ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: สัตว์พันปี : บทที่ ๔ จุดประสงค์ขององค์ชายสาม

บทที่ ๔ จุดประสงค์ขององค์ชายสาม

พลับพลาที่ประทับของฮ่องเต้ตั้งอยู่บริเวณชายป่าซึ่งอยู่ในอาณาเขตของเมืองห่าวซิน ถัดจากพลับพลาไปทางทิศตะวันตกเป็นผืนป่ากว้างครอบคลุมอาณาเขตของทั้งเมืองห่าวซินและจุ้ยห้าน ป่าในแถบนี้เป็นไม้ผลัดใบที่มีความหลากหลาย แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปได้ระยะหนึ่งป่าจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นป่าทึบ ซึ่งดินแดนส่วนนี้เรียกกันติดปากว่า ‘ป่าพิษ’

ในฤดูร้อนสถานที่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยละอองเกสรของพืช หากเผลอไปสัมผัสหรือสูดเข้าไปในร่างกายจะเกิดอาการคัน ไม่ก็จับไข้ บางคนมีอาการแพ้มากจนถึงขั้นเสียชีวิตก็มี การเข้าไปในอาณาบริเวณนี้จึงต้องรอให้ป่าเปิดก่อน ป่าเปิดในที่นี้หมายถึงช่วงที่ดอกไม้พิษโรยราและมีสายฝนมาชะเอาละอองเกสรออกไปจากอณูอากาศ

ก่อนหน้านี้มีพรานผู้หนึ่งพบร่องรอยของสัตว์พันปีหายเข้าไปในป่าพิษ เมื่อป่าเปิดจึงมีการส่งพรานมือฉมังออกไปตามหาร่องรอย ทว่ากลับไม่พบสิ่งใดเลย ฮ่องเต้เสด็จจากเมืองหลวงมาเจ็ดวันแล้ว หากยังไม่มีอะไรคืบหน้า การออกล่าจะถูกยกเลิกในไม่ช้า

เพื่อมิให้พระบิดาต้องเสด็จกลับเมืองหลวงมือเปล่า องค์ชายบางองค์จึงแอบส่งพรานเข้าไปป่าเพิ่ม ซึ่งการกระทำนี้ถือว่าเป็นเรื่องโง่เขลา สัตว์พันปีเป็นสัตว์ที่อ่อนไหว มันมีจมูกที่มีประสิทธิภาพสูงมากจึงดมกลิ่นได้ในระยะไกล หากพบกลิ่นอายที่ไม่คุ้นเคยส่อเค้าว่าจะนำภัยมาสู่ มันจะรีบหนีหายไปในทันที

ฮ่องเต้ทรงรู้ว่าองค์ชายสี่กับองค์ชายเจ็ดทำให้เสียเรื่อง กระนั้นก็ยังพระทัยเย็น ในบันทึกประวัติศาสตร์ระบุเอาไว้ชัดว่ามีความสำเร็จอยู่เพียงหนึ่งหนในการออกล่าร้อยครั้ง พระองค์จึงไม่ทรงคาดหวัง ที่เสด็จมาที่นี่ก็เพื่อตรวจตราความเป็นอยู่ของราษฏร์และสอนการปกครองให้โอรสผ่านงานที่ทรงมอบหมายให้

หากพิจารณาให้ดีย่อมมองวัตถุประสงค์ของฮ่องเต้ออก บรรดาองค์ชายที่มีไหวพริบจึงตั้งใจทำงานตามกระแสรับสั่งมากกว่าใส่ใจเรื่องการล่า องค์รัชทายาท องค์ชายรองและองค์ชายห้า ต่างก็ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ที่น่าเป็นห่วงเห็นจะเป็นองค์ชายสาม ซึ่งหายหน้าไปหลายวัน มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าก็ตามตัวไม่พบ องค์ชายหกที่เป็นน้องร่วมมารดาก็ไม่ทราบว่าหายไปไหน ได้แต่แก้ต่างให้ว่าพี่ชายออกไปทำงานตามรับสั่งเสด็จพ่อ

ข้ออ้างเรื่องงานไม่สามารถใช้ซ้ำเป็นหนที่สองได้ เพราะสิ่งที่ฮ่องเต้ทรงมอบหมายให้องค์ชายสามทำไม่ได้ยากเย็นเลย แค่นำเสื้อผ้ากับอาหารไปแจกจ่ายแก่ชาวบ้านยากไร้ในเขตนี้เท่านั้น เย็นนี้เสด็จพ่อมีรับสั่งให้บรรดาองค์ชายมาร่วมโต๊ะเสวย ทั้งยังเชิญฮองเฮากับองค์หญิงทั้งหลายมาด้วย หากพี่สามยังหายหน้าไปอีกเห็นทีจะถูกกริ้ว

องค์ชายลี่หยางได้แต่ภาวนาให้พี่ชายมาทัน ทว่าคนเอาแต่ใจก็ยังหายเงียบ ยังดีที่รู้จักส่งคนมาแจ้งว่าจะมาช้าสักหน่อย

“สายได้ตลอดจริงๆ เจ้าลูกคนนี้” ฮ่องเต้ทรงตำหนิแค่พอเป็นพิธี ด้วยชาชินกับความไร้ระเบียบของโอรสแล้ว

“องค์ชายสามอาจมีเรื่องให้แปลกใจก็ได้นะเพคะ” ฮองเฮาตรัส

“จะอะไรก็ช่างเถอะ คนครบแล้วเราเริ่มกินกันเลยดีกว่า”

ฮ่องเต้ทรงไม่อยากคาดหวัง เรื่องแปลกใจของเจ้าลูกคนนี้ส่วนใหญ่มักทำให้ปวดหัวเสียมากกว่ายิ้มออก

“คนยังไม่ครบนะเพคะเสด็จพ่อ ขาดพี่สิบกับกุ้ยฮวา” องค์หญิงสิบสี่ทักท้วง เจตนาของนางคือการฟ้องดีๆ นี่เอง

องค์หญิงน้อยอิจฉาพี่สาวที่ได้รับความรักจากพระบิดามากกว่าใคร กระนั้นก็ไม่เคยริษยา พี่สิบใจดีกับนางเสมอ นางจึงรักพี่สาวคนนี้มาก ส่วนกุ้ยฮวานั้นเป็นอารมณ์หมั่นไส้ค่อนไปทางเกลียด ด้วยมองว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงท่านหญิงตราตั้ง น้องแท้ๆ รึก็ไม่ใช่ แต่พวกผู้ใหญ่กลับใส่ใจมากกว่านาง

“ลี่จูกับกุ้ยฮวาของดไม่มาร่วมโต๊ะ” ฮ่องเต้ทรงตอบ ก่อนจะเริ่มเสวย

ฮองเฮาทรงรอให้สวามีเคี้ยวคำแรกเรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยถามข้อสงสัยแทนโอรส

“กุ้ยฮวาไม่สบายหรือเพคะ”

เหวินหรงมองไปยังที่นั่งของกุ้ยฮวาเป็นระยะ พระนางจึงเดาได้ว่าลูกอยากรู้สิ่งใด

“นางแข็งแรงดีแต่คงจะเหนื่อย ลี่จูเลยขออยู่เป็นเพื่อน”

“ช่างเป็นท่านหญิงที่โชคดีเสียจริง ได้องค์หญิงมาคอยเอาอกเอาใจ” องค์หญิงสิบสี่พึมพำในเชิงประชด

“ถ้าอิจฉาก็ป่วยบ้างสิ พี่จะคอยพยาบาลเจ้าเอง” องค์หญิงสิบสามอาสาด้วยรอยยิ้ม

แม้จะยังเด็กนางก็ฉลาดพูด เข้าใจหาเรื่องค่อนน้องสาวว่าขี้อิจฉา แล้วยังรู้จักเอาหน้าด้วยการทำตัวมีน้ำใจ

“ข้าไม่ได้อิจฉา” องค์หญิงน้อยโต้กลับด้วยใบหน้างอง้ำ

หากเป็นยามปกติองค์หญิงสิบสามคงพูดยั่วให้น้องสาวยิ่งฉุนโกรธ แต่หนนี้นางนิ่งเฉยไม่ต่อปากต่อคำเพราะรู้กาลเทศะ

องค์หญิงน้องเล็กคิดไม่ได้อย่างพี่สาว นางขัดใจที่ถูกเมิน พระบิดาเองก็ไม่เข้าข้าง มัวแต่สนทนากับบรรดาองค์ชายทั้งหลาย นางจึงหาเรื่องเรียกร้องความสนใจ ด้วยการวางตะเกียบ ในที่สุดฮ่องเต้ก็ทรงสังเกตเห็น

“อาหารไม่ถูกปากรึจินเฟิ่ง”

“ลูกว่าผักพวกนี้รสชาติแปลกๆ เพคะ”

จริงอย่างที่องค์หญิงสิบสี่ว่า ผักที่นำมาทำอาหารมื้อนี้ล้วนแต่เป็นของท้องถิ่นตามกระแสรับสั่ง แม้จะปรุงอย่างพิถีพิถันรสชาติก็ยังสู้อาหารที่รับประทานตามปกติไม่ได้

“ทุกคนกินได้ เจ้าก็ต้องกิน” ฮ่องเต้ทรงตำหนิ

องค์หญิงสิบสี่หน้าเสีย นางตั้งท่าจะร้องไห้ด้วยความน้อยใจ ฮ่องเต้ทรงรู้ว่าเข้มงวดเกินไป จึงตรัสกับพระธิดาด้วยสุรเสียงอ่อนลง ว่าวันนี้จะยอมยกให้สักวัน นางจึงค่อยยิ้มออก

“ไปบอกห้องเครื่องว่าให้หาอะไรที่อร่อยกว่านี้มาที”

มหาดเล็กเร่งออกไปด้านนอกตามบัญชา อึดใจเดียวอาหารก็ถูกยกมา หนนี้ก็ยังมีแต่ผักอีกเช่นเคย แถมยังเป็นซุปผักใส่เต้าหู้ท่าทางไม่น่ากินเลยสักนิด

องค์หญิงสิบสี่มองอาหารจานใหม่แล้วก็ทำหน้าเบ้ ทว่าก็ไม่กล้าเรียกร้องอีก นางตักซุปในชามขึ้นมาชิมแบบกล้าๆ กลัวๆ

“อร่อย!” องค์หญิงน้อยอุทานเมื่อน้ำซุปรสกลมกล่อมสัมผัสถูกลิ้น

ทุกคนเห็นแบบนี้แล้วก็เลยลองชิมดูบ้าง ผลคือมีเสียงชมไม่ขาดปาก จนฮ่องเต้ต้องมีรับสั่งถามว่าผักที่ใช้ปรุงอาหารจานนี้คืออะไร สบโอกาสให้คนที่แอบดูสถานการณ์อยู่ออกมาแสดงตัว

“ผักรั้วพะยะค่ะ” องค์ชายสามตอบคำถามให้แทนมหาดเล็ก

ผักรั้วของที่นี่เหมือนกับต้นตำลึงทุกประการ ต่างกันก็แต่ชื่อเรียกเท่านั้น

“รู้ดีอย่างนี้แสดงว่านี่คงเป็นอาหารฝีมือเจ้าอีกละสิ”

“ลูกขอประทานอภัยที่ไม่ได้แจ้งให้ทรงทราบก่อน ทั้งยังสับเปลี่ยนเครื่องเสวยโดยพลการ” องค์ชายสามรีบคุกเข่าอย่างรู้งาน

“ผักนี่มีปัญหาอะไร”

ลี่หมิงใช้คำว่า ‘สับเปลี่ยนเครื่องเสวยโดยพลการ’ แสดงว่ารายการอาหารนี้ต้องไม่ผ่านความเห็นชอบจากห้องเครื่อง

“ตัวผักไม่มีปัญหาพะยะค่ะ สามารถกินได้ ทั้งยังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย แต่คนไม่นิยมนำมาประกอบอาหารเพราะมีทัศนคติที่ไม่ดี”

“ทัศนคติ?” ฮ่องเต้ทรงทวนคำก่อนจะแย้มโอษฐ์ “เรื่องนี้น่าสนใจ เจ้าอย่าเพิ่งเฉลย ให้พวกพี่ๆ น้องๆ ได้แสดงความเห็นกันก่อน ว่าทำไมคนครัวถึงไม่กล้านำมาขึ้นโต๊ะ”

แม้แต่เวลาอาหาร ฮ่องเต้ก็ยังไม่วายหาเรื่องทดสอบบรรดาโอรส องค์ชายแต่ละองค์ผลัดกันแสดงความเห็น บ้างก็บอกว่าเป็นเพราะไม่รู้วิธีปรุง บ้างก็ว่าคนเชื่อว่ามีพิษ องค์รัชทายาทกับองค์ชายรองเดาได้ใกล้เคียงว่าเป็นอาหารสัตว์ ส่วนคนที่ตอบได้ถูกต้องและมีรายละเอียดครบถ้วนมากที่สุดก็คือองค์ชายห้า

“มันเป็นอาหารหมู”

“ท่านกล้าเอาอาหารหมูขึ้นโต๊ะเสวย” องค์ชายเจ็ดอุทานด้วยความตระหนก

ฮองเฮาถึงกับหน้าซีด ด้วยทรงหวั่นเกรงว่าพระสวามีจะกริ้ว แล้วก็จริงเสียด้วย ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นมาตรัสด้วยเสียงดัง

“เจ้ามีอะไรจะแก้ตัวไหมลี่หมิง”

“ลูกทำไปเพราะหวังดีพะยะค่ะ อาหารหมูเป็นแค่คำเรียก รสชาติมันออกจะดีทั้งยังมีประโยชน์แท้ๆ ทั้งยังหาได้ง่ายมาก แต่ชาวบ้านกลับไม่นิยมกินกัน เสด็จพ่อไม่คิดว่าน่าเสียดายหรอกหรือ ลูกเลยคิดว่าถ้าจะเปลี่ยนทัศนคติ ก็ต้องเริ่มจากผู้เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดินก่อน”

“ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่หากคนทั่วไปรู้ว่าฮ่องเต้เสวยของชั้นต่ำ มิเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติหรือ” องค์ชายรองค้าน

“เสด็จพ่อเป็นประหนึ่งสมมุติเทพ ใครเลยจะกล้านินทา” องค์ชายสามโต้กลับอย่างใจเย็น “อีกอย่างผักที่ข้านำมาก็ไม่ใช่ผักรั้วเสียทีเดียว ต้องเรียกผักวังถึงจะถูก”

องค์ชายสามอธิบายต่อว่าเจ้าผักนี่ขึ้นอยู่ในตำหนักพักร้อนของอดีตฮ่องเต้ นอกจากผักแล้วยังมีหัวมันและพืชผักป่าอีกหลายอย่างที่คนไม่นิยมกิน แต่กลับงอกงามทั้งที่ไม่มีใครดูแล องค์ชายลี่หมิงจึงเก็บกลับมาหมด อันไหนคนครัวยอมปรุงให้ก็ได้ขึ้นโต๊ะเสวย อันไหนที่ไม่ยอมก็แอบนำเข้ามาดังที่เห็น

“ระหว่างกลับจากการไปช่วยเหลือชาวบ้าน ลูกก็คิดมาตลอดว่าจะทำอย่างไรให้คนพวกนั้นกินดีอยู่ดีขึ้น ครั้นจะแนะนำให้ปลูกพืชชนิดใหม่อย่างเดียว ก็คงจำกัดกันอยู่ในกลุ่มคนจน นำมาขายแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราไม่ได้ หากเสด็จพ่อทรงอนุญาต ลูกอยากขอประทานนามพันธุ์พืชเหล่านี้ใหม่ แล้วแจกจ่ายให้กับชาวบ้านยากไร้ไปเพาะปลูก แทนข้าวและพืชผลที่ไม่เหมาะกับสภาพพื้นที่”

เมื่อได้รับฟังแผนการ ความขุ่นเคืองในพระทัยฮ่องเต้ก็เปลี่ยนไปเป็นความประทับใจ

“ดี...เจ้าทำได้ยอดเยี่ยมมาก ทุกคนจำเอาไว้ ต่อไปหากพ่อสั่งการอันใด ก็ต้องคิดต่อให้ได้อย่างลี่หมิง”

ฮ่องเต้ไม่เพียงแต่ตรัสชม ยังประทานรางวัลให้ด้วย ทว่าองค์ชายสามกลับไม่ขอรับเอาไว้

“ลูกมิกล้ารับความชอบเอาไว้คนเดียว หากไม่มีผู้ช่วยที่ดี งานนี้คงยากจะสำเร็จ”

“เรียกผู้ช่วยของเจ้าเข้ามา ข้าจะให้รางวัลด้วย”

ฮ่องเต้ต้องแปลกพระทัยอีกครั้งเมื่อได้พบหน้าผู้ช่วยทั้งสี่

“พวกเจ้าไม่ได้พักผ่อนหรอกรึ” ฮ่องเต้ตรัสถามองค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา

“คืนนี้พวกนางต้องกลับที่พักของฝ่ายในแล้ว จึงอยากทำอาหารถวายพะยะค่ะ ประจวบเหมาะกับลูกต้องการความช่วยเหลือพอดี” องค์ชายสามช่วยตอบคำถามให้

หลังจากเกิดเรื่องลอบสังหาร ฮ่องเต้ก็ทรงมีรับสั่งให้พระธิดากับหลานสาวอยู่ข้างพระวรกายตลอด เพิ่งอนุญาตให้กลับไปอยู่ในความดูแลของฮองเฮาวันนี้เอง เหมาะเจาะให้นำมาอ้าง

“พวกเจ้าช่างกตัญญูเสียจริง” ฮองเฮาตรัสชม

แว่นกับหน่อมก้มหน้ารับคำชมโดยไม่เอ่ยสิ่งใด หน่อมรู้สึกว่าตัวเองไม่สมควรได้รับรางวัลเพราะแทบไม่ได้ช่วยทำอะไรเลย นอกจากคอยเป็นลูกมือช่วยทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ส่วนแว่นรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เหตุการณ์มันฟ้องชัดเลยว่าองค์ชายสามจงใจให้พวกนางได้รับพระราชทานรางวัล

“แล้วเจ้าอีกสองคนเล่าทำหน้าที่อะไร”

“ไป๋หลินคอยช่วยเรื่องการคัดสรรวัตถุดิบ ส่วนฟางเซียนเป็นที่ปรึกษาและแม่ครัวเอกของลูก”

องค์ชายสามอวดอย่างภูมิใจว่านางคือคนทำขนมและชานมเย็นถวายพระบิดาเมื่อครั้งก่อน ฮ่องเต้จึงมีรับสั่งให้เงยหน้าขึ้น ความงามของฟางเซียนทำให้ทุกคนในที่นั้นพากันตกตะลึง โดยเฉพาะองค์ชายสี่ที่แทบจะละสายตาไปจากใบหน้านางไม่ได้

“เจ้ากล้านำอาหารหมูมาทำเครื่องเสวย ไม่กลัวจะถูกประหารรึ” ฮ่องเต้ตรัสถาม

“หม่อมฉันเกิดเป็นข้าแผ่นดิน หากทรงมองว่าเป็นการจาบจ้วง หม่อมฉันก็ยินดีถวายชีวิตให้”

ฮ่องเต้ทรงพยักหน้ารับอย่างพอพระทัยในคำตอบ สักอึดใจจึงก็ทรงหันไปทางองค์ชายสาม

“อยากได้อะไรก็ขอมาเถอะลี่หมิง พ่อจะตามใจสักหน”

ฮ่องเต้เอ่ยเช่นนี้เพราะเข้าใจว่าองค์ชายสามพึงใจสตรีสามัญชนนางนี้ จึงอยากแต่งงานด้วย เลยวางแผนให้นางมาเอาใจพระองค์ ด้วยหวังให้ทรงอนุญาต

ตามราชประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมา สตรีสามัญชนที่ไม่ได้สืบเชื้อสายมาจากขุนนางระดับสูงหรือราชนิกูลไม่สามารถขึ้นเป็นพระชายาได้ เว้นแต่ฮ่องเต้จะประทานอนุญาต

“ถ้าเช่นนั้นลูกขอให้พวกนางทั้งสี่ได้เที่ยวชมเมืองห่าวซินสักสามสี่วัน”

“เท่านี้รึ” ฮ่องเต้ทรงประหลาดใจที่คำขอกลับกลายเป็นเรื่องเล็กน้อย

“ในระหว่างนั้นต้องมีองค์ชายติดตามไปดูแลด้วยพะยะค่ะ”

“เจ้านี่มันจริงๆ เลย” ฮ่องเต้ส่ายพระพักตร์อย่างอ่อนใจ “เอาการเอางานได้ครู่เดียวเท่านั้น เผลอไม่ทันไรก็หาเรื่องเที่ยวเล่นแล้ว”

“องค์ชายที่ว่าไม่ใช่ลูกพะยะค่ะ ลูกยังมีหน้าที่ดูแลชาวบ้านอยู่ เลยอยากจะขอยืมแรงน้องห้าสักหน่อย”

นามขององค์ชายห้าทำแว่นสะดุ้งเฮือก

‘พี่สาม ฉันไปทำอะไรให้พี่เจ็บแค้น ทำไมถึงขยันยัดเยียดแพนด้าให้ฉันนัก’

แว่นภาวนาว่าขอให้องค์ชายห้าติดงาน ไม่ก็ฮ่องเต้ไม่ทรงอนุญาต ทว่าเรื่องทุกอย่างกลับเป็นไปอย่างเรียบร้อยตามความตั้งใจองค์ชายสาม

องค์ชายจอมเจ้าแผนการไม่เพียงแต่ไม่เห็นใจแว่น ยังมีการมาแอบกระซิบในตอนท้ายให้ผวาเล่นด้วย

“หัดศึกษานิสัยว่าที่สามีเอาไว้หน่อย ก็ไม่เลวนะจริงไหม”



แผนการขององค์ชายสามดำเนินไปอย่างช้าๆ โดยไม่มีใครคาดเดาออก มีเพียงฟางเซียนซึ่งติดตามเขามาหลายวันเท่านั้นที่รู้ว่าวัตถุประสงค์ขององค์ชายลี่หมิงคือต้องการแก้แค้น องค์ชายสามออกคำสั่งให้ผีเสื้อโลหิตไปขุดรากถอนโคนพวกนักฆ่าที่ยังเหลือรอดกับตน แม้จะดับลมหายใจของพวกมันได้หมด ใจของชายหนุ่มก็ยังไม่สงบ องค์ชายลี่หมิงปรารถนาจะมอบบทเรียนอันแสนเจ็บแสบให้สกุลเหอ จึงพุ่งเป้าไปที่การจัดการเก็บกวาดบรรดาญาติสนิททั้งหลาย

ด้วยกำลังพลและความสามารถในตอนนี้ การลอบสังหารบุคคลเหล่านั้นถือเป็นเรื่องง่าย แต่องค์ชายสามก็ไม่คิดทำ หากมีใครสักคนตายไป สกุลเหอก็จะหาคนใหม่มาทำหน้าที่แทนอยู่ดี สู้ทำให้ชื่อเสียงเสียหายจดหมดหนทางฟื้นตัวจะสะใจกว่า

สกุลเหอมีผู้คนมากมาย ขุนนางตงฉินก็มี ที่ลุ่มหลงในอำนาจก็เยอะ องค์ชายสามมั่นใจว่าสามารถหาหลักฐานความผิดของคนเหล่านั้นได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาในการรวบรวม จึงวางแผนกันตัวเองให้อยู่ห่างจากสายพระเนตร เพื่อให้ทำงานได้สะดวกขึ้น

แม้โมโหปานใด องค์ชายลี่หมิงก็ยังไม่ลืมสัญญาที่ให้ไว้กับมารดาว่าจะคอยขัดขวางองค์ชายห้าไม่ให้ได้สัตว์พันปีไป จึงออกอุบายให้องค์ชายห้าไปคอยดูแลน้องสาวทั้งสองในเขตเมืองที่ไม่มีทางพบสัตว์พันปี ส่วนที่ให้ฟางเซียนกับไป๋หลินไปด้วยเพราะเห็นว่าทั้งคู่มีความสามารถสูง คนหนึ่งเป็นมือสังหาร ในขณะที่อีกคนเป็นจอมยุทธ์หญิง ย่อมปกป้องลี่จูได้ดีกว่านางกำนัลที่อ้อนแอ้นบอบบาง

กำหนดวันเดินทางท่องเที่ยวเมืองห่าวซินของทั้งสี่คือวันมะรืน จึงเท่ากับว่ามีเวลาพักสองคืนก่อนต้องเดินทางอีกครั้ง เรื่องข้าวของสำหรับเดินทางมีคนจัดเตรียมเอาไว้ให้พร้อมสรรพแล้ว แว่นเห็นว่าตั้งแต่เดินทางมาจนยังวันนี้ก็ยังไม่มีโอกาสถวายรับใช้ฮองเฮาเลยสักหน จึงชวนหน่อมไปเข้าเฝ้าพระนางในตอนสาย

ระหว่างที่พากันเดินมานี้ แว่นบังเอิญสวนกับนางกำนัลผู้หนึ่ง เมื่อเห็นองค์หญิงลี่จูนางกำนัลแปลกหน้าก็หยุดทำความเคารพด้วยกิริยาชดช้อนงดงาม เป็นเหตุให้แว่นมีโอกาสพิจารณาดวงหน้าของอีกฝ่าย หากองค์หญิงลี่จูได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับหนึ่งในวังหลวง นางกำนัลคนนี้ก็สามารถคว้าที่สองได้สบาย นางมีดวงตาชั้นเดียวที่ดูมีเสน่ห์ ปากนิด จมูกหน่อย จิ้มลิ้มพริ้มเพรา แว่นเห็นแล้วก็อดส่งยิ้มให้ไม่ได้ ทว่าอีกฝ่ายกลับทำเป็นมองไม่เห็น แล้วเดินหนีไปดื้อๆ

“คนเมื่อกี้ใครน่ะ” แว่นกระซิบถาม

“ท่านหญิงฮุ่ยเสียน เป็นธิดาของมหาอำมาตย์”

แว่นจำได้ว่ามหาอำมาตย์เป็นอาของฮ่องเต้ นางมีชาติตระกูลสูงโดยกำเนิดนี่เองถึงได้ดูหยิ่งนัก

“ฮุ่ยเสียนนิสัยดีนะ ใครๆ ก็ชอบนาง” หน่อมให้ข้อมูลเพิ่ม

แว่นตั้งท่าจะแย้งแต่ต้องชะงักก่อนเพราะเห็นว่าฮองเฮากำลังเสด็จมาทางนี้ พระนางกำลังจะไปที่วิหารเพื่อสวดมนต์ จึงชวนให้ไปด้วยกัน

ที่พักของฝ่ายในตั้งอยู่ในเขตของสำนักชี ซึ่งอยู่ติดกับบ่อน้ำร้อน ในวิหารขนาดย่อมมีรูปปั้นเจ้าแม่ชุดขาวสลักจากหยกประดิษฐานอยู่ รูปสักการะนี้มีขนาดเท่ากับสตรีร่างระหงนางหนึ่ง รายละเอียดทุกอย่างประณีตบรรจงราวกับมีชีวิต แม้จะไม่โด่งดังอย่างวัดกตัญญูแต่ก็ขึ้นชื่อเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะการมาบำเพ็ญบุญเพื่ออธิษฐานของบุตร

“นอกจากขอลูกแล้ว ยังอธิษฐานเรื่องคู่ครอง หรือสุขภาพก็ได้ พวกเจ้าต้องเดินทางพรุ่งนี้ ข้าจะช่วยสวดมนต์ให้อีกแรงนะ”

“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา” แว่นกับหน่อมเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

ในจังหวะที่กำลังลุกขึ้น องค์หญิงเหวินหงก็ตามมาสมทบพร้อมกับเสียงโอดครวญ

“ลูกยังง่วงอยู่เลย วันนี้ขอพักสักวัน ให้คนอื่นสวดแทนไม่ได้หรือเพคะ”

“เรื่องของตัวเองก็ต้องจัดการเองสิ ขี้เกียจแล้วเมื่อไรเจ้าแม่ท่านจะเมตตาประทานบุตรให้”

“ลูกไม่ได้รีบร้อนอยากตั้งท้องสักหน่อย รอเหวินหรงแต่งงานแล้วค่อยมีลูกพร้อมกันก็ได้”

สตรีโดยทั่วไปแต่งงานออกเรือนไปแล้วก็ล้วนอยากมีบุตร ทว่าองค์หญิงเหวินหงกลับไม่ใส่ใจในเรื่องนี้ จะว่าเข้ากันกับสามีไม่ได้ก็ไม่ใช่ เพราะนางแต่งงานด้วยความสมัครใจ ฮองเฮาจึงทรงบ่นบ่อยๆ ว่าพระธิดายังห่วงเล่นและใจเย็นเกินไป

“หยุดหาข้ออ้างแล้วตามแม่ไปสวดมนต์เสียดีๆ” ฮองเฮาทรงเอ็ดเมื่อเห็นว่าลูกสาวตัวดีกำลังหาเรื่องให้หลงประเด็น

องค์หญิงเหวินทำหน้าสลดเมื่อหนีการสวดมนต์อันแสนน่าเบื่อไม่พ้น นางถอนหายใจออกมาแล้วเดินตามพระมารดาไปอย่างเนือยๆ กระนั้นก็ยังไม่วายขยิบตาให้แว่นแทนการทักทาย



แว่นมีโอกาสได้เจอท่านหญิงจอมหยิ่งอีกครั้งที่ด้านในวิหาร นางกำลังเตรียมอุ่นเบาะรองนั่งเอาไว้ให้ฮองเฮา เวลานางทำงานร่วมกับคนอื่นก็ดูน่ารักเรียบร้อยดี ทั้งยังมีน้ำใจเตรียมเบาะรองนั่งอุ่นๆ เอาไว้ให้ด้วย มาเจอกันหนนี้นางเป็นฝ่ายส่งยิ้มหวานหยดมาให้ก่อน จนแว่นหลงคิดว่าตัวเองอาจเข้าใจผิด

ท่านหญิงหน้าหวานมาออกลายอีกครั้ง ก็ตอนที่ฮองเฮากับองค์หญิงเหวินหงชวนกุ้ยฮวากับองค์หญิงลี่จูไปแช่น้ำร้อนด้วยกัน ฮองเฮากับองค์หญิงเหวินหงแช่น้ำร้อนกันทุกวันหลังจากสวดมนต์เสร็จ แต่กุ้ยฮวากับองค์หญิงลี่จูยังไม่เคยแช่ ฮองเฮาเกรงว่าร่างกายจะปรับตัวไม่ได้ จึงมีรับสั่งให้แช่น้ำแค่ขา แล้วให้ท่านหญิงฮุ่ยเสียนเป็นคนนำทางไปยังบ่อแช่เท้าที่น้ำไม่ร้อนมาก

ฮุ่ยเสียนดูแลองค์หญิงลี่จูเป็นอย่างดี แต่กลับทำเหมือนกุ้ยฮวาไร้ตัวตน ครั้นจะโทษนางว่าเลือกปฏิบัติก็ไม่ได้เพราะลำดับฐานันดรของท่านหญิงฮุ่ยเสียนอยู่สูงกว่ากุ้ยฮวาหลายขั้น แว่นไม่อยากต่อกรด้วยจึงปล่อยเลยตามเลย เขาเดินสำรวจเพื่อหามุมส่วนตัวสำหรับแช่ขา ในที่สุดก็เจอที่นั่งเหมาะๆ แถมยังมีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ให้ใช้ต่างพนักพิง จึงเอาผ้าปูรองนั่งมาวาง ยังไม่ทันได้หย่อนขาลงไปในน้ำอุ่น หูก็แว่วเสียงกระพือปีกของแมลงดังอยู่ไม่ใกล้ไม่ใกล้

“เสียงเหมือนผึ้งเลย”

ทักไม่ทันขาดคำ ต่อสีดำเหลืองก็บินผ่านหน้าไป แว่นไม่มั่นใจว่ามันเป็นต่อหัวเสือหรือเปล่า เพราะมันบินเร็วเกินกวาจะสังเกตได้

ในขณะที่กำลังสงสัย ข้อความในหนังสือที่หลิ่งปินให้ไว้ก่อนออกเดินทางก็แวบเข้าหัวมาในหัว สิ่งที่หมอเทวดาให้มาไม่ได้มีแต่คู่มือสมุนไพรเท่านั้น แต่ยังมีคำเตือนและวิธีการเอาตัวรอดในถิ่นนี้ด้วย

‘หากจะแช่น้ำพุร้อน ให้ระวังอุณหภูมิของน้ำและสัตว์มีพิษให้ดี โดยเฉพาตัวต่อ’

ท่านหมอเขียนเตือนเอาไว้ว่าต่อให้เจอตัวเดียวก็ต้องรีบหนี เพราะต่อพวกนี้จะเรียกพวกมาทันทีถ้าหากมีใครเผลอไปทำร้ายมันเข้า

“ลี่จู ขึ้นจากน้ำกันเถอะ แถวนี้มีตัวต่อด้วย”

“ก็แค่แมลงตัวจ้อย ข้าเห็นมันบินอยู่แถวนี้ทุกวัน ไม่เคยทำร้ายใครสักที” ฮุ่ยเสียนว่า นางมองมาด้วยสายตาดูแคลนว่ากุ้ยฮวาช่างเป็นคนขี้ขลาดเสียจริง

“นั่นเพราะยังไม่เคยมีใครทำร้ายมันก่อนต่างหาก ถ้าทำให้ตกใจหรือเผลอไปฆ่ามันเข้า มันจะเรียกพวกมาทั้งรัง” แว่นชี้แจง

“เจ้าไปฟังมาจากไหนกัน ข้าไม่เห็นเคยได้ยินว่ามีต่อแบบนี้อยู่” กล่าวจบก็หันไปกดไหล่องค์ลี่จูให้นั่งลงดังเดิม “อย่าตื่นตระหนกตามเลยเพคะ แช่น้ำให้สบายใจดีกว่า”

“เจ้าไม่กลัวก็อยู่ต่อคนเดียวสิ ลี่จูไม่จำเป็นต้องเสี่ยง...” แว่นชะงักเมื่อต่อตัวที่สองบินผ่านหน้าไป

ไม่ทันได้คิดอะไรตัวที่สามสี่และห้าก็บินตามมาติดๆ แว่นรีบหนีจากจุดที่เป็นเส้นทางบินของบรรดาตัวต่อทั้งหลาย สังเกตจากที่พวกมันบินไปในทิศทางเดียวกัน แสดงว่าคงมีใครเผลอไปฆ่าตัวต่อเข้า ถ้าจำไม่ผิดข้างหน้านี้น่าจะเป็นบ่อน้ำร้อนสำหรับแช่ตัว

“แย่แล้ว! ฮองเฮากำลังตกอยู่ในอันตราย” แว่นร้องลั่นก่อนจะรีบวิ่งไปเตือนแบบไม่คิดชีวิต “ทุกคนรีบหนีเร็ว ฝูงต่อกำลังมาทางนี้ รีบหนีเร็วเข้า”

เสียงเตือนของแว่นดังไปถึงบริเวณที่ฮองเฮาทรงแช่น้ำอยู่ องค์หญิงเหวินหงจึงช่วยพาพระมารดาขึ้นจากน้ำ หนีไปยังจุดปลอดภัยได้ทัน กระนั้นก็ยังมีนางกำนัลเหลือตกค้าง บางคนโดนต่อยไปหลายแผล พวกที่ตกใจก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนจนล้มกลิ้งบาดเจ็บ

แว่นมาถึงได้จังหวะพอดี จึงตะโกนบอกวิธีเอาตัวรอด

“หาผ้ามาคลุมหัวเอาไว้แล้วกระโดดหนีลงไปในบ่อน้ำแร่ ไอน้ำกับความร้อนจะทำให้พวกต่อถอยห่างไปเอง”

พวกนางกำนัลรอดชีวิตอย่างหวุดหวิดเพราะคำแนะนำของแว่น กระนั้นก็ใช่ว่าจะปลอดภัย พวกต่ออารมณ์เสียยังคงวนเวียนอยู่รอบบ่อน้ำแร่อย่างอาฆาต ถ้าไม่หาทางไล่พวกมันไปก็อย่างหวังเลยว่าจะขึ้นจากบ่อได้

โลกนี้ไม่มียาฆ่าแมลงที่ทำจากสารเคมี หรือต่อให้มีก็คงไม่มีใครบ้าพกชิลด์ท้อกซ์มาแช่น้ำแร่ด้วย แว่นเลยต้องเร่งคิดหาวิธีอื่น ก่อนที่พวกนางกำนัลจะถูกต้มจนเปื่อยในบ่อน้ำแร่ ยังไม่ทันได้คิดออก ตุ๊ดน้ำใจงามแต่ดวงซวยก็มีอันต้องงานเข้า เมื่อบรรดาฝูงต่อทั้งหลายเปลี่ยนเป้าหมายมาทางมนุษย์หนึ่งเดียวที่ยังยืนเด่นเป็นสง่าอยู่

ถ้าไม่หนีก็ต้องหาทางสู้กับเจ้าพวกนี้ให้ได้ ระดับหัวกะทิอย่าแว่น แถมยังฉลาดเลิศที่สุดในบรรณภพ ก็ต้องหาทางออกที่ดีที่สุดให้ตัวเองได้อยู่แล้ว

‘โดดน้ำหนีสิคะ จะไฟต์ทำไมให้โง่’

++++++++++++++++++++++++++++++++++++
สวัสดีท้ายบทค่ะ ไม่ได้เจอกันนานคิดถึงกันไหมเอ่ย? เอาตอนนี้มาลงให้หายคิดถึงค่ะ
ตามสัญญาว่าจะมาหลังปีใหม่ค่ะ แต่ตอนต่อไปขอเว้นช่วงไปอีกระยะนะคะ
งานไม่เสร็จอย่างจริงจัง T^T เดทไลน์สิ้นเดือนค่ะ ขาดอีก 85 หน้า (ร้องไห้แป๊บ)
พบกันเมื่อทุกอย่างลงตัวนะคะจุ๊บๆ





นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ม.ค. 2558, 17:02:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ม.ค. 2558, 17:11:44 น.

จำนวนการเข้าชม : 1353





<< ส่งใบลา+เมาท์มอยที่มาของตุ๊ดแต่ละนางค่ะ   สัตว์พันปี : บทที่ ๕ ทุกขลาภ >>
ใบบัวน่ารัก 21 ม.ค. 2558, 19:20:21 น.
มาแล้วดีจายหลายๆๆ
มาแล้วห้ามหายไปอีกนะ หือๆๆๆ


Zephyr 21 ม.ค. 2558, 20:44:14 น.
นานจนลืมแล้วอ่าโน้ม
อ่านใหม่ดีกว่า
ออกเล่มเร็วๆน้าาาาาา รอๆๆๆๆ


นักอ่านเหนียวหนึบ 21 ม.ค. 2558, 23:57:28 น.
เอ่ออออ ลงน้ำอีกละหราาา น้ำร้อนด้วยยย รอใครมาช่วยผายปอดอีกป่าววว 55


ribbin 22 ม.ค. 2558, 06:55:04 น.
เย้ กลับมาแย้วววว


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account