ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: เจ้าสาวภูต : บทที่ ๒ ข่าวยามสาย

เจ้าสาวภูต : บทที่ ๒ ข่าวยามสาย

เทศกาลฤดูหนาวคือชื่อเรียกของงานเฉลิมฉลองที่จัดขึ้นในหน้าหนาวตั้งแต่เดือนสิบถึงเดือนสิบสอง งานสำคัญในเดือนสิบคือเทศกาลเปลี่ยนฤดู ตามมาด้วยเทศกาลหิมะในเดือนสิบเอ็ดและเทศกาลรำลึกในเดือนสิบสอง

เทศกาลเปลี่ยนฤดูจัดกันเป็นปกติปีละสี่ครั้งตามฤดูกาล พิธีกรรมสำคัญคือการถวายเครื่องสักการะแด่เทพเจ้า ช่วงนี้ไม่มีการฉลองกันเอิกเกริกนัก งานเทศกาลที่แท้จริงจะเริ่มต้นในเดือนสิบเอ็ด ซึ่งเป็นช่วงที่มีหิมะตกและหนาวเย็นที่สุดของปี ชาวไร่ชาวนาไม่สามารถทำการเกษตรได้ จึงใช้ช่วงเวลานี้พักผ่อน ญาติมิตรมักมารวมตัวกันเฉลิมฉลอง แบ่งปันอาหาร ช่วยเหลือจุนเจือกันจนกว่าลมหนาวจะพัดผ่านไป

สำหรับเทศกาลรำลึกในเดือนสิบสองจะเป็นงานถือศีล ในสัปดาห์แรกของเดือนต้องงดเว้นการฆ่าสัตว์ กินแต่เต้าหู้ ผักดองและของที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ แม้แต่ในราชสำนักก็ทำเช่นนั้น เพื่อให้เหล่าชนชั้นสูงได้รำลึกถึงความยากลำบาก ของบรรพชนที่บุกเบิกแผ้วถางแผ่นดิน จนรวมเป็นปึกแผ่นเช่นทุกวันนี้

นอกจากเทศกาลสามงานที่กล่าวมา ในช่วงเดือนสิบเอ็ดยังมีงานรื่นเริงที่เรียกว่าเทศกาลหนุ่มสาวด้วย เทศกาลนี้ไม่ระบุวันตายตัว จัดกันตามฤกษ์สะดวก โดยเปิดโอกาสให้หนุ่มสาววัยออกเรือนได้มีโอกาสทำความรู้จักกัน งานนี้สามารถชวนชายจากหมู่บ้านอื่นมาเข้าร่วมได้ จนมีคำกล่าวว่า ‘หิมะโปรยมา บุปผาแย้มบาน’ สื่อถึงว่าเป็นฤดูกาลที่ดรุณีวัยแรกรุ่นจะกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว

ในวังมีการจัดงานเทศกาลหนุ่มสาวทุกปี หากอยากเข้าร่วมก็ต้องส่งชื่อและคุณสมบัติไปให้กรมพิธีการคัดเลือก คนในตระกูลขุนนางไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนอยากได้รับเชิญ ขนาดตำแหน่งผู้ติดตาม ยังมีการเล่นเส้นสายติดสินบนมากมายเพื่อให้ได้เข้าร่วม โดยเฉพาะในหมู่ตระกูลพ่อค้าที่ทุ่มกันไม่อั้นเพื่อหวังให้บุตรสาวเป็นที่ต้องตาของขุนนางหนุ่มอนาคตไกล ไม่ก็เชื้อพระวงศ์ แม้ได้เป็นเพียงอนุภรรยาก็คุ้มค่าที่ได้เกี่ยวดอง

กรมพิธีการจะเริ่มออกเทียบเชิญในช่วงเดือนแปด เพื่อให้ส่งถึงมือผู้รับไม่เกินต้นเดือนเก้า หากเลยต้นเดือนมาแล้วใครที่ยังไม่ได้รับเทียบเชิญก็จะกระวนกระวาย อาการเหล่านี้ไม่ได้เป็นเฉพาะหนุ่มสาวเท่านั้น บรรดาผู้ปกครองก็กลัดกลุ้มไม่ต่างกัน ที่มีตำแหน่งใหญ่โตหน่อยมักไปกระทุ้งถามเอากับเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการว่าเหตุใดเทียบเชิญจึงยังมาไม่ถึง ส่วนขุนนางผู้น้อยก็ได้แต่ภาวนาว่าขออย่าให้รายชื่อถูกคัดทิ้ง

คนส่วนใหญ่ล้วนตื่นเต้นกับเทศกาลหนุ่มสาว จะมีก็แต่สกุลเฉินเท่านั้นกระมังที่ไม่ใคร่ยินดียินร้าย คุณชายใหญ่ได้เทียบเชิญทุกปีตั้งแต่อายุสิบแปด พวกบ่าวไพร่เลยไม่ตื่นเต้น แม้ปีนี้คุณหนูสามได้รับเชิญด้วยอีกคน ก็แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะส่วนใหญ่เข้าใจกันว่ากุ้ยฮวามีคู่หมายอยู่แล้ว

แว่นไม่รู้ตัวเลยว่าเกือบอดไปงานเพราะท่านพ่อกับท่านพี่พร้อมใจกันลืมส่งชื่อให้กรมพิธีการ ถ้าไม่ใช่เพราะความเจ้ากี้เจ้าการของสนมเฉิน เทียบเชิญอาจมาถึงล่าช้าหรืออาจไม่ถูกส่งมาเลยก็ได้

ซีอิ๋งบอกว่าเทศกาลหนุ่มสาวในวังสนุกมาก นางดูมั่นอกมั่นใจเหลือเกินทั้งที่ไม่เคยเข้าร่วมสักหนเพราะอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ เห็นซีอิ๋งมองโลกในแง่ดี แว่นก็คิดบวกตาม แม้ว่าการเข้าวังแต่ละครั้งจะสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจมหาศาล

หลังจากได้รับเทียบเชิญไม่นานก็มีแขกจอมวุ่นมาพักอยู่กับแว่น แขกคนนี้จะเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้วนอกจากโบ้ ก่อนหน้านี้เขาพักอยู่ที่สาขาย่อยของสำนักทลายภูผา ที่นี่เปิดเป็นสำนักคุ้มภัย งานหลักจึงเป็นการคุ้มกันกองคาราวานสินค้า ช่วงนี้หยางเจี้ยนรับงานใหญ่ที่ต้องเดินทางไกลมา ชายหนุ่มไม่อยากให้ไป๋หลินไปด้วย จึงโน้มน้าวให้นางไปอยู่บ้านสกุลเฉินตามคำชวนของกุ้ยฮวา โบ้กำลังเบื่อไม่มีอะไรทำ เลยเก็บข้าวของมาอาศัยอยู่บ้านเพื่อนด้วยความเต็มใจ

สกุลเฉินต้อนรับไป๋หลินเป็นอย่างดี บรรดาสาวใช้พร้อมใจกันพูดว่าคุณหนูเข้าใจหาสหายได้งามเสมอกัน คนงามมักทำให้คนมองประทับใจได้ตั้งแต่แรกพบ ยิ่งอัธยาศัยดียิ้มแย้มแจ่มใสไม่ว่าใครก็ชอบ แม้แต่เด็กเล็กอย่างจื่อซ่านก็ยังเข้ากันได้ ทั้งที่ปกติเด็กชายไม่เป็นมิตรกับคนแปลกหน้า

โบ้สรรหาเกมต่างๆ มาเล่นกับจื่อซ่านแทบทุกวัน ด้วยถือคติอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น จื่อซ่านจึงติดกุ้ยฮวาน้อยลง เด็กชายยังรักพี่สาวของแกเท่าเก่า ที่ไม่ไปขลุกอยู่ด้วยทั้งวันเพราะเริ่มรู้ความว่าพี่สาวสุขภาพไม่แข็งแรงเหมือนคนอื่น จึงเลือกที่จะเล่นกับคนที่สามารถเล่นด้วยได้โดยไม่ถูกตำหนิ

วันนี้โบ้ชวนจื่อซ่านทำว่าวเล่น งานใช้แรงงานอย่างตัดไม้ไผ่เหลาโครงว่าวโบ้รับหน้าที่ไป ส่วนงานฝีมืออย่างการแปะกระดาษและการประกอบชิ้นส่วนแว่นเป็นคนจัดการ เขาให้น้องชายมีส่วนร่วมในการประดิษฐ์ด้วยการให้ลงมือผสมแป้งเปียกและช่วยหยิบของส่งให้

“พี่จะวาดรูปลงบนว่าวให้ เจ้าไปหยิบพู่กันกับแท่นฝนหมึกมาให้ที”

“ได้...ข้าจะเอามาให้พี่จ๋าเอง” จื่อซ่านรับคำอย่างกระตือรือร้น

เด็กชายหายไปพักหนึ่งก็กลับมาพร้อมกับของที่สั่งและเฟย ตอนนี้เจ้าลูกกาโตขึ้นมากเพราะได้รับการประคบประหงมเป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่แข็งแรงยังอวบอ้วนกว่านกทั่วไปด้วย เฟยเชื่องและรู้ภาษาคนเหมือนกับบรรดาพี่ๆ น้องๆ ของมัน คนส่วนใหญ่จึงเอ็นดู เสียก็แต่ว่าจนบัดนี้ก็ยังบินไม่ได้ เลยต้องเดินบนพื้นแทน

เฟยมีนิสัยชอบกระโดดเกาะแขนเกาะบ่าคน เพื่อใช้เป็นพาหนะโดยสาร ความที่เล็บมันเริ่มคมเลยถูกซูหยวนจับตะไบเสียจนไม่เหลือ ตอนแรกเฟยก็เดือดร้อนเพราะไม่มีเล็บให้เกี่ยวพยุงตัว แต่พอเวลาผ่านไปมันก็ปรับตัวได้ สามารถทรงตัวอยู่บนบ่าคนโดยไม่ต้องจิกเล็บได้สบาย

“เจ้าอยากให้พี่วาดรูปเฟยรึ”

“ไม่ใช่ ข้าอยากผูกเฟยกับว่าว มันจะได้บินได้” พูดแล้วก็อุ้มสัตว์เลี้ยงตัวโปรดขึ้นมาวางบนโต๊ะ

“ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ถ้าจับมันผูกแล้วโยนขึ้นไปเฟยอาจบาดเจ็บ” แว่นว่า

จื่อซ่านดูผิดหวัง เพราะเข้าใจผิดว่าว่าวคือของเล่นที่ช่วยให้บินบนฟ้าได้ตามคำอธิบายที่ไม่ค่อยจะชัดเจนของโบ้ เมื่อรู้ว่าสิ่งที่กำลังประดิษฐ์ไม่ให้ผลอย่างที่ต้องการ แกก็แทบหมดความสนใจ

แว่นเห็นอย่างนั้นจึงให้จื่อซ่านลองเล่นว่าวเป็นคนแรก แกยังเล็กนักวิ่งเท่าไรว่าวก็ไม่ลอย โบ้เลยอาสาแสดงวิธีการเอาว่าวขึ้นฟ้าให้ดู อึดใจเดียวว่าวแสนสวยก็ลอยเด่นอยู่เหนือยอดไม้

จื่อซ่านถึงกับเบิกตากว้างมองของเล่นใหม่ด้วยความประทับใจ ว่าวติดลมบนอยู่พักใหญ่ก่อนจะร่วงลงมา เด็กชายจึงรีบวิ่งไปเก็บเอามาให้พี่ไป๋หลินโยนขึ้นฟ้าให้อีกรอบ เรื่องใช้กำลังไม่ใช่ของถนัดสำหรับแว่น เขาเลยมองอยู่ห่างๆ นั่งจิบชาผ่อนคลายอารมณ์ ขณะที่เพื่อนเล่นกับน้อง

นั่งทอดอารมณ์เพลินๆ ซีอิ๋งก็นำจดหมายมาส่ง หน้าซองเขียนเอาไว้ว่ามาจากหลงฟางเซียน แว่นก็เลยตะโกนให้โบ้ฝากจื่อซ่านไว้กับพี่เลี้ยงก่อน แล้วมาอ่านด้วยกัน ตั้งแต่แยกกันที่อิงเถาเจ้ก็เงียบหายไปเลย ส่งข่าวมาแต่ว่าจะไปต่างเมืองสักระยะ

“เจ้เขียนมาว่าไงบ้าง” โบ้ถลาเข้าหาอย่างว่องไว

“ยังไม่ได้แกะซองเลย” แว่นว่าพลางมองหามีด

“คนสวยแกะให้”

โบ้แย่งซองมาฉีกแบบไม่สนใจว่าจะทำจดหมายด้านในแหว่ง แว่นเห็นโบ้แกะออกมาแล้วเลยใช้ให้อ่านเสียเลย โบ้ที่อยากรู้อยากเห็นอยู่แล้วรีบคลี่จดหมายออกอ่าน พริบตาเดียวก็ทำหน้ายุ่ง

“มีอะไรก็ว่ามาสิ อย่าบอกนะว่าแกอ่านไม่ออก”

ลายมือเจ้จัดว่าสวย ไม่ว่าภาษาไหนก็อ่านง่ายทั้งนั้น

“เจ้เขียนมาสองภาษา ให้อ่านอันไหนก่อนดี”

“ภาษาไทยก่อน” แว่นว่าแล้วยกชาขึ้นจิบ

ระบบการส่งจดหมายของที่นี่ไม่เป็นส่วนตัวนัก ไม่มีอะไรมารับประกันว่าจะไม่โดนคนอื่นเปิดอ่าน โดยเฉพาะจดหมายที่ส่งเข้าออกวัง พวกเขาเลยตกลงกันว่าจะเขียนภาษาไทยส่งถึงกันในกรณีที่อยากให้ข้อความนั้นเป็นความลับ

โบ้กระแอมเบาๆ ก่อนเปล่งเสียง ข้อความเพียงห้าพยางค์ที่เจ้ส่งมาทำให้แว่นถึงกับสำลักน้ำชา

“อิหน่อมจะมีผัว”

ไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติมอยู่ในจดหมาย มีเพียงแต่วันเวลานัดหมายเป็นภาษาเจียงว่าจะมาพบเท่านั้น แว่นได้แต่สงสัยว่าเจ้ไปเอาข่าวนี้มาจากไหน หากเกิดอะไรขึ้นกับองค์หญิงลี่จู ญาติสนิทอย่างกุ้ยฮวาก็น่าจะรู้ก่อนใคร มีแต่ต้องเข้าวังเท่านั้นกระมังจึงจะทราบว่าอะไรจริงอะไรเท็จ


ข่าวที่เจ้ส่งให้เพื่อนๆ ถือเป็นความลับระดับสุดยอดที่แม้แต่คนในวังก็ยังไม่ทราบ เดือนสิบเอ็ดนี้องค์หญิงลี่จูจะอายุครบสิบแปดปี ฮ่องเต้จึงทรงมองหาคู่ครองที่มีคุณสมบัติครบถ้วนให้ ขณะนี้พระองค์พอใจในความสามารถของบุรุษผู้หนึ่ง จึงหมายมั่นอยากได้เป็นราชบุตรเขย

องค์หญิงลี่จูเป็นคนหัวอ่อน พระองค์จึงไม่คิดว่าพระธิดาจะขัดข้อง แทนที่จะถามเจ้าตัวจึงปรึกษามารดาของนางอย่างสนมเฉินแทน ทว่าสนมเฉินกลับถูกใจคนอื่น ที่ทำให้ปวดหัวยิ่งไปกว่านั้นคือไทเฮาก็ทรงมีคนที่อยากให้ครองคู่กับนัดดาอยู่ในพระทัย

การแต่งงานขององค์หญิงไม่ได้ดูแค่ความเหมาะสม แต่ยังอิงตามผลประโยชน์ของบ้านเมืองด้วย นับเป็นวาสนาที่ในรัชกาลนี้เจียงเฉียงเข้มแข็ง ความจำเป็นที่ต้องบีบคั้นให้พระธิดาเป็นเครื่องมือทางการเมืองมีน้อย เมื่อผู้ใหญ่ตกลงกันไม่ได้ อำนาจการตัดสินใจจึงกลับมาเป็นขององค์หญิงลี่จูอีกครั้ง

ทุกคนตกลงกันว่าจะให้นางเลือกคู่ครองจากงานเทศกาลหนุ่มสาวเอง โดยมีข้อแม้ว่าห้ามชี้นำเด็ดขาด รวมถึงห้ามเปิดเผยว่าสนับสนุนใคร ผู้ใหญ่ทั้งสามตกลงกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่จะเล่นตามกติกาหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

คู่หมายขององค์หญิงลี่จูถูกกำหนดตัวโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยเลยสักนิด ถึงกระนั้นความลับนี้ก็ยังเล็ดลอดรั่วไหลมาถึงหูพี่ชายตัวแสบอย่างองค์ชายสามจนได้ คนที่หวงน้องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใครเลยเดือดปุ ไม่ว่าเขาจะเห็นชอบหรือไม่ ลี่จูก็ยังต้องแต่งงานกับตัวเลือกที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเหมาะสม ชายหนุ่มเรียกตัวผีเสื้อโลหิตให้มาหา เพื่อรับภารกิจที่ยังไม่ระบุชัดว่าเป็นการขัดขวางหรือลอบสังหารว่าที่น้องเขย


ในระหว่างที่รอให้เจ้มาหา แว่นก็หาทางสืบเรื่ององค์หญิงลี่จูไปด้วย แต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมามากนัก ครั้นจะส่งจดหมายไปถามเจ้าตัวก็ไม่กล้า กลัวว่าถ้าเป็นเรื่องเข้าใจผิดจะทำให้หน่อมเครียดเปล่าๆ เห็นใสแบ๊วทะลุมิติแบบนั้นก็กลุ้มใจเป็นเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกของตัวเองที่จนบัดนี้เจ้าตัวก็ยังตอบไม่ได้ว่าชอบชายหรือหญิงกันแน่ แว่นไม่อยากนึกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าอยู่ๆ คุณชายหน่อมแน้มเกิดชอบผู้หญิงขึ้นมาทั้งที่อยู่ในร่างสาวงาม ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงมีหวังความรักครั้งนี้ได้กลายเป็นโศกนาฏกรรม

แว่นเก็บความกังวลเอาไว้แล้วรอให้เจ้มาอธิบายรายละเอียดให้ทราบ ในที่สุดวันนัดหมายก็มาถึง เขาตื่นเร็วกว่าทุกวันด้วยความตื่นเต้น ลุกมาอาบน้ำแต่งตัวไม่ทันเสร็จ โบ้ก็วิ่งหน้าตื่นมาหา

“เจ้มาแล้วเหรอ”

“ยังค่ะ...ไม่ใช่ๆ แต่เรื่องใหญ่กว่านั้น”

“เรื่องใหญ่อะไร?”

“พี่กุ้ยอี้อยากให้ฉันเป็นคนในครอบครัว”

“หา!” แว่นถึงกับทำหวีหล่น

เขารู้ดีว่าวันหนึ่งตัวเองต้องมีพี่สะใภ้ แต่เป็นอิโบ้เนี่ยมันออกจะเซอร์ไพรส์ไปหน่อย

“เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะคุณหนู” ซีอิ๋งถามขณะก้มลงไปเก็บหวีให้

โบ้เป็นพวกชอบพูดไม่คิด มาอยู่บ้านนี้ขืนปล่อยให้พูดโพล่งตามความพอใจภาพลักษณ์กุลสตรีได้พังป่นปี้แบบแพ็กคู่ แถมความลับเรื่องวิญญาณทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้จะแตกเอาได้ แว่นเลยแนะให้พูดภาษาไทยเป็นส่วนใหญ่ แล้วบอกคนที่บ้านไปว่ากำลังหัดพูดภาษาต่างแคว้น

“ไม่มีอะไรหรอกซีอิ๋ง ข้าอยากกินถั่วแดงต้มน้ำตาล ไปบอกแม่ครัวให้หน่อยได้ไหม”

“ได้เจ้าค่ะ” ซีอิ๋งรับคำทั้งที่ยังสงสัย

เมื่อสาวใช้ออกไปแล้วแว่นก็หันมาบังคับเพื่อนให้เล่าเหตุการณ์ให้ละเอียด

“พี่กุ้ยอี้พูดแบบนั้นจริงๆ แน่นะ” แว่นตกใจแต่ก็ไม่คิดเชื่อจอมมโนง่ายๆ

“จริงแท้แน่นอนค่ะ ขอเอาหัวเป็นประกัน”

ย้อนไปเมื่อประมาณยี่สิบนาทีก่อน โบ้ตื่นมาออกกำลังแต่เช้าตามความเคยชิน บังเอิญว่าเมื่อคืนกุ้ยอี้อยู่บ้านชายหนุ่มจึงออกมายืดเส้นยืดสายเช่นกัน พอเห็นไป๋หลินเขาก็ส่งยิ้มทักทาย แล้วชวนนางเดินเล่น

“ข้าต้องขอบคุณเจ้ามาก ตั้งแต่เจ้ามาอยู่ที่นี่กุ้ยฮวาก็สดใสขึ้นผิดหูผิดตา”

กุ้ยอี้ทั้งมีความสุขและซาบซึ้งใจ แม้ไม่ค่อยอยู่บ้านแต่ก็รู้ความเป็นไปทุกอย่างจากบ่าวไพร่ นางเป็นแขกแท้ๆ แต่ก็ยังมีน้ำใจช่วยดูแลจื่อซ่านด้วยอีกคน

“เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านี้เอง ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก ข้าเสียอีกที่ต้องเกรงใจ มาอยู่รบกวนสกุลเฉินเสียนาน” โบ้ถ่อมตัวอย่างมีมารยาท

คำพูดพวกนี้ไม่มีใครสอน แค่มโนว่าตัวเองเป็นนางเอกนิยายเป็นอันว่าสมบูรณ์แบบ ไม่ทันได้ตั้งตัวเหตุการณ์ที่เฉียดๆ ละครหลังข่าวก็เกิดขึ้น

“ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ที่นี่พร้อมต้อนรับเจ้าเสมอ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็อยากให้เจ้าอยู่ที่นี่ตลอดไป”

โบ้กะพริบตาปริบๆ แต่ในใจกรีดร้องระงม

‘ผู้ชายกำลังขอฉันแต่งงาน’

โบ้แทบจะเอามือทาบอกอุทานว่าคุณพระ อันที่จริงแล้วเขาก็แอบมองพี่ชายเพื่อนเป็นอาหารตาอยู่เหมือนกัน แม้หน้าตาจะไม่ตรงสเปกเต็มร้อยแต่ก็หล่อเหลานิสัยดี พอเขามาพูดหยอดแบบนี้เลยหวั่นไหว

กุ้ยอี้ปล่อยให้โบ้เวิ่นเว้อเพ้อคลั่งอยู่ราวสามวินาที ก็ส่งยิ้มละลายหัวใจพร้อมวลีสลายมโนให้

“จะขัดข้องไหม ถ้าข้าอยากรับเจ้าเป็นน้องบุญธรรม”

“อะ...อะไรนะ”

ไป๋หลินดูตกตะลึง นางอ้าปากค้างอยู่นาน กุ้ยอี้จึงรีบอธิบายเพื่อไม่ให้ต้องคิดมาก

“ข้ารู้ว่าเจ้ายังมีพ่อแม่พี่น้องอยู่พร้อมหน้า ที่มาเสนอเช่นนี้ก็เพราะเอ็นดูอย่างน้องสาวจริงๆ เลยอยากถามความสมัครใจก่อน เจ้าไม่ต้องเกรงใจหรอกนะ ถ้าไม่เต็มใจก็ปฏิเสธได้ ความคิดนี้เป็นของข้าเพียงฝ่ายเดียว ยังไม่ได้ปรึกษาท่านพ่อ”

โบ้พยักหน้ารับ ก่อนจ้องมองเขาด้วยสายตาครุ่นคิด กุ้ยอี้คิดว่านางกำลังตัดสินใจจึงไม่เร่งเร้า ในความเป็นจริงโบ้ไม่ได้ลำบากใจเรื่องที่เขาเสนอ แต่กำลังกรีดร้องอีกรอบต่างหาก

‘น้องกับเมียเนี่ยมันต่างกันเยอะนะคะคุณพี่ พูดผิดพูดใหม่ได้นะยังไม่สาย’

ไม่ว่าจะรอเท่าไรกุ้ยอี้ก็ไม่กลับคำ พ่อหนุ่มหล่อล่ำคนนี้ย้ำอย่างบริสุทธิ์ใจว่าคิดกับไป๋หลินเฉกเช่นน้องสาว คนที่ถูกหลอกให้หลงเข้าใจผิดไปชั่วขณะเลยวิ่งมาฟ้องเพื่อน

แว่นหัวเราะลั่นหลังจากได้ฟังเรื่องราว เขาทั้งขำและโล่งใจไปพร้อมๆ กัน อันที่จริงแว่นก็ไม่ได้รังเกียจโบ้ แต่คิดว่าด้วยนิสัยอย่างโบ้ให้เป็นภรรยาขุนนางคงไม่ไหว ต่อไปกุ้ยอี้ได้เป็นใหญ่เป็นโตก็ต้องออกงานด้วยกัน ธรรมเนียมต่างๆ จะทำให้อึดอัดใจเสียเปล่าๆ สู้อยู่อย่างอิสระ ไม่ก็แต่งงานกับคนที่เหมาะสมกันอย่างหยางเจี้ยนดีกว่า

โบ้ทำแก้มป่องงอนเพื่อนเมื่อถูกหัวเราะ แต่ก็เคืองได้ไม่นานนักเพราะมีข่าวดีจากซีอิ๋ง นางไม่ได้ยกถั่วแดงต้มที่อยากกินมาให้ แต่มาแจ้งข่าวว่ามีคนมาขอพบ

“ใครหรือซีอิ๋ง” โบ้เป็นฝ่ายถาม

“แม่นางหลงชิงชิงเจ้าค่ะ”

โบ้งงไปพักหนึ่งแต่แว่นรู้ทันทีว่าเป็นเจ้ เนื่องจากเจ้าตัวบอกเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะใช้ชื่ออื่นมาหา ที่ต้องปิดบังฐานะก็เพราะฐานันดรเป็นเหตุอีกเช่นเคย คนแซ่หลงมีมากมาย ส่วนชื่อชิงชิงก็ใช้กันเกร่อ คงไม่มีใครคิดหรอกว่าหลงชิงชิงคนนี้เป็นคนเดียวกันกับคณิกาอันดับหนึ่งอย่างหลงฟางเซียน

“นางเป็นสหายข้ารีบเชิญมานี่เร็ว” แว่นบอกอย่างยินดี

“รับทราบเจ้าค่ะ จะให้ยกอาหารหรือขนมมารับรองแขกดีเจ้าคะ” ซีอิ๋งถามเพราะคุณหนูยังไม่ได้รับประทานอาหารเช้าเลย

“เอามาทั้งคู่นั่นแหละ เราจะคุยกันยาว จัดของไป๋หลินมาให้ด้วยนะ”

ซีอิ๋งกระวีกระวาดทำตามคำสั่งคุณหนู ทว่าพอเห็นสหายที่ชื่อว่าชิงชิงของกุ้ยฮวาแล้วนางก็อ้าปากค้าง ซีอิ๋งติดตามกุ้ยฮวาเมื่อครั้งตามเสด็จจึงเคยเห็นเจ้ แม้มิได้สนทนากันก็รู้ว่าสตรีหน้าตางดงามนางนี้อยู่ข้างกายองค์ชายสามเกือบตลอด มีคนบอกว่านางเป็นอนุชายาองค์ชายสาม ซีอิ๋งยังเอาไปคุยกับซูเสียอยู่เลยว่าคนหน้าตางามนี่มีวาสนาดีจริง เลยงงไม่น้อยที่นางมาอยู่ที่นี่แถมยังใช้ชื่อว่าชิงชิงอีก

“นายหญิงท่านนี้มีนามว่าฟางเซียนไม่ใช่หรือเจ้าคะ” ซีอิ๋งถามทันทีเมื่อมีโอกาส

เจ้ได้ยินจึงเอานิ้วแตะปาก แล้วส่งยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ให้

“ตอนนี้นามข้าคือชิงชิง”

ทั้งที่เป็นสตรีด้วยกันแท้ๆ แต่ซีอิ๋งกลับใจเต้นแรงเผลอเคลิ้มไปไม่รู้ตัว นางพยักหน้ารับคำอย่างว่าง่าย ก่อนที่คุณหนูจะกำชับว่าห้ามบอกใครเสียอีก

แว่นสั่งให้ซีอิ๋งออกไปจากห้องนั่งเล่นที่ใช้ตั้งโต๊ะรับประทานอาหาร เสร็จแล้วจึงค่อยพูดคุยสอบถามถึงข้อความในจดหมาย เจ้อธิบายให้ฟังว่ารู้จากองค์ชายสามว่าทั้งฮ่องเต้ ไทเฮาและสนมเฉินพร้อมใจกันกำหนดตัวคู่แต่งงานขององค์หญิงลี่จูเอาไว้ เพื่อไม่ให้เป็นการหักหน้ากันเลยให้เจ้าตัวเลือกเอง

“เจ้บอกว่ามันจะมีผัว แสดงว่ามั่นใจว่ายังไงก็ต้องแต่ง” แว่นว่า

“ก็ใช่น่ะสิ อิหน่อมหัวอ่อนจะตาย แกไม่เห็นเหรอว่าอาม่ามันสั่งให้ทำอะไรก็ทำตามหมด ขนาดให้ไปดูตัวกับชะนีมันยังยอมตามใจ”

ความที่หน่อมเชื่อฟังที่บ้านมาก เจ้เลยถามว่าถ้าโดนอาม่าบังคับให้แต่งงานจะทำอย่างไร คุณชายใจเย็นก็ตอบอย่างสบายอารมณ์ว่าคงสารภาพกับฝ่ายหญิงว่าตัวเองเป็นอย่างไร ถ้าฝ่ายนั้นรับได้ยังอยากแต่งอยู่ก็คงตามใจอาม่า สถานการณ์ในตอนนี้ก็เหมือนกัน เจ้เชื่อว่าทุกคนต้องคัดสรรว่าที่ราชบุตรเขยมาเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นนิสัย สติปัญญาหรือรูปโฉมต้องดีคู่ควรกับองค์หญิงน้อยผู้เป็นที่รัก ถ้ารู้ว่าพวกผู้ใหญ่เห็นชอบหน่อมต้องไม่ปฏิเสธแน่

“แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหนคะ” โบ้ยกมือขึ้นถาม “ดีออกได้ว่าที่สามีโปรไฟล์เลิศแถมยังชี้นิ้วเลือกได้อีก”

“เห็นด้วย คราวนี้แกพูดถูก” แว่นสนับสนุน

“หนึ่งในนั้นมีคนคิดเป็นศัตรูกับแคว้นอยู่แต่ไม่รู้ว่าคนไหน” เจ้บอกเสียงขรึม

“เป็นศัตรูยังไงคะ?”

โบ้ทำหน้างง ในขณะที่แว่นถามซ้ำอย่างเคร่งเครียดว่ามั่นใจมากน้อยแค่ไหน มันออกจะพิลึกอยู่ที่คณิกาอย่างเจ้รู้จริงรู้ลึกปานนี้

“ได้ยินมาน่ะสิ ทั้งจากองค์ชายสามและแขกที่มาหอซูเมิ่ง”

รายชื่อว่าที่ราชบุตรเขยรู้กันในวงแคบแต่ก็ไม่ได้ปิดเป็นความลับโดยสมบูรณ์ มีขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่งเห็นรายชื่อเหล่านี้แล้วพูดขึ้นมาตอนเมาว่ามีตัวอันตรายใจคดอยู่ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ก็ไม่ควรปล่อยผ่าน

“รายชื่อพวกนี้มีใครบ้าง”

“กำลังสืบอยู่ รู้คร่าวๆ แค่ว่าเป็นแม่ทัพกับองค์ชาย”

องค์ชายสามไม่ได้แจ้งรายละเอียดเชิงลึกให้ฟางเซียนทราบ เขาสั่งแต่ว่าให้นางเข้าวังในช่วงเทศกาลฤดูหนาวแล้วคอยจับตามององค์หญิงลี่จูกับบรรดาชายหนุ่มที่มาข้องแวะกับนางให้ดี

“เรื่องใหญ่เลยนะเนี่ย” แว่นนวดขมับ

“เดี๋ยวก่อนค่ะอย่าเพิ่งไปไกล อธิบายมาก่อนว่าแค่คำพูดของคนเมามันน่าซีเรียสตรงไหน” โบ้ยังไม่เข้าใจ

“ซีเรียสสิยะ อิหน่อมเป็นองค์หญิง ฐานะของมันนี่เท่ากับตัวประกันชั้นเลิศเลย”

แว่นเห็นโบ้ยังทำหน้างง เลยอธิบายให้ฟังว่าราชบุตรเขยที่คู่ควรกับองค์หญิง ส่วนใหญ่มักเป็นองค์ชายจากเมืองขึ้นไม่ก็แคว้นใกล้เคียง ถ้าเป็นแม่ทัพก็ต้องมีกำลังพลในมือมหาศาล

“แกลองคิดดูจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกนี้คิดไม่ซื่ออยากได้ดินแดนส่วนหนึ่งของเจียงเฉียงขึ้นมา แล้วเอาชีวิตอิหน่อมเป็นตัวประกัน”

“เราจะเสียดินแดนเหรอ” โบ้พูดอย่างตกใจ

“ไม่...ฮ่องเต้ไม่ยอมอ่อนข้อหรอก ตัวประกันที่ไร้ค่าจะถูกสังหาร จากนั้นก็เกิดสงคราม”

เจียงเฉียงไม่ใช่ดินแดนที่สุขสงบเสียทีเดียว ทางตะวันออกมีดินแดนลุ่มแม่น้ำซึ่งเป็นข้อพิพาทกันอยู่ ทุกสามปีจะทำการรบกับแคว้นติดกันเพื่อแย่งชิงพื้นที่ส่วนนี้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาชนเผ่าป่าเถื่อนทางใต้ การรุกล้ำดินแดนของแคว้นอริและการต่อสู้ชิงดินแดนที่เป็นเมืองขึ้น แม้ไม่ใช่สงครามใหญ่ก็มีการฝึกทหารอยู่ตลอดเพื่อให้พร้อมต่อการทำศึก

“อิหน่อมจะตายเหรอ!” โบ้เอามือป้องปาก

“อย่าเวอร์ แล้วอย่าแช่งมันด้วย” เจ้เอ็ด

“เรื่องมันยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น ที่พูดนี่คือในกรณีที่แย่ที่สุด แต่ถึงได้แต่งกับคนธรรมดาไม่ใช่ศัตรูก็ใช่ว่าจะไม่ซวย คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ” แว่นร่ายยาว

“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะ” โบ้ดิ้นไปดิ้นมาอย่างร้อนใจ

“จะทำอะไรได้นอกจากช่วยอิหน่อมเลือกผัว” เจ้ว่า

งานนี้ไม่ต้องถามว่าจะร่วมด้วยช่วยกันไหม แก๊งตุ๊ดพร้อมลุยและยินดีป่วนเต็มกำลัง

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีค่ะทุกท่าน ตอนนี้ขออนุญาตดับฝันคนที่หวังจับคู่โบ้กับพี่กุ้ยอี้
ณ จุดนี้คุณพี่ยังยืนยันความเป็นซิสค่อนต่อกุ้ยฮวาอย่างชัดเจนค่ะ (เอ๊ะยังไง)
มาลุ้นกันนะคะว่าเนื้อคู่หน่อมจะเป็นคนเป็นภูต
ชายหรือหญิงอะไรยัง หุหุหุ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 15 มิ.ย. 2558, 00:00:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 15 มิ.ย. 2558, 00:00:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1108





<< เจ้าสาวภูต : บทที่ ๑ เดินทางกลับ   เจ้าสาวภูต : บทที่ ๓ บทเพลงของภูตพราย >>
ใบบัวน่ารัก 16 มิ.ย. 2558, 12:16:12 น.
มาแล้วจ้า
สาวๆๆก็มาแล้วช่วยเลือกผัวให้เพื่อน
ช่วยๆๆกันนิ
เราก็จะช่วย. น่าสนุกจัง
ตื่นเต้นๆๆๆๆ


Zephyr 16 มิ.ย. 2558, 23:12:13 น.
มาะ เค้าช่วยเลือก
แจกแจงมาเล้ยยยย
เอาออกมาดูสิ ว่ามีใครมั่ง


นักอ่านเหนียวหนึบ 17 มิ.ย. 2558, 00:15:06 น.
อุ่ยยยเหมือนเดินเลือกผักในตลาดสดเลยเนาะ 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account