ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: สู่สมรภูมิ : บทที่ ๕ พบกันอีกครั้ง

สู่สมรภูมิ : บทที่ ๕ พบกันอีกครั้ง

ขณะที่แว่นกับโบ้กำลังจัดการกับโจรที่หุบเขาทมิฬ กองทหารรับจ้างของหน่อมก็แยกไปรอที่จุดนัดพบเรียบร้อยแล้ว หน่อมอยู่ช่วยเตรียมการทุกอย่างจนพร้อม เสร็จแล้วก็แยกตัวออกมากับเจ้และผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง

ในความฝันของหน่อม ทัพศัตรูจะแกล้งอ่อนกำลังทำเป็นถอยทัพไปจากเมืองน่าฝูงฉาง แต่จริงๆ แล้วกลับอ้อมไปตีเมืองเป่าคงซึ่งอยู่ติดกัน สาเหตุที่เมืองนี้ไม่ตกเป็นเป้าโจมตีตั้งแต่แรกเพราะมีกำแพงเมืองแน่นหนา ทั้งยังตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดี เสนาธิการของทางจงเย่าจึงรอให้เกิดศึกใหญ่ เหลือกำลังทหารรักษาการณ์อยู่ไม่มากค่อยตลบหลังไปตี

เมื่อมีการขอความช่วยเหลือมา แม่ทัพต่งกับเหล่าขุนพลจึงนำกำลังล่วงหน้าไปก่อน เพื่อรอทัพเสริมเคลื่อนตามมาทีหลัง ทว่าผู้คนที่เขารอคอยด้วยความศรัทธากลับเดินทางมาไม่ถึง ทหารทั้งหมดในเป่าคงถูกข้าศึกกว่าสามหมื่นนายปลิดชีวิตจนไม่เหลือ

“เราต้องเร่งแล้ว แม่ทัพต่งใกล้จะปราบทัพแรกสำเร็จ”

แม้ไม่ได้นั่งสมาธิแต่หน่อมก็ทราบเวลาคร่าวๆ ได้โดยใช้สัญชาตญาณ ทัพแรกเป็นเสมือนตัวตัดกำลัง ล่อหลอกให้แม่ทัพต่งคิดว่าปกป้องเมืองเป่าคงเอาไว้ได้ พอชายหนุ่มเข้าไปด้านในเรียบร้อยแล้ว ทัพใหญ่จึงจะเคลื่อนพลเข้ามา ช่วงรอยต่อนี้กินเวลาประมาณสี่หรือห้าชั่วยาม หากจะลงมือทำอะไรก็ต้องเร่งทำในตอนนี้

กองกำลังขนาดเล็กควบม้าห้อตะบึงจนฝุ่นตลบ ในที่สุดก็มาถึงกำแพงเมืองเป่าคง ขณะนี้บริเวณคูเมืองและพื้นที่ใกล้เคียงเกลื่อนไปด้วยซากศพ แม่ทัพต่งยังไม่ได้เข้าไปในกำแพงเมือง แต่กำลังช่วยกันขนย้ายทหารบาดเจ็บ

ทหารบนกำแพงเห็นกลุ่มคนที่ไม่ปรากฏชัดว่าอยู่ฝ่ายใดก็เป่าแตรเป็นสัญญาณให้ระวังตัวและเตือนว่าห้ามเข้าใกล้ หน่อมจึงให้คนโบกธงขาว แสดงตัวว่ามาอย่างมิตร

“อาจจะเป็นข้าศึกปลอมตัวมา ท่านแม่ทัพระวังด้วย” เสนาธิการเตือน

“ไม่เป็นไร ดูท่าทีก่อน อาจเป็นสายของเราในจงเย่า” จินไท่โบกมือให้พลธนูที่อยู่ด้านบนลดอาวุธลง ก่อนจะควบม้าไปหาคนกลุ่มนั้น

“พวกเจ้าเป็นคนของฝ่ายไหน ต้องการอะไร” อู๋ฮวนที่เร่งตามแม่ทัพมาตะโกนถาม

“ข้าเป็นคนจากเจียงเฉียง มาเพื่อช่วยท่าน” เจ้ตอบ ก่อนเปิดผ้าปิดหน้าที่ใช้กั้นฝุ่นออก

อู๋อี้ที่ตามมาทีหลังถึงกับอุทานลั่นเมื่อเห็นหน้านาง

“แม่นางชิงชิง! พวกท่านจำได้ไหม นางกำนัลคนสวยคนนั้น”

ถึงจะความจำไม่ดีแต่อู๋อี้ก็ประทับใจในตัวนางจนยากที่จะลืม ตอนอยู่เมืองหลวง นางเคยมาพบแม่ทัพต่งครั้งหนึ่ง ตอนนั้นดึกมากแล้วท่านแม่ทัพจึงให้เขาเดินไปส่งนางกลับ เขายังระลึกถึงค่ำคืนนั้นอยู่เสมอราวกับมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

อู๋ฮวนจำไม่ได้แล้ว แต่ท่านแม่ทัพแสดงออกให้เห็นว่ารู้จักนาง เขาจึงถามว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใครกันแน่

“ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่นางเป็นคนขององค์ชายสาม”

“องค์ชายสามส่งคนมาทำอะไรที่ต้าต่าน” ฟู่จูตั้งคำถาม

เสนาธิการหนุ่มมองอย่างระแวง เมื่อนางตะโกนว่าอยากขอพบแม่ทัพต่งเป็นการส่วนตัว ชายหนุ่มขยับปากจะเตือน แต่ท่านแม่ทัพให้สัญญาณว่าห้ามตามมาแล้วตรงไปหาคนกลุ่มนั้นอย่างไม่ลังเล

ทันทีที่ชายหนุ่มชักม้าเข้าไปใกล้ สตรีที่นั่งม้ามาด้วยกันกับคนขององค์ชายสามก็ลงมาอย่างรีบร้อน นางตรงไปหาแม่ทัพหนุ่มแล้วเปิดหน้าให้เขาดู

“องค์หญิง!” จินไท่ตะลึงจนแทบเอามือขยี้ตา

ชายหนุ่มรีบกระโดดลงจากหลังม้าเพื่อมองหน้านางให้ชัดขึ้น เมื่อรู้ว่าใช่แน่ชายหนุ่มก็ตั้งท่าจะคุกเข่าถวายความเคารพ แม้จะมีสถานะเป็นคู่หมั้น แต่ศักดิ์ขององค์หญิงก็สูงกว่า ตราบใดที่ยังไม่ได้แต่งานก็ต้องปฏิบัติตามธรรมเนียม

“อย่าเพิ่งมากพิธี ฟังเราให้ดีก่อน” หน่อมดึงตัวเอาไว้ไม่ให้เขาทำความเคารพ “เรามาที่นี่เพื่อช่วยท่าน รีบเคลื่อนพลออกไปจากที่นี่โดยด่วนก่อน”

“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องปกป้องเมืองนี้” แม่ทัพผู้ยังไม่เข้าใจสถานการณ์ปฏิเสธหนักแน่น

“ทัพหลักของศัตรูจำนวนสามหมื่นใกล้มาถึงแล้ว ถ้าท่านยังรั้นจะอยู่ ทุกคนที่นี่ต้องตายหมด”

“ต่อให้เป็นเช่นนั้นกระหม่อมก็ต้องสู้ ชาวเมืองยังไม่ได้อพยพ กระหม่อมต้องต้านทัพเอาไว้เพื่อให้คนหนีไปให้ได้มากที่สุด”

มีหรือจินไท่จะไม่รู้ว่าทหารของจงเย่าขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้าย ไม่เพียงแต่ปล้นฆ่ายังเผาทำลายทุกอย่าง

“ถ้าท่านปรารถนาที่จะตาย ข้าก็จะขอตายด้วย” หน่อมงัดไม้ตายมาใช้

“องค์หญิง...” จินไท่ได้แต่เรียกนางด้วยไม่รู้จะรับมืออย่างไร

หน่อมเห็นเป็นโอกาสจึงเริ่มเกลี้ยกล่อม

“เราต้องการเพียงให้ท่านถอยไปตั้งหลัก ไม่ได้ให้หนีเอาตัวรอด ถ้าพร้อมแล้วค่อยกลับมาชิงเมืองคืนก็ได้ ท่านคงรู้มาบ้างแล้วว่าจงเย่าเชิญปราชญ์ผู้หนึ่งมาเป็นเสนาธิการ ชายผู้นี้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ดั้งเดิมหลายอย่าง ทัพของจงเย่าจึงไม่ได้รบอย่างป่าเถื่อนเน้นการทำลายอีกต่อไป เพราะต้องการตักตวงประโยชน์ให้ได้มากที่สุด”

จินไท่คิดตามก็เห็นจริงอย่างที่องค์หญิงลี่จูว่า พื้นที่ที่ยึดคืนมาได้ มีสภาพดีเสียจนทุกคนประหลาดใจ

“ลองตรองดูเถอะ ถ้าท่านรั้นเข้าปะทะ คนธรรมดาที่ไม่ได้รับการฝึกย่อมอยากร่วมสู้เพื่อปกป้องเมืองด้วย ทำแบบนี้แล้วรังแต่จะทำให้คนยิ่งล้มตายมากขึ้นไปอีก ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่ สั่งให้ทุกคนทิ้งข้าวของ หนีไปเมืองอื่นเพื่อเอาชีวิตรอดก่อน”

“แต่...”

“ทัพเสริมจะไม่มีวันมาถึง ตอนนี้คนในทัพหลักทุกคนคิดว่าท่านเป็นกบฏไปเข้ากับฝ่ายศัตรูหมดแล้ว”

จินไท่อึ้งไปเมื่อได้ฟัง เขาอยากถามว่านางรู้ได้อย่างไร แต่องค์หญิงลี่จูเอ่ยตัดบทก่อน

“ท่านเชื่อเราสักครั้งได้ไหม ไม่ฟังเราก็ฟังความเป็นภูตในตัวเราก็ยังดี”

ประโยคสุดท้ายเตือนให้รู้ว่าองค์หญิงผู้น่าทะนุถนอมไม่ใช่คนธรรมดา พอได้สบตากับนางเขาก็ไม่อาจขัดขืนคำสั่งได้

“องค์หญิงต้องการให้ข้าทำอะไรบ้าง”

“เรียกรวมประชุมด้วย เราขอสิทธิ์สั่งการระยะหนึ่ง”

การทำเช่นนี้เรียกว่าไม่ไว้หน้าแม่ทัพต่งเลย ตามหลักหน่อมควรอธิบายแผนการให้เขาฟัง แล้วให้เขาสั่งการลงไปอีกต่อ ทว่าเวลาก็งวดเข้ามาทุกขณะ เพียงเสี้ยวนาทีที่เสียไปอาจหมายถึงหนึ่งชีวิตต้องดับสูญ จินไท่เข้าใจเรื่องนี้ดีจึงส่งตราแม่ทัพให้

บรรดาขุนพลกับนายกองทั้งหลายถึงกับพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นองค์หญิงลี่จู พวกเขายังคงละล้าละลังที่จะทำตามคำสั่งนาง แววตาของทุกคนเต็มไปด้วยคำถาม ขณะที่หันมาจ้องแม่ทัพต่งเป็นตาเดียว จินไท่จึงออกคำสั่งเสียงดัง

“ทุกคนจงฟัง! องค์หญิงสิบมาที่นี่เพื่อช่วยเหลือทุกคน ขอให้ทหารทุกนายปฏิบัติตามคำสั่งนาง เสมือนหนึ่งตัวข้า”

หากเป็นกองทัพอื่น คำประกาศนี้คงทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ แต่ทัพต้าต่านถูกฝึกมาอย่างดี อีกทั้งทุกคนยังเคารพศรัทธาในตัวแม่ทัพหนุ่มเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ฟังก็รับคำอย่างพร้อมเพรียง ทหารของทางอี้ป่ายที่เหลืออยู่ประมาณห้าร้อยนายเห็นดังนั้นก็พลอยอยู่ในความสงบไปด้วย

หน่อมสั่งการเร็วจี๋ให้ประกาศว่าข้าศึกกำลังจะบุกในอีกสามชั่วยาม ถ้าไม่อยากตายให้รีบหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

“กองกำลังที่เหลืออยู่ให้ทิ้งของไม่จำเป็นทุกอย่าง รวมถึงคนเจ็บที่ไม่สามารถเดินทางได้”

ทุกคนครางฮืออยู่ในใจเมื่อต้องทิ้งพี่น้องร่วมรบ หน่อมรู้ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรจึงเอ่ยต่อว่า

“พวกเราต้องไปตายเอาดาบหน้าไม่มีเวลาลังเล ทหารที่บาดเจ็บสาหัสหากอยู่ที่นี่จะมีโอกาสรอดตายมากกว่า ใครที่ยังห่วงพี่น้องหรือไม่พร้อมไปรบก็แยกออกมา ถอดเกราะออก ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาเสีย แล้วพาคนเจ็บหนีออกไปจากที่นี่”

หน่อมย้ำให้รู้ว่านี่เป็นการถามความสมัครใจ ต่อให้เลือกที่จะไปก็ไม่ต้องอาญาโทษฐานหนีทัพ

ทางฝั่งของเจียงเฉียงไม่มีใครคิดอยู่ต่อเลยสักคน แต่ทางอี้ป่ายมีแยกตัวออกมาประมาณหนึ่งกองร้อย จำนวนนี้พอเหมาะสำหรับการพาทหารบาดเจ็บทั้งหมดหลบหนีพอดี

เสียเวลาจัดแจงเรื่องราวต่างๆ อยู่ประมาณหนึ่งชั่วยาม กำลังพลหนึ่งพันสี่ร้อยนายก็พร้อมเคลื่อนพล ทหารของอี้ป่ายแสดงท่าทีหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย เมื่อบอกว่าจะไปที่ป่าอาถรรพ์

คนของจงเย่าและอี้ป่ายต่างก็ไม่กล้าอ้างสิทธิ์ครอบครองดินแดนส่วนนี้เพราะความอันตรายของมัน ภายในป่าเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายกับพืชมีพิษ แม้แต่น้ำก็ดื่มกินไม่ได้ หากทัพศัตรูหลงเข้าไป ก็ทำเพียงดักรออยู่ด้านหน้าเท่านั้น ถ้าพวกมันไม่ออกมาสู้กันซึ่งหน้า อาถรรพ์ของผืนป่าก็จะคร่าชีวิตคนที่เข้าไปเอง ที่นี่จึงมีชื่อเล่นอีกหนึ่งชื่อว่า ‘ป่ากินคน’

นายกองของอี้ป่ายรีบห้ามทันทีเมื่อรู้ว่ากำลังเคลื่อนพลไปที่ใด แต่หน่อมยืนยันหนักแน่นว่าต้องเป็นที่นี่เท่านั้นทุกคนจึงจะรอด

“เราเตรียมการทุกอย่างเอาไว้แล้ว ถ้าปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จะไม่มีใครตายเพราะป่าผืนนี้แน่”

นอกจากอันตรายของสัตว์ป่าและพืชพิษ สิ่งที่มนุษย์ทั่วไปไม่รู้คือที่นี่เป็นที่สถิตของภูตพราย ที่เกิดจากวิญญาณของทหารที่ทุกข์ทน ภูตเหล่านี้จะทำให้คนเห็นภาพหลอน เผลอไปกินพืชมีพิษหรือเดินเข้าหาสัตว์ร้าย หน่อมจึงได้จัดการทำพิธีขับไล่สิ่งชั่วร้าย รวมถึงขอขมาต่อวิญญาณแห่งป่าเรียบร้อย พวกทหารรับจ้างจากหรงซิ่งจึงซ่อนตัวอยู่ในนี้ได้อย่างปลอดภัย

เมื่อมีคนใหม่เข้ามาจึงต้องทำพิธีอย่างลวกๆ อีกหน แต่สิ่งที่ไม่หลงลืมคือทุกคนต้องแสดงความเคารพต่อป่า ไม่ดื่มกินสิ่งอื่นใดนอกเหนือจากคำแนะนำของกลุ่มทหารที่อยู่มาก่อน

เหล่าทหารที่มาใหม่ล้วนแปลกใจที่ป่าอาถรรพ์ไม่น่ากลัวอย่างคำเล่าลือ พวกที่อยู่มาก่อนล่วงหน้าสดชื่นแข็งแรงกันดี ทั้งยังตระเตรียมสิ่งต่างๆ เอาไว้ให้ด้วย ทหารที่บาดเจ็บได้รับการดูแลทันที มีน้ำดื่มเตรียมไว้ให้กำลังพลที่กำลังกระหาย บริเวณลานตรงกลางแจ้งมีข้าวต้มหลายสิบหม้อกำลังเดือดส่งกลิ่นหอมกรุ่น ที่พิเศษไปกว่านั้นคือมีหมูป่าตัวใหญ่หลายตัว กำลังถูกนำไปเสียบไม้เตรียมย่าง

“เนื้อล่ะทุกคน เนื้อจริงๆ ข้าไม่ได้ฝันไป” อู๋ถง ขุนพลน้องเล็กชี้ชวนให้พวกพี่ๆ ดู อย่างตื่นเต้น

“อย่าทำตัวน่าอายได้ไหม” อู๋ฮวนเอ็ด

“ปล่อยมันไปเถอะพี่ใหญ่ พี่ก็รู้นี่ว่าเจ้าถงมันนิสัยยังไง” อู๋สีเข้าข้างเพราะอยากให้บรรยากาศเคร่งเครียดคลายลงบ้าง

หน่อมได้ยินเข้าพอดี จึงหันไปยิ้มให้กับบรรดาขุนพลทั้งหลาย

“อีกสักชั่วยามหนึ่งอาหารคงเสร็จ ระหว่างนั้นมีผลไม้ให้รองท้อง ถ้าพวกท่านไม่รังเกียจก็เชิญกินกันก่อนได้เลย”

“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง ท่านนี่เป็นแม่พระมาโปรดจริงๆ” อู๋ถงแทบจะลงไปคุกเข่าให้นาง

ในสงครามอาหารขาดแคลน อดมื้อกินมื้อกันมาตลอด ได้มีอาหารการกินดีๆ สักมื้อก็เหมือนกับได้ขึ้นสวรรค์แล้ว

“เอาเสบียงมาเลี้ยงเรามากมายอย่างนี้จะดีหรือพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่จูอดเตือนอย่างอ้อมๆ ไม่ได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ประหยัดไว้ย่อมดีกว่า

“อาหารยังมีเหลือเฟือ ท่านเสนาธิการไม่ต้องห่วง เฉพาะธัญพืชกับข้าวมีมากพอเลี้ยงคนสามพันคนได้ครึ่งเดือน”

องค์หญิงลี่จูคล้ายจะรู้ว่าเสนาธิการคิดอะไรอยู่ จึงบอกจำนวนเสบียงที่เหลือให้ทราบ ฟู่จูแปลกใจมากที่องค์หญิงรู้วิธีคำนวณอย่างละเอียด ทั้งที่ฝ่ายในห้ามยุ่งเกี่ยวกับราชกิจ ลำพังแค่ศึกษาเรื่องการเมืองยังทำได้ยาก นับประสาอะไรกับหลักการรบ องค์หญิงโฉมงามผู้อ่อนแอจึงกลายเป็นสตรีปริศนาภายในพริบตา

เมื่อตรวจนับกำลังพลว่ามาถึงค่ายชั่วคราวครบหมดแล้ว หน่อมก็คืนตราแม่ทัพให้กับจินไท่ต่อหน้าทุกคน เขาอธิบายถึงความจำเป็นในขณะนั้นเพื่อให้เหล่าทหารไม่แคลงใจในความสามารถของแม่ทัพต่ง พร้อมกันนั้นก็ยกอำนาจการสั่งการเหล่าทหารรับจ้างให้เป็นสิทธิ์ขาดของชายหนุ่มแต่เพียงผู้เดียว ก่อนเข้ามาเก็บตัวในกระโจมกับเจ้

แม่ทัพหนุ่มหายไปตระเตรียมสิ่งต่างๆ ระยะหนึ่ง เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงมาหาคู่หมั้นที่กระโจม

“เราขอโทษที่ทำให้ท่านต้องลำบากใจ”

หน่อมรู้ดีว่าจินไท่ไม่อยากหนี เขารักจะสู้ศึกจนตัวตายมากกว่าจะทอดทิ้งคนที่สามารถปกป้องได้

“อย่าตรัสเช่นนั้นเลย องค์หญิงมาช่วยพวกเราได้ทันเวลาต่างหาก หากไม่มีองค์หญิง กระหม่อมคงพาทหารไปตายอย่างไร้ค่าอยู่ในเมือง”

เมื่อต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันแล้ว จินไท่ก็เอ่ยอย่างเป็นการเป็นงานอีกครั้งหนึ่ง เขาอยากทราบสถานการณ์และข้อมูลที่องค์หญิงลี่จูรู้ทั้งหมด เพื่อวางแผนการรบต่อไป แต่หญิงสาวกลับขอผลัดเป็นหลังมื้ออาหาร

“ท่านสู้ศึกอย่างยากลำบากมาตลอดหลายวัน พักผ่อนสักสองชั่วยามเถิด”

“ข้าไม่เป็นไร รู้เร็วเท่าไรก็เตรียมพร้อมได้เร็วเท่านั้น”

นี่ไม่ใช่การดื้อดึงแต่เป็นสิ่งที่ผู้นำสมควรทำ

“เรารู้ว่าท่านเก่ง แต่พวกทหารจากอี้ป่ายเล่า”

ทหารจากต้าต่านขวัญกำลังใจยังดีกันอยู่ อีกทั้งยังชินกับการสั่งการของจินไท่ แต่พวกทหารของอี้ป่ายไม่เป็นเช่นนั้น พวกเขาเพิ่งเสียเมืองไป เหนื่อยล้าสับสน หากตั้งค่ายเสร็จแล้วเรียกเหล่าขุนพลกับเสนาธิการมาประชุมอย่างเคร่งเครียดในทันที จะพานเข้าใจว่าถูกพามาตายโดยไม่มีการเตรียมแผนการใดๆ ไว้รองรับเลย

“ให้พวกเขาพักผ่อนกันก่อน แล้วเราค่อยคุยกันแบบกึ่งทางการตอนหัวค่ำ”

นี่เป็นอีกครั้งที่จินไท่ไม่สามารถโต้แย้งองค์หญิงคนงามได้เลย

“องค์หญิงรอบคอบจนกระหม่อมละอาย”

ชายหนุ่มแสดงออกว่ายอมรับความสามารถของคู่หมั้นหมดใจ หน่อมคิดว่านี่เป็นความน่ารักของเขา แต่คนอื่นอาจมองว่าการที่จินไท่ยอมองค์หญิงลี่จูมากไปเป็นการเสียศักดิ์ศรี เพื่อไม่ให้เกิดคำครหาเช่นนั้น หน่อมจึงชวนชายหนุ่มออกไปรับประทานอาหารร่วมกับทุกคน แล้วคอยปรนนิบัติคู่หมั้นทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่

การแสดงออกขององค์หญิงลี่จูทำให้ทุกคนรู้สึกว่าผู้บัญชาการสูงสุดยังเป็นแม่ทัพต่ง มีแต่ฟู่จูซึ่งเป็นเสนาธิการเท่านั้นกระมังที่คิดต่าง ฟู่จูมองว่าต่อให้องค์หญิงไม่ได้ครอบครองตราแม่ทัพ นางก็ยังมีอำนาจสั่งการแบบเบ็ดเสร็จอยู่ดี


หลังมื้ออาหารหน่วยสอดแนมที่จินไท่ทิ้งไว้ดูสถานการณ์ก็กลับมารายงานว่าทัพศัตรูไม่ได้ตามมา มีเพียงหน่วยเสื้อคลุมดำจำนวนสามร้อยนายที่กำลังตั้งค่ายอยู่บริเวณทางเข้าป่า ทุกคนเห็นแสงไฟแต่ไม่กล้าติดตามเข้ามาเพราะตระหนักถึงอันตรายของผืนป่ายามค่ำคืน ไม่ใช่เป็นเพราะมีมนตร์บังตาแต่อย่างใด

“ออกไปรับพวกเขามาที่นี่ ย้ำกับคนที่ออกไปรับให้ขอขมาผืนป่าและเซ่นไหว้วิญญาณคนตายก่อนเข้ามา” จินไท่สั่ง

สองคำสั่งหลังองค์หญิงลี่จูกำชับมาอีกต่อหนึ่ง ท่านแม่ทัพจึงปฏิบัติตามอย่างแข็งขัน

เมื่อสั่งงานเสร็จแล้วก็ได้เวลาการขอทวงสัญญาเรื่องการประชุม ไม่ใช่แต่จินไท่ที่อยากทราบข้อมูลจากองค์หญิง ฟู่จูก็ร้อนใจอยากวางแผนการรบแย่แล้ว

“อีกหลายชั่วยามกว่าหน่วยเสื้อคลุมดำจะมาถึง ค่อยคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกันตอนนั้นทีเดียวไม่ดีกว่าหรือ ในเมื่อศัตรูไม่คิดติดตามมา ท่านก็พักเอนหลังสักหน่อยเถอะ”

หน่อมตบมือลงบนตักตัวเองเพราะไม่เห็นว่าในกระโจมมีของที่ใช้ต่างหมอนได้

“กระหม่อมว่าไม่...”

“ไม่มีใครอยู่หรอก พวกเขาคงไม่เข้ามาจนกว่าจะเรียก”

เจ้เคยอยู่ข้างๆ จนถึงเมื่อสักครู่ แต่พอเห็นจินไท่ก็แอบย่องไปอย่างเงียบกริบ เปิดโอกาสให้คนรักที่ไม่ได้พบกันมานานได้พูดคุย

เห็นดังนั้นจากที่จะบอกว่าไม่เหมาะก็เลยกลายเป็น ‘ไม่ปฏิเสธ’ จินไท่ทิ้งตัวลงหนุนตักนุ่มแล้วหลับตาลง เขามีความสุขเสียจนรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ตายในสนามรบ แล้ววิญญาณหลงวนเวียนอยู่ในภาพฝันซึ่งเกิดจากความปรารถนา

“เราอยากทำแบบนี้มาตลอดเลย ถ้าท่านไม่ชอบก็บอกได้นะ” หน่อมลูบศีรษะชายหนุ่มเล่น

“กระหม่อมชอบมาก ชอบที่สุด”

จินไท่พลิกตัวมาสบตากับหญิงสาว แววตาลึกซึ้งบอกใบ้ว่าสิ่งที่ชอบที่สุดเห็นจะเป็นคนที่ให้นอนหนุนตักมากกว่า


ตลอดเวลาที่ได้นอนหนุนตักองค์หญิงลี่จู จินไท่ไม่ได้หลับแม้แต่งีบเดียว ด้วยไม่อาจปล่อยใจให้จมอยู่กับห้วงนิทราแล้วพลาดสัมผัสของมือนุ่ม บรรยากาศอันแสนผ่อนคลายและเปี่ยมสุขนี้ยุติลงเมื่อหน่วยเสื้อคลุมดำเดินทางมาถึง ซั่วเย่าในชุดพร้อมรบเร่งมารายงานตัวกับแม่ทัพทันทีที่มาถึง

จินไท่จึงเรียกตัวขุนพลกับเสนาธิการให้มาประชุมร่วมกัน โดยมีองค์หญิงลี่จูกับผู้ติดตามของนางร่วมฟังด้วย คำถามแรกที่ทุกคนถามซั่วเย่าคือเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงไม่มีการส่งกำลังเสริมมา

“มีการสั่งถอยทัพเพราะทหารของเราถูกหลอกไปติดกับดัก ทั้งยังมีข่าวลือว่าท่านแม่ทัพเอาใจเข้าฝ่ายศัตรู คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ แต่พอทัพเราเสียหายหนักเข้า ก็เริ่มมีคนคล้อยตามข่าวลือ”

“บ้าไปกันใหญ่แล้ว ใครเป็นคนปล่อยข่าวลือนี่” อู๋ฮวนถึงกับเดือดกลางวง

“ข้าไม่รู้ ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด ไม่ทันตั้งตัวเราก็เสียทหารไปหลายพัน มีกับดักถูกซ่อนอยู่ตามพื้นดินเต็มไปหมด” ซั่วเย่าอธิบายสถานการณ์ในขณะนั้นให้ฟัง

ก่อนแม่ทัพต่งกับพวกขุนพลจะแยกตัวออกไปช่วยเมืองเป่าคง ซั่วเย่าได้รับคำสั่งให้นำทัพเสริมมาช่วย เมื่อไล่ต้อนกองกำลังของข้าศึกออกไปได้ สถานการณ์ศึกในตอนนั้นทางเจียงเฉียงได้เปรียบมาก ไม่คิดเลยว่าต้องถอยทัพเสียเอง ที่น่าตกใจกว่าคือมีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าแม่ทัพต่งเป็นกบฏจริง รองแม่ทัพจึงมีคำสั่งห้ามทุกคนออกนอกกำแพงเมือง แต่ซั่วเย่าไม่เชื่อว่าท่านแม่ทัพจะทรยศชาติบ้านเมือง ก็เลยเรียกรวมพลแล้วตีฝ่าออกมา

“หรือจะเป็นแผนของฝ่ายศัตรูให้เราแตกกันเอง” อู๋สีว่า

“ต่อให้ศัตรูปล่อยข่าวแล้วอย่างไร สถานการณ์ในตอนนี้มันก็ชัดอยู่แล้วว่าคนทรยศตัวจริงเป็นใคร” ฟู่จูขัด

“ใครหรือท่าน” อู๋อี้ถาม

“ใครเล่าที่เชื่อข่าวลือ ใครเล่าที่ไม่ยอมส่งกำลังเสริมมา”

ถัดจากแม่ทัพต่ง คนที่มีอำนาจสั่งการรองลงมาก็มีเพียง

“ท่านอย่าบอกนะว่า...รองแม่ทัพ” อู๋ถงทำท่าไม่เชื่อ “นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ พวกเราร่วมเป็นร่วมตายกันมานาน ไม่มีทางที่รองแม่ทัพจะ...”

“ความจริงเป็นยังไงกลับไปได้ก็รู้เอง” จินไท่ตัดบทเพื่อลดความขัดแย้ง

ตัวเขาไม่เคยมีความคลางแคลงสงสัยในตัวติงเอ๋าซีเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ต่างฝ่ายเกิดในตระกูลที่แข่งขันแย่งชิงตำแหน่งแม่ทัพแห่งต้าต่านมาโดยตลอด ก็ยังถือว่าเป็นสหายร่วมรบ กินข้าวหม้อเดียวกันมา ทว่าระยะหลังฟู่จูบอกว่าเอ๋าซีมีพฤติกรรมไม่น่าไว้วางใจ จึงถือวิสาสะตรวจสอบ พบว่ารองแม่ทัพติดต่อกับคนต่างแคว้น แต่เมื่อไม่มีพยานหลักฐานที่ชี้ว่ากระทำผิด จินไท่จึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป

“แล้วที่เป่าคงเป็นอย่างไรบ้าง” อู๋สีถาม

“ข้าไม่ได้เข้าไปดูด้านใน แต่ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นหลายหน หลังกำแพงมีควันโขมง ดูท่าแล้วจะเกิดเพลิงไหม้รุนแรง”

“ไหนองค์หญิงว่าพวกมันจะไม่เผาเมืองไง” อู๋อี้เผลอโพล่งออกมา แล้วก็ต้องหุบปากแน่นเมื่อถูกทุกคนในที่นั้นมองมาอย่างตำหนิ

“ขออภัย กระหม่อมผิดเองที่พูดไม่ทันคิด” ขุนพลหนุ่มรีบคุกเข่า

“ไม่เป็นไรเราไม่ถือสา” หน่อมตอบเสียงนุ่ม “ขุนพลเซียวมองเห็นเพียงกลุ่มควัน จะเข้าใจผิดก็ไม่มีอะไรแปลก แต่เราขอยืนยันว่าศัตรูไม่ได้เผาเมือง เพราะเราสั่งเผาเอง”

“อะไรนะ!” พวกผู้ชายร้องกันเสียงหลง

ขณะที่ทุกคนกำลังอึ้ง หน่อมก็อธิบายอย่างใจเย็นว่าช่วงที่เรียกรวมพล เขาให้คนที่ติดตามมานำระเบิดไปวางเอาไว้ตามจุดต่างๆ ผลัดเปลี่ยนชุดทำตัวปะปนไปกับชาวเมือง พอทหารของจงเย่าเข้าเมืองมา ก็จัดการจุดชนวน

พวกทหารที่โกรธแค้นย่อมหาตัวการก่อเหตุ เขาจึงให้คนล่อกองทหารมาติดกับดักที่เตรียมเอาไว้ มีทั้งหลุมลึกที่เต็มไปด้วยไม้แหลม ซุ่มโจมตีด้วยธนู ตลอดจนปลอมตัวเป็นพวกเดียวกัน เพื่อทำให้สถานการณ์ปั่นป่วนยิ่งขึ้น

“กำลังทหารสามหมื่นตอนนี้น่าจะเหลือที่สามารถรบได้เพียงหนึ่งในสาม”

หน่อมอธิบายต่อว่าระเบิดจากโรงงานในเขาลู่ซานไม่ได้มีพลังทำลายล้างมหาศาล สิ่งที่ทำให้ทหารกว่าครึ่งป่วยคือควันไฟที่เกิดจากส่วนผสมในระเบิด ซึ่งสั่งตรงมาจากพรานราตรี ประสิทธิภาพย่อมยอดเยี่ยมสมราคา ถ้าสูดดมเข้าไปไม่เพียงแต่ทำให้เป็นอัมพาตชั่วขณะ ร่างกายยังอ่อนแรง มีไข้หายใจขัดหลายสัปดาห์ ถ้าแพ้รุนแรงหรือไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจถึงชีวิต เพื่อไม่ให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับลูกหลง หน่อมจึงสาบานว่าจะใช้มันในสถานการณ์ที่เหมาะสมอย่างระมัดระวัง

“กระหม่อมขอคารวะองค์หญิง” อู๋สียืดตัวตรงแล้วค้อมกายให้ “พวกเรารบกันเป็นแรมเดือนยังทำอะไรแทบไม่ได้ แต่องค์หญิงมาวันเดียว ปราบทัพข้าศึกไปร่วมสองหมื่น”

คนอื่นได้ยินแบบนั้นก็คารวะบ้าง มีเพียงแม่ทัพต่งเท่านั้นที่แสดงออกต่างออกไป นอกจากจะไม่ชื่นชมแล้วยังโกรธด้วย

“องค์หญิงทรงรู้ตัวหรือไม่ว่าเพิ่งฆ่าคนไป”

“เรารู้” หน่อมตอบเสียงเรียบ

“แล้ว...”

“เราไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย ในสงครามถ้าไม่ลงมือให้เด็ดขาด ก็อย่าหวังจะมีชีวิตรอด”

จริงอยู่ว่านี่เป็นหลักการที่กองทัพเพียรพร่ำสอนเหล่าทหารใหม่อ่อนหัด จินไท่เคยพูดประโยคนี้เป็นพันๆ ครั้งด้วยซ้ำ แต่ก็ยังสะท้านในอกเมื่อมันหลุดออกจากปากคู่หมั้น

“ท่านเป็นใครกันแน่?”

สายตาของแม่ทัพต่งเต็มไปด้วยคำถาม แม้จะไม่ได้เปล่งออกมาแต่คู่สนทนาก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี เขาอยากถามว่าองค์หญิงผู้อ่อนโยนที่ไม่กล้าฆ่าแม้กระทั่งมดหายไปไหน เกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิงที่เขารัก

“เราก็คือเรา อยู่ที่ท่านแล้วว่าจะเลือกรักหรือชัง”

คำพูดของหญิงสาวเตือนให้ระลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่เขาสาบานรักต่อนาง จินไท่เลือกที่จะรักทั้งที่รู้ว่าอีกครึ่งหนึ่งในตัวนางไม่ใช่มนุษย์

“กระหม่อมไม่มีทางชังองค์หญิง เพียงแต่...กระหม่อมไม่เชื่อว่าท่านจะเลือดเย็นได้ถึงเพียงนี้ บอกกระหม่อมทีอะไรที่ทำให้องค์หญิงเปลี่ยนไป”

“ก็ท่านไง” หน่อมตวาด

แววตารวดร้าวของจินไท่ทำให้เขาไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้อีกต่อไป

“ท่านสัญญาว่าจะกลับไปหาข้าก่อนใบไม้เปลี่ยนสี แต่ในฝันท่านไม่ได้กลับมา เราต้องทนเห็นภาพท่านสิ้นใจคืนแล้วคืนเล่า คืนแล้วคืนเล่า ผิดหรือที่เราจะโกรธเกลียดพวกมัน ผิดหรือที่เราจะสังหารศัตรูเพื่อปกป้องคนที่เรารัก”

ถ้อยคำมากมายพรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำตา ตั้งแต่ตัดสินใจเข้าสู่สมรภูมิหน่อมก็ทำใจเอาไว้แล้วว่าต้องแบกรับความทุกข์จากการเข่นฆ่าชีวิตผู้อื่น เขาพยายามอดทน พยายามฝืนว่าไม่เป็นไร แต่คนรักไม่เข้าใจมันก็สุดจะกลั้น

“องค์หญิง...ข้า”

จินไท่กำหมัดแน่นด้วยไม่รู้จะปลอบนางอย่างไร เขาช่างโง่เขลายิ่งนัก ไม่เพียงไม่สำนึกบุญคุณยังต่อว่านางอย่างโหดร้าย

ฟู่จูเห็นผู้บังคับบัญชาทำอะไรไม่ถูกเลยส่งสัญญาณให้ทุกคนในที่นั้นรีบออกไปจากกระโจมโดยด่วน พวกขุนพลที่เข้าใจสถานการณ์รีบลุกขึ้นออกไปทันที ส่วนที่ไม่รู้ก็ถูกปิดปากลากออกมาพร้อมกัน เจ้เองก็ออกมาด้วย เธอไม่ห่วงเพื่อนนัก ดูจากนิสัยแม่ทัพต่งกับหน่อม อีกเดี๋ยวคงปรับความเข้าใจกันได้แล้วประชุมต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เรื่องของหน่อมไม่น่าเป็นห่วงดังคาด คนที่งานเข้าแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยคือเจ้ต่างหาก ไม่ทันได้ตั้งตัวเธอก็ถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับคนรักเก่า อยู่ๆ ซั่วเย่าก็ปราดเข้ามาหา แล้วยึดแขนเจ้เอาไว้แน่น

- โปรดติดตามตอนต่อไป -

สวัสดีท้ายตอนค่ะ เอามือป้องปาก หัวเราะด้วยเสียงโซปราโน่
ลงแดงกันไปจนกว่าจะถึงวันศุกร์นะจ๊ะเบบี๋ โฮะๆๆๆ
(〇´∀`〇)



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ธ.ค. 2558, 00:07:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ธ.ค. 2558, 00:07:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 1121





<< สู่สมรภูมิ : บทที่ ๔ บุกหุบเขาทมิฬ   สู่สมรภูมิ : บทที่ ๖ ไม่ไว้ใจ >>
อัศวินนภา 21 ธ.ค. 2558, 07:36:09 น.
ลุ้นของเจ้


นักอ่านเหนียวหนึบ 21 ธ.ค. 2558, 12:13:48 น.
อยากจะเข้าไปกระชากแขนไรเตอร์แล้วกำให้แน่น!!!!!


Zephyr 21 ธ.ค. 2558, 23:16:53 น.
กระชากอขนโน้ม บีบคอ
ลงต่อเดี๋ยวนี้ๆๆๆๆๆๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account