ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"
คำนำ
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้
ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"
ตารกา
คำนำ
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้
ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"
ตารกา
Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์
ตอน: สู่สมรภูมิ : บทที่ ๔ บุกหุบเขาทมิฬ
สู่สมรภูมิ : บทที่ ๔ บุกหุบเขาทมิฬ
สายลมกับกระแสน้ำในช่วงนี้ถือว่าเป็นใจให้เดินทางลงใต้เป็นอย่างยิ่ง เรือสินค้าของสี่สาวแล่นฉิวอย่างไม่มีติดขัด ใช้เวลาเพียงสามวันก็มาถึงท่าเทียบเรือที่อี้ป่าย ท่าเรือตรงด่านชายแดนไม่คึกคักเท่าหรงซิ่ง เท่าที่เห็นมีแต่พ่อค้ามารอซื้อสินค้าไปขายต่อ ไม่ค่อยมีคนนำของมาวางตั้งขายกันนัก สาเหตุเพราะสินค้าขึ้นชื่ออย่างเครื่องปั้นดินเผาจะมีคนไปรับมาจากแหล่งอยู่แล้ว ไม่ต้องเหนื่อยนำมาเร่ขายเอง นอกจากนี้ยังเป็นภาวะสงคราม ข้าวของขาดแคลนเกินกว่าจะนำมาขาย
เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดี เจ้าหน้าที่จากทางการจึงได้รับสิทธิ์ซื้อสินค้าจำเป็นก่อน พวกพ่อค้าจะปฏิเสธไม่ขายของให้ แล้วนำไปปล่อยทำกำไรกับรายย่อยก็ได้ แต่ต้องแลกกับการเสียภาษีในราคามหาโหด
“ในเรือขนอะไรมาบ้าง” เจ้าหน้าที่อากรเข้ามาตรวจสอบทันทีที่เรือเทียบท่า
“มีผ้าฝ้าย ข้าว เมล็ดพันธุ์ สมุนไพรและพวกเนื้อตากแห้งอีกเล็กน้อย เชิญท่านตรวจสอบ” ไป๋อวี้ซึ่งได้รับการฝึกจากแว่นมาอย่างดี สวมบทพ่อค้ามืออาชีพได้อย่างคล่องแคล่ว
อันที่จริงต่อให้ไม่ฝึก ไป๋อวี้ก็มีความสามารถในการเจรจาอยู่แล้ว เพียงแต่ใช้หรือไม่ใช้มันก็เท่านั้น ชายหนุ่มยึดคติทำอะไรตามใจเป็นที่ตั้ง ถ้าหัดควบคุมตัวเองอีกหน่อย คงกลายเป็นพ่อปลาไหล
“ตั้งใจจะขายให้ทางการไหม” นายอากรชี้ไปที่กระสอบข้าว
ตอนนี้ภาวะขาดแคลนอาหารในอี้ป่ายไม่ถึงขั้นวิกฤตแต่ก็ต้องเตรียมกักตุนเอาไว้ตามคำสั่ง
“หากทางการต้องการมีหรือผู้น้อยอย่างข้าจะปฏิเสธ”
ไป๋อวี้เออออไปก่อนเพื่อให้ขั้นตอนการตรวจสอบเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ความจริงองค์หญิงลี่จูไม่คิดขายของเหล่านี้ นางย้ำว่าของจำเป็นในสนามรบต้องถูกลำเลียงไปซ่อนเอาไว้ในจุดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม เพื่อเตรียมพร้อมเวลาต้องใช้
“มีบ่อยไปบอกว่าจะขายให้ทางการ แต่แอบขนไปที่อื่นก็เยอะ จ่ายเงินประกันมาก่อนห้าร้อยทอง ขายให้ทางการเสร็จ เจ้าค่อยเอาใบรับรองมาเบิกเงินคืน”
ราคานี้จัดว่าโหด แถมตอนมารับเงินคืนจะได้ไม่เต็มจำนวน คนค้าขายอย่างเจ้รู้ธรรมเนียม ก็เลยกำชับให้หยกน้อยต่อจนเหลือแค่หนึ่งในสี่ แล้วมอบกำไลหยกที่ดูมีราคาให้นายอากรเป็นของแถม
ไป๋อวี้ต่อรองอยู่ราวครึ่งชั่วยามในที่สุดก็ได้เสียภาษีในราคาที่จ่ายได้สบายใจ เมื่อเอาของลงเรียบร้อยแล้ว ทหารรับจ้างในคราบคนงานก็มารับช่วงต่อ คนพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนแปลกหน้า แต่สามารถไว้ใจได้เพราะพรานราตรีช่วยจัดหา
ปกติทหารรับจ้างจากหรงซิ่งขึ้นชื่อเรื่องฝีมือฉกาจฉกรรจ์ แต่ค่อนข้างกักขฬะ ไม่มีแบบแผน ไม่ชอบให้ใครบงการ ดีหน่อยตรงรักษาคำพูด บอกให้สู้ก็สู้สุดใจ กลุ่มคนที่จ้างมามีคุณสมบัติของนักรบหรงซิ่งครบถ้วน แต่ดีกว่าตรงมีมารยาทและทำงานเข้าขากันได้ดี
ทั้งห้าร้อยคนต่างก็ผ่านศึกน้อยใหญ่มามาก ทำให้รู้จักระเบียบวินัยของกองทัพ รวมถึงการทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แม้ว่าผู้ว่าจ้างเป็นสตรีก็ไม่คิดดูถูก คุณภาพคับแก้วนี้แลกมากับค่าจ้างจำนวนมหาศาล ถ้าไม่ใช่องค์หญิงที่มาเองไม่มีทางจ้างได้
“ข้าอยากให้ท่านไปหาซื้อสินค้าตามรายการใส่ไปกับเรือด้วย” หน่อมส่งม้วนกระดาษให้หัวหน้าทหารรับจ้าง
ของพวกนี้โบ้กับกำลังพลใหม่จำเป็นต้องใช้ หน่อมจึงจัดการให้ก่อนต้องแยกกัน
“อีกเรื่องคือแบ่งคนไปกับเรือสักยี่สิบคน”
“ท่านต้องการใช้สอยคนของข้าทำสิ่งใด” ชิวฮานถาม
ในหนังสือสัญญาตกลงว่าจะร่วมรบในอี้ป่าย แต่ไม่ได้ระบุภารกิจที่ต้องเดินทางทางเรือ
“เราจะให้คนของท่านไปหุบเขาทมิฬ”
เมื่อได้ฟังหญิงสาวแจ้งว่าจะไปปราบโจรเพื่อจะได้เอามาเป็นพวก ชิวฮานก็หัวเราะจนเคราสั่น ชายหนุ่มตบไม้ตบมือชมว่าเป็นมุกตลกที่ดีที่สุดในปีนี้เลย
“เราไม่ได้พูดเล่น”
หน่อมยืนยันด้วยแววตาอันแน่วแน่ สิ่งนี้เปลี่ยนสีหน้าของคู่สนทนาให้กลายเป็นจริงจัง
“ลูกน้องของข้าฝีมือเก่งกาจแต่ไม่ใช่เทวดา ยี่สิบต่อคนเป็นพันทำอย่างไรก็ไม่ชนะ ข้าจะไม่ส่งคนของข้าไปตายโดยเปล่าประโยชน์”
“ข้าไม่ได้ต้องการส่งคนของท่านไปสู้ แต่อยากให้ช่วยสนับสนุนในกรณีที่แผนการผิดพลาด”
“สนับสนุนอย่างไร”
“หาทางช่วยสหายของเราออกมา ถ้าจัดการพวกโจรไม่สำเร็จ”
หน่อมผายมือไปทางโบ้ ไป๋อวี้และแว่นตามลำดับ
“ท่านจะใช้คนเพียงสามคนยึดหุบเขาทมิฬงั้นรึ”
ชิวฮานเริ่มรู้สึกเสียแล้วว่าถูกหญิงสติไม่ดีว่าจ้าง หน่อมอ่านสีหน้าออก แต่ก็ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงน่าฟัง เพื่อโน้มน้าวหัวหน้ากองทหารรับจ้าง
“เรามีวิธีของเรา ถ้าท่านต้องการทราบ เราก็ยินดีอธิบาย”
ชิวฮานไม่อยากเสียเวลาฟังเรื่องไร้สาระ แต่เขาก็ผายมือเชิญให้เล่า
“ท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่าหัวหน้าโจรที่หุบเขาทมิฬมีนามว่าซุนซือเหมี่ยว เขาชอบการประลองและมั่นใจในพละกำลังของตนมาก จึงตั้งกฎเอาไว้ว่าถ้าผู้ใดเข้ามาในหุบเขาทมิฬได้ แล้วสู้ชนะตนจะยกตำแหน่งหัวหน้าโจรให้”
“คุณชายบอบบางสองท่านนั้นเป็นยอดฝีมือรึ” ชิวฮานเดาเมื่อเริ่มเข้าใจแผนการ
“เฉพาะคนที่สูงกว่า คุณชายอีกคนไม่มีวรยุทธ์ ต้องคุ้มกันให้ดี”
หน่อมลังเลพอสมควรว่าจะให้แว่นมาด้วยกันหรือไปกับโบ้ จึงลองถามความสมัครใจเพื่อนดู แว่นเลือกที่จะไปกับโบ้ โดยให้เหตุผลว่าต่อให้ปราบหัวหน้าโจรชนะ ก็ต้องอาศัยวาทศิลป์เจรจาให้คนที่เหลือยอมเป็นพวก ความสามารถในข้อนี้โบ้ไม่มีแน่ ส่วนไป๋อวี้ถึงจะพูดคล่อง ก็ไม่มีภาวะผู้นำพอ
พอแว่นตัดสินใจอย่างนี้ อนาคตหลายอย่างก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น หน่อมจึงให้แว่นไปโดยมีภูตพฤกษาติดตามไปด้วย น้องกรีนไม่ชอบห่างจากเจ้านาย แต่หลังจากโดดเล่นดึ๋งๆ อยู่ในเรือกับโบ้มาสามวัน ภูตตัวน้อยก็เริ่มคุ้นเคยและชอบโบ้มากขึ้น มันจึงไม่อิดออดนักเมื่อถูกสั่งให้เดินทางไปด้วยกัน
“เป็นเด็กดี แล้วอย่าลืมเรื่องที่ข้าสั่งนะ” หน่อมกระซิบบอก
เจ้าตัวเล็กชี้มือชี้ไม้ไปกลางลำตัวเป็นเชิงบอกว่าเก็บของสำคัญเอาไว้อย่างดี ไม่จำเป็นต้องห่วง
“แม่นางท่านนั้นก็คงไม่ธรรมดาใช่หรือไม่” ชิวฮานเดาได้เพราะนายจ้างมิได้สั่งให้ดูแลนางเป็นพิเศษ
“นางเป็นคนเก่ง แต่ค่อนข้างหุนหัน จึงต้องมีที่ปรึกษา”
สรุปแล้วงานบุกหุบเขาโจรครั้งนี้ มีโบ้เป็นทัพหน้า ไป๋อวี้ระวังหลัง ส่วนแว่นเป็นมันสมอง
“ถ้าแม่นางมั่นใจข้าก็ไม่ขัดข้อง แต่มีข้อแม้หนึ่งอย่าง”
หัวหน้ากองทหารรับจ้างต้องการให้โบ้ประลองกับคนของตัวเองแบบสองรุมหนึ่ง ถ้ายันเอาไว้ได้อย่างน้อยห้าสิบกระบวนท่าเขาจะยอมส่งคนไปช่วย
หน่อมรับข้อเสนอในทันที เขากวักมือเรียกเพื่อนให้เข้ามาหาแล้วแจ้งเงื่อนไขให้ทราบ ถ้าโบ้ไม่ขัดข้องจะได้หาที่ประลองกันเลย
“พอดีเลยค่ะ คนสวยกำลังอยากยืดเส้นยืดสาย” โบ้เตรียมอบอุ่นร่างกายอย่างไม่รอช้า
แว่นกับเจ้ได้ฟังเงื่อนไขก็คัดค้าน มีเพียงไป๋อวี้เท่านั้นที่บ่นว่าไม่ยุติธรรม เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ของพี่สาวเป็นชายร่างกำยำท่าทางเอาเรื่อง
ชิวฮานได้ยินแต่ทำเป็นหูทวนลม เขาต้องการทราบฝีมือของแม่นางผู้นี้จึงสั่งให้คนสู้เต็มที่ ทว่าไม่ทันจะถึงยี่สิบกระบวนท่า นักรบฝีมือฉกาจกลับเป็นฝ่ายพ่ายลงไปนอนคลุกดิน
ขณะที่ชิวฮานกำลังอ้าปากค้าง ไป๋อวี้ก็มายืนข้างๆ พลางมองมาด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ
“ก็บอกแล้วว่าไม่ยุติธรรม ปกติห้าหกคนรุมยังสู้อาเจ๊ไม่ได้เลย”
เมื่อผลการประลองออกมาอย่างไร้ข้อกังขา หัวหน้ากองทหารรับจ้างก็จัดคนไปกับพวกโบ้ตามสัญญา ขณะที่รอการขนถ่ายสินค้าอยู่นี้ หน่อมก็ขอให้ชิวฮานว่าจ้างคนนำทางให้ตามคำแนะนำของแว่น ตอนนี้ในกลุ่มไม่มีใครชำนาญเส้นทาง แม้จะมีแผนที่ละเอียดก็ไม่สะดวกเท่าให้คนท้องถิ่นนำไป ชิวฮานฟังแล้วก็กล่าวชมหญิงสาวที่รู้จักเตรียมการ
“นี่ไม่ใช่ความคิดเราหรอก แต่สหายเราท่านนั้นเป็นคนคิด”
หน่อมไม่เก็บความดีเอาไว้กับตัว เขาอยากให้พวกทหารรับจ้างเห็นความสามารถของเพื่อนๆ ได้ผลทีเดียวชิวฮานและใครอีกหลายคนเลิกสบประมาทแว่นที่ดูอ่อนแอขี้โรค
“ต้องเสียเวลานานไหมกว่าจะหาคนได้”
หน่อมถามเผื่อเอาไว้ ในกรณีที่ต้องใช้เวลานานจะได้เดินทางไปก่อน แล้วส่งคนนำทางตามมาทีหลัง
“เรื่องนี้แม่นางไม่ต้องห่วง ข้าเตรียมคนเอาไว้แล้ว”
ชายหนุ่มจ้างคนเอาไว้เผื่อเลือกถึงห้าคน แม้ส่วนใหญ่จะเชี่ยวชาญเส้นทางในอี้ป่ายและจงเย่า แต่ก็รู้รายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละสถานที่แตกต่างกันไปตามพื้นเพ
ชิวฮานทำงานได้ดีเกินค่าจ้างจริงๆ ขนาดไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หนึ่งในคนที่เขาคัดมายังสู้อุตส่าห์รู้จักทางลัดไปหุบเขาทมิฬ หน่อมจึงให้คนคนนี้ไปกับพวกโบ้
หุบเขาทมิฬอยู่ใกล้กับทางออกสู่ทะเล เทียบท่าที่นั่นจะสะดวกรวดเร็วกว่าเดินเท้า แว่น โบ้และไป๋อวี้จึงต้องนั่งเรือกันต่อ แว่นใจหายเมื่อต้องแยกกับหน่อมและเจ้ แม้จะระบุสถานที่นัดพบกันอีกครั้งเอาไว้ เขาก็ยังไม่เลิกวิตก บางทีถ้าได้ระบายออกมาแว่นคงสบายใจขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูด เขาอาสาขึ้นเรือมาเป็นมันสมองของกลุ่มเอง ถ้าสารภาพว่ากลัวได้หมดความน่าเชื่อถือกันพอดี
ความเครียดส่งผลกับสุขภาพแว่นจนต้องกินยาไปหลายเม็ด แต่อากาศที่อี้ป่ายอุ่นกว่าทางเหนือของเจียงเฉียง เมื่อกินยาเข้าไปแทนที่จะโล่งสบายกลับแน่นอึดอัด ร้อนวูบวาบเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว แว่นเลยตัดสินใจว่าหลังจากนี้จะลองหยุดยาสักระยะ ไม่อย่างนั้นคงได้อาละวาดพ่นไฟใส่พวกโจรแทนการเจรจา
แว่นออกมาคลุกคลีพูดคุยกับผู้คนเพื่อไม่ให้เครียด มีโบ้ที่ร่าเริงสดใสกับหยกน้อยที่เข้ากับคนแปลกหน้าได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นเพื่อน อารมณ์วิตกในใจก็บรรเทาไปได้มากทีเดียว
เสียเวลาเดินทางอยู่เกือบสองวันเรือก็เทียบท่า ไต้ก๋งบอกว่าช้ากว่าปกติวันครึ่ง เพราะกระแสน้ำไม่เป็นใจเหมือนอย่างตอนลงมาจากหรงซิ่ง แต่แว่นก็คิดว่าไม่นานเท่าไร เมื่อเทียบกับระยะทาง
เนื่องจากท่าเรือตรงส่วนนี้ใกล้ปากอ่าว จึงมีเรือน้อยใหญ่เข้ามาไม่ขาดสาย ขนาดว่ามีสงครามยังมีคนมารับซื้อเครื่องปั้นดินเผา แสดงว่าของเขาดีจริงสมราคุย น่าเอา จริง ออกซักตัว
ระหว่างที่รอให้คนขนของลงจากเรือ แว่นนั่งฟังหยกน้อยคุยกับคนนำทาง จึงได้ทราบว่าเมื่อก่อนเรือสินค้าไม่ค่อยแวะรับของจากที่นี่เท่าใดนัก แต่ช่วงครึ่งปีมานี้ไม่รู้ว่ามีพ่อค้ามาจากไหน เข้ามาขนพวกถ้วยโถโอชามไปเป็นจำนวนมาก จนผลิตกันแทบไม่ทัน ที่อี้ป่ายยังมีเงินใช้จ่ายในการสงครามก็เพราะรายได้ส่วนนี้
แว่นอยากถามรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องเคลือบบ้าง แต่ชะงักไปก่อนเพราะเหลือบเห็นสัญลักษณ์คุ้นตา มันเป็นธงสีม่วงขอบดำ เมื่อพิจารณาดีๆ ก็จำได้ว่าตัวเองเป็นคนออกแบบ
ตอนยังอยู่ในวัง องค์ชายลี่หมิงมาตื๊อขอให้ออกแบบธงให้เอาไว้ใช้แบบไม่เป็นทางการ แว่นเลยแนะไปว่าให้ใช้ธงสีม่วงจะได้สื่อถึงองุ่นที่ปลูกในจุ้ยห้าน แต่ธงสีเดียวมันเรียบไปแล้วมีเกร่อเลยเพิ่มขลิบดำเป็นริ้วแบบฟันปลาให้ แทนความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน ลายบนตัวธงเป็นรูปปลาสีทองที่หมายถึงความเป็นมงคลและมั่งคั่ง แว่นไม่มีเวลาเลยวาดปลาให้แบบส่งๆ ไม่คิดฝันว่าเขาจะเอาลวดลายมาใช้โดยไม่ปรับเปลี่ยนเลย
‘คนขององค์ชายสามมาที่นี่ทำไม?’
ขณะที่สงสัยแว่นก็นึกไปถึงพี่ชายจอมขี้แกล้งไปด้วย ไม่รู้เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้ารู้ว่าน้องสาวสุดที่รักกำลังจะไปรบ
มองธงไปนานๆ แว่นก็สังหรณ์ใจไม่ดีว่าองค์ชายสามอาจจะรู้เรื่องลี่จูแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะนึกสนุกแอบไปแกล้งน้องสาวเล่นถึงไห้ซิว พอไปแล้วไม่เจอตัวเลยออกตามหา
ความคิดนี้ดูเป็นเหตุเป็นผลดี แต่ไม่กี่อึดใจแว่นก็ปัดมันทิ้งไป ถ้าองค์ชายสามไปหาลี่จูที่ไห้ซิวแล้วไม่พบ คงเดินทางลงใต้มาทางเรือเหมือนกัน แต่เรือที่มีธงสัญลักษณ์แล่นสวนขึ้นมาจากปากอ่าว แว่นเลยสรุปว่าคิดมากไปเอง
ตอนทำสัญญาว่าจ้างเรือสินค้าลำนี้ หน่อมทำแบบขาไปเที่ยวเดียว ดังนั้นเมื่อถึงที่หมายไต้ก๋งจึงถามว่าต้องการให้รอหรือไม่ แว่นซึ่งดูแลการเงินจ่ายค่าจ้างให้และบอกปฏิเสธเพราะตั้งใจเดินเท้าไปสมทบกับเพื่อน
เมื่อจัดการเรื่องเรือแล้วก็ต้องมาดูแลเรื่องของที่ขนมาด้วย ท่าเรือตรงจุดนี้ไม่มีโกดังสินค้าให้เช่า ทั้งยังต้องหาซื้อรถม้ากับเกวียนไว้ขนของอีก กว่าจะเรียบร้อยก็มืดพอดี
“จะค้างคืนหรือไปต่อเลย” โบ้ถาม
ใจเขาอยากเดินทางเลย เพราะเห็นว่าตอนอยู่บนเรือทหารรับจ้างส่วนใหญ่ได้พักกันเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังเกรงใจแว่นซึ่งสุขภาพไม่แข็งแรง
แว่นยังเดินทางไหวแต่ไม่ตัดสินใจทันที เขาขอคำแนะนำจากคนนำทางในฐานะคนพื้นที่ก่อน
“ถ้าพวกท่านไม่เหนื่อยล้าเกินไป ข้าแนะนำให้เดินทางต่อเลยขอรับ จากท่าเรือไปแถวหุบเขาทมิฬ เดินเท้าแบบค่อยเป็นค่อยไปสักหกชั่วยามก็ถึง”
การเดินทางแบบนี้เหมือนจะเสี่ยงแต่กลับปลอดภัย เพราะโจรถิ่นนี้มีนิสัยชอบปล้นพ่อค้าที่หยุดพักแรม มากกว่าจะปล้นขบวนสินค้าในตอนกลางคืน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะการขนพืชผักจะทำในตอนกลางคืน เพื่อให้ทันส่งตลาดเช้า ดังนั้นปล้นไปก็ไม่คุ้มค่าเหนื่อย ขนาดใช้เส้นทางเดียวกันกับที่พวกโจรชอบใช้ พวกมันยังควบม้าผ่านไปแบบไม่สนใจเลย
“ตกลงตามนั้น เราจะเดินทางเลย”
เมื่อได้รับคำสั่งขบวนขนสัมภาระก็เคลื่อนตัว เกวียนขนาดใหญ่ห้าคันที่เช่ามาไม่ได้อยู่ในความสนใจของพวกโจรที่ขี่ม้าผ่านไปเป็นระยะจริงๆ พวกมันส่วนใหญ่คิดว่ากำลังขนผัก พวกที่ฉลาดหน่อยก็สังเกตว่ามีคนเยอะไม่คุ้มจะเสี่ยง จึงปล่อยไป
เมื่อใกล้ถึงสถานที่ตั้งรังโจร ทุกคนก็ออกนอกเส้นทางเพื่อซ่อนของเอาไว้ในป่า รอจนเช้าแล้วค่อยเริ่มทำตามแผน การจะท้าประลองกับหัวหน้าโจรได้ต้องผ่านด่านพวกลูกน้องที่ตั้งค่ายแถวตีนเขาไปก่อน แว่นไม่คิดปะทะจึงวางแผนเข้าไปด้านในในฐานะบรรณาการ
“ต้องมีคนแสดงละครว่าอยากเป็นพวกมัน เลยเอาสาวงามมาให้เพื่อแสดงความจริงใจ” แว่นบอกแผนเพื่อคัดตัวนักแสดง
มีคนอาสาประมาณห้าหกคน เขาเลยเลือกที่ดูฉลาดและหน้าโฉดมาสองคน จากนั้นก็สอนให้มัดปมที่มืออย่างหลวมๆ เพื่อให้ดิ้นหลุดได้ง่าย รวมถึงให้แอบพกอาวุธไปด้วย แต่ถ้าถูกริบเอาไว้ที่ด้านหน้าค่ายก็ไม่เป็นไร เพราะไป๋อวี้สามารถช่วยเรื่องนี้ได้ ชายหนุ่มจะลอบเข้าไปด้านในก่อนเมื่อถึงเวลาประลอง แล้วแอบส่งอาวุธให้ทุกคนโดยเฉพาะโบ้
“ถ้าเห็นสถานการณ์ไม่ดี ให้จุดสัญญาณไฟเรียกคนมาช่วย เพื่อความปลอดภัยเราจะทิ้งของไว้นี่แล้วหนีกันเลย” แว่นว่า
“ท่านจะไปกับพวกข้าสองคนหรือไม่” ทหารรับจ้างถาม
“ไป ข้าจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงไปในฐานะของขวัญด้วย”
“เจ้าจะตบตาพวกมันได้หรือ” คนที่อยู่เยื้องกันท้วง
“แต่ก็น่าจะได้อยู่นะ คุณชายน้อยหน้าสวยจะตาย”
ฟังแล้วแว่นก็ขำ อยู่ด้วยกันมาตั้งสองวันแต่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องเพศเขาเลย ส่วนใหญ่พุ่งความสนใจไปที่หนุ่มหน้าสวยอย่างไป๋อวี้มากกว่า ทุกคนลงความเห็นว่าเขาเป็นผู้หญิงปลอมตัวมา หยกน้อยเลยถอดเสื้อโชว์เสียเลย เป็นเหตุให้ไม่มีใครคิดสงสัยในตัวแว่น
แม้จะมีเสียงค้านประปรายแต่แผนการแต่งหญิงก็ยังดำเนินต่อไป แว่นหลบเข้าไปเปลี่ยนชุดในรถม้า โดยพาโบ้เข้าไปด้วย อ้างว่าจะให้ช่วยแต่งตัว พักใหญ่ก็ออกมาในชุดหญิงชาวบ้าน
“โอ้! เหมือนผู้หญิงจริงๆ เลยขนาดไม่แต่งหน้าแต่งตายังสวย” คนที่ปรามาสกลับคำในทันที
พวกที่เหลือต่างมารุมล้อมดูแว่นกลับไปแต่งตัวตามเพศอย่างตื่นตะลึง ผลัดกันชมผสมหยอกอยู่พักใหญ่ ถึงกระนั้นก็มีคนหนึ่งติว่ายังปลอมตัวได้ไม่แนบเนียนนัก
“คุณชายน้อยรับนี่ไปสิ” ชายหนุ่มยื่นผ้าให้
“เอามาทำไม”
แว่นทำหน้างง อีกฝ่ายจึงเข้ามาตบบ่าอย่างขบขัน
“ยัดหน้าอกไง เป็นผู้หญิงก็ต้องมีนมสิ”
“...”
งานนี้แว่นผู้น่าสงสารได้แต่เงียบและเงิบไปตามระเบียบ
เช้าวันใหม่ ขณะที่ดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนออกจากเหลี่ยมเขา ซุนซือเหมี่ยว ขุนโจรแห่งหุบเขาทมิฬกำลังนอนฝันหวาน ถึงวันที่ตนจะสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ให้โลกต้องจารึก มหาโจรผู้ทะเยอทะยานแต่มีสมองเท่าเมล็ดถั่ว ได้ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้เป็นจำนวนมากเพื่อการใหญ่ เขาและบรรดาลูกสมุนทั้งหลายพร้อมประกาศศักดาทุกขณะ แต่กลับไม่สามารถเคลื่อนพลได้เพราะไม่รู้ว่าควรทำอะไรก่อนดี
ซือเหมี่ยวไม่ชอบใช้ความคิดจึงให้ลูกน้องเสนอแผนการมา แต่ลูกน้องคนสนิทกับเจ้านายดูเหมือนจะมีระดับสติปัญญาใกล้เคียงกัน พวกที่ฉลาดหน่อยช่วยวางแผนให้ก็ไม่ถูกใจเอาเสียเลย ด้วยเหตุนี้เหล่าโจรในหุบเขาทมิฬก็เลยไม่ได้ทำอะไรมากมายนอกจากปล้นแค่พอหาเลี้ยงตัว บางรายว่างจัดถึงกับปลูกผักเลี้ยงสัตว์เป็นงานอดิเรกเลยก็มี เพราะอย่างนี้คนก็เลยปรามาสว่าเป็นโจรกระจอก
หลังจากอดทนให้คนดูแคลนมานานหลายปี ซือเหมี่ยวก็ได้ความคิดดีๆ จากความฝัน เขาจดจำทุกรายละเอียดได้อย่างไม่เคยเป็น ราวกับสรรค์เบื้องบนเป็นผู้ชี้นำ ขุนโจรแห่งหุบเขาทมิฬยินดีปรีดาเสียจนต้องจดเอาไว้ป้องกันการลืม
ซือเหมี่ยวเขียนอ่านไม่ออกแต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะมีมือขวาที่รู้หนังสือ ชายหนุ่มตะโกนให้ตามซือเกามาหาตนโดยด่วน แต่เดิมนั้นซือเกามีชื่อจริงที่ไม่มีส่วนคล้ายหัวหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะเป็นคนโปรด เลยได้รับชื่อใหม่ที่พ้องกัน เสมือนเป็นพี่น้องของหัวหน้า ซือเกาที่ฝีมือต่อสู้ไม่โดดเด่นจึงละทิ้งชื่อเดิมเพื่อจะได้เป็นที่นับหน้าถือตา
ซือเกาเร่งมาหาเมื่อถูกเรียก ถึงกระนั้นก็ยังไม่ทันใจซือเหมี่ยว ในขณะที่คนใจร้อนโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์ ก็มีคนมารายงานว่ามีผู้ชายสองคนมาขอพบ บอกว่าต้องการส่งของขวัญให้
“พวกมันให้ของขวัญข้าทำไม”
“ทั้งสองบอกว่าได้ยินกิตติศัพท์หัวหน้ามานาน อยากขอเป็นพวกด้วย จึงนำของขวัญมาแสดงความจริงใจ”
“อยากตายหรือไง!” ซือเหมี่ยวตวาดเมื่อถูกรบกวน “เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องถาม บอกกฎให้พวกมันรู้แล้วก็รับของไว้สิ”
วิธีเข้าร่วมกับกองโจรซือเหมี่ยวทำได้ง่ายๆ ด้วยการเข้ารับการทดสอบ แค่ไม่พิการจับดาบแกว่งไปมาได้ก็ถือว่าผ่านแล้ว แต่ต้องจำเอาไว้ข้อหนึ่งว่าผู้แข็งแกร่งคือชนชั้นปกครอง ถ้าไม่พอใจให้หยิบดาบขึ้นมาสู้และไม่ว่าจะบาดหมางด้วยเรื่องอันใด คนชนะถือเป็นฝ่ายถูก
“ข้าก็บอกไปเช่นนั้น แต่พวกมันยืนกรานว่าต้องส่งของให้ถึงมือท่านให้ได้ เพราะกลัวพวกเราจะทำของขวัญเสียหาย”
“ของขวัญอะไร” ซือเหมี่ยวเริ่มสนใจนิดหน่อย
“เป็นผู้หญิง สวยมากด้วยแถมมีตั้งสองคน” พูดแล้วก็ทำตาเยิ้ม
แม่นางคนงามทั้งสองนี่แหละที่ทำให้เขายอมเสี่ยง ชายหนุ่มหวังว่าถ้ารีบมาแจ้งข่าวแล้วหัวหน้าพอใจจะได้รางวัล
“ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้” ขุนโจรที่อดอยากปากแห้งเรื่องผู้หญิงมานานผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “นำทางไป ข้าอยากเห็นพวกนาง”
ไม่กี่อึดใจซือเหมี่ยวก็มาถึงจุดที่ของขวัญรออยู่ โจรใจโฉดถึงกับมือไม้สั่นเมื่อได้เห็นเทพธิดาโฉมงามทั้งสอง มันเชยคางแว่นกับโบ้ขึ้นมามองแล้วชมว่างามไม่ขาดปาก แว่นเบือนหน้าหนีอย่างขยะแขยง ในขณะที่โบ้วิงวอนขอร้องให้ปล่อยตัวเองไป
“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะนายท่าน” พูดแล้วน้ำตาก็ไหลมาเป็นสาย
ซือเหมี่ยวหัวเราะในลำคอราวกับตัวร้ายในละคร มันทำเสียงเข้มพูดกับสาวงามว่า
“ไม่ต้องกลัวไป ข้าไม่คิดจะฆ่าคนสวยอย่างเจ้าหรอก อย่าขัดขืนแล้วข้าจะพาไปสวรรค์”
“ทะ...ท่านจะทำอะไรข้า” โบ้เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
“ก็ทำให้เจ้าเป็นเมียไง”
คำประกาศส่งผลให้สาวงามที่ถูกจับมาถึงกับเป็นลมล้มพับไปเลย อินเนอร์เน้นๆ แอ็กติ้งเลิศ ประหนึ่งหวังรางวัลออสการ์อย่างนี้แม้จะพวกเดียวกันยังอึ้ง
“เยอะไปแล้วอิโบ้” แว่นเอ็ด
ทว่าคนที่กำลังสนุกไม่ใคร่จะฟังนัก โบ้ยังคงมีความสุขกับการตีบทแตกต่อไป แว่นจนใจจะห้ามจึงปล่อยเลยตามเลย เขายังไม่สั่งให้โบ้ท้าสู้ตอนนี้เพราะอยากดูสถานการณ์ก่อน แว่นต้องการให้ศึกชิงตำแหน่งหัวหน้าโจรเอิกเกริกและมีผู้ชมเยอะกว่านี้
ประจวบเหลือเกินที่ซือเหมี่ยวเห่อหญิงงาม มันเลยพาทุกคนมายืนที่ลานกว้างกลางหุบเขา ซ่องโจรแห่งนี้ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง อาศัยถ้ำบนหน้าผาเป็นที่อยู่อาศัย แว่นไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากธรรมชาติหรือการขุดเจาะ แต่เท่าที่ประเมินจากสายตา บนหน้าผาขนาดใหญ่มีช่องที่คนสามารถเข้าไปได้เกินร้อยช่อง
“ทุกคนจงฟัง หัวหน้ามีเรื่องจะพูด” เสียงประกาศตามมาด้วยเสียงตีฆ้องดังสนั่น
ไม่กี่อึดใจคนจำนวนมากก็ชะโงกหน้าออกมาจากถ้ำ พวกที่อยู่ข้างล่างอยู่แล้วพร้อมใจกันมารุมล้อมรอบบริเวณลานกว้าง
“วันนี้หัวหน้าจะแต่งเมียพร้อมกันสองคน ให้เตรียมจัดงานฉลอง”
เสียงเฮดังสนั่นเมื่อพูดถึงงานเลี้ยง แว่นรอให้มันเงียบลงก่อน แล้วค่อยส่งสัญญาณให้โบ้คืนชีพจากการเป็นลม โบ้ดีดตัวขึ้นมาอย่างสวยๆ จากนั้นก็ชี้หน้าซือเหมี่ยว
“จะไม่มีการแต่งงานใดๆ ทั้งนั้น ข้ามู่ไป๋หลิน ขอท้าประลองชิงตำแหน่งผู้ปกครองที่นี่กับเจ้า”
ขาดคำก็กระชากเชือกที่มัดมือเอาไว้ออก เหล่าโจรร้ายยังไม่คลายความตกใจ โบ้ก็หมุนตัวกรีดกรายตั้งท่าแสดงพลัง
“กระบี่!”
เมื่อเรียกหากระบี่ กระบี่ก็มา ไป๋อวี้แอบส่งอาวุธให้พี่สาวอย่างแม่นยำ ความที่เขาซ่อนอยู่ในที่ลับตาคน มันเลยเหมือนกับว่าไป๋หลินแสดงปาฏิหาริย์เสกกระบี่ให้ลอยมาหาเอง
เสียงฮือฮาดังสนั่นด้วยความตื่นตะลึง ก่อนสงบลงด้วยเสียงคำรามของซือเหมี่ยว
“บังอาจมากที่มาหลอกข้า!”
หัวหน้าโจรหยิบดาบเล่มใหญ่ขึ้นมาเหวี่ยง อาวุธคู่มือของซือเหมี่ยวอันนี้มีพลังทำลายสูง แค่แกว่งไปมาก็ทำให้ฝุ่นตลบได้ แว่นเห็นอย่างนั้นเลยถอยออกมาจากลานต่อสู้พร้อมกับทหารรับจ้างทั้งสอง
คติประจำใจของซือเหมี่ยวคือคนโกหกต้องตาย ต่อให้เป็นหญิงงามก็ไม่เสียเวลาพูดจาให้เหนื่อย ชายหนุ่มโหมดาบใส่โบ้อย่างไม่ปรานีด้วยหวังจะให้ร่างบอบบางขาดเป็นสองท่อน แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อนางรับดาบอันใหญ่โตได้ด้วยมือเดียว หนำซ้ำยังใช้แค่ฝักกระบี่
“มีฝีมือเท่าไรก็จัดมา” โบ้กระดิกนิ้วเรียก
แค่ประเมินจากน้ำหนักดาบที่ฟันลงมาเขาก็รู้แล้วว่าคู่ต่อสู้มีฝีมือระดับใด
‘กระจอกอย่างที่พี่หยางว่าจริงๆ ด้วย’
ในความเป็นจริงฝีมือของซือเหมี่ยวห่างไกลคำว่ากระจอกหลายขุม แต่ไป๋หลินคืออัจฉริยะในหมู่ผู้เยี่ยมยุทธ์ การต่อสู้ตัวต่อตัวจึงไม่ต่างอะไรกับผู้ใหญ่รังแกเด็ก ด้วยเหตุนี้โบ้เลยไม่เร่งเผด็จศึก แต่อวดกระบวนท่าของสำนักเทพสวรรค์แทน
การตัดสินใจของโบ้ถือว่าผิดพลาดอย่างมหันต์ เขาจำที่หยางเจี้ยนบอกว่าพวกมันกระจอกได้ แต่ลืมข้อสำคัญคือชอบเล่นลอบกัดไป เมื่อเห็นว่าสู้ไม่ได้แน่ ซือเหมี่ยวก็ส่งสัญญาณให้คนสนิทใช้อาวุธลับทำร้ายหญิงสาว
มีดบินอาบยาพิษจากมือซือเกา พุ่งตรงเข้าหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว มีเพียงคนช่างสังเกตอย่างแว่นเท่านั้นที่มองเห็น
“ระวังมีด เจ็ดนาฬิกา” แว่นร้องเสียงหลง
“อะไรนะคะ” โบ้เอี้ยวตัวมาถามแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว
แว่นมองสถานการณ์อย่างตื่นตระหนก ในวินาทีที่เขาคิดว่าคมมีดต้องปักเข้ากลางลำตัวโบ้แน่ กลับมีหินลอยมาดีดมันกระเด็นออกไปอย่างฉิวเฉียด โดยทิศทางของหินมาจากต้นไม้ใหญ่ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของไป๋อวี้
“เยี่ยมมาก!” แว่นยกนิ้วโป้งให้น้องชายเพื่อน ก่อนจะตะโกนสั่งโบ้ “รีบจัดการมันเดี๋ยวนี้เลย”
โบ้โหมกระบี่ใส่อย่างไม่รอช้า เขาโมโหกับกลโกงของโจรชั่วจนไม่คิดยั้งมือ
“ทีแรกข้ากะจะไว้ชีวิตเจ้า แต่กล้าใช้แผนชั่วน่ารังเกียจเช่นนี้ ก็จงชดใช้ด้วยชีวิตเสียเถอะ”
โบ้ดึงพลังปราณออกมา ผสานมันรวมกับกระบวนท่าการต่อสู้ แล้วเหวี่ยงกระบี่ที่มีอานุภาพทำลายล้างมากกว่าเดิมออกไป
แว่นมองการเผด็จศึกอย่างลุ้นระทึก เขาเกือบชมว่าเท่แล้วเชียว เสียแต่ว่าโบ้ยังไม่ยอมทิ้งความเป็นตัวของตัวเอง ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในหุบเขาทมิฬ แว่นสั่งห้ามไม่ให้เล่นเป็นเซเลอร์มูน โบ้รับคำอย่างแข็งขันหลอกแว่นให้ตายใจ ที่ไหนได้เพื่อนตัวดียังมีท่าแปลงร่างของสาวน้อยเวทมนตร์คนอื่นอีกเป็นกระบุง
ใช้กระบี่ต่างคทา เหวี่ยงขึ้นไปอย่ารอช้า ทำมือเป็นรูปหัวใจ สะบัดกระโปรงมโนว่าชุดเปลี่ยน
“ซูการ์ ซูการ์รูน ช็อกโกรูน ขอหัวใจเธอให้ฉันนะ” ร่ายเสร็จแล้วก็เสียบแม่ม
- โปรดติดตามตอนต่อไป -
สวัสดีท้ายบทค่ะ ฮาตบท้ายก่อนสปอยเบาๆ ว่าตอนหน้ามีเรื่องตื่นเต้นนะคะ คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ
สายลมกับกระแสน้ำในช่วงนี้ถือว่าเป็นใจให้เดินทางลงใต้เป็นอย่างยิ่ง เรือสินค้าของสี่สาวแล่นฉิวอย่างไม่มีติดขัด ใช้เวลาเพียงสามวันก็มาถึงท่าเทียบเรือที่อี้ป่าย ท่าเรือตรงด่านชายแดนไม่คึกคักเท่าหรงซิ่ง เท่าที่เห็นมีแต่พ่อค้ามารอซื้อสินค้าไปขายต่อ ไม่ค่อยมีคนนำของมาวางตั้งขายกันนัก สาเหตุเพราะสินค้าขึ้นชื่ออย่างเครื่องปั้นดินเผาจะมีคนไปรับมาจากแหล่งอยู่แล้ว ไม่ต้องเหนื่อยนำมาเร่ขายเอง นอกจากนี้ยังเป็นภาวะสงคราม ข้าวของขาดแคลนเกินกว่าจะนำมาขาย
เนื่องจากสถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดี เจ้าหน้าที่จากทางการจึงได้รับสิทธิ์ซื้อสินค้าจำเป็นก่อน พวกพ่อค้าจะปฏิเสธไม่ขายของให้ แล้วนำไปปล่อยทำกำไรกับรายย่อยก็ได้ แต่ต้องแลกกับการเสียภาษีในราคามหาโหด
“ในเรือขนอะไรมาบ้าง” เจ้าหน้าที่อากรเข้ามาตรวจสอบทันทีที่เรือเทียบท่า
“มีผ้าฝ้าย ข้าว เมล็ดพันธุ์ สมุนไพรและพวกเนื้อตากแห้งอีกเล็กน้อย เชิญท่านตรวจสอบ” ไป๋อวี้ซึ่งได้รับการฝึกจากแว่นมาอย่างดี สวมบทพ่อค้ามืออาชีพได้อย่างคล่องแคล่ว
อันที่จริงต่อให้ไม่ฝึก ไป๋อวี้ก็มีความสามารถในการเจรจาอยู่แล้ว เพียงแต่ใช้หรือไม่ใช้มันก็เท่านั้น ชายหนุ่มยึดคติทำอะไรตามใจเป็นที่ตั้ง ถ้าหัดควบคุมตัวเองอีกหน่อย คงกลายเป็นพ่อปลาไหล
“ตั้งใจจะขายให้ทางการไหม” นายอากรชี้ไปที่กระสอบข้าว
ตอนนี้ภาวะขาดแคลนอาหารในอี้ป่ายไม่ถึงขั้นวิกฤตแต่ก็ต้องเตรียมกักตุนเอาไว้ตามคำสั่ง
“หากทางการต้องการมีหรือผู้น้อยอย่างข้าจะปฏิเสธ”
ไป๋อวี้เออออไปก่อนเพื่อให้ขั้นตอนการตรวจสอบเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทั้งที่ความจริงองค์หญิงลี่จูไม่คิดขายของเหล่านี้ นางย้ำว่าของจำเป็นในสนามรบต้องถูกลำเลียงไปซ่อนเอาไว้ในจุดยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม เพื่อเตรียมพร้อมเวลาต้องใช้
“มีบ่อยไปบอกว่าจะขายให้ทางการ แต่แอบขนไปที่อื่นก็เยอะ จ่ายเงินประกันมาก่อนห้าร้อยทอง ขายให้ทางการเสร็จ เจ้าค่อยเอาใบรับรองมาเบิกเงินคืน”
ราคานี้จัดว่าโหด แถมตอนมารับเงินคืนจะได้ไม่เต็มจำนวน คนค้าขายอย่างเจ้รู้ธรรมเนียม ก็เลยกำชับให้หยกน้อยต่อจนเหลือแค่หนึ่งในสี่ แล้วมอบกำไลหยกที่ดูมีราคาให้นายอากรเป็นของแถม
ไป๋อวี้ต่อรองอยู่ราวครึ่งชั่วยามในที่สุดก็ได้เสียภาษีในราคาที่จ่ายได้สบายใจ เมื่อเอาของลงเรียบร้อยแล้ว ทหารรับจ้างในคราบคนงานก็มารับช่วงต่อ คนพวกนี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนแปลกหน้า แต่สามารถไว้ใจได้เพราะพรานราตรีช่วยจัดหา
ปกติทหารรับจ้างจากหรงซิ่งขึ้นชื่อเรื่องฝีมือฉกาจฉกรรจ์ แต่ค่อนข้างกักขฬะ ไม่มีแบบแผน ไม่ชอบให้ใครบงการ ดีหน่อยตรงรักษาคำพูด บอกให้สู้ก็สู้สุดใจ กลุ่มคนที่จ้างมามีคุณสมบัติของนักรบหรงซิ่งครบถ้วน แต่ดีกว่าตรงมีมารยาทและทำงานเข้าขากันได้ดี
ทั้งห้าร้อยคนต่างก็ผ่านศึกน้อยใหญ่มามาก ทำให้รู้จักระเบียบวินัยของกองทัพ รวมถึงการทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา แม้ว่าผู้ว่าจ้างเป็นสตรีก็ไม่คิดดูถูก คุณภาพคับแก้วนี้แลกมากับค่าจ้างจำนวนมหาศาล ถ้าไม่ใช่องค์หญิงที่มาเองไม่มีทางจ้างได้
“ข้าอยากให้ท่านไปหาซื้อสินค้าตามรายการใส่ไปกับเรือด้วย” หน่อมส่งม้วนกระดาษให้หัวหน้าทหารรับจ้าง
ของพวกนี้โบ้กับกำลังพลใหม่จำเป็นต้องใช้ หน่อมจึงจัดการให้ก่อนต้องแยกกัน
“อีกเรื่องคือแบ่งคนไปกับเรือสักยี่สิบคน”
“ท่านต้องการใช้สอยคนของข้าทำสิ่งใด” ชิวฮานถาม
ในหนังสือสัญญาตกลงว่าจะร่วมรบในอี้ป่าย แต่ไม่ได้ระบุภารกิจที่ต้องเดินทางทางเรือ
“เราจะให้คนของท่านไปหุบเขาทมิฬ”
เมื่อได้ฟังหญิงสาวแจ้งว่าจะไปปราบโจรเพื่อจะได้เอามาเป็นพวก ชิวฮานก็หัวเราะจนเคราสั่น ชายหนุ่มตบไม้ตบมือชมว่าเป็นมุกตลกที่ดีที่สุดในปีนี้เลย
“เราไม่ได้พูดเล่น”
หน่อมยืนยันด้วยแววตาอันแน่วแน่ สิ่งนี้เปลี่ยนสีหน้าของคู่สนทนาให้กลายเป็นจริงจัง
“ลูกน้องของข้าฝีมือเก่งกาจแต่ไม่ใช่เทวดา ยี่สิบต่อคนเป็นพันทำอย่างไรก็ไม่ชนะ ข้าจะไม่ส่งคนของข้าไปตายโดยเปล่าประโยชน์”
“ข้าไม่ได้ต้องการส่งคนของท่านไปสู้ แต่อยากให้ช่วยสนับสนุนในกรณีที่แผนการผิดพลาด”
“สนับสนุนอย่างไร”
“หาทางช่วยสหายของเราออกมา ถ้าจัดการพวกโจรไม่สำเร็จ”
หน่อมผายมือไปทางโบ้ ไป๋อวี้และแว่นตามลำดับ
“ท่านจะใช้คนเพียงสามคนยึดหุบเขาทมิฬงั้นรึ”
ชิวฮานเริ่มรู้สึกเสียแล้วว่าถูกหญิงสติไม่ดีว่าจ้าง หน่อมอ่านสีหน้าออก แต่ก็ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงน่าฟัง เพื่อโน้มน้าวหัวหน้ากองทหารรับจ้าง
“เรามีวิธีของเรา ถ้าท่านต้องการทราบ เราก็ยินดีอธิบาย”
ชิวฮานไม่อยากเสียเวลาฟังเรื่องไร้สาระ แต่เขาก็ผายมือเชิญให้เล่า
“ท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่าหัวหน้าโจรที่หุบเขาทมิฬมีนามว่าซุนซือเหมี่ยว เขาชอบการประลองและมั่นใจในพละกำลังของตนมาก จึงตั้งกฎเอาไว้ว่าถ้าผู้ใดเข้ามาในหุบเขาทมิฬได้ แล้วสู้ชนะตนจะยกตำแหน่งหัวหน้าโจรให้”
“คุณชายบอบบางสองท่านนั้นเป็นยอดฝีมือรึ” ชิวฮานเดาเมื่อเริ่มเข้าใจแผนการ
“เฉพาะคนที่สูงกว่า คุณชายอีกคนไม่มีวรยุทธ์ ต้องคุ้มกันให้ดี”
หน่อมลังเลพอสมควรว่าจะให้แว่นมาด้วยกันหรือไปกับโบ้ จึงลองถามความสมัครใจเพื่อนดู แว่นเลือกที่จะไปกับโบ้ โดยให้เหตุผลว่าต่อให้ปราบหัวหน้าโจรชนะ ก็ต้องอาศัยวาทศิลป์เจรจาให้คนที่เหลือยอมเป็นพวก ความสามารถในข้อนี้โบ้ไม่มีแน่ ส่วนไป๋อวี้ถึงจะพูดคล่อง ก็ไม่มีภาวะผู้นำพอ
พอแว่นตัดสินใจอย่างนี้ อนาคตหลายอย่างก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น หน่อมจึงให้แว่นไปโดยมีภูตพฤกษาติดตามไปด้วย น้องกรีนไม่ชอบห่างจากเจ้านาย แต่หลังจากโดดเล่นดึ๋งๆ อยู่ในเรือกับโบ้มาสามวัน ภูตตัวน้อยก็เริ่มคุ้นเคยและชอบโบ้มากขึ้น มันจึงไม่อิดออดนักเมื่อถูกสั่งให้เดินทางไปด้วยกัน
“เป็นเด็กดี แล้วอย่าลืมเรื่องที่ข้าสั่งนะ” หน่อมกระซิบบอก
เจ้าตัวเล็กชี้มือชี้ไม้ไปกลางลำตัวเป็นเชิงบอกว่าเก็บของสำคัญเอาไว้อย่างดี ไม่จำเป็นต้องห่วง
“แม่นางท่านนั้นก็คงไม่ธรรมดาใช่หรือไม่” ชิวฮานเดาได้เพราะนายจ้างมิได้สั่งให้ดูแลนางเป็นพิเศษ
“นางเป็นคนเก่ง แต่ค่อนข้างหุนหัน จึงต้องมีที่ปรึกษา”
สรุปแล้วงานบุกหุบเขาโจรครั้งนี้ มีโบ้เป็นทัพหน้า ไป๋อวี้ระวังหลัง ส่วนแว่นเป็นมันสมอง
“ถ้าแม่นางมั่นใจข้าก็ไม่ขัดข้อง แต่มีข้อแม้หนึ่งอย่าง”
หัวหน้ากองทหารรับจ้างต้องการให้โบ้ประลองกับคนของตัวเองแบบสองรุมหนึ่ง ถ้ายันเอาไว้ได้อย่างน้อยห้าสิบกระบวนท่าเขาจะยอมส่งคนไปช่วย
หน่อมรับข้อเสนอในทันที เขากวักมือเรียกเพื่อนให้เข้ามาหาแล้วแจ้งเงื่อนไขให้ทราบ ถ้าโบ้ไม่ขัดข้องจะได้หาที่ประลองกันเลย
“พอดีเลยค่ะ คนสวยกำลังอยากยืดเส้นยืดสาย” โบ้เตรียมอบอุ่นร่างกายอย่างไม่รอช้า
แว่นกับเจ้ได้ฟังเงื่อนไขก็คัดค้าน มีเพียงไป๋อวี้เท่านั้นที่บ่นว่าไม่ยุติธรรม เมื่อเห็นว่าคู่ต่อสู้ของพี่สาวเป็นชายร่างกำยำท่าทางเอาเรื่อง
ชิวฮานได้ยินแต่ทำเป็นหูทวนลม เขาต้องการทราบฝีมือของแม่นางผู้นี้จึงสั่งให้คนสู้เต็มที่ ทว่าไม่ทันจะถึงยี่สิบกระบวนท่า นักรบฝีมือฉกาจกลับเป็นฝ่ายพ่ายลงไปนอนคลุกดิน
ขณะที่ชิวฮานกำลังอ้าปากค้าง ไป๋อวี้ก็มายืนข้างๆ พลางมองมาด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจ
“ก็บอกแล้วว่าไม่ยุติธรรม ปกติห้าหกคนรุมยังสู้อาเจ๊ไม่ได้เลย”
เมื่อผลการประลองออกมาอย่างไร้ข้อกังขา หัวหน้ากองทหารรับจ้างก็จัดคนไปกับพวกโบ้ตามสัญญา ขณะที่รอการขนถ่ายสินค้าอยู่นี้ หน่อมก็ขอให้ชิวฮานว่าจ้างคนนำทางให้ตามคำแนะนำของแว่น ตอนนี้ในกลุ่มไม่มีใครชำนาญเส้นทาง แม้จะมีแผนที่ละเอียดก็ไม่สะดวกเท่าให้คนท้องถิ่นนำไป ชิวฮานฟังแล้วก็กล่าวชมหญิงสาวที่รู้จักเตรียมการ
“นี่ไม่ใช่ความคิดเราหรอก แต่สหายเราท่านนั้นเป็นคนคิด”
หน่อมไม่เก็บความดีเอาไว้กับตัว เขาอยากให้พวกทหารรับจ้างเห็นความสามารถของเพื่อนๆ ได้ผลทีเดียวชิวฮานและใครอีกหลายคนเลิกสบประมาทแว่นที่ดูอ่อนแอขี้โรค
“ต้องเสียเวลานานไหมกว่าจะหาคนได้”
หน่อมถามเผื่อเอาไว้ ในกรณีที่ต้องใช้เวลานานจะได้เดินทางไปก่อน แล้วส่งคนนำทางตามมาทีหลัง
“เรื่องนี้แม่นางไม่ต้องห่วง ข้าเตรียมคนเอาไว้แล้ว”
ชายหนุ่มจ้างคนเอาไว้เผื่อเลือกถึงห้าคน แม้ส่วนใหญ่จะเชี่ยวชาญเส้นทางในอี้ป่ายและจงเย่า แต่ก็รู้รายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละสถานที่แตกต่างกันไปตามพื้นเพ
ชิวฮานทำงานได้ดีเกินค่าจ้างจริงๆ ขนาดไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หนึ่งในคนที่เขาคัดมายังสู้อุตส่าห์รู้จักทางลัดไปหุบเขาทมิฬ หน่อมจึงให้คนคนนี้ไปกับพวกโบ้
หุบเขาทมิฬอยู่ใกล้กับทางออกสู่ทะเล เทียบท่าที่นั่นจะสะดวกรวดเร็วกว่าเดินเท้า แว่น โบ้และไป๋อวี้จึงต้องนั่งเรือกันต่อ แว่นใจหายเมื่อต้องแยกกับหน่อมและเจ้ แม้จะระบุสถานที่นัดพบกันอีกครั้งเอาไว้ เขาก็ยังไม่เลิกวิตก บางทีถ้าได้ระบายออกมาแว่นคงสบายใจขึ้น แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูด เขาอาสาขึ้นเรือมาเป็นมันสมองของกลุ่มเอง ถ้าสารภาพว่ากลัวได้หมดความน่าเชื่อถือกันพอดี
ความเครียดส่งผลกับสุขภาพแว่นจนต้องกินยาไปหลายเม็ด แต่อากาศที่อี้ป่ายอุ่นกว่าทางเหนือของเจียงเฉียง เมื่อกินยาเข้าไปแทนที่จะโล่งสบายกลับแน่นอึดอัด ร้อนวูบวาบเหนียวเหนอะหนะไปทั้งตัว แว่นเลยตัดสินใจว่าหลังจากนี้จะลองหยุดยาสักระยะ ไม่อย่างนั้นคงได้อาละวาดพ่นไฟใส่พวกโจรแทนการเจรจา
แว่นออกมาคลุกคลีพูดคุยกับผู้คนเพื่อไม่ให้เครียด มีโบ้ที่ร่าเริงสดใสกับหยกน้อยที่เข้ากับคนแปลกหน้าได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นเพื่อน อารมณ์วิตกในใจก็บรรเทาไปได้มากทีเดียว
เสียเวลาเดินทางอยู่เกือบสองวันเรือก็เทียบท่า ไต้ก๋งบอกว่าช้ากว่าปกติวันครึ่ง เพราะกระแสน้ำไม่เป็นใจเหมือนอย่างตอนลงมาจากหรงซิ่ง แต่แว่นก็คิดว่าไม่นานเท่าไร เมื่อเทียบกับระยะทาง
เนื่องจากท่าเรือตรงส่วนนี้ใกล้ปากอ่าว จึงมีเรือน้อยใหญ่เข้ามาไม่ขาดสาย ขนาดว่ามีสงครามยังมีคนมารับซื้อเครื่องปั้นดินเผา แสดงว่าของเขาดีจริงสมราคุย น่าเอา จริง ออกซักตัว
ระหว่างที่รอให้คนขนของลงจากเรือ แว่นนั่งฟังหยกน้อยคุยกับคนนำทาง จึงได้ทราบว่าเมื่อก่อนเรือสินค้าไม่ค่อยแวะรับของจากที่นี่เท่าใดนัก แต่ช่วงครึ่งปีมานี้ไม่รู้ว่ามีพ่อค้ามาจากไหน เข้ามาขนพวกถ้วยโถโอชามไปเป็นจำนวนมาก จนผลิตกันแทบไม่ทัน ที่อี้ป่ายยังมีเงินใช้จ่ายในการสงครามก็เพราะรายได้ส่วนนี้
แว่นอยากถามรายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องเคลือบบ้าง แต่ชะงักไปก่อนเพราะเหลือบเห็นสัญลักษณ์คุ้นตา มันเป็นธงสีม่วงขอบดำ เมื่อพิจารณาดีๆ ก็จำได้ว่าตัวเองเป็นคนออกแบบ
ตอนยังอยู่ในวัง องค์ชายลี่หมิงมาตื๊อขอให้ออกแบบธงให้เอาไว้ใช้แบบไม่เป็นทางการ แว่นเลยแนะไปว่าให้ใช้ธงสีม่วงจะได้สื่อถึงองุ่นที่ปลูกในจุ้ยห้าน แต่ธงสีเดียวมันเรียบไปแล้วมีเกร่อเลยเพิ่มขลิบดำเป็นริ้วแบบฟันปลาให้ แทนความอุดมสมบูรณ์ของผืนดิน ลายบนตัวธงเป็นรูปปลาสีทองที่หมายถึงความเป็นมงคลและมั่งคั่ง แว่นไม่มีเวลาเลยวาดปลาให้แบบส่งๆ ไม่คิดฝันว่าเขาจะเอาลวดลายมาใช้โดยไม่ปรับเปลี่ยนเลย
‘คนขององค์ชายสามมาที่นี่ทำไม?’
ขณะที่สงสัยแว่นก็นึกไปถึงพี่ชายจอมขี้แกล้งไปด้วย ไม่รู้เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ถ้ารู้ว่าน้องสาวสุดที่รักกำลังจะไปรบ
มองธงไปนานๆ แว่นก็สังหรณ์ใจไม่ดีว่าองค์ชายสามอาจจะรู้เรื่องลี่จูแล้ว ไม่แน่ว่าเขาอาจจะนึกสนุกแอบไปแกล้งน้องสาวเล่นถึงไห้ซิว พอไปแล้วไม่เจอตัวเลยออกตามหา
ความคิดนี้ดูเป็นเหตุเป็นผลดี แต่ไม่กี่อึดใจแว่นก็ปัดมันทิ้งไป ถ้าองค์ชายสามไปหาลี่จูที่ไห้ซิวแล้วไม่พบ คงเดินทางลงใต้มาทางเรือเหมือนกัน แต่เรือที่มีธงสัญลักษณ์แล่นสวนขึ้นมาจากปากอ่าว แว่นเลยสรุปว่าคิดมากไปเอง
ตอนทำสัญญาว่าจ้างเรือสินค้าลำนี้ หน่อมทำแบบขาไปเที่ยวเดียว ดังนั้นเมื่อถึงที่หมายไต้ก๋งจึงถามว่าต้องการให้รอหรือไม่ แว่นซึ่งดูแลการเงินจ่ายค่าจ้างให้และบอกปฏิเสธเพราะตั้งใจเดินเท้าไปสมทบกับเพื่อน
เมื่อจัดการเรื่องเรือแล้วก็ต้องมาดูแลเรื่องของที่ขนมาด้วย ท่าเรือตรงจุดนี้ไม่มีโกดังสินค้าให้เช่า ทั้งยังต้องหาซื้อรถม้ากับเกวียนไว้ขนของอีก กว่าจะเรียบร้อยก็มืดพอดี
“จะค้างคืนหรือไปต่อเลย” โบ้ถาม
ใจเขาอยากเดินทางเลย เพราะเห็นว่าตอนอยู่บนเรือทหารรับจ้างส่วนใหญ่ได้พักกันเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังเกรงใจแว่นซึ่งสุขภาพไม่แข็งแรง
แว่นยังเดินทางไหวแต่ไม่ตัดสินใจทันที เขาขอคำแนะนำจากคนนำทางในฐานะคนพื้นที่ก่อน
“ถ้าพวกท่านไม่เหนื่อยล้าเกินไป ข้าแนะนำให้เดินทางต่อเลยขอรับ จากท่าเรือไปแถวหุบเขาทมิฬ เดินเท้าแบบค่อยเป็นค่อยไปสักหกชั่วยามก็ถึง”
การเดินทางแบบนี้เหมือนจะเสี่ยงแต่กลับปลอดภัย เพราะโจรถิ่นนี้มีนิสัยชอบปล้นพ่อค้าที่หยุดพักแรม มากกว่าจะปล้นขบวนสินค้าในตอนกลางคืน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะการขนพืชผักจะทำในตอนกลางคืน เพื่อให้ทันส่งตลาดเช้า ดังนั้นปล้นไปก็ไม่คุ้มค่าเหนื่อย ขนาดใช้เส้นทางเดียวกันกับที่พวกโจรชอบใช้ พวกมันยังควบม้าผ่านไปแบบไม่สนใจเลย
“ตกลงตามนั้น เราจะเดินทางเลย”
เมื่อได้รับคำสั่งขบวนขนสัมภาระก็เคลื่อนตัว เกวียนขนาดใหญ่ห้าคันที่เช่ามาไม่ได้อยู่ในความสนใจของพวกโจรที่ขี่ม้าผ่านไปเป็นระยะจริงๆ พวกมันส่วนใหญ่คิดว่ากำลังขนผัก พวกที่ฉลาดหน่อยก็สังเกตว่ามีคนเยอะไม่คุ้มจะเสี่ยง จึงปล่อยไป
เมื่อใกล้ถึงสถานที่ตั้งรังโจร ทุกคนก็ออกนอกเส้นทางเพื่อซ่อนของเอาไว้ในป่า รอจนเช้าแล้วค่อยเริ่มทำตามแผน การจะท้าประลองกับหัวหน้าโจรได้ต้องผ่านด่านพวกลูกน้องที่ตั้งค่ายแถวตีนเขาไปก่อน แว่นไม่คิดปะทะจึงวางแผนเข้าไปด้านในในฐานะบรรณาการ
“ต้องมีคนแสดงละครว่าอยากเป็นพวกมัน เลยเอาสาวงามมาให้เพื่อแสดงความจริงใจ” แว่นบอกแผนเพื่อคัดตัวนักแสดง
มีคนอาสาประมาณห้าหกคน เขาเลยเลือกที่ดูฉลาดและหน้าโฉดมาสองคน จากนั้นก็สอนให้มัดปมที่มืออย่างหลวมๆ เพื่อให้ดิ้นหลุดได้ง่าย รวมถึงให้แอบพกอาวุธไปด้วย แต่ถ้าถูกริบเอาไว้ที่ด้านหน้าค่ายก็ไม่เป็นไร เพราะไป๋อวี้สามารถช่วยเรื่องนี้ได้ ชายหนุ่มจะลอบเข้าไปด้านในก่อนเมื่อถึงเวลาประลอง แล้วแอบส่งอาวุธให้ทุกคนโดยเฉพาะโบ้
“ถ้าเห็นสถานการณ์ไม่ดี ให้จุดสัญญาณไฟเรียกคนมาช่วย เพื่อความปลอดภัยเราจะทิ้งของไว้นี่แล้วหนีกันเลย” แว่นว่า
“ท่านจะไปกับพวกข้าสองคนหรือไม่” ทหารรับจ้างถาม
“ไป ข้าจะแต่งตัวเป็นผู้หญิงไปในฐานะของขวัญด้วย”
“เจ้าจะตบตาพวกมันได้หรือ” คนที่อยู่เยื้องกันท้วง
“แต่ก็น่าจะได้อยู่นะ คุณชายน้อยหน้าสวยจะตาย”
ฟังแล้วแว่นก็ขำ อยู่ด้วยกันมาตั้งสองวันแต่ไม่มีใครเฉลียวใจเรื่องเพศเขาเลย ส่วนใหญ่พุ่งความสนใจไปที่หนุ่มหน้าสวยอย่างไป๋อวี้มากกว่า ทุกคนลงความเห็นว่าเขาเป็นผู้หญิงปลอมตัวมา หยกน้อยเลยถอดเสื้อโชว์เสียเลย เป็นเหตุให้ไม่มีใครคิดสงสัยในตัวแว่น
แม้จะมีเสียงค้านประปรายแต่แผนการแต่งหญิงก็ยังดำเนินต่อไป แว่นหลบเข้าไปเปลี่ยนชุดในรถม้า โดยพาโบ้เข้าไปด้วย อ้างว่าจะให้ช่วยแต่งตัว พักใหญ่ก็ออกมาในชุดหญิงชาวบ้าน
“โอ้! เหมือนผู้หญิงจริงๆ เลยขนาดไม่แต่งหน้าแต่งตายังสวย” คนที่ปรามาสกลับคำในทันที
พวกที่เหลือต่างมารุมล้อมดูแว่นกลับไปแต่งตัวตามเพศอย่างตื่นตะลึง ผลัดกันชมผสมหยอกอยู่พักใหญ่ ถึงกระนั้นก็มีคนหนึ่งติว่ายังปลอมตัวได้ไม่แนบเนียนนัก
“คุณชายน้อยรับนี่ไปสิ” ชายหนุ่มยื่นผ้าให้
“เอามาทำไม”
แว่นทำหน้างง อีกฝ่ายจึงเข้ามาตบบ่าอย่างขบขัน
“ยัดหน้าอกไง เป็นผู้หญิงก็ต้องมีนมสิ”
“...”
งานนี้แว่นผู้น่าสงสารได้แต่เงียบและเงิบไปตามระเบียบ
เช้าวันใหม่ ขณะที่ดวงตะวันค่อยๆ เคลื่อนออกจากเหลี่ยมเขา ซุนซือเหมี่ยว ขุนโจรแห่งหุบเขาทมิฬกำลังนอนฝันหวาน ถึงวันที่ตนจะสร้างวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ให้โลกต้องจารึก มหาโจรผู้ทะเยอทะยานแต่มีสมองเท่าเมล็ดถั่ว ได้ซ่องสุมกำลังพลเอาไว้เป็นจำนวนมากเพื่อการใหญ่ เขาและบรรดาลูกสมุนทั้งหลายพร้อมประกาศศักดาทุกขณะ แต่กลับไม่สามารถเคลื่อนพลได้เพราะไม่รู้ว่าควรทำอะไรก่อนดี
ซือเหมี่ยวไม่ชอบใช้ความคิดจึงให้ลูกน้องเสนอแผนการมา แต่ลูกน้องคนสนิทกับเจ้านายดูเหมือนจะมีระดับสติปัญญาใกล้เคียงกัน พวกที่ฉลาดหน่อยช่วยวางแผนให้ก็ไม่ถูกใจเอาเสียเลย ด้วยเหตุนี้เหล่าโจรในหุบเขาทมิฬก็เลยไม่ได้ทำอะไรมากมายนอกจากปล้นแค่พอหาเลี้ยงตัว บางรายว่างจัดถึงกับปลูกผักเลี้ยงสัตว์เป็นงานอดิเรกเลยก็มี เพราะอย่างนี้คนก็เลยปรามาสว่าเป็นโจรกระจอก
หลังจากอดทนให้คนดูแคลนมานานหลายปี ซือเหมี่ยวก็ได้ความคิดดีๆ จากความฝัน เขาจดจำทุกรายละเอียดได้อย่างไม่เคยเป็น ราวกับสรรค์เบื้องบนเป็นผู้ชี้นำ ขุนโจรแห่งหุบเขาทมิฬยินดีปรีดาเสียจนต้องจดเอาไว้ป้องกันการลืม
ซือเหมี่ยวเขียนอ่านไม่ออกแต่ไม่ใช่ปัญหาเพราะมีมือขวาที่รู้หนังสือ ชายหนุ่มตะโกนให้ตามซือเกามาหาตนโดยด่วน แต่เดิมนั้นซือเกามีชื่อจริงที่ไม่มีส่วนคล้ายหัวหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่เพราะเป็นคนโปรด เลยได้รับชื่อใหม่ที่พ้องกัน เสมือนเป็นพี่น้องของหัวหน้า ซือเกาที่ฝีมือต่อสู้ไม่โดดเด่นจึงละทิ้งชื่อเดิมเพื่อจะได้เป็นที่นับหน้าถือตา
ซือเกาเร่งมาหาเมื่อถูกเรียก ถึงกระนั้นก็ยังไม่ทันใจซือเหมี่ยว ในขณะที่คนใจร้อนโวยวายอย่างไม่สบอารมณ์ ก็มีคนมารายงานว่ามีผู้ชายสองคนมาขอพบ บอกว่าต้องการส่งของขวัญให้
“พวกมันให้ของขวัญข้าทำไม”
“ทั้งสองบอกว่าได้ยินกิตติศัพท์หัวหน้ามานาน อยากขอเป็นพวกด้วย จึงนำของขวัญมาแสดงความจริงใจ”
“อยากตายหรือไง!” ซือเหมี่ยวตวาดเมื่อถูกรบกวน “เรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องถาม บอกกฎให้พวกมันรู้แล้วก็รับของไว้สิ”
วิธีเข้าร่วมกับกองโจรซือเหมี่ยวทำได้ง่ายๆ ด้วยการเข้ารับการทดสอบ แค่ไม่พิการจับดาบแกว่งไปมาได้ก็ถือว่าผ่านแล้ว แต่ต้องจำเอาไว้ข้อหนึ่งว่าผู้แข็งแกร่งคือชนชั้นปกครอง ถ้าไม่พอใจให้หยิบดาบขึ้นมาสู้และไม่ว่าจะบาดหมางด้วยเรื่องอันใด คนชนะถือเป็นฝ่ายถูก
“ข้าก็บอกไปเช่นนั้น แต่พวกมันยืนกรานว่าต้องส่งของให้ถึงมือท่านให้ได้ เพราะกลัวพวกเราจะทำของขวัญเสียหาย”
“ของขวัญอะไร” ซือเหมี่ยวเริ่มสนใจนิดหน่อย
“เป็นผู้หญิง สวยมากด้วยแถมมีตั้งสองคน” พูดแล้วก็ทำตาเยิ้ม
แม่นางคนงามทั้งสองนี่แหละที่ทำให้เขายอมเสี่ยง ชายหนุ่มหวังว่าถ้ารีบมาแจ้งข่าวแล้วหัวหน้าพอใจจะได้รางวัล
“ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้” ขุนโจรที่อดอยากปากแห้งเรื่องผู้หญิงมานานผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “นำทางไป ข้าอยากเห็นพวกนาง”
ไม่กี่อึดใจซือเหมี่ยวก็มาถึงจุดที่ของขวัญรออยู่ โจรใจโฉดถึงกับมือไม้สั่นเมื่อได้เห็นเทพธิดาโฉมงามทั้งสอง มันเชยคางแว่นกับโบ้ขึ้นมามองแล้วชมว่างามไม่ขาดปาก แว่นเบือนหน้าหนีอย่างขยะแขยง ในขณะที่โบ้วิงวอนขอร้องให้ปล่อยตัวเองไป
“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะนายท่าน” พูดแล้วน้ำตาก็ไหลมาเป็นสาย
ซือเหมี่ยวหัวเราะในลำคอราวกับตัวร้ายในละคร มันทำเสียงเข้มพูดกับสาวงามว่า
“ไม่ต้องกลัวไป ข้าไม่คิดจะฆ่าคนสวยอย่างเจ้าหรอก อย่าขัดขืนแล้วข้าจะพาไปสวรรค์”
“ทะ...ท่านจะทำอะไรข้า” โบ้เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก
“ก็ทำให้เจ้าเป็นเมียไง”
คำประกาศส่งผลให้สาวงามที่ถูกจับมาถึงกับเป็นลมล้มพับไปเลย อินเนอร์เน้นๆ แอ็กติ้งเลิศ ประหนึ่งหวังรางวัลออสการ์อย่างนี้แม้จะพวกเดียวกันยังอึ้ง
“เยอะไปแล้วอิโบ้” แว่นเอ็ด
ทว่าคนที่กำลังสนุกไม่ใคร่จะฟังนัก โบ้ยังคงมีความสุขกับการตีบทแตกต่อไป แว่นจนใจจะห้ามจึงปล่อยเลยตามเลย เขายังไม่สั่งให้โบ้ท้าสู้ตอนนี้เพราะอยากดูสถานการณ์ก่อน แว่นต้องการให้ศึกชิงตำแหน่งหัวหน้าโจรเอิกเกริกและมีผู้ชมเยอะกว่านี้
ประจวบเหลือเกินที่ซือเหมี่ยวเห่อหญิงงาม มันเลยพาทุกคนมายืนที่ลานกว้างกลางหุบเขา ซ่องโจรแห่งนี้ไม่มีสิ่งปลูกสร้าง อาศัยถ้ำบนหน้าผาเป็นที่อยู่อาศัย แว่นไม่แน่ใจว่ามันเกิดจากธรรมชาติหรือการขุดเจาะ แต่เท่าที่ประเมินจากสายตา บนหน้าผาขนาดใหญ่มีช่องที่คนสามารถเข้าไปได้เกินร้อยช่อง
“ทุกคนจงฟัง หัวหน้ามีเรื่องจะพูด” เสียงประกาศตามมาด้วยเสียงตีฆ้องดังสนั่น
ไม่กี่อึดใจคนจำนวนมากก็ชะโงกหน้าออกมาจากถ้ำ พวกที่อยู่ข้างล่างอยู่แล้วพร้อมใจกันมารุมล้อมรอบบริเวณลานกว้าง
“วันนี้หัวหน้าจะแต่งเมียพร้อมกันสองคน ให้เตรียมจัดงานฉลอง”
เสียงเฮดังสนั่นเมื่อพูดถึงงานเลี้ยง แว่นรอให้มันเงียบลงก่อน แล้วค่อยส่งสัญญาณให้โบ้คืนชีพจากการเป็นลม โบ้ดีดตัวขึ้นมาอย่างสวยๆ จากนั้นก็ชี้หน้าซือเหมี่ยว
“จะไม่มีการแต่งงานใดๆ ทั้งนั้น ข้ามู่ไป๋หลิน ขอท้าประลองชิงตำแหน่งผู้ปกครองที่นี่กับเจ้า”
ขาดคำก็กระชากเชือกที่มัดมือเอาไว้ออก เหล่าโจรร้ายยังไม่คลายความตกใจ โบ้ก็หมุนตัวกรีดกรายตั้งท่าแสดงพลัง
“กระบี่!”
เมื่อเรียกหากระบี่ กระบี่ก็มา ไป๋อวี้แอบส่งอาวุธให้พี่สาวอย่างแม่นยำ ความที่เขาซ่อนอยู่ในที่ลับตาคน มันเลยเหมือนกับว่าไป๋หลินแสดงปาฏิหาริย์เสกกระบี่ให้ลอยมาหาเอง
เสียงฮือฮาดังสนั่นด้วยความตื่นตะลึง ก่อนสงบลงด้วยเสียงคำรามของซือเหมี่ยว
“บังอาจมากที่มาหลอกข้า!”
หัวหน้าโจรหยิบดาบเล่มใหญ่ขึ้นมาเหวี่ยง อาวุธคู่มือของซือเหมี่ยวอันนี้มีพลังทำลายสูง แค่แกว่งไปมาก็ทำให้ฝุ่นตลบได้ แว่นเห็นอย่างนั้นเลยถอยออกมาจากลานต่อสู้พร้อมกับทหารรับจ้างทั้งสอง
คติประจำใจของซือเหมี่ยวคือคนโกหกต้องตาย ต่อให้เป็นหญิงงามก็ไม่เสียเวลาพูดจาให้เหนื่อย ชายหนุ่มโหมดาบใส่โบ้อย่างไม่ปรานีด้วยหวังจะให้ร่างบอบบางขาดเป็นสองท่อน แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อนางรับดาบอันใหญ่โตได้ด้วยมือเดียว หนำซ้ำยังใช้แค่ฝักกระบี่
“มีฝีมือเท่าไรก็จัดมา” โบ้กระดิกนิ้วเรียก
แค่ประเมินจากน้ำหนักดาบที่ฟันลงมาเขาก็รู้แล้วว่าคู่ต่อสู้มีฝีมือระดับใด
‘กระจอกอย่างที่พี่หยางว่าจริงๆ ด้วย’
ในความเป็นจริงฝีมือของซือเหมี่ยวห่างไกลคำว่ากระจอกหลายขุม แต่ไป๋หลินคืออัจฉริยะในหมู่ผู้เยี่ยมยุทธ์ การต่อสู้ตัวต่อตัวจึงไม่ต่างอะไรกับผู้ใหญ่รังแกเด็ก ด้วยเหตุนี้โบ้เลยไม่เร่งเผด็จศึก แต่อวดกระบวนท่าของสำนักเทพสวรรค์แทน
การตัดสินใจของโบ้ถือว่าผิดพลาดอย่างมหันต์ เขาจำที่หยางเจี้ยนบอกว่าพวกมันกระจอกได้ แต่ลืมข้อสำคัญคือชอบเล่นลอบกัดไป เมื่อเห็นว่าสู้ไม่ได้แน่ ซือเหมี่ยวก็ส่งสัญญาณให้คนสนิทใช้อาวุธลับทำร้ายหญิงสาว
มีดบินอาบยาพิษจากมือซือเกา พุ่งตรงเข้าหาเป้าหมายอย่างรวดเร็ว มีเพียงคนช่างสังเกตอย่างแว่นเท่านั้นที่มองเห็น
“ระวังมีด เจ็ดนาฬิกา” แว่นร้องเสียงหลง
“อะไรนะคะ” โบ้เอี้ยวตัวมาถามแบบไม่รู้เรื่องรู้ราว
แว่นมองสถานการณ์อย่างตื่นตระหนก ในวินาทีที่เขาคิดว่าคมมีดต้องปักเข้ากลางลำตัวโบ้แน่ กลับมีหินลอยมาดีดมันกระเด็นออกไปอย่างฉิวเฉียด โดยทิศทางของหินมาจากต้นไม้ใหญ่ซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของไป๋อวี้
“เยี่ยมมาก!” แว่นยกนิ้วโป้งให้น้องชายเพื่อน ก่อนจะตะโกนสั่งโบ้ “รีบจัดการมันเดี๋ยวนี้เลย”
โบ้โหมกระบี่ใส่อย่างไม่รอช้า เขาโมโหกับกลโกงของโจรชั่วจนไม่คิดยั้งมือ
“ทีแรกข้ากะจะไว้ชีวิตเจ้า แต่กล้าใช้แผนชั่วน่ารังเกียจเช่นนี้ ก็จงชดใช้ด้วยชีวิตเสียเถอะ”
โบ้ดึงพลังปราณออกมา ผสานมันรวมกับกระบวนท่าการต่อสู้ แล้วเหวี่ยงกระบี่ที่มีอานุภาพทำลายล้างมากกว่าเดิมออกไป
แว่นมองการเผด็จศึกอย่างลุ้นระทึก เขาเกือบชมว่าเท่แล้วเชียว เสียแต่ว่าโบ้ยังไม่ยอมทิ้งความเป็นตัวของตัวเอง ก่อนหน้าที่จะเข้ามาในหุบเขาทมิฬ แว่นสั่งห้ามไม่ให้เล่นเป็นเซเลอร์มูน โบ้รับคำอย่างแข็งขันหลอกแว่นให้ตายใจ ที่ไหนได้เพื่อนตัวดียังมีท่าแปลงร่างของสาวน้อยเวทมนตร์คนอื่นอีกเป็นกระบุง
ใช้กระบี่ต่างคทา เหวี่ยงขึ้นไปอย่ารอช้า ทำมือเป็นรูปหัวใจ สะบัดกระโปรงมโนว่าชุดเปลี่ยน
“ซูการ์ ซูการ์รูน ช็อกโกรูน ขอหัวใจเธอให้ฉันนะ” ร่ายเสร็จแล้วก็เสียบแม่ม
- โปรดติดตามตอนต่อไป -
สวัสดีท้ายบทค่ะ ฮาตบท้ายก่อนสปอยเบาๆ ว่าตอนหน้ามีเรื่องตื่นเต้นนะคะ คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ

เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ธ.ค. 2558, 23:52:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ธ.ค. 2558, 23:52:16 น.
จำนวนการเข้าชม : 1170
<< สู่สมรภูมิ : บทที่ ๓ สวมบทพ่อค้า | สู่สมรภูมิ : บทที่ ๕ พบกันอีกครั้ง >> |