ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: สู่สมรภูมิ : บทที่ ๖ ไม่ไว้ใจ


สู่สมรภูมิ : บทที่ ๖ ไม่ไว้ใจ

ลำพังถูกยึดมือเอาไว้ข้างเดียว ต่อให้บีบรัดแน่นปานใดเจ้ก็มีวิธีสะบัดให้หลุด ทว่าในยามนี้เธอกลับไม่อาจขยับเคลื่อนไหวเพราะถูกตรึงเอาไว้ด้วยดวงตาคมกล้าของซั่วเย่า

“เจ้าเป็นใครกันแน่”

น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ โทสะกับความเย็นชาทำให้เจ้สะท้านไปทั้งร่าง

“ข้า...”

เธอไม่อาจตอบคำถามของเขาได้ ทั้งความจริงและคำลวง ความโหยหาอาวรณ์พุ่งเข้าเล่นงานจนหัวใจเจ้แทบแหลก ทั้งที่อยู่ห่างกันเพียงเท่านี้ แต่กลับไม่อาจโผเข้าสู่อ้อมกอดของเขาได้ เจ้กล้ำกลืนฝืนความรู้สึกเอาไว้สุดกำลัง เธอบอกตัวเองว่าหมดสิทธิ์ในตัวเขา นับจากวันที่ปล่อยเขาหลุดมือไปแล้ว ต่อให้ซั่วเย่าไม่ถูกลบความทรงจำ เจ้ก็ยังไม่ใช่ผู้หญิงที่เขารักอยู่ดี

“ตอบข้ามาสิ!” ชายหนุ่มขึ้นเสียงใส่

ซั่วเย่าเพิ่มแรงบีบมือจนข้อมือขาวเนียนเป็นรอยช้ำ แต่เจ้กลับไม่รู้สึกอะไรเลย ความเจ็บในใจมันมากล้นจนทำให้ประสาทสัมผัสด้านชา

“ถ้ายังไม่ตอบข้าจะให้ท่านแม่ทัพสอบสวนเจ้า”

เจ้ยังคงเงียบแม้จะได้รับคำขู่ หากสังเกตสักนิดคงเอะใจในแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึก น่าเศร้าที่ซั่วเย่ากลับมองไม่เห็น เขาลืมชิงชิงแต่ยังจำฟางเซียนกับผีเสื้อโลหิตได้ จึงระแวงว่าสิ่งที่นางแสดงออกจะเป็นเล่ห์กลทำให้สับสน

เมื่อหญิงสาวไม่ตอบรวมถึงไม่ยอมขยับ ซั่วเย่าก็ฉุดให้ตามมา แรงกระชากทำให้เจ้ล้มกระแทก แต่ชายหนุ่มหาได้ห่วงใย ด้วยคิดว่าเป็นมารยา

“ลุกขึ้น!” เขาตวาด

“ซั่วเย่าหยุดก่อน! เจ้าจะทำอะไรแม่นางชิงชิง” อู๋อี้ร้องห้าม

ชายหนุ่มเร่งเข้ามาช่วยประคองหญิงสาวให้ลุกขึ้น น้ำใจของเขาทำให้เจ้ไม่ต้องนั่งแช่อยู่บนพื้นสกปรกนาน แต่ก็ตอกย้ำให้ซั่วเย่ายิ่งเข้าใจว่านางแกล้งล้มเพื่อให้ขุนพลคนอื่นเห็นใจ

“ชิงชิง...งั้นรึ” ซั่วเย่ากัดฟันกรอด “เจ้ามีกี่ชื่อกันแน่”

แววตาที่มองผ่านหน้ากากเปี่ยมไปด้วยเพลิงแห่งโทสะ หากทำได้เขาคงไม่ลังเลที่จะเผาสตรีตรงหน้าให้มอดไหม้

“มีอะไรค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันได้น่า เจ้าทำท่าน่ากลัวจนแม่นางชิงชิงผวาแย่แล้ว” อู๋อี้ตำหนิ

ชายหนุ่มดึงมือของสหายร่วมรบออกจากข้อมือขาวเนียน เพื่อให้หญิงสาวได้เป็นอิสระ แล้วเอาตัวมากั้นกลางไว้ จังหวะนั้นขุนพลคนอื่นก็พากันเดินเข้ามา เนื่องจากเห็นความผิดปกติ

“เกิดอะไรขึ้น” อู๋ฮวนถาม

“ซั่วเย่าน่ะสิ อยู่ๆ จะลากตัวแม่นางชิงชิงไปไหนก็ไม่รู้” อู๋อี้บอกกึ่งฟ้องพี่ใหญ่

“ข้าจะพานางไปสอบสวน” ชายหนุ่มชี้แจงโดยไม่ต้องถาม

“พาไปทำไม? นางทำอะไรผิด” อู๋ฮวนซักต่อ

“ข้าสงสัยเจตนานาง นางบอกพวกท่านว่าชื่อชิงชิง แต่ข้ารู้จักนางในนามอื่น”

“ชื่ออะไร”

“หลงฟางเซียน คณิกาอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง”

“เจ้าจำคนผิดแล้ว แม่นางชิงชิงเป็นนางกำนัลอยู่ในวัง” อู๋อี้แก้ต่างให้

“แต่นางเหมือนมากจริงๆ นะ ถึงไม่แต่งหน้าแต่ข้าก็จำนางได้” อู๋ถงพูดแทรก

ตอนอยู่เมืองหลวง เขากับพี่รองไปเที่ยวที่หอซูเมิ่งมาครั้งหนึ่ง วันนั้นแม่นางฟางเซียนออกมาร่ายรำพอดี ยังพูดกันอยู่เลยว่าเหมือนกับนางกำนัลคนงามขององค์ชายสาม

“คนหน้าคล้ายกันมีถมไป” อู๋อี้ยังคงเถียงแทน “คิดดูสิเป็นคณิกาจะไปอยู่ในวังได้ยังไง”

เขาจำได้ว่านางแต่งกายอย่างนางกำนัลชั้นสูง แสดงว่าต้องมีชาติตระกูลที่ดีไม่ก็เป็นที่โปรดปรานมาก

“ข้าไม่มีวันจำคนที่เคยประมือด้วยผิด แต่ต่อให้รีดเค้นอย่างไร ผู้หญิงมากมารยาอย่างนางก็คงไม่ยอมรับกระมังว่าตัวเองคือผีเสื้อโลหิต”

ซั่วเย่าจับจ้องที่ใบหน้าของหญิงสาวอย่างไม่วางตา เขาปรารถนาอยากเห็นนางหน้าซีดเผือดแสดงพิรุธออกมา แต่สีหน้านางกลับเรียบเฉย

‘ไม่สิ...มันดูราวกับโล่งใจมากกว่า’

ถูกต้องอย่างที่ซั่วเย่าคิดทุกประการ เจ้กลัวเหลือเกินว่าชื่อชิงชิงจะกระตุ้นความทรงจำของเขา เห็นท่าทีไม่สะทกสะท้านอย่างนี้แล้วก็วางใจว่าของวิเศษของเต้กุนใช้ได้ผล

“ผีเสื้อโลหิตคืออะไร” อู๋อี้ถาม

“มือสังหารของพรานราตรี”

แม่ทัพนายกองระดับสูงล้วนเคยได้ยินชื่อพรานราตรีผ่านหู เพราะเรียกใช้คนจากที่นี่ด้านการข่าวอยู่บ่อยครั้ง ทุกคนต่างรู้ว่าพรานราตรีเน้นผลิตสายลับ เงินมาข่าวก็ไป แทบไม่สนใจงานรับจ้างฆ่า แต่ถ้าได้ขึ้นทะเบียนเป็นมือสังหารจนได้รับฉายา ย่อมมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์เหนือมนุษย์

“เป็นไปไม่ได้” อู๋อี้เอ่ยอย่างไม่เชื่อ

แค่ถูกซั่วเย่าจ้องเขม็งนางก็ยืนแทบไม่ไหวแล้ว ร่างกายก็อ้อนแอ้นบอบบางออกปานนี้ จะไปสู้รบปรบมือกับใครได้

“ใช่ไม่ใช่ ให้ข้าสอบสวนเดี๋ยวก็รู้กัน”

วิธีการสอบสวนของซั่วเย่าไม่ใช้ปาก แต่เป็นการทรมานด้วยวิธีต่างๆ จนกว่าจะสารภาพ เรื่องพวกนี้หน่วยงานด้านมืดของกองทัพอย่างพวกเสื้อคลุมดำถนัดนัก

“ส่งนางมาให้ข้า” ซั่วเย่าประกาศอีกครั้งหนึ่ง

อู๋อี้ดูละล้าละลังไม่กล้าตัดสินใจแต่ก็ยังไม่ยอมถอยออกมา ซั่วเย่าจึงเป็นฝ่ายเดินเข้าหา ทว่ายังไม่ทันได้สัมผัสตัว ท่อนแขนของเขาก็ถูกยึดเอาไว้

“ถึงนางจะเป็นผีเสื้อโลหิต เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์นำตัวไปสอบสวน”

คราวนี้อู๋ฮวนเป็นคนออกหน้าห้าม ชายหนุ่มไม่ได้หลงเสน่ห์นางอย่างอู๋อี้และไม่ได้ประมาท ที่พูดอย่างนี้ก็เพราะคำนึงถึงความเหมาะสม

“ตอนนี้นางเป็นผู้ติดตามขององค์หญิงลี่จู ถ้าจะสอบสวนก็ต้องขอความเห็นชอบจากองค์หญิงก่อน ห้ามกระทำการใดๆ โดยพลการ” อู๋ฮวนเอ่ยเสียงเข้ม

ซั่วเย่าไม่ตอบโต้ แม้จะมีหน้ากากปิดบังใบหน้าเอาไว้ ทุกคนก็รู้สึกได้ว่าชายหนุ่มไม่พอใจเป็นอย่างมาก อู๋สีที่ฟังการสนทนาอยู่นานจึงเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ย เพื่อลดความตึงเครียด

“ข้าเห็นด้วยกับพี่ใหญ่ที่ซั่วเย่าไม่มีสิทธิ์สอบสวนนาง แต่ก็คิดว่าเราไม่ควรประมาท เอาอย่างนี้ก็แล้วกันนะ ให้อู๋อี้กับอู๋ถงช่วยกันเฝ้าแม่นางชิงชิงเอาไว้ก่อน ท่านแม่ทัพกับองค์หญิงเรียกตัวเราเมื่อไรค่อยคุยเรื่องนี้กัน”

“ทำอย่างพี่รองว่าก็ดีนะ ข้ากับพี่สามจะช่วยเอง ซั่วเย่าเดินทางมายังไม่ได้พักเลย ไปหาอะไรกินก่อนดีไหม” อู๋ถงรีบสนับสนุน

ซั่วเย่ายังคงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน เห็นอย่างนั้นอู๋สีจึงโอบบ่าดึงตัวให้ตามมา

“อย่าใช้อารมณ์จนต้องผิดใจกันเลย นางมีขุนพลสองคนตามประกบจะหนีไปไหนได้”

ถูกกล่อมมากเข้า ซั่วเย่าก็ยอมตามไปในที่สุดแต่ก็ยังไม่วายทิ้งคำพูดเอาไว้

“หากเจ้ากล้าก่อเรื่อง หรือทำร้ายพี่น้องของข้า ข้าจะไม่มีวันปล่อยเจ้าเอาไว้”

เจ้หายใจขัดเมื่อดวงตาที่เคยอ่อนโยนเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง แขนขามันพานอ่อนเมื่อต้องเผชิญกับความเย็นชาของคนเคยรัก เจ้ได้แต่กล้ำกลืนความเจ็บช้ำไว้ในอกโดยไม่คิดโทษใคร นี่คือผลกรรมที่เธอต้องรับ หลังจากทำร้ายเขาอย่างสาหัส


อู๋สีพาซั่วเย่ามานั่งหน้ากองไฟ แล้วสั่งให้พลทหารไปนำอาหารมาให้ขุนพลเซียว รอไม่กี่อึดใจพลทหารก็นำข้าวต้มธัญพืชชามใหญ่กับเนื้อหมูป่าผัดสมุนไพรมา เมื่อเห็นว่าขุนพลเซียวไม่ยื่นมือมารับ เขาก็ส่งให้ขุนพลอู๋แทน แล้วผละออกไปอย่างเร็วรี่

พลทหารส่วนใหญ่ล้วนเกรงกลัวหน่วยเสื้อคลุมดำ เพราะข่าวลือเรื่องฝีมืออันร้ายกาจกับความโหดเหี้ยม เรื่องฝีมือนั้นไม่ถือว่าเกินจริง แต่เรื่องความโหดคงต้องบอกว่าแล้วแต่บุคคล แต่ก่อนหน่วยเสื้อคลุมดำเปรียบเสมือนด้านมืดของกองทัพ แต่เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ตลอดจนมีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง หน่วยเสื้อคลุมดำจึงได้ออกมาสัมผัสแสงสว่าง แม้ต้องปกปิดตัวตน แต่ระยะหลังก็มีคนดีๆ ที่จิตใจปกติเข้ามาร่วม ทดแทนกำลังที่ล้มหายตายจาก หรือถอนตัวออกไป

“เก็บความโมโหของเจ้าเอาไว้ใช้กับข้าศึกดีกว่า รีบกินเสียก่อนจะเย็นเถอะ” อู๋สีเตือน

ซั่วเย่าหยิบอาหารขึ้นมาตักเข้าปาก แต่ก็ทำอย่างแกนๆ ทั้งที่มื้อนี้จัดว่าเลิศหรูที่สุดในรอบหลายเดือน

อู๋สีมองแล้วก็หมั่นไส้ เขาเคยไม่ชอบหน้าซั่วเย่ามาก ถึงขั้นวางแผนบีบให้ออกไปจากสังกัดของแม่ทัพต่ง แต่ซั่วเย่าก็ไม่สะท้านสะเทือน ขนาดถูกแยกออกมาโดดเดี่ยวจากพวกสี่ขุนพลก็ไม่รู้สึกรู้สา ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าชายหนุ่มเป็นเพียงเครื่องจักรสังหารที่ไร้หัวใจ

ทว่าพอได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่ อยู่ร่วมกันไปนานๆ เข้า เขาก็ได้รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วซั่วเย่าไม่ได้เฉยชาดังท่าทีที่แสดงออก ขุนพลเซียวเป็นคนมีน้ำใจและไม่ได้เย่อหยิ่งเลย คนส่วนใหญ่เข้าใจชายหนุ่มผิดเพราะพูดน้อยและไม่เห็นสีหน้าเวลาที่สนทนากัน

พี่น้องร่วมสาบานคนอื่นต่างก็รู้สึกคล้ายกับอู๋สี พวกเขาคิดตรงกันว่าเมื่อเป็นสหายร่วมรบก็ต้องสนิทกันไว้ เลยไปท้าสู้กระชับมิตรกับซั่วเย่า ผลคือทุกคนพ่ายแบบไม่เป็นท่า แต่ก็ได้รู้ว่าขุนพลเซียวนั้นยิ้มเป็น

จากวันนั้นสี่พี่น้องสกุลอู๋กับซั่วเย่าก็คบค้ากันอย่างสะดวกใจขึ้น แต่ในบรรดาสี่ขุนพล อู๋สีเป็นคนที่สนิทกับซั่วเย่าที่สุด จึงดูออกว่าวันนี้ชายหนุ่มแปลกไป

“ระหว่างมานี่บาดเจ็บหรือถูกพิษมาหรือเปล่า” อู๋สีชวนคุยขณะนั่งเป็นเพื่อนกิน

“ไม่”

“งั้นก็นอนน้อย เหนื่อยมาก”

“มีบ้างแต่ก็ยังปกติ”

“แล้ว...”

“เลิกอ้อมค้อมสักทีเถอะ มีอะไรก็พูดมา”

ซั่วเย่าวางช้อน เขาหันไปสบตาเป็นเชิงบอกว่าให้รีบพูดก่อนจะรำคาญ

“ข้าคิดว่าวันนี้เจ้าดูอารมณ์ร้อนผิดปกติ รู้ทั้งรู้ว่านางเป็นคนขององค์หญิงก็ยังจะลากไปสอบสวนอีก ไม่สมกับเป็นเจ้าแล้ว”

“นางเป็นมือสังหาร จะให้ใจเย็นได้อย่างไร” ซั่วเย่าตอบเสียงขุ่น

อู๋สียิ้มขันในใจเมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธแต่กลับยอมรับผ่านการแสดงออก ชายหนุ่มอยากจะเถียงเหลือเกินว่าเป็นมือสังหารแล้วอย่างไรเล่า คนของซั่วเย่าหนึ่งในสี่ก็เป็นมือสังหาร คลุกคลีกับพวกนี้มาตั้งนานมีหรือท่านขุนพลผู้เก่งกาจจะไม่รู้วิธีรับมืออย่างสงบไม่เอิกเกริก แสดงออกอย่างร้อนใจแบบนี้ต้องมีอะไรแน่

“เจ้ารู้ไหมว่าวันนี้เจ้าทำตัวเหมือนกับอะไร”

“อะไร?”

“คนอกหัก” อู๋สีตอบพลางกระตุกยิ้มที่มุมปาก “เจ้าพาลใส่นางราวกับเพิ่งถูกสลัดรัก สารภาพมาซะดีๆ ว่ามีความรักความหลังอะไรกับแม่นางชิงชิงกันแน่”

“เหลวไหล!” ซั่วเย่าเอ็ดก่อนจะผลักคนที่กระแซะเข้ามาใกล้เกินพอดีให้พ้นตัว

อู๋สีหัวเราะร่วน เขาลุกขึ้นปัดเนื้อปัดตัว พลางพูดยั่วว่าจะแอบย่องไปดูสักหน่อยว่ามือสังหารคนงามแผลงฤทธิ์แล้วหรือยัง

ซั่วเย่าทำเป็นหูทวนลมไม่สนใจ เขาอยากอยู่อย่างสงบสักพักเพื่อทบทวนการกระทำของตัวเอง ชายหนุ่มยอมรับในที่สุดว่าแสดงอาการฉุนเฉียวมากไป เมื่อพิจารณาดีๆ ก็พบว่าชื่อ ‘ชิงชิง’ ส่งผลกระทบต่อเขาอย่างรุนแรง พอได้ยินคำนี้อาการปวดแปลบก็แล่นเข้ามาในหัวใจ

‘เจ้าพาลใส่นางราวกับเพิ่งถูกสลัดรัก’ คำพูดของอู๋สีลอยเข้ามาในห้วงความคิด

ชายหนุ่มเผลอคล้อยตามแค่วูบเดียว แต่ใจกลับโหวง รู้สึกร้อนรนเหมือนทำสิ่งสำคัญหล่นหาย

“ไม่มีทางเป็นไปได้” ซั่วเย่าเร่งขับไล่ความคิดไร้สาระออกไป

เขากับนางเคยพบกันไม่กี่หน สองในสามแทบจะฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง ซั่วเย่าเคยถูกพิษของนางเล่นงานจนย่ำแย่ ไม่แปลกที่จะไม่ชอบหน้า ชายหนุ่มโทษว่าอารมณ์ปั่นป่วนที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความอ่อนล้า จึงเร่งกินอาหารที่เหลือให้หมด แล้วหลับตาพักสักครู่หนึ่งระหว่างรอให้แม่ทัพเรียกตัว


หนึ่งชั่วยามต่อมา ทุกคนก็มารวมตัวกันเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและวางแผนการรบอีกครั้ง เมื่อพูดคุยกันแล้วจินไท่ก็สรุปสถานการณ์ให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง

“ตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี่” ชายหนุ่มชี้นิ้วไปบนแผนที่ประกอบคำพูด “ทหารของอี้ป่ายบอกตรงกันว่าไม่มีใครทนอยู่ในป่านี่ได้เกินเจ็ดวัน ส่วนใหญ่จะขาดน้ำ ไม่ถูกพิษจนตาย ดังนั้นทัพศัตรูคงไม่เสี่ยงบุกเข้ามา แต่จะรอให้เราอดตายไม่ก็ออกมาเอง”

“แสดงว่าเราต้องตีฝ่าออกไปในสามวัน” อู๋ฮวนประเมินจากสภาพทหารและจำนวนน้ำดื่มที่เหลืออยู่

ในป่านี้มีแอ่งน้ำแต่ก็สกปรกและแห้งขอด น้ำจากลำต้นพืชก็ไม่สามารถดื่มกินได้ แม้ว่าองค์หญิงลี่จูจะมีอุปกรณ์ช่วยในการกรองน้ำและรู้จักวิธีกำจัดพิษ ก็ยังไม่สามารถหาน้ำได้เพียงพอต่อความต้องการในระยะยาว

“ถ้าจะออกไปควรไปตอนนี้เลย อย่าปล่อยให้ศัตรูมีโอกาสเตรียมการ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆ คือความปลอดภัยขององค์หญิง” ฟู่จูเปิดประเด็น

ตอนอยู่ในเมืองเป่าคง องค์หญิงลี่จูเปิดเผยฐานะก่อนสั่งเคลื่อนพล ไม่แน่ว่าทหารของจงเย่าอาจทราบข้อมูลส่วนนี้ ต่อให้แพ้สงครามก็ยังไม่ร้ายแรงเท่าพระธิดาของฮ่องเต้ตกเป็นตัวประกัน

“ข้าอยากให้เราฝ่าออกไปคืนนี้เลย แล้วทิ้งกำลังพลเอาไว้คุ้มกันองค์หญิงส่วนหนึ่ง รอจนพวกมันตายใจว่าไม่มีใครอยู่ในป่าแล้ว ค่อยเสด็จหนีไป”

คำแนะนำของฟู่จูถือว่าถูกต้องในฐานะเสนาธิการ ทว่ากลับไม่ตรงใจองค์หญิงโฉมงามแม้เพียงเสี้ยว

“เราตัดสินใจแล้วว่าจะร่วมเป็นร่วมตายกับพวกท่าน เราจะไม่หนีและขอสัญญาว่าจะไม่เป็นภาระเด็ดขาด”

องค์หญิงลี่จูเอ่ยอย่างหนักแน่นเสียจนเสนาธิการหนุ่มแทบจะลอบถอนใจ

“องค์หญิงโปรดมองความจริงด้วย” อู๋สีช่วยเกลี้ยกล่อมอีกแรง “ท่านเป็นดวงใจของท่านแม่ทัพ มีท่านอยู่แม่ทัพของเราคงห่วงหน้าพะวงหลัง ทำอะไรไม่ถูกแน่”

อู๋สีหลบเลี่ยงคำว่าขัดแข้งขัดขาได้อย่างสวยงามสมเป็นจอมกะล่อน แต่มีหรือคำพูดเพียงเท่านี้จะหยุดหน่อมได้

“เรื่องนี้เราคุยกับท่านแม่ทัพแล้ว ท่านแม่ทัพตกลงให้เราไปด้วย”

บรรดาลูกน้องพร้อมใจกันจ้องผู้บังคับบัญชาเป็นตาเดียว ต่อให้หลงเสน่ห์เจียนบ้า ก็ไม่น่าเสียสติขนาดพาองค์หญิงไปเสี่ยงอันตราย

จินไท่เข้าใจความสงสัยในแววตา จึงกระแอมออกมา ก่อนจะอธิบายเรื่องที่ได้ปรึกษากับองค์หญิงลี่จูก่อนหน้านี้

“ข้าเองก็คิดว่าความปลอดภัยขององค์หญิงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่สถานการณ์ในตอนนี้คาดเดาได้ยาก เราถูกต้อนให้จนมุมในป่าทึบ ยากที่จะรู้ความเป็นไปภายนอก ต่อให้ทุกคนเสี่ยงชีวิตออกไปเป็นตัวล่อ ก็ไม่มีอะไรมารับประกันว่าองค์หญิงจะกลับเมืองหลวงอย่างปลอดภัย ข้าจึงอยากให้ทุกคนลองฟังแผนการขององค์หญิงก่อน”

“เชิญองค์หญิงตรัสมาเถิด” ฟู่จูตอบรับ

เสนาธิการย่อมมีศักดิ์ศรีของเสนาธิการ การที่เขายอมรับฟังองค์หญิงที่ไม่น่าจะมีความรู้เรื่องการสงคราม นอกจากเป็นการให้เกียรติแล้วยังแสดงออกว่ายอมรับในตัวนาง ทำให้คนอื่นพลอยตั้งใจฟังด้วย

“แทนที่จะหนี เราอยากให้เคลื่อนพลผ่านป่าอาถรรพ์ไปชายแดนจงเย่าแทน จากนั้นเดินทางต่อไปอีกแปดสิบลี้เพื่อยึดที่นี่”

หน่อมปักธงสีแดงขนาดเล็กลงไปบนแผนที่ตรงป้อมปราการที่ชื่อเป๋ยหาน‘’

“แต่ทัพเรามีเพียงสองพัน ต่อให้ยึดได้ก็ไม่มีทางรักษาที่มั่นได้” อู๋ฮวนค้าน

แม้แต่เด็กไร้เดียงสายังรู้ว่าจงเย่าต้องส่งกำลังมายึดป้อมคืนในทันที

“ใช่...ลำพังกำลังพวกเราไม่ไหวแน่ แต่ถ้าใช้ยุทธวิธีตัดกำลังข้าศึก กับถ่วงเวลา ก็น่าจะพอยื้อได้จนกว่ากำลังเสริมจะมาถึง”

“กระหม่อมขอประทานอภัยที่ต้องแทรก” อู๋สีว่า “พวกเราถูกหาว่าเป็นกบฏ แล้วจะเอากำลังเสริมมาจากที่ไหน”

“ก่อนมาเราเขียนจดหมายเอาไว้ แล้วให้คนส่งไปให้พี่สาม บอกจะรอความช่วยเหลืออยู่ที่ป้อมเป๋ยหาน พี่สามต้องมาแน่ เราเชื่อว่าพี่สามจะไม่มีวันทอดทิ้งเรา”

“จุ้ยห้านอยู่ห่างจากที่นี่เป็นพันลี้ ไม่เพียงแต่ใช้เวลาเคลื่อนพลแรมเดือน ยังต้องรอราชโองการจากฮ่องเต้อีก จึงจะเคลื่อนทัพได้” อู๋สีอดแย้งไม่ได้

“พี่สามของเราเป็นคนฉลาด เราเชื่อว่าพี่สามย่อมมีวิธีย่นเวลา”

แม้จะเอ่ยด้วยความมั่นใจเพียงไร คนส่วนใหญ่ในที่นั้นก็ยังคิดว่าแผนการขององค์หญิงไร้เดียงสาและขาดการตรึกตรอง อู๋สีจึงข่มขวัญนางด้วยเรื่องสมมุติ

“หากเกิดเหตุสุดวิสัยจนองค์ชายสามเสด็จมาไม่ได้เล่า องค์หญิงจะทำเช่นไร เคยคิดถึงผลที่ตามมาหรือไม่”

องค์หญิงลี่จูเป็นที่รักของฮ่องเต้และไทเฮา ไม่ว่านางอยู่หรือตายล้วนส่งผลกระทบต่อผู้คนมหาศาล อู๋สีบอกให้รู้ว่าเจียงเฉียงอาจต้องเสียดินแดน หรือมีผู้คนล้มตายเรือนแสนหากองค์หญิงสิ้นพระชนม์ในต่างแคว้น

หน่อมโปรยยิ้มอย่างไม่สะท้านเมื่อได้ฟัง เขาเอ่ยเสียงนุ่มว่า

“เรามั่นใจในแผนการของเรา แต่หากถึงที่สุดแล้วมันไม่สำเร็จ เราจะใช้ชีวิตเราเพื่อเจรจา ท่านว่าเรามีค่ามิใช่หรือ ไพ่ตายต้องเก็บเอาไว้ใช้สุดท้ายจริงไหม”

ทุกคนในที่นั้นแทบจะครางฮือออกมาพร้อมกัน องค์หญิงใจกล้าบ้าบิ่นอย่างเหลือเชื่อ ที่แปลกคือแม่ทัพต่งกลับยอมรับความเสี่ยงนี้ ‘ทำไมกัน’

“นี่เป็นเพียงแผนการคร่าวๆ เท่านั้น” จินไท่ว่า “ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ทันทีที่ทะลุป่าไปได้ เราจะมีกำลังพลเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณเจ็ดร้อย”

“ทหารรับจ้างหรือฝ่ายใดกัน” ฟู่จูถาม

“โจรจากหุบเขาทมิฬ เราส่งคนจำนวนหนึ่งไปปราบหัวหน้าโจร แล้วโน้มน้าวให้คนพวกนี้มาช่วยรบ”

“เป็นไปไม่ได้ที่พวกมันจะยอมช่วย” อู๋ฮวนค้านอย่างหนัก

ชายหนุ่มมีทัศนคติที่ไม่ดีกับพวกเที่ยวปล้นฆ่า อีกทั้งยังไม่ไว้ใจในสันดานโจร

“แต่ข้ากลับคิดว่าเป็นตัวช่วยที่น่าสนใจ” ฟู่จูว่า

ความสามารถเฉพาะทางของพวกโจรจะทำให้การรบในที่มืดหรือซุ่มโจมตีสัมฤทธิ์ผลมากกว่าใช้ทหารธรรมดา อีกทั้งยังเชื่อว่าองค์หญิงลี่จูได้เตรียมแผนการใช้พวกโจรเอาไว้ในใจแล้ว

“ข้าก็ยังคิดว่ามันเสี่ยงเกินไปอยู่ดี ทำไมเราต้องไปยึดป้อม แล้วรักษามันไว้ด้วย หลอกให้คิดว่ายึดป้อมแล้วย้อนกลับเข้าเจียงเฉียงไม่ดีหรือ” อู๋ฮวนแนะ

“ถ้าทำอย่างนั้นพวกท่านจะถูกจับกุมและสังหารทันที โดยไม่มีโอกาสได้อธิบาย แต่ถ้าไปที่จงเย่ารอจนกว่าทัพของพี่สามจะมา พี่สามจะเป็นพยานให้เราได้ว่าพวกท่านต่อสู้กับฝ่ายศัตรู”

“องค์หญิงหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ไม่มีทางที่พวกเราจะถูกประหารโดยไม่มีการไต่สวน” อู๋อี้คิดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเลวร้ายได้ขนาดนั้น

“ฮ่องเต้ไม่ได้อยู่ที่นี่ หากมีคนกราบทูลว่าพวกท่านขัดขืนการจับกุมจึงต้องสังหาร พระองค์ก็ต้องทรงเชื่อตามนั้น” ฟู่จูที่เริ่มเข้าใจแผนการบอกใบ้ให้

ทว่าอู๋สียังทำหน้างง เสนาธิการหนุ่มจึงอธิบายต่อว่า

“หากรองแม่ทัพทรยศพวกเราจริง พวกเจ้าคิดว่าเขาจะปล่อยเราเอาไว้รึไง อีกอย่างเรื่องนี้ไม่ธรรมดา ลำพังรองแม่ทัพเองจะคิดการอุกอาจเช่นนี้ได้อย่างไร ลองตรองดูเถอะแล้วท่านจะเห็นว่าผู้ใดเป็นตัวบงการ”

“ขุนนางของอี้ป่ายกับรองแม่ทัพสมคบกัน!” อู๋ถงอุทานเมื่อจับประเด็นได้

“ช้าก่อน...ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” อู๋อี้เกาศีรษะอย่างสับสน “อี้ป่ายยอมอยู่ใต้การปกครองของเจียงเฉียงเพราะต้องการการคุ้มครองจากแคว้นป่าเถื่อนอย่างจงเย่ามิใช่หรือ ทำแบบนี้ไม่เท่ากับเอาดินแดนไปประเคนให้ศัตรูหรือไร”

“นั่นก็ถูกต้อง แต่คนเราเมื่อถูกปกครองนานๆ ก็ย่อมอยากมีอิสระ ที่สำคัญหากจัดการก้างขวางคอชิ้นใหญ่ไปได้ อี้ป่ายก็จะได้บางสิ่งที่ล้ำค่ากว่าไปแทน เรื่องดินแดนเป็นของไม่แน่นอน จะยึดคืนเมื่อไรก็ได้ถ้ามีกำลังความสามารถพอ” ฟู่จูใบ้ให้อีกด้วยการพยักพเยิดให้มองไปฝั่งตรงข้าม

“ท่านแม่ทัพ...องค์หญิง?” อู๋อี้ทำหน้างงอยู่อึดใจ แต่สุดท้ายก็เข้าใจ “ถ้าท่านแม่ทัพเป็นกบฏ องค์หญิงก็จะต้องแต่งงานกับองค์ชายเหอเสี่ยงของอี้ป่ายแทน โอ้...ตายละ อะไรมันจะล้ำลึกปานนี้”

“ถูกต้อง นี่ละเหตุผลที่เราต้องไปยึดป้อมของศัตรูแทน” ฟู่จูปรบมือให้คนหัวช้า

“องค์หญิงช่างหลักแหลมยิ่งนัก ขออภัยที่กระหม่อมล่วงเกิน”

อู๋สีรีบคุกเข่าคำนับให้ ขุนพลคนอื่นๆ ก็เช่นกัน พวกเขารู้สึกเสียมารยาทเป็นอย่างยิ่งที่เอ่ยขัดหลายครั้ง ขณะที่องค์หญิงกำลังอธิบายแผนการของนาง

“ลุกขึ้นเถิด อย่าทำเช่นนี้เลย พวกท่านจงรักภักดี ห่วงความปลอดภัยเราเป็นสำคัญ เราจะตำหนิได้อย่างไร”

องค์หญิงลี่จูเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน สีหน้าของนางประดุจแม่พระผู้อารี สร้างความซาบซึ้งให้ขุนพลทั้งสี่เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อทุกคนเข้าใจที่มาที่ไปของแผนการทั้งหมดแล้ว ก็ได้เวลาอธิบายรายละเอียดปลีกย่อยของแผนการให้ฟัง คืนนั้นทุกคนประชุมกันจนดึกดื่น เหล่าขุนพลและเสนาธิการต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่าแผนการขององค์หญิงนั้นร้ายกาจ ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าความงามของนางเลย

- โปรดติดตามตอนต่อไป -

สุขสันต์วันคริสต์มาสค่า ขออภัยที่มาช้านะคะ โน้มน้าวหลงวันอีกแล้ว T^T ช่วงนี้งานเร่ง เลยเบลอๆ เอ๋อๆ ค่ะ ขอบคุณที่ช่วยเตือนในหน้าเพจนะคะ

เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไปพบกันใหม่ในตอนหน้านะจ๊ะจุ๊บๆ




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ธ.ค. 2558, 12:35:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ธ.ค. 2558, 12:35:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 991





<< สู่สมรภูมิ : บทที่ ๕ พบกันอีกครั้ง   สู่สมรภูมิ : บทที่ ๗ ยึดหอสังเกตการณ์ (ตอนที่ 8-25 พบกันในเล่ม4 นะคะ) >>
Zephyr 26 ธ.ค. 2558, 23:47:21 น.
อุ้บบบบบ หน่อมมาแบบแบ๊วโหดอ่า
สงสารเจ้กะซั่วเย่าจริงๆ
เฮ้ออ อุปสรรคนานา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account