หิรัญมยุรา
หนึ่งสง่างามเยี่ยงบุรุษกล้า ร้อนแรงดั่งมณีแห่งทิวา เหี้ยมหาญดุจราชสีห์
หนึ่งงดงามกว่าอิสตรี เยือกเย็นดุจมณีแห่งรัตติกาล อำมหิตเยี่ยงอศิรวิษ
สองผู้ทรงอำนาจ ประกาศ "ข้าไม่มีหัวใจให้สตรีใด"
เหตุใดเล่าเหตุใด ...สองหทัยสยบอยู่ใต้บาทของสตรีนางเดียว!
หนึ่งงดงามกว่าอิสตรี เยือกเย็นดุจมณีแห่งรัตติกาล อำมหิตเยี่ยงอศิรวิษ
สองผู้ทรงอำนาจ ประกาศ "ข้าไม่มีหัวใจให้สตรีใด"
เหตุใดเล่าเหตุใด ...สองหทัยสยบอยู่ใต้บาทของสตรีนางเดียว!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: (เริ่มเขียนใหม่ค่ะ) บทนำ : ภาพแห่งชีวิต
ก่อนอื่นต้องขออภัยผู้ที่ติดตามหิรัญมยุราเวอร์ชั่นเก่านะคะ เพราะสร้อยเหวี่ยงต้นฉบับทิ้งไปยี่สิบห้าหน้าและเริ่มเขียนใหม่ทั้งหมด เนื่องจากเนื้อเรื่องเก่ามันอืดอาดยืดยาดเกินไปค่ะ เวอร์ชั่นใหม่เล่าตรงๆ เล่าเร็วกว่าเดิม
คิดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว แต่เพราะตอนนี้ยังเขียนด้นสดอยู่ มาช้าบ้างอะไรบ้าง ขออภัยไว้อีกเรื่องนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องนี้ค่ะ
สร้อยดอกหมาก
-------------------------------------------------
บทนำ
ภาพแห่งชีวิต
ทิวาและรัตติกาลเป็นเช่นสายธารไหลรินไปไร้สุ้มเสียง เพียงชั่วอึดใจ ปัจจุบันจะกลายเป็นอดีตแล้วเคลื่อนคล้อยลอยผ่าน ปีแล้วปีเล่าวนเวียนเป็นวัฎจักร จากวัสสานะสู่เหมันต์วาระ จากคิมหันต์กลับสู่วสันตฤดู จากดวงจักษุอันเคยแวววาวสดใสในวัยสาวสู่นัยน์ตาฝ้าฟางของวัยชรา
นางเหม่อมองท้องฟ้า ภาพเมฆาขาวพิสุทธิ์เบื้องหน้าบัดดลแปรเปลี่ยนเป็นมวลกลีบบุปผาหลากสี เหตุใดหนอ..เหตุใด เมื่อย่างเข้าใกล้ลมหายใจสุดท้าย โสตประสาทอันเงียบงันจวนเจียนจะดับกลับแว่วเสียงกลุ่มชนร้องเรียกนามที่ถูกกลบฝังของนาง
‘อัปสรพิณสวรรค์! นางอัปสรพิณสวรรค์แห่งศวระ!’
ยามหยดน้ำหยาดลงจากหางตา ริมฝีปากแห้งผากแย้มเผยอเพียงน้อย นึกถึงอดีตอย่างอ่อนโยนและเลื่อนลอย
ยามนั้น นางคือหญิงสาวแรกรุ่นสะคราญโฉม ร่างแบบบางสวมอาภรณ์ไหมสีมรกตปักด้วยลูกปัดทองคำจนหนักอึ้งไปทั้งตัว กำลังยืนอย่างสงบสำรวม ณ เบื้องพระพักตร์ของกษัตริย์แห่งศวระ ต่อหน้าทูตานุทูตจากต่างอาณาจักรและต่อหน้าปวงชนต่างชาติพันธุ์ที่หลั่งไหลเข้าสู่เมืองศรีศวรี ราชธานีแห่งศวระด้วยความปรารถนาที่จะได้ชมโฉมหน้านางคีตธรหลวง สตรีที่ถูกเรียกขานไปทั่วหล้าว่านางอัปสรพิณสวรรค์ สตรีที่จอมปราชญ์แห่งแคว้นอัครายังเคยยกย่องว่า
‘มาตรว่านางเป็นคีตธรก็หาใช่คีตธรแห่งพื้นพิภพนี้ไม่ นางคือเทพธิดาสมนามอัปสรพิณสวรรค์ หัตถ์แบบบางแห่งนางอัญเชิญคีตการจากฟากฟ้า หาใช่ดนตรีที่มนุษย์ธรรมดาสามารถบรรเลงได้’
ใจอันใกล้สงบพลันกระตุกเมื่อรอยพระเนตรคมดุผ่านเข้ามา
น้ำตาคลอ มือนางชาเพราะเพิ่งตบถูกพระพักตร์ของเจ้าชายรัชทายาทแห่งแคว้นศวระ พระองค์คว้าข้อมือกระชากร่างนางเข้ามากอดแนบพระอุระ อันธพาลผู้ทรงอำนาจทรงพระสรวลกึกก้องเมื่อนางออกแรงผลักไส
“ช่างงามนัก ช่างกล้านัก นางคีตธรหลวงของพระบิดา อย่าคิดว่าข้าจะกล้าแค่จูบเจ้า!”
มาบัดนี้ แคว้นศวระได้ล่มสลายลงไปแล้ว แม้แต่ชายผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระสวามีของนางก็มิได้กลับบ้าน กาลเวลาไหลรินไปพร้อมกับธารน้ำตา นานช้า..นานช้าเหลือเกินสำหรับช่วงเวลาแห่งความโดดเดี่ยวทุกข์ทรมาน นานช้ากว่าสี่สิบปีถัดจากค่ำคืนที่ความมืดไร้ที่อาศัยและเปลวไฟสว่างไสวบุกเข้าทำลายล้าง มาบัดนี้ชีวิตนางคงใกล้จะสิ้นสุดลง
นางเอื้อนเอ่ยกับดรุณีข้างกาย
“ชาณ..ชาณธรี จงพาข้าไปนอนบนแคร่ไม้นอกบ้าน เมื่อข้าสิ้นใจ เจ้าจะได้สุมฟืนจุดไฟเผาร่างข้าตรงนั้น”
--------------------------------------------------
ป่าใหญ่เต็มไปด้วยแมกไม้หนาทึบ หากแลแต่ไกลในราตรี คงมีเพียงแสงไฟกะพริบวิบวาวอยู่ในความมืด
อิลลานางเสือดำถอยหลังก้าวห่างจากแสงสว่าง คำรามเรียกร่างน้อยที่คุกเข่าเบื้องหน้ากองไฟให้ถอยออกมาด้วยกัน แต่ร่างนั้นไม่ขยับ มือบางยังคงโยนฟืนเข้าไป น้ำตายังคงรินไหล จวบจนอรุโณทัย เปลวไฟจึงมอดดับ ทุกสิ่งหลงเหลือเพียงเถ้าถ่านสีเทาขาวที่ยังร้อนระอุ
ชาณธรีทิ้งกายลงร้องไห้ ไหล่สั่นสะท้าน ความโศกเศร้ามหาศาลมิอาจทำให้นางคิดถึงสิ่งใด นอกจากคำพูดเก่าก่อนของหญิงชราผู้จากไป ผู้ชุบเลี้ยงนางมาตั้งแต่เยาว์วัย
‘เมื่อบางสิ่งยุติ บางสิ่งจะเริ่มต้นใหม่ เมื่อแคว้นศวระถึงจุดสิ้นสุดคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวไกลของข้า วันที่ข้าจากที่นั่นมา ข้าเชื่อเช่นนั้น’
‘เหตุผลที่ก่อนหน้านี้ ข้าไม่อาจบอกนามของข้าแก่เจ้าเพราะนามของข้าเคยเป็นนามของสตรีนางหนึ่งซึ่งอมันตรามหารานีของครีษมายันได้ขอร้องพระสวามีของนางว่าแม้ทำลายแคว้นศวระแต่จงอย่าทำอันตรายนางเพราะนางคือเพชรรัตน์แห่งหมู่คีตกร นางคือนักดนตรีที่ในพิภพนี้ไม่มีใครทัดเทียมฝีมือของนางได้’
‘นามในอดีตของข้าคืออัปสรพิณสวรรค์ ข้าคือนางคีตธรหลวงแห่งแคว้นศวระที่ล่มสลาย ด้วยเหตุนี้ชั่วชีวิตของข้าจึงมิอาจก้าวออกจากป่าแห่งนี้ได้ กษัตริย์แห่งอัคราตามล่าข้าและข้าไม่อาจตกเป็นทรัพย์สินประดับบารมีของชายหญิงที่สังหารพระสวามีและทำลายอาณาจักรของพระองค์ ถึงกระนั้นข้าก็มิอาจตายเพราะสายพระโลหิตของเจ้าชายรัชทายาทแห่งศวระกำลังหลับใหลอยู่ในกายข้า ข้าจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่เพื่อให้กำเนิดเด็กคนนี้’
‘แต่แล้ว..ในป่าแห่งนี้นี่เองที่ข้าสูญเสียลูกสาวของข้าไป’
นางเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ ‘แม่ครู’ เก็บมาเลี้ยง ถึงกระนั้นในนาทีสุดท้าย สตรีผู้มีพระคุณอย่างยิ่งใหญ่ต่อนางกลับมอบสิ่งของที่รักที่สุดให้
‘พระธำมรงค์ทองคำประดับด้วยไพลินน้ำงามสีฟ้าใส เจ้าชายรัชทายาทแห่งศวระทรงถอดจากพระกนิษฐาประทานให้ในครั้งแรกที่ข้าเล่นดนตรีถวาย แหวนวงนี้ข้าสวมติดนิ้วไว้ตลอดเวลา วันนี้ข้ายกให้เจ้า ลูกปัดทองคำยังเหลือไว้ให้เจ้าใช้ ไม่ว่าเจ้าจะอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้หรือไม่ จงรับปากข้าสองเรื่อง หนึ่งอย่าขุดเอาเหรียญทองของศวระออกไปใช้เพราะแม้อัคราจะผ่านพ้นรัชสมัยของครีษมายันมาแล้วแต่บัญชาที่บงการให้ทำลายล้างทุกสิ่งของศวระยังคงอยู่’
‘และสอง เจ้าไปที่กเวนทราไม่ได้ จงจำไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงชีวิตนี้ของเจ้า รับปากข้าว่าเจ้าจะไม่ย่างเท้าเข้าสู่แคว้นกเวนทราอย่างเด็ดขาด!’
นางลงมือเก็บเถ้าอัฐของผู้มีพระคุณ ดวงตาสีแดงก่ำหันไปมองนางเสือดำที่ก้าวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากพยายามยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก พี่อิลลา ข้าพยายามจะเข้มแข็งและเมื่อถึงเวลา ข้าจะเข้มแข็งได้ พี่ไปเถิด”
แววตาของนางเสือละล้าละลังระหว่างมนุษย์ที่เติบโตมาด้วยกันกับดวงตานิ่งสนิทของเสือดำหนุ่มและดวงตาละห้อยหาของลูกเสือดำตัวน้อยที่กำลังหิวนม ชาณธรีหัวเราะ นางเก็บอัฐของแม่ครูใส่ไหแล้วฝังดินลงในหลุมที่เต็มไปด้วยเหรียญทองกษาปณะของศวระ สีหน้าเศร้าหมองเมื่อก้มลงหยิบทองหนึ่งเหรียญขึ้นมาพิจารณา ปากพึมพำกับแม่เสือที่นอนให้นมลูกอยู่ไม่ห่างว่า
“แม่ครูเป็นชาวศวระ ศวระแพ้สงครามในศึกอัครา แต่ก่อนหน้านั้นศวระก็เป็นข้าขอบขัณฑสีมาของแคว้นอัคราอยู่แล้ว มันหมายความว่าอย่างไร รู้หรือไม่ พี่อิลลา มันหมายความว่าทุกสามปี แคว้นประเทศราชพวกนี้จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการและทาสเป็นชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งพันคนไปสู่อัครานครเพื่อถวายแด่กษัตริย์แห่งมหารัฐอัคราที่บัดนี้ถูกเรียกว่าจอมจักรพัตราธิราช กษัตริย์เหนือกษัตริย์ ราชาเหนือราชา แต่เมื่อศวระแพ้สงคราม ศวระไม่ได้อยู่ในฐานะแคว้นในอาณัติของอัคราอีกต่อไปแล้ว แต่ชาวศวระที่เหลือรอดจากสงครามในครั้งนั้นอยู่ในภาวะที่เลวร้ายมากกว่านั้น”
นางวางเหรียญทองของศวระลงพลางกลบดิน จากนั้นก็นั่งกอดเข่า กำมือกัดข้อนิ้ว แม้จะพยายามต้านทานความโศกเศร้า เฝ้าครุ่นคิดว่านางจะสามารถอยู่ในป่าตามลำพังอย่างไร เมื่อคิดว่าจะไปก็นึกสงสัย ป่าแห่งนี้มิได้อยู่ห่างไกลจากแคว้นกเวนทรา เหตุใดแม่ครูจึงไม่ยอมให้นางไปที่นั่น
“หากข้าจะออกจากป่า ตามหาโชคชะตาของข้า แม่ครูคงอยากให้ข้าไปที่อัครา”
หญิงสาวหลับตา แม่ครูของนางหรือนางอัปสรพิณสวรรค์ อดีตนางคีตธรหลวงแห่งแคว้นศวระ ชีวิตของสตรีนางนั้นผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านพ้นทั้งความรักและความสูญเสียที่ตราตรึงไว้จนวันสุดท้ายของชีวิต งดงามดุจภาพวาดที่ศิลปินแต่งแต้มสีสันอย่างประณีตละเอียดลออ
ด้วยเหตุนี้แม่ครูจึงอดทนมีชีวิตแม้จะสูญเสียชายที่รัก
‘ชีวิตคนเราอุปมาดั่งภาพภาพหนึ่ง หลากสีสัน หลากหลายลายเส้น ตวัดและแต่งแต้มหลอมรวมเป็นภาพวาดอันงดงาม ข้าอดทนต่อความทุกข์ยากทรมานเพื่อปรารถนาจะได้เห็นภาพชีวิตของข้าเมื่อหยาดสีสุดท้ายถูกแต่งแต้มซึ่งข้าจะมองเห็นมันในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ข้าจะตาย ข้าต้องอดทนและรอคอย’
จากทิวาสว่างจ้าสู่ยามสนธยา ชาณธรียังคงนั่งกอดเข่าอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับเขยื้อน ดวงตายังคงฉ่ำชื้น คำถามล่องลอยอยู่ตรงหน้ามากมาย
‘แม่ครู ข้าเฝ้าอยู่ข้างกายท่าน จำได้ว่าเห็นท่านร้องไห้ ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านเห็นสิ่งใดบ้าง
แล้วตัวข้า ก่อนที่ข้าจะสิ้นใจ ข้าจะเห็นใคร ใครจะอยู่ในหัวใจของข้า
ข้าเชื่อคำพูดของแม่ครูที่ว่าชั่วชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งเป็นปริศนา ถึงกระนั้นแม่ครูก็ยังรู้ว่าแม่ครูเป็นใคร มาจากไหน ภาพวาดของแม่ครูมีสีสัน แม้จะปะปนด้วยสีเทาดำแห่งความทุกข์ตรมแต่ก็ยังปรากฏเป็นภาพ ทว่าของข้ากลับยังคงเป็นสีขาว ไร้เส้น ไร้สี เพราะข้าเป็นเด็กกำพร้า ข้าไม่เคยรู้ว่าพ่อแม่ของข้าเป็นใคร ข้าเป็นคนที่ไหน เป็นชาวอัครา กเวนทราหรือศวระ หรือกุรุนทร์ที่ล่มสลายไปแล้วหรือไม่ใช่ทั้งหมด
เพราะเหตุใดท่านจึงไม่ให้ข้าไปกเวนทรา และตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะยากลำบากขาดแคลนสิ่งใด ท่านก็ไม่ยอมพาข้าเดินทางไปซื้อหาข้าวของจำเป็นที่นั่น
แคว้นกเวนทรามีสิ่งใดที่ท่านหวาดกลัวหรือ
เหตุใดท่านจึงกล่าวคล้ายให้ข้าเดินทางไปยังแคว้นอัคราหากข้าปรารถนาจะไปจากที่นี่’
ค่ำคืนเคลื่อนมา คืนนี้มุกมณีจันทรามีสัญฐานเป็นทรงกลมส่องแสงกระจ่างสว่างนวล หญิงสาวคนเดียวในป่าใหญ่เหม่อมองขณะเก็บข้าวของลงห่อผ้า เมื่อถึงเวลาอุษาโยค นางก้าวลงมาหาสองเสือดำที่กำลังกกลูกนอน กล่าวอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ
“พี่อนิล พี่อิลลา แม้แม่ครูจะกล่าวว่ามนุษย์นั้นน่ากลัวนัก พวกเขาสามารถสร้างความจริงให้เหมือนความลวงและสร้างความลวงให้เหมือนความจริงได้อย่างแนบเนียนยิ่งกว่ากิ้งก่าที่สามารถเปลี่ยนสีตนเองตามสีของเปลือกไม้ที่เกาะอยู่ แต่เพราะข้าไม่อาจทนอยู่กับความโดดเดี่ยวเดียวดายในป่าแห่งนี้ได้ ข้าจึงต้องไป ข้ารู้ว่าอันตราย ข้ารู้ว่าข้าอาจเสียใจแต่ข้าบอกกับตัวเองแล้วว่าไม่ว่าข้าจะต้องพบกับจุดจบเช่นไร หรือต้องพบกับรสชาติอันหอมหวาน ขมขื่นหรือฝาดเฝื่อนแค่ไหน ข้ายินดียอมรับทั้งหมด ขอเพียงให้ชีวิตของข้าไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนผ้าขาวอีกต่อไป ขอแค่ก่อนตาย ข้าจะได้เห็นในสิ่งที่แม่ครูเห็น ขอแค่ให้ข้าได้รู้ว่า ก่อนที่ชีวิตของข้าจะดับสิ้นลง ดวงตาของข้าจะมองเห็นใคร ก่อนที่ข้าจะสิ้นใจ ข้าจะนึกถึงใครเป็นคนสุดท้าย”
ตะวันรุ่ง ณ ทิศตะวันออก ชาณธรีคลี่ผืนผ้า ลวดลายแผนที่แม้เก่าคร่ำคร่าแต่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน นางแตะนิ้วไปที่ ‘แคว้นอัครา’ก่อนที่ร่างในชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบจะเคลื่อนห่างจากครอบครัวเสือดำและกระท่อมน้อยในป่าใหญ่ สู่ชายป่าอันอุดมด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี สู่ถนนหลวงที่กองคาราวานใช้สัญจรไปมาระหว่างอาณาจักร สู่ทุ่งกว้างที่เคยเป็นสมรภูมิรบในประวัติศาสตร์
และสู่สังคมของมนุษย์ที่ชั่วชีวิตนี้ นางไม่เคยรู้จักและคุ้นชิน
คิดว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว แต่เพราะตอนนี้ยังเขียนด้นสดอยู่ มาช้าบ้างอะไรบ้าง ขออภัยไว้อีกเรื่องนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านเรื่องนี้ค่ะ
สร้อยดอกหมาก
-------------------------------------------------
บทนำ
ภาพแห่งชีวิต
ทิวาและรัตติกาลเป็นเช่นสายธารไหลรินไปไร้สุ้มเสียง เพียงชั่วอึดใจ ปัจจุบันจะกลายเป็นอดีตแล้วเคลื่อนคล้อยลอยผ่าน ปีแล้วปีเล่าวนเวียนเป็นวัฎจักร จากวัสสานะสู่เหมันต์วาระ จากคิมหันต์กลับสู่วสันตฤดู จากดวงจักษุอันเคยแวววาวสดใสในวัยสาวสู่นัยน์ตาฝ้าฟางของวัยชรา
นางเหม่อมองท้องฟ้า ภาพเมฆาขาวพิสุทธิ์เบื้องหน้าบัดดลแปรเปลี่ยนเป็นมวลกลีบบุปผาหลากสี เหตุใดหนอ..เหตุใด เมื่อย่างเข้าใกล้ลมหายใจสุดท้าย โสตประสาทอันเงียบงันจวนเจียนจะดับกลับแว่วเสียงกลุ่มชนร้องเรียกนามที่ถูกกลบฝังของนาง
‘อัปสรพิณสวรรค์! นางอัปสรพิณสวรรค์แห่งศวระ!’
ยามหยดน้ำหยาดลงจากหางตา ริมฝีปากแห้งผากแย้มเผยอเพียงน้อย นึกถึงอดีตอย่างอ่อนโยนและเลื่อนลอย
ยามนั้น นางคือหญิงสาวแรกรุ่นสะคราญโฉม ร่างแบบบางสวมอาภรณ์ไหมสีมรกตปักด้วยลูกปัดทองคำจนหนักอึ้งไปทั้งตัว กำลังยืนอย่างสงบสำรวม ณ เบื้องพระพักตร์ของกษัตริย์แห่งศวระ ต่อหน้าทูตานุทูตจากต่างอาณาจักรและต่อหน้าปวงชนต่างชาติพันธุ์ที่หลั่งไหลเข้าสู่เมืองศรีศวรี ราชธานีแห่งศวระด้วยความปรารถนาที่จะได้ชมโฉมหน้านางคีตธรหลวง สตรีที่ถูกเรียกขานไปทั่วหล้าว่านางอัปสรพิณสวรรค์ สตรีที่จอมปราชญ์แห่งแคว้นอัครายังเคยยกย่องว่า
‘มาตรว่านางเป็นคีตธรก็หาใช่คีตธรแห่งพื้นพิภพนี้ไม่ นางคือเทพธิดาสมนามอัปสรพิณสวรรค์ หัตถ์แบบบางแห่งนางอัญเชิญคีตการจากฟากฟ้า หาใช่ดนตรีที่มนุษย์ธรรมดาสามารถบรรเลงได้’
ใจอันใกล้สงบพลันกระตุกเมื่อรอยพระเนตรคมดุผ่านเข้ามา
น้ำตาคลอ มือนางชาเพราะเพิ่งตบถูกพระพักตร์ของเจ้าชายรัชทายาทแห่งแคว้นศวระ พระองค์คว้าข้อมือกระชากร่างนางเข้ามากอดแนบพระอุระ อันธพาลผู้ทรงอำนาจทรงพระสรวลกึกก้องเมื่อนางออกแรงผลักไส
“ช่างงามนัก ช่างกล้านัก นางคีตธรหลวงของพระบิดา อย่าคิดว่าข้าจะกล้าแค่จูบเจ้า!”
มาบัดนี้ แคว้นศวระได้ล่มสลายลงไปแล้ว แม้แต่ชายผู้ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพระสวามีของนางก็มิได้กลับบ้าน กาลเวลาไหลรินไปพร้อมกับธารน้ำตา นานช้า..นานช้าเหลือเกินสำหรับช่วงเวลาแห่งความโดดเดี่ยวทุกข์ทรมาน นานช้ากว่าสี่สิบปีถัดจากค่ำคืนที่ความมืดไร้ที่อาศัยและเปลวไฟสว่างไสวบุกเข้าทำลายล้าง มาบัดนี้ชีวิตนางคงใกล้จะสิ้นสุดลง
นางเอื้อนเอ่ยกับดรุณีข้างกาย
“ชาณ..ชาณธรี จงพาข้าไปนอนบนแคร่ไม้นอกบ้าน เมื่อข้าสิ้นใจ เจ้าจะได้สุมฟืนจุดไฟเผาร่างข้าตรงนั้น”
--------------------------------------------------
ป่าใหญ่เต็มไปด้วยแมกไม้หนาทึบ หากแลแต่ไกลในราตรี คงมีเพียงแสงไฟกะพริบวิบวาวอยู่ในความมืด
อิลลานางเสือดำถอยหลังก้าวห่างจากแสงสว่าง คำรามเรียกร่างน้อยที่คุกเข่าเบื้องหน้ากองไฟให้ถอยออกมาด้วยกัน แต่ร่างนั้นไม่ขยับ มือบางยังคงโยนฟืนเข้าไป น้ำตายังคงรินไหล จวบจนอรุโณทัย เปลวไฟจึงมอดดับ ทุกสิ่งหลงเหลือเพียงเถ้าถ่านสีเทาขาวที่ยังร้อนระอุ
ชาณธรีทิ้งกายลงร้องไห้ ไหล่สั่นสะท้าน ความโศกเศร้ามหาศาลมิอาจทำให้นางคิดถึงสิ่งใด นอกจากคำพูดเก่าก่อนของหญิงชราผู้จากไป ผู้ชุบเลี้ยงนางมาตั้งแต่เยาว์วัย
‘เมื่อบางสิ่งยุติ บางสิ่งจะเริ่มต้นใหม่ เมื่อแคว้นศวระถึงจุดสิ้นสุดคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางอันยาวไกลของข้า วันที่ข้าจากที่นั่นมา ข้าเชื่อเช่นนั้น’
‘เหตุผลที่ก่อนหน้านี้ ข้าไม่อาจบอกนามของข้าแก่เจ้าเพราะนามของข้าเคยเป็นนามของสตรีนางหนึ่งซึ่งอมันตรามหารานีของครีษมายันได้ขอร้องพระสวามีของนางว่าแม้ทำลายแคว้นศวระแต่จงอย่าทำอันตรายนางเพราะนางคือเพชรรัตน์แห่งหมู่คีตกร นางคือนักดนตรีที่ในพิภพนี้ไม่มีใครทัดเทียมฝีมือของนางได้’
‘นามในอดีตของข้าคืออัปสรพิณสวรรค์ ข้าคือนางคีตธรหลวงแห่งแคว้นศวระที่ล่มสลาย ด้วยเหตุนี้ชั่วชีวิตของข้าจึงมิอาจก้าวออกจากป่าแห่งนี้ได้ กษัตริย์แห่งอัคราตามล่าข้าและข้าไม่อาจตกเป็นทรัพย์สินประดับบารมีของชายหญิงที่สังหารพระสวามีและทำลายอาณาจักรของพระองค์ ถึงกระนั้นข้าก็มิอาจตายเพราะสายพระโลหิตของเจ้าชายรัชทายาทแห่งศวระกำลังหลับใหลอยู่ในกายข้า ข้าจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่เพื่อให้กำเนิดเด็กคนนี้’
‘แต่แล้ว..ในป่าแห่งนี้นี่เองที่ข้าสูญเสียลูกสาวของข้าไป’
นางเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ ‘แม่ครู’ เก็บมาเลี้ยง ถึงกระนั้นในนาทีสุดท้าย สตรีผู้มีพระคุณอย่างยิ่งใหญ่ต่อนางกลับมอบสิ่งของที่รักที่สุดให้
‘พระธำมรงค์ทองคำประดับด้วยไพลินน้ำงามสีฟ้าใส เจ้าชายรัชทายาทแห่งศวระทรงถอดจากพระกนิษฐาประทานให้ในครั้งแรกที่ข้าเล่นดนตรีถวาย แหวนวงนี้ข้าสวมติดนิ้วไว้ตลอดเวลา วันนี้ข้ายกให้เจ้า ลูกปัดทองคำยังเหลือไว้ให้เจ้าใช้ ไม่ว่าเจ้าจะอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้หรือไม่ จงรับปากข้าสองเรื่อง หนึ่งอย่าขุดเอาเหรียญทองของศวระออกไปใช้เพราะแม้อัคราจะผ่านพ้นรัชสมัยของครีษมายันมาแล้วแต่บัญชาที่บงการให้ทำลายล้างทุกสิ่งของศวระยังคงอยู่’
‘และสอง เจ้าไปที่กเวนทราไม่ได้ จงจำไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในช่วงชีวิตนี้ของเจ้า รับปากข้าว่าเจ้าจะไม่ย่างเท้าเข้าสู่แคว้นกเวนทราอย่างเด็ดขาด!’
นางลงมือเก็บเถ้าอัฐของผู้มีพระคุณ ดวงตาสีแดงก่ำหันไปมองนางเสือดำที่ก้าวเข้ามาใกล้ ริมฝีปากพยายามยิ้ม
“ไม่เป็นไรหรอก พี่อิลลา ข้าพยายามจะเข้มแข็งและเมื่อถึงเวลา ข้าจะเข้มแข็งได้ พี่ไปเถิด”
แววตาของนางเสือละล้าละลังระหว่างมนุษย์ที่เติบโตมาด้วยกันกับดวงตานิ่งสนิทของเสือดำหนุ่มและดวงตาละห้อยหาของลูกเสือดำตัวน้อยที่กำลังหิวนม ชาณธรีหัวเราะ นางเก็บอัฐของแม่ครูใส่ไหแล้วฝังดินลงในหลุมที่เต็มไปด้วยเหรียญทองกษาปณะของศวระ สีหน้าเศร้าหมองเมื่อก้มลงหยิบทองหนึ่งเหรียญขึ้นมาพิจารณา ปากพึมพำกับแม่เสือที่นอนให้นมลูกอยู่ไม่ห่างว่า
“แม่ครูเป็นชาวศวระ ศวระแพ้สงครามในศึกอัครา แต่ก่อนหน้านั้นศวระก็เป็นข้าขอบขัณฑสีมาของแคว้นอัคราอยู่แล้ว มันหมายความว่าอย่างไร รู้หรือไม่ พี่อิลลา มันหมายความว่าทุกสามปี แคว้นประเทศราชพวกนี้จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการและทาสเป็นชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งพันคนไปสู่อัครานครเพื่อถวายแด่กษัตริย์แห่งมหารัฐอัคราที่บัดนี้ถูกเรียกว่าจอมจักรพัตราธิราช กษัตริย์เหนือกษัตริย์ ราชาเหนือราชา แต่เมื่อศวระแพ้สงคราม ศวระไม่ได้อยู่ในฐานะแคว้นในอาณัติของอัคราอีกต่อไปแล้ว แต่ชาวศวระที่เหลือรอดจากสงครามในครั้งนั้นอยู่ในภาวะที่เลวร้ายมากกว่านั้น”
นางวางเหรียญทองของศวระลงพลางกลบดิน จากนั้นก็นั่งกอดเข่า กำมือกัดข้อนิ้ว แม้จะพยายามต้านทานความโศกเศร้า เฝ้าครุ่นคิดว่านางจะสามารถอยู่ในป่าตามลำพังอย่างไร เมื่อคิดว่าจะไปก็นึกสงสัย ป่าแห่งนี้มิได้อยู่ห่างไกลจากแคว้นกเวนทรา เหตุใดแม่ครูจึงไม่ยอมให้นางไปที่นั่น
“หากข้าจะออกจากป่า ตามหาโชคชะตาของข้า แม่ครูคงอยากให้ข้าไปที่อัครา”
หญิงสาวหลับตา แม่ครูของนางหรือนางอัปสรพิณสวรรค์ อดีตนางคีตธรหลวงแห่งแคว้นศวระ ชีวิตของสตรีนางนั้นผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านพ้นทั้งความรักและความสูญเสียที่ตราตรึงไว้จนวันสุดท้ายของชีวิต งดงามดุจภาพวาดที่ศิลปินแต่งแต้มสีสันอย่างประณีตละเอียดลออ
ด้วยเหตุนี้แม่ครูจึงอดทนมีชีวิตแม้จะสูญเสียชายที่รัก
‘ชีวิตคนเราอุปมาดั่งภาพภาพหนึ่ง หลากสีสัน หลากหลายลายเส้น ตวัดและแต่งแต้มหลอมรวมเป็นภาพวาดอันงดงาม ข้าอดทนต่อความทุกข์ยากทรมานเพื่อปรารถนาจะได้เห็นภาพชีวิตของข้าเมื่อหยาดสีสุดท้ายถูกแต่งแต้มซึ่งข้าจะมองเห็นมันในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ข้าจะตาย ข้าต้องอดทนและรอคอย’
จากทิวาสว่างจ้าสู่ยามสนธยา ชาณธรียังคงนั่งกอดเข่าอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับเขยื้อน ดวงตายังคงฉ่ำชื้น คำถามล่องลอยอยู่ตรงหน้ามากมาย
‘แม่ครู ข้าเฝ้าอยู่ข้างกายท่าน จำได้ว่าเห็นท่านร้องไห้ ก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ ท่านเห็นสิ่งใดบ้าง
แล้วตัวข้า ก่อนที่ข้าจะสิ้นใจ ข้าจะเห็นใคร ใครจะอยู่ในหัวใจของข้า
ข้าเชื่อคำพูดของแม่ครูที่ว่าชั่วชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งเป็นปริศนา ถึงกระนั้นแม่ครูก็ยังรู้ว่าแม่ครูเป็นใคร มาจากไหน ภาพวาดของแม่ครูมีสีสัน แม้จะปะปนด้วยสีเทาดำแห่งความทุกข์ตรมแต่ก็ยังปรากฏเป็นภาพ ทว่าของข้ากลับยังคงเป็นสีขาว ไร้เส้น ไร้สี เพราะข้าเป็นเด็กกำพร้า ข้าไม่เคยรู้ว่าพ่อแม่ของข้าเป็นใคร ข้าเป็นคนที่ไหน เป็นชาวอัครา กเวนทราหรือศวระ หรือกุรุนทร์ที่ล่มสลายไปแล้วหรือไม่ใช่ทั้งหมด
เพราะเหตุใดท่านจึงไม่ให้ข้าไปกเวนทรา และตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะยากลำบากขาดแคลนสิ่งใด ท่านก็ไม่ยอมพาข้าเดินทางไปซื้อหาข้าวของจำเป็นที่นั่น
แคว้นกเวนทรามีสิ่งใดที่ท่านหวาดกลัวหรือ
เหตุใดท่านจึงกล่าวคล้ายให้ข้าเดินทางไปยังแคว้นอัคราหากข้าปรารถนาจะไปจากที่นี่’
ค่ำคืนเคลื่อนมา คืนนี้มุกมณีจันทรามีสัญฐานเป็นทรงกลมส่องแสงกระจ่างสว่างนวล หญิงสาวคนเดียวในป่าใหญ่เหม่อมองขณะเก็บข้าวของลงห่อผ้า เมื่อถึงเวลาอุษาโยค นางก้าวลงมาหาสองเสือดำที่กำลังกกลูกนอน กล่าวอย่างสัตย์ซื่อจริงใจ
“พี่อนิล พี่อิลลา แม้แม่ครูจะกล่าวว่ามนุษย์นั้นน่ากลัวนัก พวกเขาสามารถสร้างความจริงให้เหมือนความลวงและสร้างความลวงให้เหมือนความจริงได้อย่างแนบเนียนยิ่งกว่ากิ้งก่าที่สามารถเปลี่ยนสีตนเองตามสีของเปลือกไม้ที่เกาะอยู่ แต่เพราะข้าไม่อาจทนอยู่กับความโดดเดี่ยวเดียวดายในป่าแห่งนี้ได้ ข้าจึงต้องไป ข้ารู้ว่าอันตราย ข้ารู้ว่าข้าอาจเสียใจแต่ข้าบอกกับตัวเองแล้วว่าไม่ว่าข้าจะต้องพบกับจุดจบเช่นไร หรือต้องพบกับรสชาติอันหอมหวาน ขมขื่นหรือฝาดเฝื่อนแค่ไหน ข้ายินดียอมรับทั้งหมด ขอเพียงให้ชีวิตของข้าไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนผ้าขาวอีกต่อไป ขอแค่ก่อนตาย ข้าจะได้เห็นในสิ่งที่แม่ครูเห็น ขอแค่ให้ข้าได้รู้ว่า ก่อนที่ชีวิตของข้าจะดับสิ้นลง ดวงตาของข้าจะมองเห็นใคร ก่อนที่ข้าจะสิ้นใจ ข้าจะนึกถึงใครเป็นคนสุดท้าย”
ตะวันรุ่ง ณ ทิศตะวันออก ชาณธรีคลี่ผืนผ้า ลวดลายแผนที่แม้เก่าคร่ำคร่าแต่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน นางแตะนิ้วไปที่ ‘แคว้นอัครา’ก่อนที่ร่างในชุดผ้าฝ้ายเนื้อหยาบจะเคลื่อนห่างจากครอบครัวเสือดำและกระท่อมน้อยในป่าใหญ่ สู่ชายป่าอันอุดมด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี สู่ถนนหลวงที่กองคาราวานใช้สัญจรไปมาระหว่างอาณาจักร สู่ทุ่งกว้างที่เคยเป็นสมรภูมิรบในประวัติศาสตร์
และสู่สังคมของมนุษย์ที่ชั่วชีวิตนี้ นางไม่เคยรู้จักและคุ้นชิน
สร้อยดอกหมาก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 มี.ค. 2558, 19:19:14 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 มี.ค. 2558, 19:20:06 น.
จำนวนการเข้าชม : 1718
ตอนที่ ๑ กาลกิณีของกษัตริย์(๑) >> |
Zephyr 24 มี.ค. 2558, 22:13:24 น.
เนื้อเรื่องแปลกไป แต่จะรอติดตามค่ะ
เนื้อเรื่องแปลกไป แต่จะรอติดตามค่ะ
แล่นแต๊ 25 มี.ค. 2558, 00:00:49 น.
ติดตามค่า
ติดตามค่า
แว่นใส 25 มี.ค. 2558, 08:05:28 น.
เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ
เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ
อสิตา 25 มี.ค. 2558, 11:45:52 น.
เริ่มต้นได้งาม ย่องมาปรายยิ้มยั่วเย้าให้คนเขียนเบาๆ
เริ่มต้นได้งาม ย่องมาปรายยิ้มยั่วเย้าให้คนเขียนเบาๆ