ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๓ จันทร์หลบโฉมสุดา

ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๓ จันทร์หลบโฉมสุดา

การบุกเข้าไปในบ้านของเศรษฐีหลี่ตรงๆ โดยไม่รู้อะไรเลย ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย เจ้จึงต้องหาข้อมูลเพิ่มหลายอย่าง สิ่งแรกที่ต้องมีคือแผนผังในคฤหาสน์กับสถานที่เก็บสมบัติ นอกจากนี้ยังมีตารางเวรยามและรายละเอียดของยอดฝีมือที่ถูกว่าจ้าง

สิ่งที่เจ้ต้องการเป็นงานหยุมหยิมที่พิราบแดงไม่รับทำ แต่มีคนในองค์กรอีกหลายคนยินดีทำแทน แลกกับค่าตอบแทนห้าพันทอง ราคานี้ถือว่าสมน้ำสมเนื้อ เพราะการจะได้ข้อมูลที่ต้องการจำเป็นต้องแฝงตัวเข้าไปในคฤหาสน์ของเศรษฐีหลี่

สายลับมือฉมังต้องการเวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์สำหรับการทำแผนที่อย่างคร่าวๆ ครึ่งเดือนสำหรับแผนที่อย่างละเอียดพร้อมข้อมูลผู้คุ้มกัน และสองเดือนเป็นอย่างน้อยหากต้องการทราบกลไกในห้องสมบัติ

เจ้กังวลเรื่องกับดักพอสมควร หากไม่ระวังให้ดี ไม่เพียงแต่นำแหวนออกมาไม่ได้ ตัวเองยังตกอยู่ในอันตรายด้วย จึงให้เวลาคนของพรานราตรีสามเดือน และในระหว่างที่รอก็หาหนทางอื่นที่จะได้แหวนมาไปด้วย

แผนสำรองมีอยู่สองอย่าง หนึ่ง ใช้จริตมารยายั่วยวนเอามาให้จงได้ สอง ใช้ตัวช่วยพิเศษ สำหรับการซื้อต่ออย่างถูกต้องตัดทิ้งไปได้เลย เศรษฐีหลี่ร่ำรวยกว่าคณิกาอย่างฟางเซียนตั้งไม่รู้กี่เท่า ของที่สะสมไว้ก็คือของสะสม ไม่เคยมีความคิดที่จะขายแม้แต่น้อย

แผนสำรองอย่างแรก เจ้ตั้งใจจะลองใช้หลังจากได้ข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐีหลี่มาพอสมควรแล้ว ตอนนี้จึงพักไว้ก่อน ส่วนแผนสำรองอย่างหลังกำลังดำเนินการ แม้จะมีอัตราประสบความสำเร็จต่ำมาก แต่ก็คุ้มค่าที่จะลอง

เจ้เริ่มปฏิบัติการติดสินบนตัวช่วย ด้วยการปิดร้านตั้งแต่บ่าย เพื่อใช้เตาอบขนาดใหญ่ของทางร้านทำขนม และให้บรรดาลูกจ้างมาช่วยด้วย สิบชั่วยามผ่านไป เค้ก คุกกี้ และโดนัตจำนวนมากก็เสร็จพร้อมส่ง

“ใครเป็นคนสั่งขนมพวกนี้หรือเจ้าคะ” อาผิงถามขณะช่วยกันบรรจุขนมลงในหีบห่อ ตั้งแต่เปิดร้าน ก็มีผู้ว่าจ้างให้ทำขนมมากมาย แต่นายหญิงกำชับให้รับมาแต่พอดี ไม่เคยต้องปิดร้านเพื่อใคร

“แม่นางหลงฟางเซียนเป็นคนสั่ง” เจ้ว่า งานนี้อัฐยายซื้อขนมยายของจริง เพราะทำเองซื้อเองเสร็จสรรพ

“อ๋อ! คณิกาผู้นั้นเอง” อาซานเอ่ยเสียงดัง “ข้าเคยเห็นภาพวาดของนาง งามราวกับนางสวรรค์ทีเดียว”

หนุ่มวัยสิบเจ็ดเอ่ยอย่างเคลิบเคลิ้ม บุรุษทั่วเจียงเฉียงล้วนอยากเห็นการร่ายรำของคณิกาคนงามเป็นบุญตาก่อนตายสักหน แต่ค่าผ่านประตูนั้นแพงมาก คนจนต่ำต้อยอย่างอาซานจึงได้แต่ฝัน

“ข้าเคยเห็นตัวจริงนางด้วย” น้องเล็กอย่างอาผิงเกทับพี่ชาย สมัยที่ครอบครัวยังยากจนกว่านี้ เด็กน้อยทำงานาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายด้วยการวิ่งไปซื้อของและส่งจดหมายให้เหล่าคณิกา

“แม่นางฟางเซียนหน้าคล้ายนายหญิงเลย”

เจ้ถึงกับสะดุ้งเมื่อถูกทัก เธอจำไม่ได้ว่าอาผิงเห็นตัวเองตอนไหน

อาซานหันไปมองนายจ้างอย่างพิจารณาเป็นครั้งแรก เขาค่อนข้างขี้อาย เลยไม่กล้ามองหน้าผู้หญิงตรงๆ ที่ผ่านมาจึงรับรู้แต่ว่านายหญิงของตนนั้นงามมาก เพิ่งมาเอะใจว่ามีส่วนคล้ายหลงฟางเซียนก็วันนี้

“หน้าตาของนายหญิงคล้ายในภาพจริงๆ ด้วย”

เขาแสนเสียดายที่ไม่มีภาพของฟางเซียนเก็บไว้ มิเช่นนั้นคงเอามาเทียบให้ทุกคนได้เห็น

“จะว่าไป ลูกค้าหลายคนก็พูดอย่างนี้นะขอรับ” อาซานเอ่ยเมื่อนึกขึ้นมาได้

เจ้เก็บตัวอยู่หลังร้านเป็นส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้หลบซ่อน บางทีเห็นคนอื่นกำลังยุ่งก็เข้าไปช่วย เป็นเหตุให้มีเสียงเล่าลือว่าแม่นางชิงชิงจะมาที่ร้านน้ำชาเป็นบางวัน หลานสาวของเศรษฐีเป้าคนนี้มีหน้าตางามมาก ใครมีวาสนาได้ชมโฉมนางรับรองว่าอิ่มใจไปทั้งวัน

เจ้กลัวความจะแตกจึงเปลี่ยนประเด็นไปคุยเรื่องอื่น ทว่าอาผิงก็ยังไม่หยุดเจื้อยแจ้ว

“นายหญิงสวยกว่าตั้งเยอะ” เด็กหญิงเอ่ยอย่างมั่นใจ

“เด็กขี้ประจบ คนธรรมดาอย่างข้าจะไปงามสู้คณิกาอันดับหนึ่งได้อย่างไร”

“ไม่จริงเลยขอรับ นายหญิงออกจะงามล่มเมือง”

เจ้หัวเราะขำคำที่อาซานเปรียบ ‘งามล่มเมือง’ นี่ฟังกี่ครั้งก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนถูกเอาไปเปรียบเทียบกับระเบิดปรมาณู

“แม่นางหลงทาปากแดงน่ากลัว ไม่เหมือนนายหญิง”

ไม่ว่าจะอยู่ยุคไหน เครื่องสำอางก็ยังสามารถเนรมิตให้ผู้หญิงกลายเป็นอีกคนได้ เจ้ตัดสินใจถูกแล้วที่ไม่แต่งหน้าทำผมเวลาออกมาข้างนอก

“ข้าไม่เคยเห็นแม่นางหลง แต่คิดว่านายหญิงงามสู้สี่โฉมสะคราญได้สบายเลยเจ้าค่ะ”

‘สี่โฉมสะคราญ’ เป็นชื่อที่ใช้เรียกสี่โฉมงามแห่งเมืองหลวง ประกอบด้วยองค์หญิงจ้าวลี่จู คุณหนูเฉินกุ้ยฮวา จอมยุทธ์หญิงมู่ไป๋หลิน และคณิกาหลงฟางเซียน

“พอเถอะ...พวกเจ้าสามพี่น้องขยันป้อนคำชมจนตัวข้าจะลอยติดเพดานแล้ว”

เมื่อนายหญิงสั่งไม่ให้พูด บรรดาพี่น้องสกุลอันก็ทำตามแต่โดยดี ถึงกระนั้น ประเด็นการสนทนาก็ยังไม่พ้นเรื่องสี่โฉมสะคราญ

คิดดูแล้วในโลกที่เจ้จากมา ก็มีเรื่องทำนองนี้ในบันทึกโบราณ ซึ่งภาษาไทยมักใช้คำว่า ‘สี่ยอดพธู’ สตรีทั้งสี่ไม่เพียงแต่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในประวัติศาสตร์ ยังมีบทบาทสำคัญต่อเหตุการณ์การเมือง จนมีการจารึกเป็นโคลงกลอน


‘มัจฉาจมวารี

ปักษีตกนภา

จันทร์หลบโฉมสุดา

มวลผกาละอายนาง’


มัจฉาจมวารี หมายถึง ไซซี ตามตำนานกล่าวไว้ว่าตอนนางไปซักผ้าริมลำธาร เหล่ามัจฉาที่ได้เห็นรูปโฉมของนางถึงกับตื่นตะลึงจนลืมแหวกว่าย เป็นเหตุให้จมหายลงไปใต้น้ำ

ปักษีตกนภา หมายถึง หวังเจาจวิน กล่าวกันว่าความงามของนางทำให้เหล่านกที่บินบนท้องนภาถึงกับร่วงลงมาโดยไม่รู้ตัว

จันทร์หลบโฉมสุดา หมายถึง เตียวเสียน ตำนานของนางเกิดจากการที่นางออกไปไหว้พระจันทร์ เมื่อจันทราได้เห็นดวงหน้าก็มิกล้าประชัน ได้แต่หลบซ่อนอยู่ในม่านเมฆ

มวลผกาละอายนาง หมายถึง หยางกุ้ยเฟย ร่างกายของนางนั้นมีกลิ่นหอมฟุ้ง เหล่ามวลบุปผาได้ชมโฉมก็ตกตะลึง หุบกลีบลงโดยไม่รู้ตัว

เจ้นึกคันปากอยากเล่าตำนานพวกนี้ให้เด็กๆ สกุลอันฟัง ทว่ากลับต้องหูผึ่ง เมื่อได้ยินเรื่องราวที่คล้ายกันกับประวัติศาสตร์ของอีกโลก เพียงแต่เปลี่ยนตัวละครเท่านั้น ยิ่งฟังยิ่งไม่คิดฝันว่าวีรกรรมเปิ่นๆ ของแก๊งตุ๊ดจะกลายเป็นตำนานแสนอลังการไปได้

เริ่มจากหน่อมที่อยู่ในร่างขององค์หญิงลี่จูทดลองสบู่ซักผ้าชนิดใหม่ คุณชายหน่อมแน้มเคยบ่นอย่างเสียดายว่าสูตรใหม่ฟองเยอะ และไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้แล้วฝูงปลาจมดิ่งลงไปใต้น้ำ ไม่มั่นใจว่าหมดสติหรือพยายามหนีตายจากสารพิษกันแน่

ถัดมาคือวีรกรรมบ้าพลังของตุ๊ดแรมโบ้ รายนี้ระเบิดพลังปราณออกมาเต็มที่เพื่ออวดความสามารถ บังเอิญทำตอนมีฝูงนกเคราะห์ร้ายบินผ่าน พวกมันก็เลยสลบร่วงลงมา

คนที่สามคือตุ๊ดแว่นบ้าพืช รายนี้เห็นต้นไม้แปลกๆ ไม่ได้ ต้องไปลูบๆ คลำๆ ไม่ก็สำรวจจนพอใจ บังเอิญไปอยู่ใต้ซุ้มดอกไม้ที่กำลังหุบพอดี คนก็เลยเอาไปลือกัน ส่วนกลิ่นหอมที่มาจากตัวนั้น เป็นผลพวงจากยาสมุนไพรที่กินเข้าไปล้วนๆ

ในความรู้สึกเจ้ กลิ่นกายของกุ้ยฮวาไม่ได้หอมเซ็กซี่เร้าอารมณ์ แต่ก็ไม่เหม็นน่ารังเกียจ เพื่อนทุกคนลงความเห็นว่าหอมเหมือนกำยานกลิ่นดอกไม้ไทยผสมน้ำอบ รวมๆ แล้วให้บรรยากาศงานบุญ ได้กลิ่นแล้วกระตุ้นให้อยากยกมือขึ้นสาธุมาก

ส่วนตัวเจ้ในร่างฟางเซียนก็มีตำนานเช่นกัน จะต่างก็ตรงที่มีอภินิหารเกิดขึ้นจริง ในคืนท้องฟ้ากระจ่างเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อน ฟางเซียนได้ออกมาร่ายรำและประกาศท้าทายว่าหากใครสามารถเก็บซ่อนดวงจันทร์ไปจากฟ้าได้ ตนจะอยู่เป็นเพื่อนคุยในราตรีนี้

แขกส่วนใหญ่รู้ว่านางล้อเล่นจึงไม่คิดทำเรื่องเป็นไปไม่ได้ ทว่ากลับมีบุรุษผู้หนึ่งอาสาอย่างมั่นใจและทำได้สำเร็จ เขาโบกพัดทีเดียว ก้อนเมฆซึ่งไม่รู้มาจากที่ใดก็เข้ามาบดบังดวงจันทร์ ไม่มีใครเชื่อว่าชายผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์ เพียงแต่คิดว่าโชคดีเท่านั้น

“ดวงจันทร์หลบไปหลังม่านเมฆ เพราะกริ่งเกรงความงามของฟางเซียนต่างหาก” แขกที่กำลังเมาได้ที่ว่า

พอเอาไปเล่าต่อๆ กัน จึงกลายเป็นตำนานจันทร์หลบโฉมสุดาอันแสนอลังการ

เจ้คิดว่าถ้าตัวการทำให้เกิดเมฆบังดวงจันทร์ได้ยินเรื่องนี้คงจะหัวเราะชอบใจน่าดู เก็บไว้เล่าคืนนี้พร้อมสินบนอาจทำให้อารมณ์ดีและได้ของตอบแทนที่เป็นประโยชน์มาก็ได้


คืนนี้เป็นคืนเดือนมืด แต่ย่านเริงรมย์ในเมืองหลวงก็ยังสว่างไสวราวกับกลางวัน ยิ่งดึก หน้าหอซูเมิ่งก็ยิ่งคึกคักไปด้วยผู้คน วันนี้มีทายาทเศรษฐีมาเที่ยว เขายอมทุ่มไม่อั้นเพื่อให้หลงฟางเซียนออกมาร่ายรำ ทว่ากลับถูกปฏิเสธอย่างแข็งขัน

“ขออภัยเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ คืนนี้แม่นางหลงฟางเซียนต้องรับแขกท่านอื่น”

“มันเป็นใคร!” คุณชายทายาทเศรษฐีถามด้วยความหงุดหงิด

“ผู้มีอำนาจที่ไม่สามารถเอ่ยนามได้เจ้าค่ะ”

นายหญิงแห่งหอซูเมิ่งกล่าวอย่างนอบน้อม แต่แววตาของนางนั้นแฝงไว้ด้วยคำเตือนว่า คนผู้นี้มีอำนาจยิ่งกว่าคุณชายมากนัก

ในแผ่นดินมีผู้เป็นใหญ่มากมาย นับเป็นโชคที่ทายาทของผู้มั่งมีคนนี้ฉลาดพอจะยอมถอย จึงได้รับการปรนนิบัติจากคณิกาอันดับรองลงมาแทน ซึ่งก็เป็นที่สำราญใจจนลืมวัตถุประสงค์แรกเริ่มของตนเองไป

นายหญิงแห่งหอซูเมิ่งลอบถอนใจที่จัดการปัญหาได้ เรื่องของฟางเซียนทำให้นางต้องปวดหัวอยู่เนืองๆ หญิงสาวรับแขกตามอารมณ์ ยอมร่ายรำเพียงเดือนละครั้ง รวมถึงปฏิเสธการจองตัวทุกอย่างในคืนเดือนมืด หากไม่ใช่เพราะนางมีอีกหนึ่งฐานะ และนายใหญ่ให้การสนับสนุน เชี่ยนหนิงคงปลดนางออกจากตำแหน่ง

“ท่านแม่...สรุปว่าท่านผู้นั้นเป็นใครกันแน่เจ้าคะ” คณิกาคนหนึ่งถามถึงแขกพิเศษของฟางเซียนด้วยความสงสัย

“ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องรู้ กลับไปทำงานได้แล้ว” เชี่ยนหนิงเอ็ดเสียงเข้ม ความเป็นจริงนางเองก็ไม่ทราบคำตอบ ทุกคนที่นี่ต่างรับรู้ว่าแขกของฟางเซียนมีตัวตนเป็นปริศนา ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไป แม้แต่คนของพรานราตรีก็ยังสืบหาข้อมูลไม่ได้ ทราบเพียงว่ามั่งคั่งเสียยิ่งกว่าเจ้าเมือง นอกจากเงินทองที่จ่ายไม่อั้น ของที่เขานำมามอบให้ฟางเซียนในแต่ละครั้งก็ล้วนแต่เป็นสิ่งล้ำค่า


ทางด้านคณิกาอันดับหนึ่งแห่งหอซูเมิ่ง ขณะนี้นางอยู่ลำพังในห้องส่วนตัวแสนหรูหรา ฟางเซียนไม่เคยให้ใครมาวุ่นวายขณะเตรียมตัวต้อนรับแขก แม้แต่งานยกของหนักก็ยังทำเองทุกอย่าง

เจ้นำโต๊ะมาเรียงต่อกันไว้ริมหน้าต่างเพื่อใช้วางขนม พร้อมกับจัดเก้าอี้ตัวโตนั่งสบายเอาไว้ข้างกันด้วย เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ค่อยเปิดหน้าต่างให้กลิ่นหอมของอาหารโชยออกไปเรียกแขกพิเศษให้รีบมาหา

“มีอะไรกินบ้าง” เสียงแหบห้าวอันคุ้นเคยดังขึ้นพร้อมการปรากฏตัวของบุรุษหน้าหวานปานอิสตรี

“เข้ามาก่อนใครจะเห็นดีกว่าไหม” เจ้เตือนคนที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ

พริบตาเดียว เต้กุนก็เข้ามาในห้อง แต่ก็ยังอยู่ในสภาพเท้าลอยเหนือพื้น เต้กุนเคยแนะนำตัวกับเจ้ว่าตัวเองเป็นเทพ ไม่รู้ว่าที่เขากล่าวอ้างจริงเท็จเพียงใด ถึงกระนั้น เจ้ก็มั่นใจว่าชายคนนี้ไม่ใช่ ‘มนุษย์’

เต้กุนไม่เพียงเหาะเหินเดินอากาศได้ ยังมีอิทธิฤทธิ์มากมาย เวลาที่พึงพอใจมากๆ เต้กุนมักให้ของตอบแทนที่หาไม่ได้บนโลกมนุษย์ มีทั้งของวิเศษมากประโยชน์เรื่อยไปจนถึงเครื่องประดับล้ำค่า

“วันนี้ข้าทำเค้ก คุกกี้ และโดนัตมาให้ ลองกินดูสิ”

เต้กุนมองขนมกองใหญ่ตาวาว ปกติฟางเซียนจะเตรียมให้เพียงไม่กี่ชิ้น แม้จะรู้ว่าไม่ชอบมาพากล แต่เทพหนุ่มก็ยินดีหลงติดกับอาหาร เขาเคยกินเค้กกับคุกกี้มาก่อน จึงชิมของที่ไม่เคยลิ้มลองอย่างโดนัตก่อน

“อร่อย!” เทพหนุ่มอุทานตั้งแต่กัดคำแรก

เต้กุนยัดขนมใส่ปากอย่างเพลิดเพลิน ไม่นานโดนัตถาดใหญ่กว่าร้อยชิ้นก็อันตรธานไปราวกับไม่เคยมีอยู่ ขอเพียงถูกปาก ไม่ว่าอะไรชายหนุ่มก็กินได้หมด เจ้เลยเรียกกึ่งประชดว่า ‘กระเพาะเป็นหลุมดำ’

“การกินสำหรับเทพคือความบันเทิง ที่ไม่มีผลต่อร่างกาย” ชายหนุ่มอธิบายทุกครั้งเวลาเห็นสายตาทึ่งจัดของหญิงสาว

เต้กุนดูดนิ้วที่เปรอะเศษน้ำตาลจากโดนัต แล้วลงมือกินเค้กเป็นอย่างต่อไป พอกินหมดจึงหย่อนก้นลงนั่งที่ประจำ เหลือคุกกี้เอาไว้ค่อยๆ ละเลียด ขณะที่ฟังฟางเซียนบรรเลงซอเอ้อร์หู

เทพหนุ่มชอบเสียงซอของเจ้มาก ทุกครั้งที่ได้ฟัง เขาจะหลับตาอย่างเคลิบเคลิ้ม ปล่อยใจไปตามทำนองโดยไม่แข็งขืน เต้กุนฟังเพลงเดิมซ้ำๆ ได้ตลอดไม่มีเบื่อ แต่คนเล่นมักไม่ค่อยเล่นต่อเนื่องนานนัก นางบอกว่าเหนื่อยจึงขอพักด้วยการสนทนาแทน ข้อนี้ไม่ทำให้เต้กุนขัดเคืองแต่อย่างใด เขารักการพูดคุยกับนางไม่น้อย มนุษย์ผู้นี้มักมีเรื่องเล่าแปลกๆ ไม่ก็หัวข้อน่าสนใจมาชวนคุยเสมอ เจ้เองก็มีความรู้สึกดีๆ ให้เขาทั้งในฐานะลูกค้าและสหาย เต้กุนอาจทำตัวเหมือนเด็กซนช่างเรียกร้อง แต่เขาก็มีเหตุผล ทั้งยังไม่เคยขอมีสัมพันธ์ทางกายให้ต้องลำบากใจเลย เจ้จึงยอมทำสัญญาจองตัวล่วงหน้าถึงหนึ่งปี

คืนนี้เจ้หยุดเล่นซอเมื่อบรรเลงเพลงที่สามจบ เต้กุนอยากฟังต่อจึงขอให้เล่นอีก

“ก็ได้...คืนนี้ข้าอารมณ์ดีจะตามใจสักวัน” เจ้เอ่ยพลางชักคันสี

เสียงแหลมสูงจากซอเอ้อร์หูดังเป็นทำนองหวานเจือเศร้า เพลงของฟางเซียนมักเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นสิ่งที่เทพโดยกำเนิดอย่างเต้กุนไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่พอได้ฟังเพลงของฟางเซียน เขาก็รู้สึกเหมือนจะเข้าใจอะไรได้มากขึ้น โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า ‘ความเศร้าอันล้ำลึก’

เจ้เล่นเพลงที่เต้กุนชอบซ้ำให้อีกสองหนจึงหยุดเล่นจริงๆ แล้วชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ โดยเริ่มต้นที่คำถามเดิมๆ ที่ใช้เปิดฉากการสนทนาเป็นประจำ

“หนึ่งเดือนที่หายไป ท่านไปทำอะไรมาบ้าง”

“นอน” เทพหนุ่มตอบง่ายๆ

“น่าอิจฉา บางทีข้าก็อยากนอนให้ได้ทั้งเดือนอย่างท่านบ้าง”

“ถ้าเจ้าได้นอนบนเตียงเมฆต้องติดใจแน่ ขนาดข้าเบื่อจะนอน เผลอเอนหลังหน่อยเดียวยังหลับไปงีบหนึ่ง”

เต้กุนเพิ่งตื่นจากการหลับใหลยาวนานกว่าสี่พันปี นอนมานานขนาดนั้น สมควรแล้วที่จะเบื่อ

“แล้วเจ้าเล่า ทำอะไรมาบ้าง” เทพหนุ่มย้อนถาม

“ข้าเข้าวังไปเจอเพื่อนๆ เปิดร้านน้ำชา ทดลองทำขนม เยอะแยะจนเล่าทั้งคืนก็ไม่หมด”

“ชีวิตเจ้านี่วุ่นวายรีบร้อนเสียจริง”

เต้กุนมีสหายที่เป็นมนุษย์อยู่พอประมาณ พวกที่ไม่มีปัญหาปากท้องมักใช้ชีวิตอย่างเอื่อยเฉื่อย มีก็แต่ฟางเซียนที่หางานให้ตัวเองทำไม่หยุดหย่อน

“ก็ชีวิตมันแสนสั้นนี่นา”

“นั่นสิ...ลืมไปเลยว่าข้ารอให้เจ้าเป็นยายแก่อยู่”

เต้กุนเน้นคำว่า ‘แก่’ ชัดมาก พอโดนคนอายุหลายหมื่นปีเรียกแบบนี้แล้วมันฉุนเป็นบ้า ก่อนหน้านี้เต้กุนเคยชวนเจ้ขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ด้วยกัน เขาจะให้เธอได้อยู่ในสถานที่สวยงาม เพิ่มอายุขัยให้อีกหลายพันปี และคงความงามให้เช่นนี้ชั่วชีวิต แลกเปลี่ยนกับการเล่นซอเอ้อร์หูให้ฟังทุกครั้งที่ต้องการ ทว่าเจ้ปฏิเสธทันที เธอย้อนว่าถ้าสวรรค์น่าอยู่จริง เต้กุนคงไม่กระเสือกกระสนลงมาเที่ยวเล่นยังโลกมนุษย์

เต้กุนไม่เคยถูกมนุษย์หรือเทพองค์ใดปฏิเสธมาก่อน แต่แทนที่จะโกรธ เขากลับหัวเราะชอบใจ เทพหนุ่มประกาศเสียงดังว่าฟางเซียนจะไม่มีวันได้รับคำเชิญเป็นหนที่สอง เขาจะคอยเฝ้าดูนางแก่ชราแห้งเหี่ยว และจะเยาะเย้ยอย่างสะใจเมื่อนางบ่นเสียดายว่าตัดสินใจผิด

“สมกับเป็นเทพโรคจิต” เจ้แขวะ

ไม่รู้ว่าเคราะห์กรรมนี้เป็นของฟางเซียนหรือของตัวเจ้เอง จึงไม่มีสุภาพบุรุษนิสัยดีให้คบหาเลย ส่วนใหญ่ที่พอคุยกันได้มีแต่พวกปากคอเราะราย ช่างยั่วให้เชือด

“กล้าว่าข้า ระวังเถอะจะไม่ได้ของดี” เทพหนุ่มยิ้มยั่ว เขาผายมือแล้วเสกกล่องใบหนึ่งออกมา แม้จะเห็นหลายครั้งแล้ว เจ้ก็ยังประทับใจ

“ในนั้นมีอะไร” เจ้ถามโดยไม่คิดจะเสียเวลาเดา

ของที่เต้กุนเอามาจากสรรค์ บางอย่างอยู่เหนือสามัญสำนึกของเจ้ ครั้งหนึ่งเขาเคยเอาหินสีเทาขนาดเท่ากำปั้นมา บอกว่าเป็นไข่ของสัตว์สวรรค์ แต่เอาลงมายังโลกมนุษย์แบบนี้คงไม่ฟักแล้ว เลยให้ลองทำอาหาร เจ้เคาะหินเหมือนตอกไข่ดู สักพักเปลือกก็ร้าวจริง แต่แทนที่จะมีไข่ดิบออกมา กลับมีก้อนกรวดสารพัดสี ที่เก๋ไปกว่านั้นคือ ทั้งหมดมีรสชาติเหมือนเนื้อไก่

“เป็นอะไรที่คล้ายๆ สิ่งที่เจ้าเรียกว่าหลอดไฟ”

เจ้เคยเล่าเรื่องไฟฟ้าให้ฟังเมื่อนานมาแล้ว ไม่คิดว่าเต้กุนยังจำได้

“ข้าเก็บได้ตอนไปเที่ยวเล่นแถวธารแสง”

ธารแสงเป็นธารน้ำสีทองที่ล่องลอยอยู่บนอากาศ มันเคลื่อนที่ได้จึงค่อนข้างหายากสักหน่อย

“ลองเปิดดูสิ” เต้กุนคะยั้นคะยอ

เจ้จำใจรับมา เธอระแวงไม่น้อยว่าเทพขี้แกล้งจะแอบใส่ตุ๊กตาเด้งดึ๋งลงไป ทันทีที่แง้มกล่อง แสงสีนวลก็ลอดออกมา ปรากฏว่ามันเป็นลูกแก้วที่ให้แสงสว่างพอๆ กับหลอดไฟร้อยแปดสิบวัตต์

“ยอดไปเลย ถ้ามีเจ้านี่ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องแสงสว่างแล้ว” เจ้มองอย่างชอบใจ เธออยู่ในโลกที่มีไฟฟ้ามาตลอด พอต้องกลับมาใช้แสงเทียน เลยโหยหาความสะดวกสบายอยู่ลึกๆ

“ถ้าเจ้าชอบ ข้าจะให้เป็นค่าจ้างวันนี้”

เจ้เกือบจะตกลงแล้ว แต่ก็หยุดปากไว้ เธอคิดอย่างชั่งใจว่าควรเก็บเจ้านี่ไว้ หรือขอเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นดี

“ขอเป็นแหวนอันธการได้หรือเปล่า” เจ้ลองขอตรงๆ

“ของบนสรรค์มีชื่อนี้ด้วยรึ” เต้กุนทำหน้าครุ่นคิด

“เปล่า เป็นของในโลกมนุษย์ที่ข้าอยากได้”

เจ้ตัดสินใจเล่าอย่างไม่ปิดบังว่าต้องการแหวนวงนี้ไปช่วยเพื่อน ถ้าใช้เสร็จแล้วก็ยินดีคืนให้เจ้าของ

“ข้าไม่ลดตัวลงไปขโมยของมนุษย์” เต้กุนเอ่ยอย่างหนักแน่น

ในสายตาพวกเทพ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตต่ำต้อย มีค่าพอๆ กับมดแมลง การฉกฉวยแย่งชิงสิ่งของจากผู้ต่ำต้อยกว่าไม่เพียงน่าละอาย ยังทำให้เสื่อมเกียรติด้วย

“ข้าไม่กล้าขอให้ทำถึงขนาดนั้นหรอก เรื่องชิงแหวนข้าจัดการเองได้ แค่อยากได้อุปกรณ์ที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น ท่านมีพวกเสื้อคลุมที่ใส่แล้วล่องหนได้ไหม หรือยาที่กินแล้วควบคุมจิตใจคนก็ได้”

“ข้าไม่ค่อยมีของที่มนุษย์ใช้ได้ด้วยสิ”

สมบัติเทพมีฤทธิ์มากเกินกว่าจะให้มนุษย์หยิบยืม บางชิ้นแค่สัมผัสก็ทำลายกายเนื้อจนมอดไหม้แล้ว

“ไม่เป็นไรหรอก ข้าผิดเองที่หวังกับท่านมากไป” เจ้ทำเป็นพูดยั่ว

เต้กุนเป็นพวกชอบเอาชนะ เมื่อเจอคำปรามาสจึงติดกับทันที

“ข้าจะหามาให้ เจ้าเตรียมหาของตอบแทนเอาไว้ก็แล้วกัน”

เทพหนุ่มหายวับไปต่อหน้าเมื่อกล่าวจบ เต้กุนมักเป็นเช่นนี้ บทจะมาก็มา บทจะไปก็ไป เจ้จึงไม่คิดตำหนิ เธอเดินไปเก็บจานขนม แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงดังบอกให้แบมือ เจ้ทำตามโดยอัตโนมัติ จึงรับขวดยาที่หล่นลงมาจากอากาศได้พอดี

“ข้าเกือบลืมให้เจ้าไปเลย” เทพที่โผล่มาแค่เสียงว่า “นี่เป็นของขวัญวันครบรอบ ถ้ามนุษย์กินเข้าไปหนึ่งเม็ด จะออกฤทธิ์สามชั่วยาม ใช้ดีๆ ล่ะ”

“วันครบรอบอะไร” เจ้ถามกลับ

ไร้เสียงตอบรับ เต้กุนกลับสวรรค์ไปแล้วจริงๆ ทิ้งไว้แต่ขวดยาปริศนาที่ไม่รู้ว่าคืออะไร

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

แจ้งข่าวเรื่องงานหนังสือเพิ่มตรงนี้นะคะ ใครซื้อเล่มสามไปสามารถไปขอที่คั่นได้ที่บูธสถาพรค่ะ B02 โน้มฝากทิ้งเอาไว้แล้ว แต่มีจำนวนจำกัดนะคะ หมดแล้วหมดเลย

สำหรับใครที่อยากเจอมาเจอได้ที่บูธ B02 บ่ายโมงถึงบ่ายสี่เวลา 13.00-16.00 วันที่ 28 29 31 นะคะ วันที่ 25 กับ 1 ไปเดินเล่นส่วนตัวค่ะ อยากเจอขอเบอร์หลังไมค์ได้นะคะ ^O^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 22 ต.ค. 2558, 23:24:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ต.ค. 2558, 23:24:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 1115





<< ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๒ ภารกิจคำทำนาย   ลำนำผีเสื้อโลหิต : บทที่ ๔ คนที่อยากพบที่สุด >>
mottanoy 24 ต.ค. 2558, 07:47:41 น.
แล้วเจ๊จะเดาได้ถูกมั้ยเนี่ยะ


Zephyr 24 ต.ค. 2558, 18:35:23 น.
ลองกอนดูจิแล้วจะรู้ว่ามันคือ....


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account