ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: สู่สมรภูมิ : บทที่ ๓ สวมบทพ่อค้า

สู่สมรภูมิ : บทที่ ๓ สวมบทพ่อค้า

ถ้าต้องการเดินทางจากเมืองไห้ซิวไปยังแคว้นอี้ป่าย เส้นทางการเดินทางที่สะดวกและประหยัดเวลาที่สุดคือไปทางแคว้นหรงซิ่ง ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกันก่อน จากนั้นค่อยเดินทางทางน้ำ ล่องเรือลงใต้ไปตามแม่น้ำชาง ผ่านแคว้นป้าวเฟิงก็จะถึงอี้ป่าย ช่วงนี้กระแสน้ำค่อนข้างเป็นใจ หากไม่มีอะไรติดขัดจะใช้เวลาเดินทางประมาณเจ็ดวัน

จากไห้ซิวถึงหรงซิ่งใช้ม้าเป็นพาหนะในการเดินทาง หน่อมกับแว่นขี่ม้าไม่เป็นเลยต้องนั่งไปกับโบ้และเจ้ แม้จะต้องแบกน้ำหนักคนถึงสองคน แต่ความเร็วของม้าก็ไม่ตกลงนัก เพราะใช้ม้าตัวใหญ่และสาวๆ แต่ละคนก็รูปร่างบอบบาง น้ำหนักรวมกันพอๆ กับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งพอดี

ผู้หญิงสี่คนเดินทางกันตามลำพังย่อมดึงดูดโจรผู้ร้าย เพื่อความปลอดภัยพวกนักพรตจึงอาสามาส่งจนถึงท่าเรือ หน่อมไม่ปฏิเสธน้ำใจแต่ขอให้ตามมาอย่างห่างๆ โดยให้เหตุผลว่าขบวนนักพรตบนหลังม้าสะดุดตาเกินไป

จากเขาลู่ซานเดินทางเข้าสู่เขตหรงซิ่งใช้เวลาไม่เกินหนึ่งวัน แต่เนื่องจากออกเดินทางกันในตอนบ่าย จึงต้องแวะพักที่โรงเตี๊ยมบริเวณชายแดนก่อนหนึ่งคืน จากนั้นค่อยเดินทางต่อตอนรุ่งสาง ไปถึงท่าเรือที่แม่น้ำชางก็เที่ยงพอดี

ก่อนมาถึงท่าเรือ สี่สาวหาจุดแวะพักเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์และชื่อแซ่ เพื่อความสะดวกปลอดภัย ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเรื่องที่องค์หญิงลี่จูแอบออกมาจากวัดจะไม่แพร่งพรายออกมา อีกทั้งขณะนี้อี้ป่ายกำลังเกิดสงคราม คนสติดีทั่วไปคงไม่โง่เข้าไปเดินเล่น เว้นก็แต่พวกพ่อค้าเดนตายที่หากำไรจากสงครามกับพวกสายลับ หากถูกสงสัยว่าเป็นจำพวกหลัง จนเป็นเหตุให้โดนกักตัวไว้ที่ด่าน คงไม่เข้าท่า

สี่สาวตกลงกันว่าจะให้เจ้รับบทเป็นแม่ม่ายสามีตาย กำลังเดินทางไปรับศพกับน้องสามีซึ่งก็คือหน่อม ส่วนแว่นกับโบ้เป็นพี่น้องกัน ทั้งคู่ตั้งใจจะไปค้าขาย จึงให้เจ้กับหน่อมที่เป็นญาติโดยสารเรือไปด้วย

เจ้ โบ้ หน่อม ยังคงเพศเดิมเอาไว้ แต่เจ้ใส่หมวกผ้าโปร่งปิดบังหน้าตา หน่อมแต้มจุดตามหน้าให้เหมือนตกกระและเอาถ่านมาป้ายให้ดูมอมแมม ส่วนโบ้ยังสวยเหมือนเดิม เปลี่ยนแค่ชุดจากจอมยุทธ์ให้ดูเหมือนคนค้าขาย แว่นเป็นคนเดียวที่ได้แต่งแมน ขณะนี้เลยรับบทเป็นอากุ้ย หนุ่มน้อยหน้าใส

หน่อมให้คนเตรียมเรือกับลูกเรือเอาไว้แล้ว พอแจ้งชื่อกับนายท่าก็มีคนนำทางพาไปยังเรือสินค้าลำโต เรือลำนี้มีไต้ก๋งฝีมือดีและลูกเรือประจำอยู่พร้อม ขาดก็แต่หาซื้อสินค้ามาใส่ให้เต็มลำเรือ เพื่อจะได้แสดงเป็นคนค้าขายได้อย่างสมบทบาท

หน่อมสั่งซื้อข้าวกับเมล็ดพันธุ์พืชเอาไว้จำนวนหนึ่ง แต่ยังเหลือพื้นที่อีกหนึ่งในสี่ เขาเลยขอให้เพื่อนๆ ช่วยซื้อสิ่งจำเป็นที่คิดว่าจะได้ใช้ประโยชน์ รวมถึงของทั่วไปเพื่อให้สินค้ามีความหลากหลาย

“เคยได้ยินว่าตลาดท่าเรือที่นี่น่าเที่ยว แต่ไม่คิดเลยว่าจะใหญ่ขนาดนี้” แว่นเปรยขณะทอดสายตามองแผงขายสินค้าที่ทอดยาวสุดสายตา

ตลาดท่าเรือแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีขนาดใหญ่ ยังวางผังจัดระเบียบได้เป็นอย่างดี มีการออกกฎชัดเจนว่าตลาดตะวันออกใช้สำหรับขายของที่เพิ่งขนลงมาจากเรือเท่านั้น ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นสินค้าท้องถิ่น มีทั้งสินค้าขายส่งและแผงขายของปลีกย่อย ซึ่งตรงจุดนี้ก็ได้รับการจัดสรรพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วนเช่นกัน

“อย่าเลือกมั่วนะ ไม่งั้นจะซวยไม่รู้ตัว” แว่นเตือนก่อนทุกคนจะแยกกันไป

สินค้าบางอย่างดูเป็นของธรรมดาแต่กลับเป็นสิ่งผิดกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่นเกลือ หรงซิ่งไม่มีพื้นที่ติดทะเล แหล่งเกลือธรรมชาติก็ไม่ค่อยมี เกลือจึงเป็นสินค้าควบคุมของรัฐ ห้ามคนทั่วไปซื้อขาย

“งั้นแกตามประกบอิโบ้อย่างว่องเลย ก่อนมันจะไร้สติซื้ออะไรไม่คิด” เจ้ว่า

ไม่ทันขาดคำโบ้ก็โบกมือหย็อยๆ เรียกเพื่อนให้ไปดูเครื่องปั้นดินเผาลวดลายประณีต

“เราเอาพวกนี้ไปขายดีไหมคะ สวยๆ ทั้งนั้นเลย”

“ถ้าชอบก็ซื้อไปได้ชิ้นสองชิ้น แต่เอาไปขายไม่ได้หรอก” หน่อมซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดบอก

“ทำไมคะ” โบ้ทำหน้างง

เขามั่นใจว่าไม่ได้เลือกซื้อของที่ตลาดผิดฝั่ง อีกทั้งถ้วยชามก็ไม่ใช่ของผิดกฎหมาย

“เราจะไปอี้ป่าย ที่นั่นเป็นแหล่งเครื่องเคลือบกับเครื่องปั้นดินเผา ถ้าเอาของคุณภาพเป็นรองแต่แพงกว่าไปขาย คงขายไม่ออกถูกไหม”

“อ๋อ! อย่างนี้เอง” โบ้พยักหน้าหงึกหงัก

เพื่อป้องกันไม่ให้จอมสร้างปัญหาไปคว้าอะไรแปลกๆ มา โบ้เลยถูกคุมเข้ม ในขณะที่คนอื่นเลือกสินค้ากันเองได้ เจ้ซื้อผ้าฝ้ายเนื้อดีที่ยังไม่ย้อมสีไปจำนวนหนึ่ง ผ้าพวกนี้นอกจากนำไปตัดชุดได้ ยังสามารถนำมาใช้ทำเป็นผ้าพันแผลได้ด้วย

ในสนามรบ พวกยาห้ามเลือดกับลดไข้เป็นสิ่งจำเป็น แต่เนื่องจากทางใต้มีสงคราม ราคายาเลยพลอยขึ้นสูงหลายเท่าตัว แว่นเสียดายเงิน จึงซื้อสมุนไพรมาแทน สรรพคุณโดดๆ ของมันไม่มีอะไรเด่น เลยราคาถูก แต่สามารถนำไปผสมตามสูตรเป็นของชั้นเลิศได้ แว่นเลยซื้อชุดสำหรับปรุงยากับพวกขวดต่างๆ ไปด้วย ระหว่างที่เดินทางจะได้ทำเตรียมไว้พร้อมใช้

เมื่อได้ของครบเต็มลำเรือ แว่นซึ่งรับบทนายน้อยก็สั่งให้ถอนสมอเตรียมออกเดินทาง แต่หน่อมร้องห้ามเอาไว้ก่อน

“ลืมอะไรเหรอ” แว่นถาม

“คนยังไม่ครบ”

ฟังแล้วแว่นก็รีบนับคนเป็นการด่วน เห็นเพื่อนอยู่กันพร้อมหน้าเขาก็ตะโกนถามว่ายังขาดลูกเรือคนไหนไหม ผลคือทุกคนเตรียมพร้อมกันหมดแล้ว

"อ๋อ! ผีเสื้อๆ อะไรนั่นใช่ไหมคะ” โบ้เอ่ยอย่างนึกขึ้นได้

“ผีเสื้ออะไรของแก”

“ผีเสื้อที่หน่อมบอกจะให้ช่วยคุ้มกันน่ะค่ะ”

โบ้ดันจำแม่นทั้งที่หน่อมพูดถึงเพียงครั้งเดียว เจ้เลยได้สะดุ้งอีกรอบ

“อ๋อ! ผีเสื้อโลหิต” แว่นพลอยนึกออกตามไปด้วย “เขาจะมาเมื่อไรเหรอเจ้”

แว่นกับโบ้เข้าใจตรงกันว่าคนคนนี้เป็นยอดฝีมือที่หน่อมจ้างมา เจ้คิดหาคำตอบไม่ทัน หน่อมเลยช่วยแก้สถานการณ์ให้

“เขามาแล้วล่ะ อยู่บนเรือนี่แหละ”

“ใครคะ ชี้บอกคนสวยหน่อย” โบ้สอดส่ายสายตามองลูกเรืออย่างค้นหา

“คนคนนี้ไม่ต้องการให้เปิดเผยตัว ถ้ามีอันตรายผีเสื้อโลหิตจะมาช่วยเราเอง”

“ไว้ใจได้แน่นะ” แว่นรู้สึกว่ามันมีลับลมคมในชอบกล

“ไว้ใจได้สิ ใช่ไหมเจ้”

เจ้อยากบอกจริงๆ ว่า ‘ไม่’ ขึ้นชื่อว่าหงเซียน เกิดสติแตกบ้าเลือดขึ้นมาไม่มีใครเอาอยู่ แต่เห็นแก่ความสบายใจของทุกคน เลยต้องตอบว่าใช่

แว่นยังคงติดใจเรื่องผีเสื้อโลหิตอยู่ แต่การสนทนาถูกขัดเพราะการมาของใครคนหนึ่ง ไป๋อวี้ตะโกนโหวกเหวกโบกมือโบกไม้เรียกโบ้อยู่ริมฝั่ง

“ขอหยกน้อยไปด้วยสิอาเจ๊ อย่าเพิ่งทิ้งกัน”

ไป๋อวี้ไม่ได้มาตัวเปล่าแต่มีสัมภาระพร้อม พอเห็นชายหนุ่มหน่อมก็กระซิบว่านี่แหละคนที่รอ ไป๋อวี้คือตัวแปรสำคัญอีกคนที่จะทำให้แม่ทัพต่งมีชัยในสงคราม

“ให้หยกน้อยไปด้วยได้ไหมหน่อม” โบ้ขออนุญาตเพราะมัวแต่สนใจน้อง เลยไม่ได้ยินที่เพื่อนกระซิบบอก

“ได้สิ มีผู้ชายเพิ่มมาก็อุ่นใจดี”

“หยกน้อยสู้ไม่ได้เรื่องหรอก แต่สะกดรอยเก่ง” โบ้บอกไว้ก่อนเพราะกลัวจะผิดหวัง

“จะแบบไหนก็ไม่เป็นไรหรอก รีบๆ ให้ขึ้นมาเถอะจะได้ออกเรือ” เจ้ว่า

ตอนนี้ทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่โบ้กับน้องชาย ทั้งสองคนหน้าตาดีเกินไป อีกทั้งยังเป็นฝาแฝด เจ้สังหรณ์ใจชอบกลว่านี่จะเป็นเบาะแสสำคัญ หากมีใครต้องการตามหาตัวองค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา

ไป๋อวี้กระโดดพรวดขึ้นมาทันทีที่ได้รับอนุญาต อึดใจก็มายืนอยู่ตรงหน้าสี่สาว

“ขอบคุณที่ให้ข้าไปด้วย พวกท่านจะไปไหนกันหรือ”

“อ้าว! ขอมาด้วยนี่ไม่รู้หรอกรึ” เจ้หยอกทั้งๆ ที่ดูออกว่าเขากำลังหนี

วันก่อนโบ้เล่าให้ฟังว่าน้องชายโดนลงโทษให้อดอาหารเจ็ดวัน นี่เพิ่งผ่านไปได้ไม่เท่าไร หนำซ้ำไป๋อวี้ยังมีท่าทีรีบร้อนลุกลี้ลุกลน ถ้าไม่เรียกว่าหนีจะเรียกว่าอะไรได้อีก

“ท่านนั่นเอง...ข้าจำเสียงท่านได้” ไป๋อวี้เอ่ยอย่างดีใจที่เจอคนรู้จัก

ชายหนุ่มจำเสียงของเจ้ได้ ทว่ายังไม่ทันทักทายก็ต้องตกใจเมื่อได้มองใบหน้าของทุกคนในที่นั้น

“ท่านสองคนก็มาด้วยหรือ พวกท่านคิดจะทำอะไรกัน”

เมื่อการปลอมตัวใช้ไม่ได้ผลกับหยกน้อย หน่อมจึงเอ่ยตัดบท

“ลงไปคุยกันที่ใต้ท้องเรือกันดีกว่า จะได้หาอะไรให้ไป๋อวี้กินด้วย”

พอพูดถึงของกิน คนที่ไม่ได้กินอะไรมานานก็รีบตามไปทันที

ใต้ท้องเรือสินค้ามีห้องส่วนตัวเล็กๆ ให้สี่สาวอยู่ด้วยกันอย่างสบาย มีไป๋อวี้เพิ่มมาหนึ่งก็ไม่ถึงกับอึดอัดมาก หน่อมเอาขนมที่ซื้อมาให้ไป๋อวี้กินก่อน แล้วค่อยเล่าสถานการณ์อย่างคร่าวๆ ให้ฟัง ไป๋อวี้ตกใจมากที่องค์หญิงลี่จูจะไปสนามรบ แต่เขาก็ไม่ห้ามปราม ด้วยถือว่าการตัดสินใจครั้งนี้ย่อมมีเหตุผล คนเดียวที่เขาเตือนก็คือพี่สาว

“อาเจ๊จะไปกับองค์หญิงด้วยจริงๆ หรือ สนามรบนะอาเจ๊ มีแต่อันตราย ไม่ใช่ที่เที่ยวเล่น”

“ก็เพราะอันตรายอย่างไรเล่า ข้าจึงต้องไปด้วย เกิดเป็นสหายย่อมไม่ทิ้งกัน” โบ้แสดงจุดยืนอย่างแน่วแน่

ไป๋อวี้ได้ยินดังนั้นจึงตัดสินใจขอตามไปด้วยอีกคนหนึ่ง

“กระหม่อมสู้ไม่เก่งแต่ไม่เกี่ยงงานหนัก หากมีกิจอันใดต้องการเรียกใช้ก็ขอให้บอกมาได้เลย กระหม่อมยินดีช่วยเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มฝากตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง

“เจ้าก็เหมือนสหายเราคนหนึ่ง อย่าได้เกรงใจเลย ต่อไปก็พูดกันอย่างธรรมดาเถอะ” หน่อมบอก เพราะไม่อยากให้เขาคิดว่าตัวเองอยู่ในสถานะข้ารับใช้

เมื่อทำความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว แว่นก็แจ้งชื่อปลอมของแต่ละคนให้ได้ทราบ

“ตอนนี้ข้าเป็นน้องชายคนเล็กของพวกเจ้าชื่อกุ้ยเฟิง พี่สาวเจ้าใช้ชื่อว่ากุ้ยหลิน เจ้าก็ใช้ชื่อว่ากุ้ยอวี้ก็แล้วกัน ส่วนลี่จูใช้ชื่อเหมยลี่ ฟางเซียนเป็นซ้อสาม”

“หลงฮูหยินต่างหาก” เจ้แก้

ไม่รู้ทำไมเวลาปลอมตัว ทุกคนต้องยัดเยียดสถานะซ้อสามมาให้เธออยู่เรื่อย ได้ยินทีไรขนลุกไปถึงคอ

“เหมาะดีออก ไหนๆ ท่านก็เป็นอนุชายาขององค์ชายสามอยู่แล้ว” ไป๋อวี้แสดงความเห็นอย่างพาซื่อ

เจ้ทำหน้าหน่าย ดวงเธอช่วงนี้เป็นดวงถูกจี้ใจดำหรืออย่างไร ทำไมถึงมีชื่อที่ไม่อยากได้ยินลอยเข้าหูตลอด

‘องค์ชายสามเอย ผีเสื้อโลหิตเอย หน่วยเสื้อคลุมดำเอย มีอะไรทำให้เจ็บให้จี๊ดอีกก็ว่ามา’ เจ้คิดอย่างโมโห

“อย่าบ่นน่าซ้อสาม เป็นญาติสนิทกันจะเรียกแบบห่างเหินได้ไง” แว่นทำเสียงหล่อตามบทบาท

หน่อมหัวเราะคิกเมื่อได้ยิน ประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้กับองค์ชายสามเป็นเรื่องที่ล้อกันได้สนุก เพราะเจ้มักจะทำท่าฮึดฮัดตอบกลับ หนนี้ก็เหมือนกัน เจ้ยังทำตัวเหมือนเดิม จึงมีแค่แว่นที่เห็นความผิดปกติในความปกติ

‘ไปกันได้ไม่สวยกับผู้ชายหน้าเหมือนนพสินะ’

แว่นคิดอย่างนั้นเพราะเชื่อว่าถ้ารักกันหวานชื่น เจ้ต้องคุยฟุ้งเรื่องความรักครั้งใหม่ ที่แปลกไปกว่านั้นคือเจ้ปฏิเสธว่าไม่ได้มีอะไรกับองค์ชายสาม แบบไม่เต็มปากเต็มคำสักเท่าไร

แว่นสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายรักแสนวุ่นวายจากตัวเจ้ เขาอยากรู้ความจริงระคนเป็นห่วง แต่ก็ไม่ตั้งคำถามให้เพื่อนลำบากใจ แว่นเข้าใจดีว่าบางเรื่องพูดออกมาได้ยาก จึงรอให้เจ้พร้อมเล่าเอง

“ไป๋อวี้...เจ้าหนีออกมาแบบนี้ ประมุขมู่จะไม่ส่งคนตามมาจับตัวกลับไปหรือ” เจ้เปลี่ยนเรื่องพูดเมื่อถูกรุมกระเซ้าเรื่ององค์ชายสามหนักเข้า

“ไม่หรอก อย่างน้อยก็จนกว่าจะหาตัวผู้บุกรุกได้”

ไป๋อวี้เล่าให้ฟังว่าตอนถูกลงโทษเขาไม่ได้ตั้งจะแหกค่ายกลหนีออกมา แต่คืนก่อนมีคนชุดดำบุกเข้ามาขโมยของ และทำลายค่ายกลพังยับเยิน ไป๋อวี้เห็นเหตุการณ์โดยตลอด แต่ไม่ได้เข้าไปขัดขวางเพราะรู้ว่าคนคนนี้มีวรยุทธ์สูงมาก

“ถ้าท่านพ่อรู้ว่าข้าทำตัวขี้ขลาดอีก สงสัยจะถูกจับฝังในสุสานตระกูลแน่ ข้าเลยหนีออกมาก่อน”

“มีใครบาดเจ็บไหม ไป๋ซานล่ะเป็นอย่างไรบ้าง” โบ้ถามอย่างตกใจ

เขาห่วงว่าน้องเล็กจะไปส่งอาหารแล้วเกิดเจอกับคนร้ายเข้า

“ไป๋ซานสบายดี ยังช่วยข้าเตรียมห่อผ้านี่อยู่เลย แต่มีคนบาดเจ็บสิบกว่าคนเห็นจะได้ ข้าได้ยินว่าคนร้ายใช้วิชาของพรรคมาร ส่วนของที่หายไปคือตำราฟื้นชีพจร”

“พรรคเทพสวรรค์มีการคุ้มกันแน่นหนา ใครกันกล้ามาหยามกันถึงถิ่น” โบ้ถามอย่างโมโห

แม้เขาจะไม่ค่อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพ แต่ก็มีความรักในพวกพ้อง

“นับว่ายังดีอยู่ที่ไม่มีใครตายหรือบาดเจ็บสาหัส ป่านนี้คงเร่งหาตัวคนร้ายเพื่อเอาของคืนกันจ้าละหวั่น”

โบ้กล่าวอาฆาตคนร้ายพอให้หายโมโหแล้วจึงเงียบไป แว่นเห็นเป็นโอกาสจึงถามไป๋อวี้เรื่องที่สนใจ

“ไม่ทราบว่าพอจะบอกได้หรือไม่ว่าฟื้นชีพจรเป็นตำราแบบไหน”

“เป็นตำราปรุงยาที่ต้องผสานการใช้ลมปราณเข้าไปด้วย”

“น่าสนใจจริงๆ ข้าไม่มีพลังอย่างนั้น แต่ก็อยากศึกษาเป็นบุญตาสักหน เสียดายเป็นความลับของตระกูลท่าน”

แว่นเพิ่งจะมานึกได้ตอนนี้ว่าที่หลิ่งปินยังหน้าเด็กกล้ามแน่น อาจไม่ใช่เพราะยาวิเศษอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเขาฝึกยุทธ์และมีวิชาลมปราณ

“ถ้าท่านหญิงสนใจ ข้าบอกรายละเอียดให้ได้ อีกอย่างท่านใช่คนนอกเสียที่ไหน ตอนนี้เราเป็นพี่น้องกันแล้วนี่” ไป๋อวี้เอ่ยอย่างใจกว้าง

เขารู้เนื้อหาอย่างละเอียดเพราะระหว่างที่ถูกขังไม่มีอะไรทำ ก็เลยรื้อค้นหาของอ่านเล่นแก้หิวไปเรื่อยเปื่อย

“แต่ว่า...เจ้าอาจถูกตำหนิ” แว่นอดเกรงใจไม่ได้

“ไม่เป็นไรหรอก ตำราถูกขโมยไปแล้ว มีคนช่วยจำเนื้อหา ข้าจะได้อุ่นใจหากตามเอาคืนมาไม่ได้”

“ขอบคุณเจ้ามาก”

แว่นรับน้ำใจของไป๋อวี้ ด้วยการขอฟังเนื้อหาในตำราทันที ต่อด้วยการยกหน้าที่การสั่งการภายในเรือให้ชายหนุ่ม คนจะได้ไม่สงสัยว่าทำไมน้องเล็กอย่างแว่นจึงมีอำนาจมากกว่าพี่ชายพี่สาว

ทั้งสองชวนกันออกไปที่ดาดฟ้าเรือ เพื่อพูดคุยกับไต้ก๋งและบรรดาลูกเรือ ในระหว่างนั้นหน่อมก็ขอตัวนั่งทำสมาธิ เขาจำเป็นต้องฝึกจิตให้พร้อมสำหรับสถานการณ์ในอีกเจ็ดวันข้างหน้า ช่วงที่นั่งทำสมาธิมีกฎว่าห้ามใครแตะต้องตัวเด็ดขาด มีอะไรให้ส่งเสียงเรียกจนกว่าจะตื่น จึงขอร้องให้เจ้ช่วยดูแลเรื่องนี้ให้

“แล้วคนสวยละคะ ให้ทำอะไรดี” โบ้ที่ว่างอยู่ถาม

“พักให้เต็มที่ อีกไม่กี่วันก็ต้องบุกค่ายโจรแล้ว เราอยากให้เธอพร้อมสู้ที่สุด”

โบ้ได้ฟังแบบนั้นก็เลยออกไปยืดเส้นยืดสายที่ดาดฟ้าเรือ ทว่ายังไม่ทันออกจากห้องหางตาก็เห็นวัตถุสีเขียวดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ด้านหลังหน่อม

“อิเขียวนี่นา!” โบ้ออกอาการกรี๊ดกร๊าดเมื่อเจอภูตพฤกษาตัวกลม

“อยู่ไหน...เอามันไปไกลๆ เลย” เจ้กระเด้งขึ้นจากพื้นเพราะเข้าใจว่าเป็นแมลง

“ไม่ใช่แมลงหรอกเจ้ ภูตของเราเอง ยังจำภูตพฤกษาที่โบ้บอกว่าเหมือนโปเกมอนได้ไหม” หน่อมอธิบาย

เขาตั้งชื่อเจ้าตัวเล็กว่า ‘น้องกรีน’ แต่พอโบ้เรียกมันว่า ‘อิเขียว’ เจ้าตัวกลับร้องกิ๊กกี้ตอบรับเสียอย่างนั้น แถมยังเกือบวิ่งออกมาเล่นด้วยอยู่แล้ว แต่พอได้ยินเสียงเจ้านายก็นึกได้ก่อนว่าถูกสั่งให้ระวังมนุษย์ เจ้าตัวเล็กกระโดดผึงไปซุกอยู่บนตักหน่อมแทน

“ไม่เป็นไรหรอก คนคนนี้ไม่อันตราย เจ้าเล่นกับเขาได้” หน่อมบอกภูตตัวน้อย

“กี้ๆๆ” ภูตพฤกษาร้องอย่างร่าเริง

หลายวันมานี้มันต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในห่อผ้า ไม่มีพวกภูตในเขาลู่ซานเล่นด้วยเหมือนอย่างเคยจึงเหงามาก

“สัตว์เลี้ยงแกถึกทนพอแน่นะหน่อม ให้เล่นกับอิโบ้เดี๋ยวก็ตายคามือมันเหรอ”

เจ้อดห่วงไม่ได้ โบ้ไม่เพียงแต่ขึ้นชื่อเรื่องแรงวัวแรงควาย ระดับความไฮเปอร์ยังไม่เป็นสองรองใคร หมาลาบราดอร์แท็กทีมกับบีเกิ้ลครึ่งโหล ยังพร้อมใจกันหอบรับประทานก่อนที่มันจะเหนื่อย

“ไม่ต้องห่วงหรอก น้องกรีนไม่ใช่ภูตอ่อนแอ”

โดยทั่วไปจิตที่ไม่บริสุทธิ์กับความคิดแง่ลบของมนุษย์จะส่งผลกระทบกับภูตที่ยังเด็ก ที่น้องกรีนสามารถอยู่ในสังคมมนุษย์ได้เพราะมันถือกำเนิดในวังหลวง สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยจิตอาฆาตและการแก่งแย่ง ภูตตัวน้อยอาจต้องสูญสลายไม่ก็กลายสภาพเป็นปีศาจ แต่น้องกรีนก็รอดมาได้พร้อมภูมิคุ้มกันอันแข็งแกร่ง

“อิเขียวคัมออน! มาเล่นกันเถอะ มาเล่นกัน” โบ้อ้าแขนให้เจ้าตัวเล็ก

“กิ๊กกี้!” น้องกรีนพุ่งเข้าหาในทันที แล้วไปเต้นอยู่บนสองมือของโบ้

“เอ้า ส่ายตูดส่ายตูด”

“ตูดกี้ ตูดกี้” เจ้าตัวเล็กทำตามแล้วร้องรับอย่างสนุก

เมื่อคนเพี้ยนโคจรมาพบกับภูตติงต๊อง คู่หูคู่ใหม่เลยบังเกิด โบ้ชวนเจ้าตัวเล็กกระโดดสวอนเลกหมุนตัวเต้นรำออกจากห้องไปด้วยกัน โดยไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองอย่างไร โบ้คิดแต่ว่ากำลังเลี้ยงเด็ก ก็ต้องมีกิจกรรมสันทนาการให้น้องหนูทำ เลยเปิดคอนเสิร์ตรวมเพลงเด็กอนุบาล พร้อมสอนท่าเต้นประกอบเพลงเสียเลย

“กำมือขึ้นแล้วหมุนๆ ชูมือขึ้นโบกไปมา กางแขนขึ้นและลง...”

พวกลูกเรือพากันมองคุณหนูคนสวยเต้นด็อกแด็กร้องเพลงประหลาดกันตาค้าง พวกเขาไม่ได้ตะลึงในความงาม แต่กำลังอึ้งจัด ไม่คิดว่านางจะมีพฤติกรรมอย่างคนเสียสติ

ทางด้านคนสวยเลอค่าอย่างโบ้ หาได้สะท้านสะเทือนกับสายตาที่มองมา นางมโนเองเสร็จสรรพว่าเป็นธรรมดาของคนน่ารักที่จะถูกจับจ้อง เลยเล่นกับน้องกรีนต่อไปแบบลืมโลก น้องชายแท้ๆ อย่างไป๋อวี้ถึงกับอายแทน ได้แต่แก้ต่างให้พี่สาวว่า

“ตั้งแต่นางป่วยหนักแล้วฟื้นขึ้นมาก็เป็นแบบนี้แล้ว พวกเจ้าอย่าถือสาเลย”

ได้ฟังแล้วพวกลูกเรือต่างก็เสียดายกันทั่วหน้า

“หน้าตาออกงามไม่น่าสติไม่ดีเลย”

แว่นทนฟังลูกเรือนินทาเพื่อนแบบซึ่งหน้าแทบไม่ไหว จะเถียงแทนก็ไม่ได้เพราะมันจริง ก็เลยกลับลงมาด้านล่างก่อนจะจิกหัวตบตุ๊ดไร้สติ

แว่นโมโหง่ายเพราะฤทธิ์ยาของหลิ่งปิน เขาต้องกินมันทุกครั้งเวลาที่รู้สึกหนาวหรือแน่นหน้าอก แว่นเกลียดอาการแบบนี้ของตัวเองมาก เขาไม่อยากพาลใส่ใครเลยหาทางแก้ด้วยการหาคนพูดคุยระบายอารมณ์ และคนที่ได้รับเกียรตินั้นก็คือเจ้

“อิโบ้มันไปเต้นบ้าอะไรก็ไม่รู้บนดาดฟ้าเรือกับตัวสีเขียวกลมๆ”

“แกเห็นด้วยเหรอ” เจ้ทำหน้าประหลาดใจ

“เห็นสิ ตัวกลมๆ มีใบไม้ขึ้นที่หัวสองใบ”

“ทำไมฉันไม่เห็นอยู่คนเดียว” เจ้เริ่มรู้สึกแปลกแยก “แล้วมีคนอื่นเห็นอีกไหม”

“ไม่นะ ไป๋อวี้ก็ไม่เห็น พวกลูกเรือด้วย ซุบซิบกันใหญ่ว่าอิโบ้สติไม่ดี”

“แล้วทำไมอยู่ๆ แกถึงมองเห็นภูตได้ ไปทำอะไรมา คงไม่ได้ไปฝึกพิเศษมาอย่างอีหน่อมหรอกนะ” เจ้มองเพื่อนอย่างพิจารณา

“ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้นเลย อยู่บ้านนอนอย่างเดียว มันเป็นไปได้ไหมเจ้ที่อยู่ๆ ตาที่สามก็เปิดเอง” แว่นสันนิษฐาน

เขาเคยไม่เชื่อเรื่องที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ แต่ตอนนี้ปลงแล้วว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้

“ไม่รู้สิ พออิหน่อมออกจากสมาธิแล้วแกค่อยถามมันละกัน” เจ้บุ้ยใบ้ไปที่เพื่อนซึ่งขณะนี้กำลังนั่งขัดสมาธิ วางมือไว้ที่ตักแล้วหลับตานิ่ง

หน่อมเพิ่งเริ่มนั่งสมาธิได้แค่ครู่เดียว จึงรับรู้การสนทนาเมื่อครู่ ให้ลืมตามาตอบก็ไม่ส่งผลเสียกับการฝึกจิต แต่เขาเลือกที่จะไม่ตอบ เพราะคำตอบนั้นไม่ได้สร้างประโยชน์อันใดให้แก่ผู้ฟังเลย

มนุษย์ที่จะสามารถเห็นภูตได้มีอยู่สามประเภท ประเภทแรกคือพรสวรรค์ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ประเภทที่สองคือพวกที่ฝึกฝนจนสามารถมองเห็นได้ ประเภทสุดท้ายคืออย่างแว่น มนุษย์ที่ใกล้สิ้นอายุขัยหรือกำลังจะถึงฆาต

- โปรดติดตามตอนต่อไป -

ลางซวยของแว่นมาแล้ว จะเป็นยังไงติดตามตอนต่อไปนะคะ โบโบ้ของเรากำลังจะบุกหุบเขาโจรแล้ว ^O^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 14 ธ.ค. 2558, 00:22:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 14 ธ.ค. 2558, 00:22:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1114





<< สู่สมรภูมิ : บทที่ ๒ แผนเปลี่ยนอนาคต   สู่สมรภูมิ : บทที่ ๔ บุกหุบเขาทมิฬ >>
Zephyr 14 ธ.ค. 2558, 00:51:27 น.
อ้าว เฮ้ย งั้นยอมไม่เห็นดีกว่ามั้ย
น้องกรีน ออกจะน่ารัก
แต่ อิเขียว นี่ กร้านโลกไปนะ เอิ่ม


นักอ่านเหนียวหนึบ 14 ธ.ค. 2558, 03:09:23 น.
แว่นอาจจะฝึกไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้นะ


mottanoy 15 ธ.ค. 2558, 14:36:42 น.
ม่ายนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account