะขอตัวเข้านอน แต่รู้สึกว่าบรรยากาศผิดปกติ
ห่วงเขาเลยแว่บออกมาดู ไม่เห็นใครตื่นอยู่เลยจนมาเจอนี่แหละ”

“แปลว่าหมอเองก็ต้องมีของดีติดตัว ถึงได้ไม่เจออาถรรพณ์ลงจับอย่างคนอื่น”

“ก็พอมีอยู่ คุณพ่อท่านให้พกไว้”

นพคุณเห็นเจ้าของร่างสันทัดมาดทอมบอยแตะสร้อยคอ แต่ไม่ได้ดึงของดีที่ว่าออกมาอวด

“ไม่คิดว่าหมอจะเชื่อเรื่องพรรค์นี้” สุวิชาที่นั่งอยู่บนเตียงเอ่ยขวางๆ

สุทัศน์ถลึงตาจ้องชายใส่แว่นอย่างมีโมโห “ของแบบนี้ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
ถ้าทำแบบนั้นนายจะเสียใจภายหลังแน่สุวิชา!”

น้ำเสียงที่สวนกลับไม่เพียงเข้มขรึมจริงจัง ยังแฝงรอยน่ากลัวอย่างประหลาด
แน่นอนว่านอกจากเวลาพูดกับกานต์รวีแล้วหมอสุทัศน์ก็แทบไม่เคยจะมีอารมณ์ขัน
หรือผ่อนปรนต่อใคร แถมกับสุวิชายิ่งเหม็นขี้หน้าเพราะเคยได้มีโอกาสรู้จักกัน
ผ่านเพื่อนของเพื่อน และหมอสุทัศน์เองก็รังเกียจความเป็นหมอเถื่อน
ของนักวิทยาศาสตร์อย่างสุวิชามานานแล้ว ยิ่งเห็นมาป้วนเปี้ยนใกล้กานต์รวีก็ยิ่งขวาง

นพคุณส่งยิ้มปลอบไปให้ผู้กำกับวัยกลางคนซึ่งกำลังเสียขวัญ
ในใจเขาค่อนข้างเคร่งเครียด... จากที่สมัยก่อนเคยคุมเกมได้ทุกอย่าง
ตอนนี้เขาถือศีลอยู่ กลายเป็นงอมืองอเท้าหงิมๆทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
ครูฤทธิ์คงไม่คิดแบบนั้นในสถานการณ์เดียวกันนี้ แต่เขาคิด
เพราะเขาไม่ใช่คนดีเลิศประเสริฐเหมือนอย่างครู

หรือจะต้องรอความตายทั้งที่ตนยังมีเหลืออีกหลายชีวิต...
เขารู้ว่าสัญญานั้นยังคงอยู่ ถึงเหรียญจะไม่อยู่กับตัวแล้วก็ตาม
เหมือนกับของที่กินเข้าไปแล้ว ย่อยไปแล้ว
กำลังไหลซึมซาบหล่อเลี้ยงอยู่ในกาย ไม่มีวันจะถอนออกไปได้

“ปลุกรวีขึ้นมาดีไหม” พี่ศรเท้าเอวมอง

“อย่าเลยพี่ แม่นี่กลัวผีเป็นบ้าเป็นหลัง ฟื้นมาอย่างมากก็คงได้แต่
ช่วยพี่ทิมสวดมนต์ อ้อ...แต่รู้สึกจะห่างไกลศาสนา
อย่างว่าแต่สวดมนต์ก่อนนอนง่ายๆก็คงไม่เป็น”

“อืม ไม่มีประโยชน์จริงๆ” คนแก่วัยกว่าสรุป

ผู้กำกับที่กำลังสั่นกลัวหันมามองคนทั้งคู่ขลาดๆอย่างจับต้นชนปลายไม่ได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ตะ...ตอนค่ำพี่จำได้ว่าเห็นเงาดำน่ากลัว มันคล้ายกับ
ไอ้คนที่ทำเก้าตกน้ำวันก่อน แต่พอหันไปมองเต็มตาก็ไม่อยู่แล้ว
บอกใครก็ไม่มีใครเชื่อ แล้วตอนเกิดเรื่อง คนที่คุยกันอยู่ดีๆก็อาการแปลกๆ
ตาเหลือกกลับ ฟุบไปเลย”

“พี่เองก็เกือบจะฟุบไปด้วยครับ ถ้าพี่ศรไม่เอาของดีช่วยไว้”

ชายกลางคนทำสีหน้าปะหลับปะเหลือก คิดไม่ตกว่าดับสติหมดความรับรู้ไปเลย
หรือฟื้นมารับรู้ทุกอย่างแล้วกลัวเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนี้อย่างไหนจะดีกว่า
...เขากลัวจับใจ ยามเมื่อเห็นคนรอบกายจำนวนหลายสิบร่วงลงเป็นใบไม้
ไม่เรียกว่าหลับ ทว่าเป็นการหมดสติไปพร้อมกันเงียบงัน กลางบรรยากาศอ้างว้าง
อันรายล้อมด้วยธรรมชาติที่บัดนี้คล้ายโอบล้อมเข้าหาอย่างน่าสะพรึง

“ไอ้ศรนะไอ้ศร เราไม่น่าเลือกมาตั้งกองแถวนี้เลย ไม่เห็นมีใครบอกว่ามันจะแรงขนาดนี้
ไหว้ก็ไหว้แล้ว บนบานก็แล้ว แก้บนก็แก้ครบ นี่กูทำอะไรผิดผีไปรึไง ตอนแรกก็ยังดีอยู่แท้ๆ”

ก่อนจะทันตั้งตัว ทันใด...เสียงเคาะหนักๆสามทีก็ดังขึ้นหลังประตูไม้
ทุกคนเงียบกริบ เหลือบตามองหน้ากันช้าๆ แม้แต่ผู้กำกับและสุวิชาเองก็พลอยหยุดปาก

“อาจเป็นโจรก็ได้” นายชาผู้กลัวอะไรสารพัดยกเว้นผีครางเหมือนหนูติดกับ

“อย่าเปิดนะ!” ผู้กำกับวัยกลางคนร้องเสียงพร่า ปากสั่นจนฟันกระทบกันกึ่กๆ

นพคุณส่ายหน้า ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่านี่คืออันตราย กลิ่นอายที่ว่าโชยฉุนกึก
ขนบนหลังคอเขาเองยังลุกเกรียวด้วยซ้ำ แต่จะให้ขดตัวรวมอยู่กับคนพวกนี้
ในห้องตลอดก็ใช่ที่ อย่างไรก็ดี เขาต้องระวัง นี่เป็นคืนสุดท้ายของเดือนตามที่รับปาก...
หากศีลไม่แตกซะก่อนพระอาทิตย์ของวันใหม่จะขึ้น ถ้าเคราะห์หนักที่สุดพ้นไปได้
เขาก็คงจะไม่ซวยจนถึงชีวิตง่ายดายนัก

ขณะกำลังตัดสินใจ ไฟฟ้าพลันดับวูบลงกะทันหัน!

สิ่งเหล่านี้มันลงมือเป็นกลุ่มหรืออย่างไร?! หนึ่งถีบเขาลงน้ำ อีกหนึ่งรัดคอ
...มาตอนนี้หนึ่งเฝ้าอยู่หน้าประตู แล้วยังมีมือที่ดับไฟลงอีก ชายหนุ่มขบฟัน
เมื่อเสียงเคาะทึบๆดังขึ้นอีก

“จะเปิดละนะ” นพคุณเดินไปยังประตู ไม่สนใจคำร้องห้าม
ของคนที่หวั่นกลัวจนขวัญบินหนีไปคนละทิศละทาง

ประตูแง้มออกแช่มช้า เบื้องนอกร่างทะมึนในชุดดำยืนรออยู่...

ร่างนั้นยืนทื่อราวกับไร้ชีวิต มันสวมเสื้อผ้าร่มแขนยาวดำสนิทมีฮู้ดคลุมลงมาปิดช่วงตาไว้
มองแววตาแทบไม่เห็น ช่วงปากมีที่ปิดปากดำปิดไว้ มือข้างหนึ่งถือตะเกียงที่ดูจะ
สว่างแค่ไม่กี่แรงเทียนชูขึ้นมาระดับสายตา อีกมือซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อด้วยท่าทีสบายๆ
อันแสนจะไม่น่าไว้วางใจมองลงไปกางเกงที่สวมใส่ตลอดจนรองเท้าล้วนเป็นสีดำ

มีพลังงานมืดรุมล้อมร่างแปลกปลอมตรงหน้านพคุณอยู่ เขาบอกได้ว่าคล้ายมีวิญญาณ
สักหลายดวงคอยติดตามรับใช้รอบกายมัน เพียงแต่ไม่ยอมแสดงตัวตนออกมาให้เห็นเท่านั้น
หยุดยืนประจันกันเช่นนี้ ขนาดความสูงของมันพอกันกับเขา อาจจะสูงกว่าสักนิด
ไม่เกินสองสามเซ็นต์... ค่อนข้างแน่ใจได้ว่าเป็นชายคนเดิม คนเดียวกับที่ถีบเขาตกแพ
ฝีมือร้ายกาจขนาดที่ต้องพึงระวัง

“แกต้องการอะไร” เขาถามออกไปในที่สุด

“อยากรู้ก็ตามมา”

เมื่อมันพูด คล้ายกับจะปล่อยเอาไอสีดำมืดที่กลั้นไว้ออกมาด้วย เสียงนั้นแปลกแปร่ง
แตกซ่านไม่เป็นธรรมชาติ เครื่องแปลงเสียง มันใช้สิ่งนี้อยู่เป็นประจำไม่ว่าลงมือกับใคร
หรือว่าใช้เพราะกลัวเขาจำได้ว่ามันคือใคร...

“ถ้าฉันไม่ไป?”

“ไอ้พวกที่อยู่ในห้องนั่น ตายหมดทุกคน” เสียงต่ำเบา
แต่เปล่งเจตนาออกมาหนักแน่นอย่างไม่ยอมให้ความเป็นไปได้อื่นกล้ำกราย

“ฉันยืนหัวโด่อยู่นี่ คงไม่ยอมให้แกทำแบบนั้นง่ายๆ” นพคุณเยาะ

“คราวก่อนยังไม่เข็ดสินะ หรือจะลอง?”

หึ ลำพังให้สู้กันตัวต่อตัวยังพอว่า แต่กับการต้องคอยปกป้อง
หรือพาเอาชีวิตคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ที่อยู่ใกล้ๆมาเสี่ยงไปด้วย
ไม่เคยเป็นวิธีของเขาเลย

นพคุณหันไปบอกคนในห้องที่กำลังกลั้นหายใจอย่างขลาดกลัว
“อยู่กันในนี้ อย่าออกไปไหน แล้วไม่ต้องตามมา เพราะถึงตามมาก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี”
จากนั้นเขาจึงเอ่ยกับศัตรูที่เผยรังสีคุกคามอยู่เบื้องหน้า “นำไป...”

ร่างนั้นเดินดุ่มนำโดยไม่หันหลัง ที่ใต้เสื้อผ้าร่มสังเกตดีๆคล้ายตึงแน่นด้วยอะไรบางอย่าง
ราวกับต้องการอำพรางรูปร่างที่แท้จริง หรือเป็นเพียงเสื้อเกราะใส่ไว้เสริมความแกร่งก็ไม่รู้ชัด

ยามเดินนำมันยังผิวปากแหลมสูงเป็นทำนองแช่มช้าเยือกเย็นผ่านเครื่องแปลงเสียง
ราวเสียงเปรตขอส่วนบุญหวีดหวิวในราตรี กลมกลืนไปกับกระแสลมเย็นยะเยียบ
มันนำเขาลงจากแพใหญ่ เดินเลียบเลาะฝั่งน้ำไปจนออกนอกกลุ่มแพ
นพคุณกุมมีดพับในมือมั่น สติกระจ่างพร้อม เขาอาจมีดวงจะต้องตายในเร็วๆนี้
แต่เขาจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นง่ายดายนัก

หลังลัดเลาะต้นไม้ระเกะระกะริมฝั่งไปได้ระยะหนึ่ง
ชายหนุ่มพบว่ามีเรือยางจอดคอยอยู่ สีของมันหม่นมืดกลืนไปกับท้องน้ำ
เห็นเป็นเพียงรูปเงาคล้ายไม่มีอยู่จริงพอๆกับร่างในชุดดำที่ตอนนี้เงียบเสียงผิวปากลงแล้ว
มันยื่นตะเกียงเก่าๆมาให้เขารับไว้ แสดงท่าเชื้อเชิญให้ก้าวลงในเรือพายลำนั้นแล้วจึงค่อย
เข็นเรือพ้นฝั่ง โดดตามขึ้นมาคล่องแคล่ว ก่อนจะนั่งลงพาย รวดเร็วสม่ำเสมอดังว่าเป็น
เครื่องจักรที่แรงไม่ตกลงแม้สักนิดเดียว

รู้โดยไม่ต้องถาม ว่าเรือจะพาไปถึงที่ไหน เกาะนั่น...
เขาอยากกลับไปก็จริง ในเวลาที่ตนเองพร้อมและวางแผนมาดีแล้ว
ไม่ใช่ถูกบังคับให้ไปทั้งแบบนี้ แต่ดูเหมือนจะต้อง
ยอมเล่นตามเกมอันเงียบงันกดดันประสาทของมัน

ทิศที่มุ่งไปเป็นทิศที่คาดไว้ ชายหนุ่มเห็นเกาะได้ชัดเพราะคนพายต้องงัดไม้พายถอยหลัง
ให้เรือเคลื่อนไป จึงเป็นเขาที่นั่งหันหลังให้ฝั่งที่จากมาอยู่อีกด้านของเรือ ดาวยามนี้อับแสง
มองเห็นกลุ่มเมฆเป็นรูปชัดกำลังก่อเงาฝน เหมือนก้อนภูเขามหึมา มีฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีทะมึน
และภาพนั้นก็ถ่ายทอดลงสู่กระจกน้ำอันสงบที่อยู่ไกลออกไปจากการจ้วงไม้พายลง
ทำลายภาพสะท้อนที่ดูยิ่งใหญ่ให้สั่นไหว

ชั่ววินาทีนี้เหมือนเรื่องเล่าในนิทานสยองขวัญได้เป็นจริง
ชายลึกลับพาเขาพายเรือออกมาเหนือน่านน้ำสีดำ
แต่นพคุณไม่ใช่เด็กชายผู้หวาดกลัวนิทาน
เขายังคงเป็นผู้ชายคนเดิม ที่แม้อยู่เฉยก็ไม่ได้หมายใจจะเฉยสนิท
เงาของเวทมนตร์คลุมเครือที่มันร่ายออกมา เขาจะสะบั้นลงให้สิ้นด้วยมือตัวเอง

แต่แล้ว โดยที่ชายหนุ่มผู้จมอยู่กับภวังค์ความคิดไม่ทันได้ตั้งตัว บทสนทนากลับเริ่มขึ้น

“...บางคนวิ่งหนีความตาย บางคนก็มุ่งหน้าไปหามัน เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ”
เสียงแตกพร่าทำลายบรรยากาศสงัดให้สั่นสะท้านไม่ต่างจากระลอกน้ำที่ถูกไม้พายจ้วงแหวกผ่าน

“แล้วแกล่ะ ไม่ได้วิ่งเข้าหาความตายเหมือนกันหรือ?” ชายหนุ่มยวนตอบ
เริ่มมีความคิดรำไรที่จะชิงกระชากหน้ากากชายชุดดำผู้ปิดบังตัวตน

“ไม่หรอก” สุ้มเสียงหัวเราะดังมาจากเจ้าของร่างทะมึน “อย่างน้อยก็คงไม่เท่าแก
กับไอ้เป็นเอกเพื่อนโง่ๆของแกละมั้ง” เสียงถอนหายใจเยาะดังออกมาจาก
ใต้ผ้าคลุมที่ตกลงมาบดบังใบหน้า

“ดูท่าทางจะรู้เรื่องฉันดีเป็นพิเศษ”

“ยังรู้มากกว่านี้อีก เรารู้เขา แต่เขาไม่รู้เรา... รบร้อยครั้งก็ชนะทั้งหมดนั่น”

นพคุณไม่ตอบคำยั่ว อีกฝ่ายจึงพายเรือต่อไปเงียบๆ เสียงพายจวกน้ำครั้งแล้วครั้งเล่า
ผ่านไปครู่ใหญ่มันจึงเริ่มประเด็นก่อกวนอีกครา

“พูดเรื่องที่แกรู้อยู่แล้วคงไม่สนุก อยากฟังเรื่องใหม่ๆบ้างไหม เช่นว่าเรื่องแม่ของแก
ผู้หญิงที่หาเงินเลี้ยงลูกจนโตเป็นควาย จนตัวตาย” จบคำนั้น เจ้าของร่างในชุดดำ
เปล่งเสียงหัวเราะแหบพร่าจนสั่นไหวไปทั้งตัว

ชายหนุ่มเกือบจะพลอยสั่นไปด้วย มือเขากำมีดแน่นเข้า ถึงตอนนี้ความคิดเรื่องว่า
ไม่ทำร้ายใครหรือไม่ฆ่าใครติดปีกบินหนีไปไกล เขาแทบระงับใจไม่ได้
รู้สึกอยากเอามีดแทงคนตรงหน้าจับใจ

“แม่แกลำบากมามาก ตั้งแต่เสียตัวให้ผู้ชายมีเงินแล้วไม่ได้อะไร...
นอกจากได้ลูกติดท้องมาคน เปลืองน้ำลายสั่งสอนอย่างดีตั้งเท่าไหร่ ลูกดันมาเป็นโจร”

ฆ่า...ข้อศีลข้อที่หนึ่ง
อย่าว่าแต่ชีวิตนี้เขายังไม่เคยฆ่าใคร ยังเป็นคนธรรมดา เดินดินกินข้าวแกง
และคงจะต้องนอนไม่หลับไปตลอดชีวิตถ้าได้พลั้งมือฆ่าคนเข้า แต่กับคนตรงหน้านี้
เขานึกอยากทำยังไงก็ได้ ให้มันไม่มีโอกาสพูดอีกเลย

ไม่ฆ่า ไม่ฆ่า...
ชายหนุ่มท่องยุบหนอพองหนออยู่ในใจ แต่เขาจะทนเฉยปล่อยให้ตัวเองตกเป็นเหยื่อไม่ได้
มันกำลังยั่วให้เขาเสียสมาธิ เขาจะต้องสลัดหลุดจากมัน เปลี่ยนตัวเอง
เป็นผู้คุมเกมก่อนอะไรๆจะเลยเถิดไปไกล

ความคิดแปลกใหม่วาบเข้ามาในหัว หมอนี่เก่งเมื่อสู้กันบนบก
แต่ไม่แน่ว่าตกน้ำจะเอาตัวรอดได้ และเจ้าสิ่งลึกลับที่อยู่ในน้ำ
ไม่แน่อีกเช่นกันว่าจะทำอันตรายแค่เขาเพียงคนเดียว
...ในมือเขาตอนนี้มีตะเกียงน้ำมันอยู่ แค่ส่งคืนให้ไอ้โม่งตรงหน้า
แรงนิดแรงหน่อยมันคงไม่ถือสา

มือไวเท่าความคิด นพคุณซัดตะเกียงเพล้งเข้าใส่เจ้าของร่างปริศนาไฟลุกติดร่างนั้นในพริบตา
เขาโถมกระแทกแรงต่อเนื่อง ส่งมันหงายหลังตูมลงไปในน้ำ ตบไฟที่ลามมาติดเสื้อตนทิ้งด้วยคาถากันไฟ

อึดใจนั้นเอง มือในถุงมือดำกลับเอื้อมหมับขึ้นมาเกาะขอบเรือยาง!
ชายหนุ่มเงื้อมีด ตวัดฟันใส่ปลายนิ้วว่องไว

ทว่าเกินคาด! มันไวยิ่งกว่า มือดำชักหลบวูงลงน้ำ คมมีดเสมือนถูกปาดลงใส่เรือยาง
เสียงแตกดังปัง ก่อนที่เรือด้านนั้นจะยุบยวบ

ชายหนุ่มไหวตัวถอยไปยังอีกฟาก กันไม่ให้น้ำไหลทะลักเข้ามาปกติเรือแบบนี้
จะแบ่งส่วนเป่าลมไว้หลายส่วน แตกจุดเดียวก็ยังไม่จมลงได้ ชายฝั่งอยู่ไม่ไกลแล้ว
ตัวเขาเองก็มีฝีมือด้านพายเรืออยู่พอตัว

นพคุณตวัดหันลำเรือ จ้วงพายเร็วรี่ ก่อนเสียงปุ—จะดังขึ้นมาทางขวาของขอบเรือยาง
มันคงหมายจะเจาะเรือจนล่มให้ได้ ชายหนุ่มพายเรือที่กำลังไหวยวบไปพลาง
ขณะที่เห็นมือดำๆผลุบโผล่ขึ้นมาทางอีกฟาก
ทัศนวิสัยของเขาที่อยู่เหนือน้ำย่อมดีกว่ามันเขาวางไม้พาย
พุ่งไปฟันมีดเข้าใส่ข้อแขนที่เล็งไว้โดนถนัด เลือดคาวกระฉูดตามแรงฟัน
แขนนั้นพลันหดกลับลงน้ำไปอย่างเจ็บปวด

นี่คือการต่อสู้เอาตัวรอด!...ชายหนุ่มมองด้วยหัวใจชาเยียบเกร็งตัวรอคอยอยู่อึดใจ
เห็นมันไม่โผล่ขึ้นมาอีกจึงค่อยไสเอาเรือเข้าสู่เกาะขนาดย่อมได้ในที่สุด

เขาโดดลงย่ำน้ำตื้นๆ ลากเรือขึ้นฝั่งบรรยากาศแปลกเปลี่ยนไปจากคราวก่อน
ที่เหยียบมาถึงอย่างเห็นได้ชัด เพียงห้าคืนเท่านั้น จิตวิญญาณอันไร้ที่มาทั้งอาถรรพณ์หนักอึ้ง
กลับมารวมตัวกันหนาแน่น หรือเพราะเหตุนี้ แม่วิญญาณสาวจอมจุ้นถึงได้ไม่โผล่ไปกวนใจเขา
ถูกรุมอยู่แถวนี้แล้วกระมัง ก็ดี ให้ได้รับบทเรียนเสียบ้าง ป่านนี้คงไปซุกตัวร้องไห้หงิงๆอยู่มุมไหนแล้วก็ไม่รู้

หลังหาตำแหน่งวางเรือให้เข้าริมเข้าคัน ชายหนุ่มหาหินมาห้าหกก้อน
เร่งวางมันลงเป็นระยะตลอดแนวฝั่งด้านนี้ของเกาะที่คนจะตะกายขึ้นจากน้ำมาได้สะดวก
นี่คือเขตอาคมลวงตา ชายชุดดำจะหาฝั่งไม่เจอ หากอยากจะรอดอย่างน้อยมันก็ต้อง
เลี่ยงไปขึ้นทางอื่นซึ่งไม่ใช่ทิศที่เขาอยู่

นพคุณเหยียดตัวสูดหายใจ หมายเดินเข้าสู่เกาะเพื่อดูลาดเลาบางอย่าง
ตอนนี้เขาโกรธจัด โกรธที่โชคชะตาคิดแต่จะชักเชิดเขาไปทางไหนก็ได้ตามใจชอบ
เดี๋ยวจะแสดงให้รู้กันไปข้าง ว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะเขมือบกลืนคนอย่างเขา
ไม่ว่าช่วงนี้จะตกอยู่ในช่วงมหาเคราะห์มหาภัยห่าเหวอะไรที่ว่า ตีมันให้แตกกระเจิงให้ดู

...ตาคมวาวเคร่งเครียดกราดไปทั่วชายฝั่งแต่แล้วกลับไปหยุดยังโขดหินโขดหนึ่ง
ซึ่งแสงจันทราทองอ่อนทอทอดลงจับ จุดสีขาวกระจิริดเห็นเด่นสะดุดตา
การขยับไหวนิดๆที่คุ้นเคย ราวกับว่าเขากำลังฝัน
ละอองขนพองฟูสะท้อนรับแสงจันทร์เย็นเยือกกลับดูอบอุ่นอย่างประหลาด
เพียงภาพนี้เท่านั้นที่จี้เอาอารมณ์ทั้งชิงชังทั้งจั๊กจี้หัวใจขึ้นมาติดหมัด
ทั้งที่ไม่อยากจะยอมรับเลย!

ก่อนสมองจะทันสั่งการ เท้าก็พาเขาเข้าใกล้เจ้าสิ่งนั้นเข้าไปทุกที



อสิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.ย. 2557, 00:03:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.ย. 2557, 00:03:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1180





<< ๓.๔ ขุมทรัพย์ต้องสาป   ๓.๖ ขุมทรัพย์ต้องสาป(จบ) >>
Chii 27 ก.ย. 2557, 00:11:01 น.
แฮ่~ บ่เจอกันนานนะคะคุณคนเขียน
มาบอกว่าตามอ่านน้า แม้ไม่ได้เม้นท์


นักอ่านเหนียวหนึบ 27 ก.ย. 2557, 00:48:44 น.
ชอบนายชาจริงๆ เลย นักวิทยาศาสตร์สุดๆ หน้าสิ่วหน้าขวานก็ยังพยายามหาเหตุหาผลมาหักล้างสุดๆ โอ้ยยยยย พี่นพ ขาาาาาา พี่นพจะปลอดภัยใช่ไหมคะ (เอียงหน้ารอ จะเอาองศาไหน บอก น้องจัดให้) 5555


ภาวิน 27 ก.ย. 2557, 03:48:29 น.
ทำไมตอนชายชุดดำถือตะเกียงมาโผล่ที่ประตู ข้าคิดถึงชามัลตอนไปโผล่ที่ร้านกาลเวลาวะ


lovemuay 27 ก.ย. 2557, 06:04:28 น.
ใจอ่อนแล้วหล่ะสิ พี่นพๆๆๆๆ
เรียกพี่นพแล้วจะจับจูบใช่มะคะ? รออยู่เลย +555


ketza 27 ก.ย. 2557, 09:28:14 น.
ชายชุดดำ??? มันเป้นใคร มาแกล้งพี่เก้าไม ชิๆๆๆ

ตัวนุ่มมารอพี่เก้าทุกวันเยยย มารับเค้ากลับไปนะ นะ น๊าาาา


ดังปัณณ์ 27 ก.ย. 2557, 09:44:30 น.
แหมจั๊กจี้หัวใจ อย่ามายั่วหนอนเลยขุ่นแม่กุเต่ย ตามไม่ทันหรอกคนนี้ มาเหนือตัลหลอดดดดดดด

แต่แหม ทำไมนึกถึงอิคนที่จับเป็นเอกไปนะ ตงิดๆว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง 555+ ไอ้ตัวละครต้นๆที่โผล่ตอนอิพี่เก้าโดดตึกนั่นหลายคนยุ ยังไม่มีอะไรระบุตัวตนและมีแนวโน้มว่าจะเป็นคนพวกนั้น กร๊ากกกกกกกกกกกกกก

แหม เพิ่งบทที่ 3.5 ยังไม่เปิดมากกว่านี้ร้อกกกกกกกกกกก อย่างมายากรนั่นกว่าจะไปเฉลย...เดาแทบตายกลางเรื่องแย้ว 555+ ผีเสื้อสามตัวนั่นเหมือนกัน นี่บทเรียนจากการอ่าน อย่าปล่อยให้ขุ่นแม่กุเต่ยหลอกได้ 555+

เจอตัวนุ่มตามแผนอิตาในเงามืดนั่นแล้วดิ อะ จะทำไงอิพี่เก้า จะทำไง หุๆ หมั่นไส้ตรงที่ว่า ซุกตัวร้องไห้หงิงๆๆมันน่านัก แกล้งตัวนุ่มรึ


ริญจน์ธร 27 ก.ย. 2557, 10:53:42 น.


yimyum 27 ก.ย. 2557, 11:03:20 น.
ตัวนุ่มใช่ม้ายยยยย พี่เก้าสร้างอาคมแล้วมันจะหาไม่เจอใช่ไหม อ้อมไปไกลๆ เลยยิ่งดี ^^


ใบบัวน่ารัก 27 ก.ย. 2557, 20:19:44 น.
ช่วยยยยยยยยยยยด้ววววววว นายเก้าๆๆๆๆๆๆๆๆ
มารับเร็วนะๆนะ ต่ายไม่มีบทเลยตอนนี้จะได้ค่าตัวไหม จะเอาไปซื้อเสื้อผ้า
เครื่องสำอางกะขนมนะ เจ้อสิตา เปียกมา2 ตอนแล้วนะ ง้อนแย้ว


Sukhumvit66 27 ก.ย. 2557, 20:30:41 น.
ชายชุดดำทำให้คิดถึง ยม ขึ้นมาทันใด

และชุดที่ใส่มาคงฮิปน่าดู อิอิ


Zephyr 4 ต.ค. 2557, 20:32:44 น.
มารับตัวนุ่มจนได้สินะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account