ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: หยกตะวัน : บทที่ ๔ สะกดรอย

หยกตะวัน : บทที่ ๔ สะกดรอย

แว่นสนใจเรื่องจดหมายประมาณหนึ่ง แต่คนที่อยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าคือโบ้ จอมยุทธ์หญิงถึงกับอาสากลับไปที่ตำหนักผลึกเพื่อเอาจดหมายให้ แต่แว่นไม่มีเวลาแล้วเลยปฏิเสธ เขามัวโอ้เอ้ต่อไม่ได้เพราะจะไปไม่ทันร่วมโต๊ะเสวย

“เจ้ากลับไปก่อนเถอะ กลับไปค่อยเปิดจดหมายพร้อมกัน”

โบ้ดูผิดหวังแต่ก็ไม่ดื้อดึง เมื่อแว่นบอกให้กลับก็หมุนตัวเดินออกไป จางไห่ที่รอจังหวะจึงสบโอกาสพูดธุระ

“ช่วงนี้ท่านหญิงต้องระวังตัวนะขอรับ มีคนกำลังสะกดรอยท่าน” ชายหนุ่มพูดค่อนข้างเร็ว แต่ก็ได้ยินชัด

“ใครกัน”

“ข้าไม่แน่ใจขอรับ แต่ไม่น่ามาดี”

ชายหนุ่มสังเกตมาร่วมเดือนแล้วว่ากุ้ยฮวากำลังถูกจับตามอง การมีคนตามสอดแนมพฤติกรรมถือเป็นเรื่องปกติในวังหลวง ตำหนักหลังหนึ่งอาจมีคนของฝ่ายตรงข้ามแฝงตัวอยู่มากกว่าหนึ่ง แต่การจับตาดูท่านหญิงที่แทบไม่มีอำนาจในมือมันออกจะแปลกไปสักหน่อย

“แล้ว...”

“คุณหนูเจ้าคะ รีบไปเถอะเจ้าค่ะ” ซีอิ๋งโผล่มาขัดการสนทนา นางรออยู่ด้านล่างเห็นว่าคุณหนูไม่ลงมาเสียทีจึงขออนุญาตเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตาม

แว่นมีเรื่องจะพูดอีกมาก แต่อยู่ต่อไม่ได้จึงนัดจางไห่ให้มาเจอ

“ท่านจะมาหอสมุดอีกเมื่อไร”

“วันที่แปดตอนเที่ยงขอรับ”

จางไห่มีงานหลวงต้องทำประกอบกับเห็นว่ากุ้ยฮวากำลังรีบจึงตอบไปตามตรง ไม่ทันคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเร่งด่วน ชายหนุ่มจึงรู้สึกผิดที่ต้องให้คอยหลายวัน ทว่าท่านหญิงคนงามกลับไม่มีท่าทีโกรธเคือง นางยิ้มให้และเอ่ยอย่างนุ่มนวล

“ขอบคุณท่านมาก อีกสามวันเจอกัน” กล่าวจบก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งตามสาวใช้คนสนิทลงไปด้านล่าง

ชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นกิริยาที่ไม่สำรวมของนาง ถึงกระนั้นในใจของจางไห่ก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความนับถือ

แว่นไปทันเวลาเสวยหวุดหวิด วันนี้เป็นวันที่หกของเทศกาลรำลึก อดทนให้ผ่านพรุ่งนี้ไปอีกวันก็จะกลับมากินอาหารเลิศรสได้เต็มที่ ทว่าช่วงเวลาที่ดูเหมือนสั้นนี้ก็ยังนานอยู่ดีสำหรับเด็กๆ ที่ไม่ค่อยมีความอดทนอย่างองค์หญิงสิบสี่ นางฝืนได้ห้าวันก็เกเรไม่ยอมมาร่วมโต๊ะเสวย ถึงจะเป็นองค์หญิงที่เอาแต่ใจก็จัดว่ากล้ามาทีเดียว ทั้งที่ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งย้ำว่าห้ามป่วยการเมืองไปเมื่อวาน

นับเป็นโชคดีที่วันนี้ฮ่องเต้ไม่ทรงตำหนิธิดาองค์สุดท้อง พระองค์เสวยอย่างเงียบๆ พระอารมณ์ขณะนี้ไม่ดีไม่ร้าย ทาทางเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จึงไม่มีใครกล้าชวนคุย แม้แต่สนมเฉินที่เป็นคนโปรดก็ปล่อยให้ทรงอยู่เงียบๆ รวมถึงเตือนองค์ชายหกไม่ให้รบกวนพระบิดา

เมื่อทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ แว่นจึงก้มหน้าก้มตากิน ปล่อยใจให้ลอยไปกับเรื่องที่จางไห่เตือน แว่นไล่เรียงศัตรูของตัวเองในใจ แต่ก็ฟันธงไม่ได้ว่าคนที่กำลังตามเขาอยู่ถูกใครส่งมา เขาจมอยู่กับความคิดตัวเองจนไม่ทันสังเกตว่าฮ่องเต้ทรงหันมาทางตนบ่อยครั้ง ส่วนท่านพ่อก็ดูขรึมกว่าที่เคย การที่แว่นไม่ทันเห็นเลยถือว่าเป็นเรื่องดีมากทีเดียว มิเช่นนั้นคงมีเรื่องให้คิดจนสมองระเบิด

โต๊ะเสวยในวันที่หกเลิกเร็วมาก สนมเฉินจึงขอให้องค์หญิงสิบไปเป็นเพื่อนคุยที่ตำหนักก่อน แว่นจึงกลับมาที่ตำหนักผลึกเพียงลำพัง พอไปถึงโบ้ก็ถลามาหาก่อนใคร แล้วยื่นซองจดหมายสีขาวให้

“เหมือนที่จางไห่พูดเลยค่ะ มีตราดอกเบญจมาศสีเหลืองด้วย” โบ้ชี้ให้ดูอย่างตื่นเต้น

พวกนางกำนัลที่มารอต่างก็หูผึ่ง อยากเข้ามาดูใกล้ๆใจแทบขาด แต่ก็ไม่กล้าเพราะซูเสียยืนคุม เลยเหลือแต่โบ้คนเดียวที่ตามพันแข้งพันขาเร่งให้แว่นเปิดจดหมายอ่าน

แว่นเห็นว่าอยากรู้กันมากจึงฉีกซองออกอ่านเสียเดี๋ยวนั้น ถ้าซูเสียเคร่งกว่านี้อีกนิดเห็นทีแว่นจะโดนตำหนิ เกิดเป็นท่านหญิงกิริยาต้องงามเสมอ แม้แต่ตอนเปิดจดหมายอ่านก็ต้องให้บ่าวไพร่จัดการใช้มีดเปิดให้เรียบร้อยและต้องนำไปอ่านในห้อง ไม่ใช่ฉีกจนซองสวยๆ แหว่งเป็นรอยเหมือนถูกหนูแทะ

แว่นกวาดตาอ่านตัวหนังสือแล้วก็ขมวดคิ้ว เนื้อหาในจดหมายสั้นห้วนเล่นการตีความเป็นหลัก แว่นต้องใช้ความคิดเลยส่งจดหมายไปให้โบ้อ่านเอง

“สามอาชาเร่งมา วาสนาเดือนสิบสอง บงกชบาน เบญจมาศไม่รอ”

โบ้เกาศีรษะด้วยความงุนงง เขาพลิกหน้ากระดาษไปมาเผื่อจะมีข้อความอื่นอยู่แต่ก็ไม่พบสิ่งใด หน้าซองในซองก็ไม่มีตัวอักษรหรือสัญลักษณ์อย่างอื่นอยู่

“ไม่เข้าใจเลย ส่งมาแกล้งกันหรือไงนะ”

แม้จะพูดอย่างนั้นแต่โบ้ก็ยังสะบัดกระดาษต่อไป ประหนึ่งว่าถ้าอดใจรออีกสักหน่อยจะมีคำใบ้เพิ่มมา

“ไม่แน่นะ ลองเอาไปพรมน้ำลนไฟดูอาจจะมีอะไรออกมาก็ได้” แว่นว่า

เขารู้ว่าข้อความนี้เป็นปริศนาอย่างไม่ต้องสงสัย อาชา บงกช เบญจมาศล้วนถูกใช้ในเชิงสัญลักษณ์ทั้งสิ้น ถ้าจะตีความก็ต้องเข้าใจเสียก่อนว่าคนที่โลกนี้เปรียบของสามอย่างเป็นอะไร

ในระหว่างที่แว่นกำลังใช้ความคิดโบ้ก็เอาไปอังไฟให้จนมันเกือบไหม้ แต่จดหมายก็ยังเป็นเช่นเดิม ไม่มีอะไรโผล่มาเพิ่มเติมนอกจากข้อความข้างต้น

“หรือจะเป็นของทำมาแกล้งกันจริงๆ” นางกำนัลคนหนึ่งให้ความเห็น

“ใครจะบังอาจปลอมจดหมายสำคัญ ข้ารับมากับมือ ใช่คนของสำนักปราชญ์ไม่ผิดแน่”

“ถึงจะเป็นของจริง แต่ให้ข้อความแค่นี้มันเหมือนแกล้งกันเลย”

“หยุดวิจารณ์เสียที พวกเจ้าไม่มีอะไรทำกันหรือไง” ซูเสียเอ็ด

“ขอโทษเจ้าค่ะ”

นางกำนัลวัยรุ่นทั้งหลายรีบถอยออกห่าง แต่ก็ยังไม่ไปไกลนัก ด้วยรู้กันดีว่าซูเสียดุไปอย่างนั้นเอง ถ้าพวกนางทำตัวเรียบร้อย ไม่ทำเสียงดังเอะอะ ก็จะได้อยู่สังเกตการณ์ต่อไป

พวกนางต่างคาดหวังให้ท่านหญิงผู้ชาญฉลาดไขปริศนาได้โดยเร็วจึงรอฟัง แล้วก็ไม่ผิดหวัง เมื่อแว่นหาทางตีความออกมาได้โดยใช้เวลาไม่นาน

“จดหมายนี่คือนัดหมายของสำนักปราชญ์” แว่นว่า

เขามั่นใจว่านางกำนัลมองไม่ผิด ดอกเบญจมาศที่อยู่บนหน้าซองและข้อความในจดหมายเป็นเครื่องยืนยันสนับสนุนชั้นดี ชาวเจียงเฉียงถือว่าดอกเบญจมาศเป็นสัญลักษณ์ของสติปัญญาและตัวแทนของนักปราชญ์ผู้ทรงภูมิ

“นัดเจอแล้วทำไมไม่มีวันเวลาบอกไว้เลย” โบ้ถาม

“มีสิบอกละเอียดเลยละ วันที่สิบสอง เดือนสิบสอง ก่อนเวลาดอกบัวบาน” แว่นสรุปก่อน แล้วค่อยอธิบาย “สามอาชาคือตัวกำหนดวันที่ นับเอาจำนวนขาของม้าสามตัวก็ได้สิบสองจริงไหม”

“ม้าสามตัวมันไม่ใช่เลขสามเหรอ เกิดนับแค่หัวนับแค่หางจะทำไง”

“จะแปลอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าตอนจดหมายมาส่งมันเลยวันที่สามมาแล้วก็เลยนับจำนวนขาแทน”

เรื่องนับขาม้าแทนวันที่นี่ไม่ได้ใช้ทักษะอะไรมากมายเลย แค่ฟังแม่กับพวกพี่ป้าน้าอาช่วยกันตีเลขหวยมาตั้งแต่เล็กก็ได้วิชาติดตัวมาแล้ว

“มันอาจจะเป็นเดือนหน้าก็ได้”

“เดือนนี้แหละไม่ผิดหรอก ลืมคำว่าวาสนาเดือนสิบสองแล้วหรือไง”

โบ้ฟังแล้วคิดตาม เขาปรบมือให้แว่นก่อนจะถามว่านัดที่ไหนเวลาเท่าไร

“สถานที่น่าจะเป็นสำนักปราชญ์หลวง ส่วนเวลาต้องพึ่งทุกคนแล้ว”

พวกนางกำนัลรวมถึงโบ้พร้อมใจกันมองหน้ากัน ด้วยไม่คิดว่าตัวเองจะมีประโยชน์ในการไขปริศนาจากสภาปราชญ์ได้

แว่นส่งยิ้มให้ทุกคนแล้วอธิบายแบบใจเย็นว่า ‘บงกชบาน เบญจมาศไม่คอย’ สื่อความหมายว่าให้มาก่อนเวลาที่ดอกบัวจะบาน ดอกบัวในโลกนี้มีหลากหลายสายพันธุ์ แว่นศึกษาพวกสมุนไพรมาอย่างดี ประกอบกับช่างสังเกตจึงทราบว่าดอกบัวแต่ละชนิดมีเวลาบานที่แตกต่างกัน ในวังที่เห็นหลักๆ คือดอกบัวสีชมพูที่บานแต่เช้าสักเที่ยงก็หุบ บัวสีเขียวที่บานในช่วงบ่ายและดอกบัวสีขาวที่มักจะแย้มกลีบยามเย็น

“ใครพอจะรู้บ้างว่าแถวสำนักปราชญ์มีบัวสีอะไร”

“ข้ารู้เจ้าค่ะ” นางกำนัลคนที่ช่วยรับจดหมายมาเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “ดอกบัวสีขาบเจ้าค่ะ”

สีขาบเป็นสีน้ำเงินแก่อมม่วง ตั้งแต่มาที่โลกนี้แว่นยังไม่เคยมีโอกาสได้เห็นดอกบัวสีนี้สักที

“แล้วเวลาบ้านของมันเล่า” แว่นถาม

“ขอประทานโทษเจ้าค่ะ ข้อนี้ข้าเองก็ไม่ทราบ” นางกำนัลตอบเสียงอ่อย

“ไม่เป็นไร ได้เท่านี้ก็ช่วยได้มากแล้ว ที่เหลือข้าจัดการเอง” แว่นไม่คิดตำหนิ

สำนักปราชญ์อยู่ตรงไหนเขายังไม่รู้เลย หรือต่อให้ทำงานที่นั่นก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองจะมานั่งสังเกตเวลาบานของตัวบัวหรือไม่

“ให้ข้าช่วยนะ เรื่องสืบข่าวข้าถนัด จะใช้อะไรก็ว่ามาเลย ขอแค่ติดสอยห้อยตามไปด้วยคนตอนงานประชุมก็พอ”

ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยแว่นคงพูดตอกหน้าว่าการหวังพึ่งโบ้ถือเป็นเรื่องสิ้นคิด แต่เมื่อมีคนนอกอยู่แว่นเลยต้องรักษาภาพลักษณ์ด้วยการปฏิเสธอย่างนุ่มนวล

“ขอบคุณนะไป๋หลินแต่ข้ายังไม่ตัดสินใจเลยว่าจะไปหรือเปล่า”

แว่นคิดอย่างนั้นจริงๆ เขารู้ว่าไม่ควรจะตบเท้าเข้าไปหาความวุ่นวายให้ตัวเองเพิ่ม ไหนจะเรื่องที่จางไห่เตือนอีก ถ้าไม่อยากงานเข้าอีกก็ต้องระมัดระวังและคิดให้รอบคอบกว่านี้

วันที่เจ็ดเดือนสิบสองคือวันสุดท้ายของเทศกาลรำลึก พ้นเที่ยงคืนวันนี้ไปใครใคร่รับประทานอะไรก็กลับมาทำตามใจได้เต็มที่ พวกห้องเครื่องรู้ใจบรรดาเชื้อพระวงศ์จึงเตรียมการเอาไว้คอยท่า นำสัตว์เป็นๆ มาผูกไว้ ถึงเวลาเมื่อใดค่อยลงมือสังหาร ใครใจไม่แข็งพออย่าได้คิดพิเรนทร์ไปเดินเล่นแถวนั้นเป็นอันขาด

ตามธรรมเนียมในวันถัดมาครอบครัวต้องรับประทานอาหารจานเนื้อด้วยกัน ในขณะที่กินก็ต้องสำรวมและสำนึกถึงคุณค่าของชีวิตที่ตนได้เข่นฆ่าด้วย แว่นเป็นพระญาติที่ฮ่องเต้โปรดปรานจึงได้รับเชิญให้ร่วมโต๊ะเสวยในตอนเช้าอีกหนึ่งมื้อ

ฮ่องเต้ทรงมาเป็นประธานในพิธีไม่นานนัก ไม่ทันครึ่งชั่วยามก็เสด็จไปท้องพระโรง วันนี้ทรงเรียกประชุมขุนนางแต่เช้า เพื่อชดเชยที่ทรงงดเว้นการออกว่าราชการมาระยะหนึ่ง

“อิ๋นหานไม่ต้องตามมา อยู่กับน้องๆ ที่นี่เป็นตัวแทนพ่อ” ฮ่องเต้ตรัสกับองค์รัชทายาทที่ลุกขึ้นมาเพื่อตามเสด็จ

“อิ๋นหานรับพระบัญชา” องค์ชายค้อมกายถวายบังคม ในขณะที่คนอื่นๆ เร่งยืนขึ้นเพื่อส่งเสด็จ

เมื่อตำแหน่งหัวโต๊ะถูกเปลี่ยนมือจากบิดาที่แสนเข้มงวดไปเป็นพี่ใหญ่ผู้แสนใจดี บรรยากาศในโต๊ะเสวยจึงเป็นกันเองมากขึ้น ทุกคนกล้าพูดกล้าหยอกกัน เห็นแล้วก็รู้สึกได้ว่าองค์ชายส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีต่อองค์รัชทายาท

วันนี้พวกองค์ชายมากันเกือบครบ แว่นนึกนับถือองค์ชายหกที่กล่อมจนองค์ชายแปดเลิกเก็บตัว พอแอบถามว่าใช้วิธีไหน องค์ชายหกก็ตอบกลับมาว่าพูดเพียงประโยคเดียว

‘เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่จำเป็นต้องซ่อน’

พอองค์ชายแปดได้ยินแบบนั้นจากที่เบื่อหน่ายผู้คน ก็พอจะมีแรงใจลุกขึ้นมาปั้นหน้าชื่นให้พวกประสงค์ร้ายผิดหวัง รวมถึงแกล้งสั่นประสาทคนสกุลเหอให้หวาดวิตกว่าตนจะก่อเรื่อง

องค์ชายอีกองค์ที่โผล่มาร่วมโต๊ะแบบไม่มีใครคาดคิดคือองค์ชายห้า ชายหนุ่มกลับจากหรงซิ่งก่อนกำหนด มาถึงก็เข้าเฝ้าเลยโดยไม่พักผ่อน ขอบตาจึงดูคล้ำกว่าปกติ แว่นอมยิ้มเมื่อเห็นร่างอวบอ้วนนั่งจุมปุ๊กอยู่บนเก้าอี้ มองแล้วรู้สึกคันมือคันไม้อยากให้อาหารชอบกล องค์ชายเหวินหรงสบตากับกุ้ยฮวาอยู่นาน เขาไม่ยิ้มไม่บึ้งแต่มองนางด้วยสายตาอ่อนโยนกว่าที่มองทุกคน

ไม่มีใครสังเกตเห็นท่าทีของสองหนุ่มสาวเพราะความสนใจส่วนใหญ่มุ่งไปทางองค์ชายสาม ไม่รู้ว่าเขาไปทำอะไรมาใบหน้าหล่อเหลาจึงมีรอยข่วน

‘ฝีมืออิเจ้แน่ๆ’ แว่นตอบคำถามได้ในทันที

เมื่อวานเจ้แวะมาหาบอกว่าจะออกนอกวังแล้ว เธออยากไปดูว่าตอนนี้กิจการร้านน้ำชาของตัวเองเป็นอย่างไรบ้าง ตอนแรกก็นึกว่าเห่อร้านใหม่ ที่แท้เรื่องงานก็เป็นข้ออ้าง ทะเลาะกับองค์ชายสามมานี่เองเลยไม่อยากอยู่ต่อ

“ข้าไม่คิดเลยว่าคนอย่างพี่สามจะมีวันนี้ ไปพลาดท่าโดนแม่นางที่ไหนข่วนเข้าเล่า” องค์ชายสี่หยอก

“รอยรักต่างหาก” ว่าแล้วก็ยิ้มกรุ้มกริ่ม ดูภูมิอกภูมิใจเสียเหลือเกินกับเจ้ารอยนี่

“เห็นทีเจ้าของรอยนี้คงจะงามหยด ท่านจึงเพ้อเห็นบาดแผลเป็นรอยรัก” องค์ชายเจ็ดว่า

องค์ชายสามไหวไหล่ก่อนร่ายวาทะ ‘ไม่เคยลิ้มลอง ย่อมไม่รู้รส’

แว่นคิดว่าคู่นี้เป็นมากกว่าเพื่อน แต่จะถึงขั้นคนรักไหมยังเป็นที่กังขา เจ้ผลักไสองค์ชายสามตลอด ในขณะทีอีกคนก็ขยันแหย่ ถ้ารักกันจริงคงออกแนวคู่รักคู่กัด ถ้าไม่ใช่คงเป็นความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่แปลกแสนแปลก

พวกพี่น้องหยอกองค์ชายสามอยู่นาน ก่อนจะดึงองค์รัชทายาทให้เข้ามามีส่วนร่วมด้วยการทักว่าที่คอมีรอยแดงปริศนาซึ่งไม่รู้ว่าเป็นรอยอะไร องค์ชายสี่เจตนาแหย่พี่สะใภ้ซึ่งก็คือพระชายาหยาหยี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ปรากฏว่าทำพลาดอย่างมหันต์เพราะรอยนั่นไม่ใช่ฝีมือนาง

“แมลงน่ะ อย่าคิดไปไกลเชียว” องค์รัชทายาทแก้ต่างเสียงขรึม แต่กลับหน้าซีดเหงื่อออก

ทุกคนเชื่อไปในทางเดียวกันว่าไม่มีอะไร ที่พี่ใหญ่ดูร้อนรนเหมือนมีพิรุธ ก็เพราะกลัวเมียรักอาละวาดกลางโต๊ะเสวย

“ระ...รอย แมลงจริงๆ ด้วย ข้าดูผิดไปเอง ขออภัยเป็นอย่างมาก” ตัวต้นเหตุรีบช่วยพูดแก้ต่าง

สีหน้าของพระชายาหยาหยี่อ่อนลงเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาบึ้งตึงเป็นสองเท่าเมื่อองค์ชายแปดโยนระเบิดมากลางวงสนทนา

“ด้านนอกหนาวจับใจ แปลกดีจริงที่มีแมลง”

‘ไอ้เด็กบ้า!’ แว่นหันไปมองอย่างโมโห อุตส่าห์หลงคิดว่าเป็นผู้เป็นคนขึ้นบ้างแล้ว ที่ไหนได้ยังชอบแกว่งปากหาเสี้ยนไม่เปลี่ยน

“คงไม่ใช่แมลงจริงๆ เพคะ น่าจะเป็นพืชมีพิษมากกว่า” แว่นหาทางแก้ต่าง “ฤดูนี้มีวัชพืชที่ทำให้คันหลายชนิด แถวทางไปตำหนักองครัชทายาทมีขึ้นอยู่ประปราย”

“องค์รัชทายาทประทับบนรถม้าตลอด ไม่รู้ว่าพลาดถูกพืชมีพิษได้อย่างไร” เด็กแสบย้อน

“เมื่อวานทรงเดินกลับตำหนัก เพราะรถม้าเพลาหลุด” กุ้ยอี้ช่วยชี้แจง

“เดินทั้งที่อากาศหนาวอย่างนี้น่ะหรือ แปลกเสียจริง ทำตัวราวกับไม่ต้องการเป็นที่สังเกต” องค์ชายแปดคลี่ยิ้มอย่างชั่วร้าย

คำพูดของเขาสุมไฟโกรธาให้พระชายามหาหึง ถ้าไม่รีบหาอะไรมาดับไฟเห็นทีเช้านี้จะเกิดเหตุโกลาหล แว่นคิดหาทางแก้ต่างให้องค์รัชทายาทแต่ก็ยังช้ากว่าองค์ชายหก

“พี่ใหญ่ยอมทนหนาวเพราะอยากกลับตำหนักไปหาพระชายาเร็วๆ” องค์ชายหกให้ความกระจ่าง ก่อนหันไปตำหนิน้องชาย “ไม่ไหวเลยนะหรู่เผย รู้อยู่แก่ใจดีก็ยังแกล้งอีก”

องค์ชายหกเป็นคนเปิดเผย คำพูดของเขาจึงมีน้ำหนักมาก พอได้ฟังคนที่กำลังโกรธก็เปลี่ยนเป็นยิ้มปลื้มระคนรู้สึกผิดที่ระแวงสวามี

“ข้าไม่ได้แกล้งสักหน่อยแค่ถามเพื่อให้องค์รัชทายาทได้อธิบายกับพระชายาเท่านั้นเอง ผู้หญิงชอบคิดมากไม่ใช่หรือ พี่ใหญ่ไม่ค่อยพูด ข้าเลยห่วงว่าพี่สะใภ้จะเข้าใจผิดจนทุกข์” คนก่อเรื่องพูดเอาดีเข้าตัวหน้าตาเฉย

แว่นอยากถีบยอดหน้าจอมหาเรื่องเสียจริง แต่ก็อดใจไว้และพยายามทำความเข้าใจเด็กแสบ องค์ชายหรู่เผยไม่ได้สักแต่หาเรื่องคนอื่นแบบไม่ลืมหูลืมตา เด็กหนุ่มรู้จักถอยเมื่อองค์ชายหกเตือนว่าล้ำเส้น ถึงจะไม่ขอโทษแต่ก็ไม่โมโหปึงปังเวลาถูกตำหนิ ได้เท่านี้ก็สมควรดีใจแล้ว

แว่นพยายามทำความเข้าใจองค์ชายแปด โดยไม่รู้ว่าตัวเองคือสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มลุกขึ้นมาก่อเหตุ ตั้งแต่นั่งร่วมโต๊ะด้วยกันมา กุ้ยฮวาเหลือบมาทางเขาเพียงไม่กี่ครั้ง ส่วนใหญ่นางเอาแต่มองพี่ห้า แล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่น่าหมั่นไส้เป็นที่สุด เด็กหนุ่มทนรำคาญไม่ไหวจึงเรียกร้องความสนใจดังที่เห็น

นับเป็นโชคดีที่แว่นให้ความสนใจองค์ชายหรู่เผยในทันที พ่อตัวดีเลยไม่ทันก่อเรื่อง ปากเขาก็บอกว่าเกลียดกุ้ยฮวาหนักหนา แต่พอเลิกงานกลับตามนางต้อยๆ ไปจนถึงหอตำรา คนปากไม่ตรงกับใจอ้างว่ามาหาหนังสืออ่าน แต่เห็นจะไม่จริงเพราะเอาแต่ชะเง้อดูว่านางอ่านอะไรอยู่

“กวีราชวงศ์…ไม่เห็นเหมาะกับเจ้าเลย” องค์ชายแปดว่าเมื่อกุ้ยฮวาหยิบหนังสือขึ้นมาดู

“หน่อมฉันดูเฉยๆ เพคะ ไม่คิดจะอ่านเสียหน่อย” แว่นตอบพลางผละไปที่มุมอื่น

เขามาที่นี่เพื่อรอพบจางไห่ รวมถึงหาข้อมูลเกี่ยวกับดอกบัวสีขาบว่าบานเวลาใด แต่การจะหาหนังสือที่ต้องการในหอตำราเป็นเรื่องยาก ที่นี่ไม่ได้จัดหมวดหมู่ชัดเจน นอกจากนี้หนังสือส่วนใหญ่ยังไม่เขียนชื่อที่สัน จึงจำเป็นต้องให้เจ้าหน้าที่กับกางโหย่งช่วย แต่องค์ชายแปดไล่ทุกคนออกไปหมดแว่นเลยไม่รู้จะถามใคร

“เจ้ากำลังหาอะไรอยู่” เด็กหนุ่มมองนางรื้อนั่นค้นนี่แต่ไม่หยิบเล่มไหนมาอ่านเสียทีก็เดาได้ว่ายังไม่เจอของที่ต้องการ

“หม่อมฉันอยากได้ข้อมูลดอกไม้เพคะ อยากรู้ว่าดอกบัวสีขาบบานตอนไหน องค์ชายพอทราบไหมเพคะว่าจะหาได้ที่ไหน”

แว่นถามไปอย่างนั้นเอง ไม่คิดว่าองค์ชายแปดจะไปหามาให้จริงๆ เข้าเดินดุ่มๆ ไปมุมห้อง แล้วคว้าหนังสือปกสีน้ำเงินมา

“หมายถึงเจ้านี่หรือเปล่า” เขาเปิดหน้าที่มีรูปดอกบัวลงสีอย่างสวยงามเอาไว้ ถัดกันนั้นมีข้อมูลของมันอยู่

“ใช่เพคะ” แว่นตอบอย่างยินดี ทว่าพอจะเอื้อมมือไปรับ เด็กแสบกลับดึงตำราหนี

“ไม่ได้หามาให้เจ้าเสียหน่อย อยากได้ก็ต้องเอาของมาแลก”

แว่นทำหน้ายุ่งเมื่อกลายมาเป็นเพื่อนเล่นเด็กแสบ เขานับหนึ่งถึงสิบในใจก่อน แล้วค่อยโต้ตอบด้วยความสุขุม

“องค์ชายอยากได้อะไรเพคะ”

“ลองเสนอมาดู” องค์ชายหรู่เผยแค่ต้องการแหย่นาง จึงไม่ได้นึกเอาไว้ว่าอยากได้สิ่งใด

จังหวะนั้นจางไห่ก็พรวดพราดเข้ามาพอดี ด้านหลังเค้ามีเจ้าหน้าที่วิ่งกระหืดกระหอบตามมา ชายหนุ่มรั้งตัวองครักษ์หนุ่มไม่ทันจึงตะโกนบอก

“อย่าเพิ่งเข้าไปขอรับ องค์ชายแปดอยู่ในห้อง”

ได้ยินแบบนั้นเขาก็ชะงักไป การมาของจางไห่จุดประกายความคิดบางอย่างให้แว่น

“องค์ชายอยากเล่นทหารจับผู้ร้ายไหมเพคะ หม่อมฉันกับองครักษ์ท่านนั้นจะช่วย” แว่นยื่นข้อเสนอให้

“เหอะ...ไร้สาระ ข้าไม่ใช่เด็กๆ เสียหน่อย” องค์ชายแปดบอกปัด

“มันไม่ใช่เกมอย่างที่เคยเล่นนะเพคะ” แว่นจงใจคลี่ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วลดเสียงลง “เป็นการจับผู้ร้ายจริงๆ ไม่ใช่การสมมุติ”

“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เด็กหนุ่มเริ่มสนใจขึ้นมา

“หม่อมฉันถูกคนสะกดรอยเพคะ เลยตัดสินใจว่าจะจับตัวคนคนนี้ให้ได้”

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายตอนค่ะ
เอาส่วนที่เหลือมาส่งแล้วนะคะ
ช่วงนี้งานเยอะ มึนๆ อึนๆ มาดึกตลอด
ถ้าคำผิดหลุดเยอะไม่ว่ากันนะจ๊ะ
คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 ก.ย. 2558, 23:40:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 ก.ย. 2558, 23:40:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 1159





<< หยกตะวัน : บทที่ ๓ จดหมายเบญจมาศ   หยกตะวัน : บทที่ ๕ ตำหนักไม้ ๑ >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 1 ก.ย. 2558, 23:58:51 น.
หงุดหงิด องค์ชายแปดอ่ะ ไม่อยากให้นางสมหวัง ขี้แกล้ง ขี้แหย่ ไม่น่ารักเหมือนแพนด้าตาดำเล้ยยยย


Zephyr 3 ต.ค. 2558, 19:11:27 น.
ชายแปด นางเรียกร้องความสนใจแรงไปนะ
จะทำให้พี่ตายไม่รู้ตัว ฮ่าๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account