ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: สู่สมรภูมิ : บทที่ ๗ ยึดหอสังเกตการณ์ (ตอนที่ 8-25 พบกันในเล่ม4 นะคะ)

สู่สมรภูมิ : บทที่ ๗ ยึดหอสังเกตการณ์

จากอี้ป่ายตัดผ่านป่าอาถรรพ์ทะลุไปยังจงเย่าใช้เวลาเดินเท้าประมาณหกวันจึงจะถึงที่หมาย แต่วันนี้ย่างเข้าวันที่เจ็ดแล้วก็ยังไม่พ้นจากเขตป่า สาเหตุที่ล่าช้าทั้งที่ผืนป่าไม่ได้กว้างใหญ่เพราะองค์หญิงลี่จูยืนกรานให้นำทุกอย่างที่นางตระเตรียมมาไปด้วย

ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะขนย้ายข้าวของจำนวนมากเดินทางไปในป่าทึบ จากเกวียนขนาดใหญ่ก็ต้องเปลี่ยนมาใช้รถเข็น และแบ่งสัมภาระให้ทหารช่วยกันแบก นอกจากนี้ยังกำหนดเวลาเดินทางตายตัวคือ เริ่มเคลื่อนพลตอนสามยามเช้าและหยุดพักตั้งค่ายพักก่อนสามยามบ่าย การล่าสัตว์เพื่อเป็นอาหาร อนุญาตให้สังหารสัตว์ใหญ่ได้เพียงห้าตัวต่อวัน เหตุผลคือที่นี่เป็นป่าอาถรรพ์ ย่อมมีกฎของมันอยู่ แม้หน่อมจะไม่ได้อธิบายว่าเขาทำข้อตกลงกับจิตวิญญาณแห่งป่าเอาไว้ ทุกคนก็ตระหนักดีว่าต้องปฏิบัติตาม

บรรยากาศอับทึบขมุกขมัวของผืนป่าทำลายขวัญเหล่าทหารไม่น้อย ยิ่งเป็นทหารของอี้ป่ายก็ยิ่งหลงงมงายว่าที่นี่เป็นป่ากินคน คนอื่นจึงพลอยหวาดระแวงไปด้วย ความระมัดระวังถือเป็นเรื่องดี แต่ถ้ามากไปก็นำภัยมาสู่ ทหารเพียงคนเดียวเห็นภาพหลอน อาจทำให้คนอื่นตื่นตระหนกวิ่งหนีจนพลัดหลงได้

จินไท่ไม่ต้องการเสียกำลังพลไปแม้แต่คนเดียว จึงกำชับให้อู๋ฮวนกับอู๋สีคอยดูแลเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ส่วนฟู่จูกับอู๋ถงให้ไปทำความคุ้นเคยและทดสอบฝีมือของเหล่าทหารรับจ้าง เพื่อให้สามารถกะเกณฑ์ได้ว่าควรใช้ใครทำอะไรเมื่อใด รวมถึงหาทางให้เกิดความรู้สึกร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อให้ป้องกันปัญหาที่มักเกิดในกองกำลังผสม ส่วนอู๋อี้ให้ทำหน้าที่เป็นองครักษ์คอยดูแลเรื่องความปลอดภัยขององค์หญิงลี่จู ชายหนุ่มเต็มใจเสียยิ่งกว่าเต็มใจ เพราะงานในหน้าที่นี้เปิดโอกาสให้เขาได้ใกล้ชิดแม่นางชิงชิงคนงามมากยิ่งขึ้น

ทางด้านซั่วเย่า จินไท่ยังไม่ได้มอบหมายหน้าที่ใดๆ ให้ เพื่อจะได้มีเวลาเตรียมหน่วยเสื้อคลุมดำให้พร้อมบุกจู่โจมหอสังเกตการณ์ทันทีเมื่อออกนอกเขตป่า ป้องกันไม่ให้มีการส่งข่าวไปขอกำลังเสริม หน่วยเสื้อคลุมดำรู้หน้าที่และเตรียมพร้อมอยู่ตลอดแล้ว ขุนพลหนุ่มจึงมีเวลาว่างมากพอมาช่วยคุ้มกันองค์หญิงด้วยอีกแรง แน่นอนว่างานนี้ย่อมมีผีเสื้อโลหิตเป็นเป้าหมาย

วันที่ประชุมแผนการรบ เขาได้เปิดโปงตัวจริงของหญิงสาวต่อหน้าองค์หญิง แต่องค์หญิงกลับยิ้มละไมบอกว่าแม้จะมีหลายนามแต่นางไว้ใจได้

‘นางไม่มีวันทำร้ายเราอย่างเด็ดขาด ตัวท่านน่าจะเข้าใจดีที่สุดไม่ใช่หรือ ว่าบางทีคนเราก็ต้องมีหลายนาม ทั้งเพื่อหน้าที่และตัดอดีต’

เมื่อองค์หญิงตัดสินพระทัยที่จะเชื่อใจนาง ซั่วเย่าก็ไม่สามารถทัดทานได้ จึงพยายามจับตาดูผีเสื้อโลหิตไม่ให้คลาดสายตาแทน

หลายวันมานี้นางทำตัวเป็นปกติ มีมองมาบ้างเป็นครั้งคราว พอเห็นว่าเขารู้ตัวนางก็จะหลบตาทันที แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้มองอยู่ หญิงสาวทำเหมือนมีความในใจที่ไม่กล้าเอ่ย แต่อย่าได้หวังเลยว่าซั่วเย่าจะถาม เขาไม่โง่พอจะติดกับแผนตื้นๆ

ชายหนุ่มหงุดหงิดยิ่งนักเมื่อเห็นเพื่อนขุนพลหลงใหลได้ปลื้มนางอสรพิษ อู๋อี้มองไม่ออกหรืออย่างไรว่าความงามของนางเคลือบพิษร้ายเอาไว้ ดูเถิดหน้าที่รับใช้ทั่วไปเป็นของพลทหารชั้นเลว ตัวเป็นถึงขุนพลกลับไปเอาอกเอาใจทำให้สารพัด เขาตักเตือนก็ไม่ยอมรับฟัง อ้างไปว่าเป็นหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย แม่ทัพสั่งให้คุ้มกันองค์หญิง ส่วนองค์หญิงก็สั่งให้ช่วยดูแลแม่นางชิงชิงอีกต่อหนึ่ง

“ถึงไม่เป็นหน้าที่เจ้าก็ยังเต็มใจทำกระมัง” ซั่วเย่าประชด แต่กลายเป็นเข้าทางอู๋อี้เสียอย่างนั้น

“ใช่...ข้าเต็มใจ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วยเล่า”

คนถูกตอกหน้ามองตาขวาง ซั่วเย่ากอดอกแล้วกระแทกเท้าเดินจากไป ผ่านไปสักอึดใจหนึ่งก็ยังสู้อุตส่าห์เดินย้อนกลับมาแอบมองสองหนุ่มสาว

อู๋สีที่บังเอิญเห็นพฤติกรรมทั้งหมดหัวเราะลั่น เขาไม่เคยเห็นซั่วเย่าเป็นอย่างนี้มาก่อน ที่หยอกไปว่าถูกหักอกเขาพูดไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น แต่ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าแม่นางชิงชิงกับซั่วเย่า ต้องมีความรักความหลังกันมากกว่าที่เจ้าตัวแง้มปากบอก

ชายหนุ่มปักใจเช่นนั้นไม่ใช่เพราะวิเคราะห์จากท่าทีของเพื่อนเพียงอย่างเดียว เขาสังเกตหญิงสาวประกอบการตัดสินใจด้วย แววตาของแม่นางชิงชิงยามมองซั่วเย่าเต็มไปด้วยความเสน่หา ทว่าในความหวานกลับคละเคล้าไปด้วยความเจ็บปวด

“น่าสงสารเจ้าอู๋อี้ ไม่ทันได้สารภาพรักก็อกหักเสียแล้ว” ขุนพลหนุ่มพึมพำ


ในขณะที่กลุ่มของหน่อมกับแม่ทัพต่งกำลังเร่งเดินทาง แว่นพร้อมด้วยพวกกองโจรซือเหมี่ยวก็ได้ใกล้ถึงจุดนัดหมายเช่นกัน

ตอนอยู่หุบเขาทมิฬโบ้ปราบหัวหน้าโจรได้โดยใช้เวลาไม่กี่ชั่วยาม ถ้าออกเดินทางทันทีจะมาถึงก่อนกำหนดที่หน่อมคำนวณไว้หลายวัน แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามนิมิตของหน่อม แม้หัวหน้าโจรจะสิ้นชื่อพ่ายโบ้ไปอย่างไม่เป็นท่า แต่ก็ใช่ว่าโจรทุกคนจะยอมศิโรราบ ต้องให้โบ้ออกแรงซัดพวกกล้ามใหญ่ไร้สมองไปหลายสิบคน กว่าพวกมันจะคิดได้ว่าไม่ควรต่อกรกับโบ้

ผ่านไปวันครึ่งโบ้ก็ได้รับการยอมรับให้เป็นหัวหน้าอย่างเต็มภาคภูมิ ตอนนี้เองที่ปัญหาใหม่ตามมา พวกโจรพร้อมใจกันถามโบ้ด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ว่า

“เราจะไปปล้นที่ไหนกันดีหัวหน้า”

“ไม่...ต่อไปนี้พวกเราจะไม่ปล้น แต่จะไปรบ” โบ้เอ่ยอย่างชัดเจน

แว่นเตรียมบทเอาไว้ให้เพื่อนเป็นอย่างดี โดยให้โน้มน้าวพวกโจรว่าเข้าใจดีว่าทุกคนไม่ได้อยากเข่นฆ่าใคร ปล้นชิงทรัพย์ทุกครั้ง ที่ต้องทำก็เพื่อต้องการอยู่รอด มาถึงคราวนี้มีโอกาสทำดีไถ่ถอนความผิดจากฟ้าลงมา ก็สมควรแทนคุณแผ่นดินเกิดด้วยการขับไล่ข้าศึกออกไป

โบ้พูดปลุกใจได้ดีตามบทไม่มีผิดเพี้ยน อนิจจาแว่นประเมินจิตใจคนพลาดไป ขึ้นชื่อว่าโจรก็ยังมีสันดานโจรวันยังค่ำ ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีสำนึกผิดบาปเลยไม่อินกับคำพูดของโบ้

“พวกเราไม่ได้ปล้นเพราะไม่มีทางเลือกสักหน่อย พวกเราปล้นเพราะอยากปล้นต่างหาก”

เจอย้อนเข้าไปอย่างนี้คนฟังถึงกับอึ้ง โบ้หันขวับมาทางแว่นเพื่อขอความช่วยเหลือ ไม่ทันได้รับคำแนะนำ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นว่า

“หัวหน้าซือเหมี่ยวพูดเอาไว้ว่าจะทำให้พวกเราเป็นกองโจรที่ยิ่งใหญ่ชนิดที่โลกต้องจารึก ถ้าหัวหน้าใหม่ไม่คิดจะให้เราใช้วิถีเยี่ยงโจร พวกเราก็ไม่ขอติดตาม”

“ใช่ๆ พวกเรากองโจรซือเหมี่ยวไม่ขอติดตามคนดี” เสียงรับคำในทำนองคล้อยตามดังอื้ออึง

คลั่งตัวร้าย แถมยังไม่ค่อยฉลาดแบบนี้ชัดเลยว่าไม่ใช่โจรธรรมดา

‘มินเนียน…นี่มันมินเนียนชัดๆ’ แว่นอดนึกถึงเจ้าตัวสีเหลืองใส่เอี๊ยมในการ์ตูนไม่ได้

หากปล่อยไว้นานสถานการณ์จะยิ่งแย่ แว่นจึงปีนก้อนหินขนาดใหญ่ที่โบ้ใช้ต่างเวทีขึ้นไปยืนข้างกัน

“พวกเจ้านี่มันโง่จริงๆ คำพูดแค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ หัวหน้าสั่งให้พวกเจ้ากลับตัวกลับใจเสียที่ไหน” แว่นพูดเสียงดัง

“พวกข้าไม่ได้โง่สักหน่อย ก็ได้ยินกันอยู่ว่าหัวหน้าจะให้เราไปช่วยรบ” โจรที่อยู่ด้านหน้าว่า

“ข้าถึงบอกว่าพวกเจ้าโง่ไง” แว่นใช้น้ำเสียงดูแคลนอย่างจงใจยั่วโทสะ

พวกโจรเอะอะโวยวายด่าทอแว่นตามคาด โบ้ก็เลยตะโกนเสียงดังสั่งให้เงียบ

“หุบปากเดี๋ยวนี้! ใครกล้าล่วงเกินเพื่อนข้า ข้าจะไม่มีวันอภัยให้”

ได้ผลพอสมควร คนส่วนใหญ่พร้อมใจกันเงียบ แต่ก็ยังมีพวกปากไวกว่าความคิดแสดงอาการไม่พอใจ

“หัวหน้าจะด่าพวกเราก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ให้คนนอกมาตำหนิมันหมิ่นเกียรติกันเกินไป”

“ถ้าอย่างนั้นข้าจะแต่งตั้งให้นางเป็นหัวหน้าด้วย” โบ้ที่ปากไวพอกันว่า

พวกโจรที่ถูกหัวหน้าสมองน้อยแต่กำลังเยอะปกครองมาหลายปีมีหรือจะยอมรับ พวกมันเรียกร้องให้แว่นแสดงฝีมือให้เห็น บางคนถึงกับท้าให้ลงมาสู้ด้วย

“ความสามารถของข้าไม่ใช่พละกำลังแต่เป็นสติปัญญา จะทำการใหญ่ก็ต้องมีที่ปรึกษา ถ้าพวกเจ้าอยากมีชื่อเสียงโด่งดังก็ต้องฟังคำแนะนำข้า”

แว่นเห็นคนฟังยังงงๆ จึงเปรียบเทียบกับระบบทหารเพื่อให้เห็นภาพ เขาว่าแม่ทัพที่เก่งกาจยังต้องมีเสนาธิการ แล้วทำไมมหาโจรจะพึ่งที่ปรึกษาไม่ได้ แว่นประกาศต่อว่าจะแสดงความสามารถให้เห็น เขาเลือกโจรที่ดูอ่อนแอมาคู่หนึ่ง เพื่อประลองกับคนที่มีพละกำลังเหนือกว่า โดยให้ทำการแข่งขันตามที่แว่นกำหนด และให้คนที่อ่อนแอทำตามคำแนะนำของแว่น

แค่ให้แว่นกำหนดการแข่งขันเองมันก็ไม่ยุติธรรมแล้ว แต่พวกโจรทั้งหลายกลับไม่เฉลียวใจเลย เรื่องจึงเข้าทางแว่นแบบไม่ต้องเหนื่อยแรง เขาให้ทั้งสองทีมแข่งกันขนหินขึ้นมาบนหน้าผา กำหนดเวลาสองชั่วยาม ใครทำได้มากที่สุดถือว่าชนะ คู่ที่แข็งแรงยกหินคนละก้อนแล้ววิ่งกันหน้าตั้ง แต่คู่ที่อ่อนแอช่วยกันทำรอกรับส่งของอย่างง่ายตามคำสั่งแว่น ช่วงที่ทำรอกอาจจะเสียเวลาไปบ้าง แต่ไม่นานจำนวนหินก็นำหน้าทีมที่แข็งแรงกำยำกว่า

เมื่อหมดเวลาการแข่งขัน คู่ที่อ่อนแอก็ได้รับชนะอย่างงดงาม แน่นอนว่ามีคนเถียงว่าคนชนะโกง ซึ่งนั่นก็เข้าทางแว่นอีกเช่นกัน

“ถูกต้อง นี่คือการโกง เกิดเป็นโจรแล้วต้องหัดใช้กลโกงให้เป็น เชื่อมือข้าเถอะ นางอสรพิษผู้นี้จะสอนให้พวกเจ้าเป็นมหาโจรโคตรโกงเอง”

คำประกาศของแว่นสร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก ทุกคนยอมรับให้เขาเป็นหัวหน้าอีกคนโดยไม่ต่อต้าน และเพื่อไม่ให้สับสนในการเรียก ทุกคนจึงเรียกโบ้ว่า ‘หัวหน้าขวา’ และเรียกว่าแว่น ‘หัวหน้าซ้าย’

ระหว่างที่กำลังเฮกันใครคนหนึ่งก็ยกมือถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ แว่นเห็นเข้าพอดีจึงอนุญาตให้พูด

“ท่านหัวหน้าซ้ายโปรดอย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ข้องใจความสามารถของท่านแม้แต่น้อย เพียงแค่สงสัยว่าการไปช่วยทางการรบมันจะทำให้เราชื่อกระฉ่อนได้ยังไง”

“เป็นคำถามที่ดี ข้ากำลังจะอธิบายอยู่เชียว” แว่นรีบพูดก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์ตีความกันมั่วซั่ว “หัวหน้าขวาบอกให้พวกเจ้าไปช่วยทางการรบก็จริง แต่ก็แกล้งทำเท่านั้น เป้าหมายของเราคือการปล้นทัพจงเย่า แผ่นดินนี้จะมีโจรที่ไหนขวัญกล้าต่อกรกับทางการ ยิ่งสู้กับทัพข้าศึกยิ่งไม่มี ถ้าเราทำสำเร็จ ไม่เพียงแต่จะได้อาวุธกับของมีค่ากลับมา ชื่อเสียงของกองโจรซือเหมี่ยวจะยิ่งโด่งดัง”

พวกโจรเฮกันลั่น มีคนหนึ่งตะโกนอย่างชอบใจว่า

“ขนาดข้าเป็นคนจงเย่ายังชอบความคิดนี้เลย หัวหน้าซ้ายของเราโฉดชั่วจริงๆ”

แว่นไม่ดีใจกับคำชมเลยสักนิดเดียว ยิ่งเห็นไอคิวกับตรรกะของพวกมันก็ยิ่งหลอน กลัวว่าแก๊งโจรมินเนียนจะพาหัวหน้าไปตายเรียบอย่างในการ์ตูน


แม้จะหวั่นใจปานใด แว่นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการใช้งานพวกโจร เพื่อให้ภารกิจลุล่วงเขาจึงแบ่งกองโจรออกเป็นกลุ่มย่อย คัดที่มีพละกำลังแข็งแรงให้เป็นหัวหน้า ส่วนที่ดูมีเค้าว่าฉลาดหน่อยให้เป็นที่ปรึกษาประจำกลุ่ม เอาไว้ถ่ายทอดคำสั่งและให้คำแนะนำพรรคพวก รวมถึงคอยเป็นหูเป็นตารายงานว่ามีใครเอาใจออกห่างหรือคิดไม่ซื่อบ้าง

แว่นมอบสินน้ำใจให้เหล่าที่ปรึกษาในทันที และเพื่อความไม่ประมาทเขาได้เรียกหัวหน้ากลุ่มมาแล้วมอบของให้เช่นกัน เมื่อต่างฝ่ายต่างจับตาดูกันและกัน การปลุกระดมขับไล่หัวหน้าคนใหม่ก็ยากขึ้น

เมื่อเตรียมคนแล้วก็ต้องเตรียมของ ซ่องโจรแห่งนี้มีอาวุธกับดินปืนจำนวนมหาศาล สอบถามดูจึงรู้ว่าหัวหน้าคนเก่ามีคำสั่งให้นำมาเก็บเอาไว้ เพื่อใช้ทำการใหญ่ แต่จะการใหญ่แบบไหนนั้นยังคิดไม่ออก

ดินปืนเป็นของเล่นที่น่าสนใจในสงคราม แต่แว่นไม่คิดจะขนมันไปให้เปลืองแรง ด้วยสติปัญญาของแก๊งโจรมินเนียนเป็นไปได้ว่าอาจจะมีการระเบิดตูมตามกลางทาง แว่นเลยมุ่งความสนใจไปที่ยาพิษกับน้ำมันแทน โลกนี้ไม่มีน้ำมันก๊าดจึงต้องใช้น้ำมันจากไขมันสัตว์และพืชมาเป็นเชื้อเพลิงในการให้แสงสว่าง

แว่นไม่ผิดหวังเลยเมื่ออดีตหัวหน้าบ้าเก็บมีน้ำมันสะสมเอาไว้เป็นตันๆ ปริมาณขนาดนี้เผาเมืองทั้งเมืองได้สบาย แว่นจึงสั่งให้พวกโจรขนไปเท่าที่ขนได้ จากนั้นจึงค่อยออกเดินทาง

จากหุบเขาทมิฬไปยังจงเย่าสามารถไปได้ทั้งทางบกและทางน้ำ แต่การเดินทางทางบกจะสะดวกรวดเร็วกว่า น่าเสียดายที่ด่านบริเวณชายแดนถูกปิด ถ้าจะขนคนกับข้าวของจำนวนมากไปมีแต่จะต้องอ้อม ไม่เพียงล่าช้ายังเสี่ยงต่อการเจอทัพข้าศึกด้วย แว่นจึงต้องเปลี่ยนแผนไปทางเรือแทน โดยจะสวมรอยเป็นพวกขนของหนีภาษี แล้วลักลอบขึ้นฝั่งที่จงเย่าในตอนกลางคืน

คนนำทางสนับสนุนความคิดของแว่น เขาว่าขณะนี้มีสงคราม กำลังทหารไม่พอเฝ้าชายฝั่ง ต่อให้ถูกจับได้แค่ยอมจ่ายเงินใต้โต๊ะก็หมดปัญหาแล้ว

แว่นให้คนเร่งไปหาเช่าเรือ นับเป็นโชคดีที่ไต้ก๋งกับพวกลูกเรือที่เคยเดินทางด้วยกันยังพักผ่อนอยู่ที่ท่า จึงได้ใช้บริการของคนคุ้นเคย รวมถึงได้ใช้เส้นสายของไต้ก๋งหาเรือมาให้เพียงพอกับจำนวนคน

เมื่อเรือออกสู่ทะเลแว่นก็ได้ตระหนักว่านี่เป็นครั้งแรกที่ตนมีโอกาสเห็นทะเลของโลกใบนี้ ซึ่งก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่วาดฝัน น้ำทะเลไม่ได้เป็นสีฟ้าครามสดใส แต่เป็นสีเทาที่ชวนให้รู้สึกหดหู่ ชายฝั่งมีหินโสโครกประปราย ไม่ใคร่จะน่ามอง ความตื่นเต้นยินดีที่ได้เห็นทะเลจึงเบาบาง

การเดินทางขึ้นฝั่งตลอดจนขนย้ายสัมภาระเป็นไปอย่างราบรื่นเกินคาด เรื่องเดียวที่ทำให้ปวดหัวคือพวกลูกสมุนโจรทั้งหลายขยันประกาศศักดากันเหลือเกินว่าพวกข้าเป็นโจรผู้ยิ่งใหญ่ ไล่ขู่ชาวบ้านไปทั่ว จนต้องให้โบ้ใช้กำลังปรับทัศนคติ ตบเรียกสติกับซัดให้หายโง่ไปสักสองสามหมัด พวกมันก็สงบเสงี่ยมขึ้นมาก

แว่นสอบถามคนนำทางเป็นระยะว่าถึงจุดไหนแล้ว เพื่อทดสอบความแม่นยำของแผ่นที่ ส่วนใหญ่สภาพภูมิประเทศตรงตามรายละเอียด พอใกล้ถึงที่หมายแล้วแว่นจึงสั่งให้พัก

“อีกไม่ถึงสิบลี้ก็จะถึงจุดนัดพบแล้ว ไปตั้งค่ายตรงชายป่าไม่ดีกว่าหรือนายน้อย” คนนำทางท้วง

“ถ้าเราไปอยู่ตรงนั้นคนที่หอสังเกตการณ์ก็ต้องเห็น แล้วแจ้งข่าวให้ศัตรูรู้” แว่นบอก

“แต่มันไม่มีทางอ้อมไปแล้วนะนายน้อย ถ้าจะไปที่ป่าอาถรรพ์ก็มีแต่ต้องไปทางหอสังเกตการณ์เท่านั้น”

“ข้ามีวิธีจัดการ ไม่ต้องเป็นห่วง” แว่นยิ้มอย่างมีแผนการ

จงเย่ามีหอสังเกตการณ์อยู่รอบชายแดนเอาไว้แจ้งเตือนเหตุร้าย จุดที่พวกแว่นจำเป็นต้องผ่านกับบริเวณป่าอาถรรพ์ สามารถสังเกตการณ์จากระยะไกลได้จากหอสองแห่ง เพื่อไม่ให้ศัตรูทราบเรื่องการบุกล่วงหน้า แว่นกับหน่อมจึงแบ่งหน้าที่กัน หอที่อยู่ห่างไปทางตะวันออกอยู่ในความรับผิดชอบของหน่อม ส่วนที่เป็นทางผ่านไปยังป่าอาถรรพ์แว่นรับจัดการเอง

ขณะนี้กลุ่มของเขามีลักษณะเป็นกองกำลังไร้สังกัด ไม่มีป้ายหรือธงแสดงตัวตน หากไม่ก่อความเดือดร้อนก็คงไม่ได้รับการใส่ใจ แต่สถานการณ์ชายแดนตึงเครียด ถ้าไม่ถอยไปเมื่อหอสังเกตการณ์ส่งสัญญาณเตือน ก็จะมีการส่งทหารมาจัดการ

ก่อนแยกกันหน่อมกำชับหนักหนาว่าก่อนจะรวมตัวให้ทำทุกอย่างให้เงียบที่สุด อย่าให้ศัตรูรู้ตัว แว่นเลยต้องปรับเปลี่ยนแผนให้เข้ากับสถานการณ์

เขาเรียกลูกสมุนที่พูดสำเนียงอย่างคนจงเย่ามาจำนวนหนึ่ง ให้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ โกนหนวดเคราเพื่อให้ดูเป็นผู้เป็นคนขึ้น เพื่อรับบทพ่อค้าที่ถูกโจรไล่ล่า

“ถ้าเจ้าทำเป็นหนีโจร พวกที่หอสังเกตการณ์ก็จะเปิดประตูต้อนรับ จากนั้นก็จัดการวางยาพวกมันแล้วยึดหอสังเกตการณ์ซะ”

“น่าสนุกจัง ขอข้าไปด้วยคนสิ” โบ้ขันอาสา

“ไม่ได้ เจ้าต้องอยู่ดูแลกำลังพลที่นี่” แว่นเอ่ยเสียงเฉียบ

“แต่ถ้ามีผู้หญิงไปด้วย เขาก็จะเปิดประตูให้ง่ายขึ้นไม่ใช่เหรอ” โบ้อ้างอย่างมั่วๆ แต่ดันเข้าทีเสียอย่างนั้น

“จริงด้วยสิ แผนนี้ไม่เลว” แว่นคล้อยตาม

“ใช่ไหมละ เรื่องนี้วางใจคนสวยได้เลย”

โบ้คิดว่าตัวเองต้องได้งานนี้แน่ ที่ไหนได้แว่นกลับหันไปขอให้ไป๋อวี้ช่วยปลอมตัวเป็นผู้หญิง

หยกน้อยแอบตามพี่สาวเข้าวัง แต่งหญิงอยู่ในตำหนักองค์ชายหกระยะใหญ่รับประกันว่าหลอกใครต่อใครได้อย่างแนบเนียน แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักที่แว่นเลือกเขา แว่นขอให้ไป๋อวี้ช่วยเพราะต้องการข้อมูลสัญญาณธง

หอสังเกตการณ์โดยทั่วไปจะมีเวลาชักธงขึ้นสู่ยอดเสารวมถึงเวลาปลดธง ถ้าถึงเวลาแล้วธงไม่ขึ้นแสดงว่ามีเหตุร้าย นอกจากนี้ธงสีต่างๆ ยังมีความหมายของมันอยู่ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง แว่นเลยย้ำให้เลือกทหารมาสักสองสามคน หาที่ดูขี้ขลาดหน่อยแล้วแยกขัง จากนั้นให้บอกความหมายของสัญญาณธงมา ถ้าตรงกันแสดงว่าถูกต้อง

เมื่อตกลงซักซ้อมแผนการเรียบร้อยแล้ว โจรในคราบพ่อค้ากับหนุ่มรูปงามในคราบสาวน้อย ก็ออกปฏิบัติการทันที ไป๋อวี้แสดงบทหนีตายจากโจรเถื่อนได้อย่างสมจริง เขาดัดเสียงร้องอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ จนทหารที่หอสังเกตการณ์ยอมเปิดประตูรับ อีกทั้งยังช่วยยิงธนูขับไล่พวกโจรที่ไล่ตามมาด้วย

ผลจากการแต่งหญิง ฝึกจริตจะก้านมารยาขณะอยู่ในวัง ส่งผลดีเอาตอนนี้ เพียงแค่ชม้ายชายตา ก็มัดใจเหล่าทหารได้อยู่หมัด ไป๋อวี้สบโอกาสจึงแสร้งทำเป็นสำนึกบุญคุณ อยากตอบแทนน้ำใจที่ช่วยเหลือ

“พวกเราเดินทางอย่างรีบร้อน มีติดตัวมาแค่เสบียงอาหาร ถ้าพวกท่านไม่ว่าอะไรขอให้ข้าได้ทำอาหารให้พวกท่านได้รับประทานได้หรือไม่”

ได้ฟังแม่นางคนงามเอ่ยเช่นนี้มีหรือบรรดาทหารหนุ่มจะปฏิเสธ พวกเขาอนุญาตให้นางใช้ลานหุงต้มอย่างเต็มใจ โดยไม่ระแวงเลยว่าภัยกำลังมาถึงตัว

“พวกท่านมีกันกี่คนหรือข้าจะได้กะหุงข้าวให้พอกิน” ไป๋อวี้แกล้งถาม

“พวกเรามีทั้งหมดเจ็ดคน”

ทันทีที่ได้คำตอบ พวกโจรที่มาด้วยกันก็แยกย้ายกันไปประกบทหารตามแผนการที่วางเอาไว้ เมื่อสบโอกาสก็จับเป้าหมายมัด พาตัวไปซ่อนเงียบๆ แล้วปล่อยให้พวกที่เหลือเป็นเหยื่ออาหารพิษ

ไป๋อวี้มองแผนการที่กำลังดำเนินไปได้ด้วยดีอย่างรู้สึกผิด เขาไม่อยากหลอกลวงผู้ที่มีน้ำใจต่อตน แต่วิธีนี้ย่อมดีกว่าเข้าปะทะซึ่งหน้า หากมีการต่อสู้เกิดขึ้นทหารทุกคนที่นี่จะตายหมด

ชายหนุ่มลอบถอนใจเมื่อต้องเข้ามาพัวพันในสงครามอันน่าชัง เขาไม่ต้องการทำร้ายใคร แต่ตราบใดที่ไป๋หลินยังยืนกรานจะต่อสู้เคียงข้างสหาย เขาก็ไม่อาจทอดทิ้งนางได้

- โปรดติดตามตอนต่อไป -




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ธ.ค. 2558, 00:17:55 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 เม.ย. 2559, 18:50:43 น.

จำนวนการเข้าชม : 1112





<< สู่สมรภูมิ : บทที่ ๖ ไม่ไว้ใจ   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑ สุวรรณมาลี >>
Zephyr 28 ธ.ค. 2558, 22:30:26 น.
สงสารน้องไป๋จุง
มีพี่สาวบ้าดีเดือดต้องทำใจนะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 28 ธ.ค. 2558, 23:02:38 น.
กรี้ดดดด สงสารโบ้ ความสวยเข้าตาแต่สติปัญญายังไม่พอ 555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account