ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑ สุวรรณมาลี

ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑ สุวรรณมาลี


ผลจาการยอมเปิดเผยฐานะทำให้หลิ่งปินรักษาอาการของกุ้ยฮวาได้ทันท่วงที เขาพาหญิงสาวมาที่สำนักหมอหลวง จัดการฝังเข็มจนฟื้นคืนสติ และเบิกยาหายากมาให้กินบำรุงกำลัง หญิงสาวลืมตาอยู่อึดใจก็หลับไปอีก สร้างความร้อนใจให้บิดาและพี่ชายเป็นอย่างมาก

“ท่านหมอ...เอ่อ...ฝ่าบาท ข้า...เอ๊ย! กระหม่อมจะพา...”

กุ้ยอี้อยากถามว่าจะพาน้องสาวกลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้เมื่อใด แต่ก็ประหม่าจนพูดติดๆ ขัดๆ

“พูดเหมือนเดิมนั่นแหละ อย่าทำให้ข้าหงุดหงิด” หลิ่งปินเอ็ด

ชายหนุ่มมองกุ้ยอี้อย่างโมโห ก่อนจะตวัดสายตาไปมองคนป่วยด้วยความโมโหยิ่งกว่า เขาสู้อุตส่าห์หลบหนีจากวังหลวง สร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ในฐานะหมอเทวดาเพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ แต่เพราะเด็กดื้อนี่คนเดียว ทุกอย่างเลยพังหมด

‘ให้ตายเถอะ! สัญญาไม่เคยเป็นสัญญาเลย รู้บ้างไหมว่าถ้าข้าเชื่อใจแล้วรอเฉยๆ ป่านนี้เจ้าตายไปแล้ว ช่างขยันหาเรื่องให้ปวดหัว แล้วยังทำให้ชีวิตข้าวุ่นวายอีก’

หลิ่งปิ่นบ่นในใจอย่างดุเดือด เมื่อนึกถึงว่าต่อจากนี้จะเกิดเรื่องอะไรกับตนบ้าง อดีตจักรพรรดิกลับมาที่วังหลวงไม่ใช่เรื่องตลก ต่อให้ไม่ขยับตัวทำอะไร ก็ต้องถูกดึงเข้าสู่การเมืองในราชสำนักอยู่ดี ไหนจะมียายแก่ตัวร้ายอย่างไทเฮาอีก

“แต่...” กุ้ยอี้อ้าปากจะเถียงว่ามันไม่เหมาะสม

“อยู่กันตามลำพัง ทำตามรับสั่งเถอะ” เสนาบดีเฉินบอกลูกชาย

หลิ่งปินหันมาถลึงตาใส่คนพ่อบ้าง ตอนแรกก็ฟังดูดีอยู่หรอก แต่ไอ้ราชาศัพท์ในตอนท้ายนี่มันอะไร

ยังไม่ทันคลายหงุดหงิดจากสองพ่อลูก ก็มีคนเพิ่มเข้ามาอีกสอง ฟางเซียนกับไป๋หลินเข้าวังตามกุ้ยฮวามาด้วยความเป็นห่วง พอทราบข่าวว่านางถูกพามารักษาตัวที่สำนักหมอหลวงก็ตามมาทันที แต่ด้านนอกมีการคุ้มกันแน่นหนา ห้ามคนผ่านเข้าออก สองสาวจึงต้องหาทางเอง เป็นเหตุให้ล่าช้า

“กุ้ยฮวาเป็นอย่างไรบ้าง” โบ้โพล่งถาม

“อาการก็เหมือนอย่างที่พวกเจ้าเห็นในหลายวันนี้แหละ” หลิ่งปินตอบอย่างรำคาญ ช่วงที่อยู่ในสกุลเฉินเขาต้องปวดหัวกับสองสาวไม่น้อย ไป๋หลินชอบจ้องแล้วทำท่าน้ำลายไหลประหนึ่งเขาเป็นอาหารจานเด็ด ส่วนฟางเซียนมีมารยาทกว่ากันมาก แต่ชอบถามกวนใจ ไม่ทันไรก็ถามคำถามเดิมอีกแล้ว

“ท่านไม่มีวิธีรักษานางจริงๆ หรือ”

“ถ้ามี ข้ารักษานางไปนางแล้ว ไม่ปล่อยให้อยู่ในสภาพนี้หรอก” หลิ่งปินโวยใส่

“ไม่จริง ข้าว่าต้องมี แต่ท่านยังไม่ได้ลอง”

เจ้มั่นใจว่ามีเพราะคำทำนายของท่านนักพรตบอกว่า ต้องไปตามหาของที่ท่านหมอต้องการ แต่เขากลับไม่สั่งมาเสียที ความที่ร้อนใจก็เลยเผลอถามซ้ำๆ เป็นประจำ

“เจ้านี่ยังไงกัน บอกว่าไม่มีก็ไม่มีสิ เอ๊ะ! พวกเจ้าเข้ามาทางไหน” หลิ่งปินเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน

“พวกเรามาทางลับเจ้าค่ะ” โบ้ตอบ

เส้นทางนี้ไป๋อวี้เป็นคนแนะนำ ดวงของหยกน้อยต้องชะตากับทางลับเป็นอย่างยิ่ง เดินอยู่ดีๆ ก็ตกหลุมแล้วไปอยู่อีกทีหนึ่ง บางทีพิงผนังอยู่ ผนังก็พลิกกลับด้าน เมื่อเห็นว่าพี่สาวอยากมาเยี่ยมเพื่อนจึงช่วยบอกทางให้ ขณะนี้ตัวช่วยผู้แสนดีก็ไม่ได้ไปไหนไกล กำลังช่วยล่อคนที่เกะกะขวางทางออกไป เพื่อให้เจ้กับโบ้เข้ามาในห้องนี้ได้โดยสะดวก

“มีทางลับที่ข้าไม่รู้ด้วยรึ” หลิ่งปินพึมพำ เขาเดาว่าคงเป็นทางใหม่ที่สร้างขึ้นหลังตัวเองจากวังหลวงไปแล้ว “ดีเลย รีบบอกมา ข้าจะได้หนีเรื่องวุ่นวายนี่พ้น”

หลิ่งปินตั้งท่าว่าพร้อมจะเผ่นหนีทุกขณะ เจ้เลยท้วง

“แล้วอาการป่วยของกุ้ยฮวาเล่า ท่านไปแล้วจะทำอย่างไร”

หลิ่งปินถอนใจ เขากำลังจะพูดเรื่องนี้กับสองพ่อลูกสกุลเฉินอยู่พอดี แต่พวกนางเข้ามาขัดเสียก่อน

“ข้าจนปัญญาจะช่วยแล้ว ตอนนี้ถ้าฝืนรักษาตามอาการ นางจะอยู่ได้อีกสองเดือน แต่ต้องทรมานมาก ถ้าแค่กินยาแก้ปวดร่วมกับฝังเข็ม นางจะอยู่ต่อได้อีกอย่างน้อยสิบวัน ก่อนจะจากไปโดยไม่ทรมานมากนัก”

ชายหนุ่มเอ่ยความจริงอันโหดร้ายด้วยสีหน้าราบเรียบ ตรงกันข้ามกับใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่มีใครรู้หรอกว่าภายใต้ท่าทีเย็นชาไม่ยี่หระต่อสิ่งใดของหมอเทวดาจะร้อนรุ่มดังมีเพลิงสุม นับแต่กุ้ยฮวาอาการทรุดหนัก เขาก็ไม่เคยหลับสนิทสักคืน แม้แต่ในฝันก็ยังพร่ำขอโทษนาง

‘ข้าผิดต่อเจ้าในฐานะหมอ ผิดต่อเจ้าในฐานะอาจารย์ ข้าไม่อยากหยุดรักษาเจ้า ไม่อยากปล่อยให้เจ้าจากไปเลย แต่พอคิดว่าเจ้าต้องเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าตาย ข้าก็ไม่อาจใจแข็งทำร้ายเจ้าได้อีก’

หลิ่งปินคิดเช่นนี้อยู่ทุกวัน แต่ไม่เคยเอ่ยออกมา เขาเป็นเพียงคนนอก ต่อให้เจ็บปวดเพียงไหน แต่จะแสดงออกเกินหน้าเกินตาบิดากับพี่ชายของนางได้อย่างไร

“พวกเจ้าเลือกก็แล้วกันว่าอยากให้ใช้วิธีไหน จำไว้อีกข้อว่าถ้าเลือกวิธีแรก กุ้ยฮวาจะไม่ได้กลับไปตายที่สกุลเฉิน ข้ารักษานางตามอาการ บอกล่วงหน้าไม่ได้ว่าต้องใช้ตัวยาอะไรบ้าง จึงต้องอยู่ในแหล่งมีวัตถุดิบหลากหลายพร้อมสรรพ ซึ่งก็คือที่นี่”

“ทะ...ท่านหมายความว่า นางมีเวลาแค่สิบวันอย่างนั้นหรือ” กุ้ยอี้พูดเสียงสั่น แม้จะทำใจฟังข่าวร้ายมาเนิ่นนาน แต่พอได้ยินจากปากหลิ่งปินเต็มสองหู มันก็ยากจะทำใจรับได้

หลิ่งปินไม่ชี้นำ ชายหลุ่มเดินเลี่ยงออกมา ยังไม่พ้นประตูห้อง เขาก็ย้อนกลับไปหาเจ้กับโบ้ แล้วกระแอมเตือนให้สองสาวตามออกมาด้วย เพื่อครอบครัวจะได้ปรึกษากันอย่างเป็นส่วนตัว ตอนนั้นเองที่มีเสียงครางแผ่วๆ ดังมาจากปากคนป่วย กุ้ยอี้อยู่ใกล้กว่าใครจึงก้มลงฟัง

“นางเรียกท่าน” ชายหนุ่มบอกหลิ่งปิน

หมอเทวดาเดินกลับมาหา เขานั่งลงที่ขอบเตียง แล้วก้มลงถามนางว่าต้องการสิ่งใด

“ข้า...อยาก...สู้” แว่นเอ่ยเสียงแผ่ว ทว่าแต่ละคำกลับเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความหวัง

แว่นตื่นอยู่ตลอดตอนที่ทุกคนคุยกัน ทำให้คิดได้ว่าไม่อยากนอนรอความตาย ถึงมันจะสบายกว่าการดิ้นรนรักษา และมีจุดจบเหมือนกัน แต่ก็ยังยอมรับไม่ได้ เขาอยากอยู่ให้นานที่สุดเพื่อตอบแทนบุญคุณท่านพ่อกับท่านพี่ รวมถึงอยากลองดิ้นรนต่อสู้ทำอะไรสุดพลังดูสักครั้งให้สมกับที่เกิดมา

หลิ่งปินรับรู้ถึงความมุ่งมั่นของคนรั้น หมอเทวดาถอนใจอีกหนหนึ่ง เขาหันไปสบตากับเสนาบดีเฉิน ไม่ต้องพูดก็เข้ารู้ว่าเหว่ยหงเคารพการตัดสินใจของลูก

“ตามใจ อยากทรมานนัก ข้าก็จะช่วย”

ท่านหมอสั่งการอย่างรวดเร็วให้กุ้ยอี้ส่งคนไปทำความสะอาดตำหนักเขียวให้เรียบร้อย เพราะจะใช้เป็นที่รักษาอาการกุ้ยฮวา หลิ่งปินเลือกตำหนักร้างเก่าโทรมโดยไม่คำนึงเรื่องความเหมาะสมด้านฐานะ เนื่องจากที่นี่มีสมุนไพรสดใหม่ที่จำเป็นในการปรุงยาอยู่จำนวนมาก เดินออกมาก็เด็ดใช้ได้เลยไม่ต้องยุ่งยากสั่งให้คนไปนำมา อีกทั้งมีอุปกรณ์ปรุงยาที่เคยใช้อยู่

องค์หญิงผู้เป็นเจ้าของตำหนักเขียวเสียสามีและลูกในครรภ์ไปเพราะถูกวางยาพิษ เสด็จแม่จึงมักส่งเขามาเล่นที่นี่บ่อยๆ เพื่อปลอบประโลมอาหญิงผู้ไม่อาจมีบุตรได้อีก ความฝังใจในอดีตทำให้อาหญิงชุบเลี้ยงหมอที่มีความสามารถไว้ ทั้งยังปลูกสมุนไพรแก้พิษไว้เป็นจำนวนมาก แต่ในความเป็นจริง ทั้งหมดเป็นแผนการของเสด็จแม่ ทุกครั้งที่มาที่นี่ หลิ่งปินจะต้องได้รับพิษหลากชนิดทีละเล็กทีละน้อย เพื่อให้ร่างกายต้านพิษได้ รวมถึงได้เรียนวิชาแพทย์จากหมอเทวดาเพื่อเอาตัวรอด

หลิ่งปินสั่งให้เตรียมการหลายอย่าง เขาชี้นิ้วสั่งทุกคนไม่เว้นกระทั่งโบ้กับเจ้ โบ้วิ่งไปทำตามทันที ส่วนเจ้นั้นยังอยู่ที่เดิม พร้อมถามคำถามเดิมๆ ที่ทำให้ท่านหมอหงุดหงิด

“ท่านไม่มีทางช่วยกุ้ยฮวาจริงๆ หรือ วิธีที่ต้องใช้วัตถุดิบพิเศษหรือของที่หายากมากๆ ไม่มีหรือไร”

“บอกว่าไม่มีไง เซ้าซี้อยู่ได้!” หลิ่งปินขึ้นเสียงใส่

การถูกตะโกนใส่ไม่ทำให้เจ้ถอดใจ เธอยังใช้สายตาจ้องหน้าเพื่อเค้นถามความจริงจากท่านหมอ ทำให้หลิ่งปินรำคาญจัดถึงขั้นออกปากให้ตามองครักษ์มาลากนางออกไป

“ข้าไม่อยากทนฟังแล้ว ของที่จะรักษานางได้น่ะมีอยู่ในตำนานเท่านั้น”

พอพูดเช่นนี้ เจ้ก็แสยะยิ้มอย่างผู้ชนะ

“เห็นไหมว่ามี”

“มีแต่เป็นเรื่องเหลวไหล เจ้าว่าสุวรรณมาลีมีจริงหรือไม่เล่า”

สุวรรณมาลีไม่ใช่นางในวรรณดีไทย แต่เป็นชื่อดอกไม้ที่ขึ้นอยู่ในสระกรด สรรพคุณของมันเทียบเท่ายาอายุวัฒนะ กินเข้าไปแล้วรักษาได้เกือบทุกโรค เป็นยาครอบจักรวาลโดนแท้ อาจารย์ของเขาใฝ่ฝันถึงยาวิเศษนี้มาก ถึงกับยอมมาเป็นแพทย์หลวงเพื่อจะได้มีเส้นสายและทุนรอนในการตามหา แต่ก็ไร้ผล ไม่ว่าจะทุ่มคนทุ่มกำลังไปเท่าไรก็หาไม่พบ ข่าวลือเดียวที่น่าเชื่อถือคือ มันอยู่ในแดนมายา อาณาเขตลึกลับที่ไม่ว่าใครย่างกรายเข้าไป ก็ไม่เคยมีชีวิตรอดกลับออกมาเล่า

“ข้าจะไปนำมันมาเอง” เจ้อาสา

แดนมายาอยู่ทางตะวันตก ไม่เพียงแต่เป็นแดนลึกลับ ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคมารด้วย ว่ากันว่าที่นี่เป็นที่สุดท้ายที่มีคนพบประมุขพรรคมาร ก่อนเขาจะหายตัวไปจากยุทธภพ แหวนอันธการที่ได้มาก็เป็นแหวนของพรรคมารอีกเช่นกัน

“อย่าพูดให้ขันหน่อยเลย ไปเอาสตบงกชมาให้ข้ายังง่ายเสียกว่า”

“มันคืออะไร” เจ้ถามเมื่อได้ยินชื่อสมุนไพรแปลกๆ อีกชนิด

“มันใช่เรื่องที่ข้าต้องอธิบายไหม” หลิ่งปินเอ็ด แต่สุดท้ายก็ยอมบอกเพราะทนรำคาญโบ้ที่มาตื๊อถามอีกคนไม่ไหว

สตบงกชเป็นบัวสีเงินที่จะออกดอกทุกร้อยปี จัดเป็นของคู่บ้านคู่เมืองของแคว้นเข่ออู้ ว่ากันว่าเวลาสตบงกชบานแล้วจะไม่หุบอย่างบัวทั่วไป แต่ยังแย้มกลีบอยู่เช่นนั้นจนครบหนึ่งร้อยวันก่อนร่วงโรย กลีบที่หลุดออกมาเองตามธรรมชาติจะมีสรรพคุณทางยาอันยอดเยี่ยม รักษาโรคได้หลากหลาย โดยเฉพาะใช้เป็นยาชูกำลัง จึงมีการนำกลีบไปเป็นเครื่องบรรณาการอยู่บ่อยครั้ง ไม่ก็เปิดประมูลเพื่อหาเงินเข้าคลังหลวง ทว่าสิ่งที่หลิ่งปินสนใจไม่ใช่กลีบดอก แต่เป็นเกสรของมัน ซึ่งผู้มีโอกาสได้ครอบครองมีเพียงฮ่องเต้ของเข่ออู้เท่านั้น

“สตบงกชบานครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณสี่สิบปีก่อน ป่านนี้คงแทบไม่เหลืออะไรแล้ว”

“อาจยังมีเหลือก็ได้ ขอแบ่งมาดีๆ หรือใช้เงินซื้อไม่ได้หรือ” โบ้ถามอย่างคนไม่รู้ความสัมพันธ์ของสองแคว้น

“หมดหวัง เข่ออู้ไม่มีทางยอมมอบของล้ำค่าให้เจียงเฉียงแน่นอน”

แคว้นเข่ออู้มีอาณาเขียนติดกับแคว้นหรงซิ่ง จึงมีเรื่องกระทบกระทั่งกันเป็นระยะ เนื่องจากหร่งซิ่นเป็นเมืองขึ้นของเจียงเฉียง ทางเข่ออู้จึงพลอยมีอคติกับเจียงเฉียงไปด้วย

“ถ้ากุ้ยฮวาได้กินนางจะหายดีไหม” เจ้ถาม หากสตบงกชใช้ได้ผลเหมือนกัน ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า

“ไม่ ถ้าร่างกายแข็งแรงกว่านี้คงอยู่ได้อีกสักครึ่งปี แต่ตอนนี้นางอ่อนแอเกินไป ถึงได้มา กินเข้าไปก็ตายอยู่ดี”

หลิ่งปินทราบรายละเอียดเหล่านี้จากบันทึกที่ได้มาจากอาจารย์ ในบันทึกบอกเล่าเรื่องราวของหมอผู้หนึ่งที่มีโอกาสใช้เกสรสตบงกชปรุงยาถวายแด่องค์ชายฝาแฝด ในขณะที่คนหนึ่งแข็งแรงและมีอายุยืนยาว อีกคนกลับเสียชีวิตเพราะร่างกายอ่อนแอ

“ถ้าอย่างนั้นข้ากับไป๋หลินจะไปนำสุวรรณมาลีมา”

“อยากทำอะไรก็ทำ อยู่ไปก็เกะกะข้าเปล่าๆ” หลิ่งปินโบกมือไล่

แม้การลงแรงตามหาดอกไม้ในตำนานของพวกนางจะต้องคว้าน้ำเหลว หมอเทวดาก็ไม่ห้าม เขาเข้าใจดีว่าการต้องนั่งรอความตายของคนสำคัญโดยทำอะไรไม่ได้นั้นทรมานเพียงไหน


บริเวณประตูวัง ไม่ใกล้ไม่ใกล้กับทางเข้านัก บุรุษผู้หนึ่งพร้อมด้วยอาชาตัวโตสีขาวปลอดกำลังยืนปักหลักคอยบางสิ่ง ระหว่างที่รอนี้มีคนแปลกหน้าเข้ามาพูดคุยด้วยเป็นระยะ ส่วนใหญ่เลียบๆ เคียงๆ ถามราคาม้า ไม่ก็ขอซื้อต่อตามตรง แต่ชายหนุ่มปฏิเสธทุกคน และบอกอย่างชัดเจนว่าม้าตัวนี้ไม่ใช่ของตน

ม้าเหยียบเมฆาของท่านประมุขมู่ตัวนี้มีนามว่า ‘ลู่เสียน’ ปกติจะหยิ่งทระนงมาก แทบไม่ยอมให้ใครขึ้นขี่ ที่เขาใช้มันงานได้ เป็นเพราะเมื่อครั้งยังเด็กท่านประมุขเมตตาให้เขาขึ้นขี่หลังไปด้วยเช่นเดียวกับลูกๆ ของท่าน ลู่เสียนจึงจดจำเขาได้ เมื่อท่านประมุขขอให้เขาใช้เป็นพาหนะตามหาไป๋อวี้กับไป๋หลิน มันก็ยอมโดยง่าย แต่ก็ยังไม่เห็นหยางเจี้ยนอยู่ในสายตาอยู่ดี ชายหนุ่มจึงต้องแสดงความเคารพนบนอบ รวมถึงเอาอกเอาใจมัน ลู่เสียนจึงจะอารมณ์ดียอมฟังคำขอ

“พี่ลู่เสียนคอยอีกสักครู่เถอะนะ เดี๋ยวไป๋หลินกับไป๋อวี้ก็ออกมาแล้ว” ชายหนุ่มบอกม้าที่กำลังหงุดหงิดเพราะยืนคอยมานาน

หยางเจี้ยนมาดักเจอสองพี่น้องก็เพื่อแจ้งข่าวว่า ขณะนี้คนของพรรคเทพสวรรค์กำลังรอทั้งคู่อยู่ที่บ้านสกุลเฉินเพื่อพาตัวกลับไป สาเหตุที่ต้องส่งคนมาเพราะเมื่อสิบกว่าวันก่อน ไป๋หลินขอให้เขาแจ้งข่าวไปยังบิดาของนางว่าขออยู่ต่ออีกระยะเพื่อช่วยรักษาอาการของสหาย ท่านประมุขเห็นแก่มนุษยธรรมจึงยอมผ่อนปรนให้ แต่มีข้อแม้ว่าห้ามไปข้องเกี่ยวกับราชสำนัก และต้องเดินทางกลับเขาหิมะภายในสิบวัน

ไป๋หลินคิดว่ากุ้ยฮวาจะหายทันจึงรับปาก แต่สุดท้ายก็ต้องผิดคำพูดเมื่ออาการของสหายไม่กระเตื้องขึ้นเลย ซ้ำร้ายยังมีเหตุให้ต้องเข้าวังอีก ประจวบเหมาะเหลือเกินที่คนของประมุขมู่มาถึงวันนี้ หยางเจี้ยนไม่อยากให้ความทราบถึงบิดาของฝาแฝดจนถูกลงโทษหนักจึงมาดักรอ ตั้งใจให้สองพี่น้องขึ้นหลังลู่เสียนพากันกลับบ้านทันที ไปถึงเร็วอย่างน้อยท่านประมุขจะได้คลายความโกรธลง ส่วนเรื่องคนที่ท่านประมุขส่งมา เขาจะบอกเองว่าทั้งคู่กลับไปแล้ว

หลังจากติดสินบนลู่เสียนด้วยอาหารและการแปรงขนไปหลายรอบ รถม้าที่ไป๋หลินใช้เข้าวังก็ออกมา หยางเจี้ยนเห็นเช่นนั้นจึงขึ้นขี่ลู่เสียนตามไปเคาะหน้าต่างเรียก ฟางเซียนเป็นคนเปิดหน้าต่างออกมาเจอเขา นางจึงถอยเข้าไปด้านในเพื่อให้ไป๋หลินได้คุยธุระโดยสะดวก หยางเจี้ยนยังไม่ทันขยับปากแจ้งข่าว ไป๋หลินก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

“ไปแดนมายากันเถอะ”

“อะไรนะ!” หยางเจี้ยนถามอย่างไม่เชื่อหู

“ข้าชวนพี่หยางไปแดนมายาด้วยกัน ข้าจะไปเอาสุวรรณมาลีมารักษากุ้ยฮวา”

“ไม่ได้ ที่นั่นอันตรายมาก”

แดนมายาจัดว่าใกล้กับหุบเขาหิมะมากกว่าเมืองหลวง แต่ที่นั่นเปรียบเสมือนดินแดนลี้ลับ เป็นเขตต้องห้ามที่พวกผู้ใหญ่พร่ำเตือนว่าอย่าได้ลองดีย่างกรายเข้าไป

“แต่ข้ามีความจำเป็นนี่นา”

“ตัดใจเถิดไป๋หลิน ตอนนี้ท่านพ่อของเจ้าส่งคนมาตามกลับแล้ว”

ประมุขมู่ส่งมาแต่ยอดฝีมือ พร้อมคำสั่งเด็ดขาดว่าถ้าไม่ยอมกลับก็ให้ใช้กำลังได้เลย

“ส่งใครมาบ้าง” ไป๋อวี้หูผึ่งเมื่อได้ยิน

“ท่านเซิน ท่านสี่ ท่านเยี่ยตง แล้วก็...พี่ใหญ่ของพวกเจ้า”

ชื่อของพี่ใหญ่ทำเอาไป๋อวี้หน้าซีด ในครอบครัว ไป๋เจี้ยนมีอำนาจเป็นรองแค่บิดา ทั้งยังเข้มงวดกับไป๋อวี้ที่สุด หยกน้อยต้องอยู่ในสภาพปางตายนับครั้งไม่ถ้วนเพราะการฝึกและการลงโทษของพี่ใหญ่

“เราหนีกันเถอะอาเจ้” คนกลัวพี่ขึ้นสมองชวนแบบไม่อาย

“นี่เจ้ายังคิดหนีอีกหรือ” หยางเจี้ยนตำหนิ “พ่อเจ้าส่งคนมาตามก็เพราะต้องการให้อภัย รีบไปพบแล้วรับโทษเสียดีกว่า”

“ท่านพ่อขู่ว่าจะให้หยกน้อยแต่งงานกับแม่เสือนี่นา เป็นใครก็ต้องกลัว” โบ้ช่วยน้องชายเถียง

พี่รองเขียนเล่าในจดหมายว่า ท่านพ่อระอาไป๋อวี้เต็มทน ถ้ายังไม่เป็นผู้เป็นคนจะให้แต่งงานกับธิดาของประมุขพรรคลมกรด พรรคนี้แม้ไม่ใหญ่เท่าพรรคเทพสวรรค์ แต่เป็นที่นับหน้าถือตามากในแดนใต้ ถือว่าไป๋อวี้โชคดีด้วยซ้ำที่จะได้ภรรยามีฐานะเหมาะสมกันดี ทั้งยังมีวรยุทธ์เป็นเลิศ บางคนถึงกับค่อนว่าดีเกินไปสำหรับไป๋อวี้ด้วยซ้ำ เพราะแม่เสือคนนี้จัดว่าเป็นโฉมงามแดนใต้ ถึงกระนั้นหยกน้อยก็ยังส่ายหน้าไม่เอาอยู่ดี เหตุเพราะนางดุอย่างกับเสือสมฉายา เอะอะก็ใช้กำลัง

“ท่านประมุขก็แค่เกริ่นไปอย่างนั้นเอง อย่ากลัวเกินกว่าเหตุเลย” หยางเจี้ยนว่า

“คุยกันตรงนี้ไม่สะดวก ไปที่ร้านของข้าก่อนแล้วค่อยปรึกษากัน”

เจ้ขัดเมื่อเห็นว่าตะโกนเถียงกันผ่านหน้าต่างรถม้ามานานแล้ว ถ้าคนของประมุขมู่โผล่มาเจอตอนนี้ ไม่แคล้วต้องต่อสู้ขัดขืนกัน และอาจเป็นเหตุให้พลัดลงกันได้ แม้คำทำนายในส่วนของเธอจะเป็นแค่ส่งต่อแหวนอันธการให้เพื่อน ซึ่งทำไปเรียบร้อยแล้ว แต่เจ้ก็คิดว่าหน้าที่ตัวเองยังไม่แล้วเสร็จ จะอย่างไรสองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ยิ่งเป็นหนึ่งหัวกลวงๆ ที่เอาแน่เอานอนไม่ได้อย่างโบ้ยิ่งต้องคอยคุมให้ดี


หยางเจี้ยนยอมไปคุยที่ร้านน้ำชาตามที่เจ้เสนอ เจ้ปล่อยให้ทั้งสามคนคุยกันเอง ส่วนตัวเองไปหลังร้านเพื่อเก็บเสื้อผ้าและเตรียมของสำหรับเดินทาง ที่จริงเธอจัดสัมภาระตัวเองไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะรู้ว่าต้องเดินทางในเวลาอันใกล้ โบ้เองก็เตรียมตัวแล้วเช่นกัน แต่ของของโบ้อยู่ที่สกุลเฉินหมด เจ้จึงต้องเอาไปเผื่อ

“นายหญิงจะเดินทางอีกแล้วหรือเจ้าคะ” อาจูถาม นายหญิงมักหายไปครั้งละนานๆ แม้พวกผู้ใหญ่จะชินกันแล้ว แต่อาจูซึ่งยังเด็กลับไม่คิดเช่นนั้น นางอยากให้นายหญิงอยู่ที่ร้านตลอดไปมากกว่า อาจูชอบที่นายหญิงผู้แสนใจดีเมตตานาง และคอยสอนสิ่งต่างๆ ให้โดยไม่รำคาญ

“ใช่ แต่หนนี้ไปไม่นานนักหรอก” เจ้ตอบอย่างนี้เพราะหวังจะกลับมาให้เร็วที่สุด

“นายหญิงเจ้าคะ ช่วงที่ท่านไม่อยู่ มีคนฝากของมาให้หลายหีบทีเดียว” อาผิงเข้ามารายงาน

“ของอะไร จากใครกัน”

“คนที่นำมาส่งบอกว่าเป็นเสื้อผ้ากับเครื่องประดับบางส่วนของนายหญิง แต่ไม่ยอมแจ้งชื่อและบอกที่มาให้ทราบเจ้าค่ะ”

“ข้ารู้แล้วว่ามาจากไหน เอามาเก็บในห้องนี้ไว้ก่อนก็แล้วกัน”

เจ้เดาได้ว่าของทั้งหมดถูกส่งมาจากหอซู่เมิง ตั้งแต่กลับมาถึงเมืองหลวง เจ้ก็ไม่ได้แวะไปที่นั่นเลย เพียงส่งจดหมายไปบอกว่าจะลาออกจากการเป็นคณิกา พวกเสื้อผ้ากับของฟุ่มเฟือยใครอยากได้ เธอยินดียกให้ ในส่วนของมีค่า เจ้ยกให้ซือซือซึ่งเป็นสาวใช้หีบหนึ่ง นางจะได้เอาไปตั้งตัว มีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าการอยู่ในหอซูเมิ่ง ที่เหลือขอฝากไว้ก่อน เพราะกำลังยุ่งวุ่นวายกับเรื่องต่างๆ จนไม่มีเวลาจัดการ

เจ้มีเรื่องกังวลหลายอย่าง ไหนจะเพื่อนรักป่วยร่อแร่ใกล้ตาย ไหนจะคนรักที่ยังถูกคุมขังห้ามคนเข้าเยี่ยม เรื่องหลังนี้ดีหน่อยตรงที่มีความคืบหน้า ก่อนออกจากวัง กุ้ยอี้บอกว่าคดีแม่ทัพต่งใกล้คลี่คลายแล้ว แม้กุ้ยฮวาจะขึ้นให้การอีกไม่ได้ก็ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะเจ้ากรมกลาโหมได้หลักฐานสำคัญมา กุ้ยอี้ไม่ทราบรายละเอียด แต่มั่นใจว่าเป็นจริงตามนั้นเนื่องจากเฉิงหมินเป็นคนพูด

“ข้าเกือบลืมไปเลย มีจดหมายส่งมากับของด้วยเจ้าค่ะ” อาผิงกระวีกระวาดไปหยิบมาให้

เจ้เปิดอ่านทันที ใจความในจดหมายไม่ยาวนัก แม้ไม่ได้ลงชื่อ แต่ก็รู้ว่ามาจากใคร

‘ข้าส่งของของเจ้ามาเผื่อต้องใช้ ห้องนั้นยังเป็นของเจ้า อยากกลับบ้านเมื่อไรก็มาได้ทุกเมื่อ’

ลายมือนี้เป็นของเชี่ยนหนิง นายหญิงแห่งหอซูเมิ่ง ด้วยนิสัยของนาง ไม่มีทางเขียนข้อความเช่นนี้ได้ และคนที่มีอำนาจเก็บห้องของคณิการอันดับหนึ่งไว้ก็มีเพียงนายใหญ่เท่านั้น เจ้จึงพับจดหมายเก็บไว้ในลิ้นชักเป็นอย่างดี เพื่อแสดงออกว่าสำนึกในน้ำใจขององค์ชายสาม

เมื่อเตรียมของกันพร้อมแล้ว เจ้ก็กลับมาหน้าร้านอีกครั้งเพื่อดูว่าการเจรจาเป็นอย่างไร ผลคือเธอได้เพื่อนร่วมทางในการตามหายาวิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง ที่จริงหยางเจี้ยนไม่อยากไปด้วยนัก แต่เพราะไป๋หลินรั้นไม่ยอมฟังเหตุผลใดๆ ต่อให้ต้องสู้กับพี่ใหญ่และศิษย์ร่วมสำนักก็จะทำ ชายหนุ่มจึงจนใจจะเกลี้ยกล่อม จำต้องเดินทางไปด้วยเพื่อช่วยปกป้องนางจากอันตราย

การเดินทางหนนี้ไม่มีใครคิดพาลู่เสียนไปด้วย เพราะม้าที่สง่างามตัวโตกว่าปกติอย่างมันเด่นสะดุดตาเกินไป หยางเจี้ยนเลยนำไปฝากไว้ที่สำนักทลายภูผาแล้วค่อยตามไปสมทบกับพวกไป๋หลินที่นอกเมืองทีหลัง ทว่าพอมาถึงจุดนัดพบ เขากลับพบว่านอกจากเพื่อนร่วมเดินทาง ยังมีม้าเหยียบเมฆาเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งตัว พอเห็นหยางเจี้ยน มันก็ส่งเสียงร้องเร่งให้มาหา

ลู่เสียนแหกคอกออกมาเพราะรู้ตัวว่าถูกทิ้ง มันเกลียดการต้องทนอุดอู้อยู่แต่ในที่แคบๆ ให้คนอื่นพาไปเดินเล่นหรือปรนนิบัติพัดวีแทนก็ไม่ถูกใจเหมือนหยางเจี้ยน สายตาของลู่เสียนที่มองมาประหนึ่งรอให้ข้าทาสมาคอยเอาใจ ชวนให้เหนื่อยจริงๆ

พอชายหนุ่มเข้าไปหา มันก็ส่งเสียงฮี่ แล้วผินหน้าไปทางไป๋อวี้เป็นเชิงให้ชายหนุ่มช่วยแปลความให้

“พี่ลู่เสียนท้าเราวิ่งแข่ง”

มีอย่างที่ไหนมีม้าฝีเท้าจัดแต่ไม่ได้ขี่ ทั้งยังต้องมาวิ่งแข่งกับมันอีก แต่สำหรับลู่เสียน มันคิดว่ามันยุติธรรมกับเจ้าเด็กสามคนนี้แล้ว เพราะไม่ได้ลำเอียงให้ใครขี่ แถมยังต่อให้ด้วยการแบกสัมภาระทั้งหมด ซึ่งเจ้ก็รวมอยู่ในสัมภาระที่ว่านี้

“ข้ารับคำท้า!” โบ้รับคำอย่างกระตือรือร้น

ไม่ทันได้ตั้งตัว ม้าเหยียบเมฆาที่กระเหี้ยนกระหือรืออยากแข่งขันเต็มแก่ก็ออกวิ่งไปพร้อมๆ กับโบ้ เป็นเหตุให้จอมยุทธ์หนุ่มทั้งสองต้องวิ่งตามกันหน้าตั้ง ทั้งสี่เดินทางกันในต่อเย็นย่ำ แม้ฟ้าจะมืดลงแล้ว ลู่เสียนก็ไม่ยอมผ่อนปรนให้หยุดพัก ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดจึงมาชายแดนจุ้ยห้านซึ่งเป็นเขตที่ใกล้กับแดนมายาที่สุดก่อนรุ่งสาง

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายบทค่ะ
มาแจ้งข่าวสักนิดนึง
อีกสองวันจะซ่อนตอนในภาคสมรภูมิตแล้วนะคะ
ใครยังไม่ได้อ่านรีบอ่านนะคะคนดี ^O^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 เม.ย. 2559, 22:47:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 เม.ย. 2559, 22:48:52 น.

จำนวนการเข้าชม : 1105





<< สู่สมรภูมิ : บทที่ ๗ ยึดหอสังเกตการณ์ (ตอนที่ 8-25 พบกันในเล่ม4 นะคะ)   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๒ หมู่บ้านคนป่า >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 27 เม.ย. 2559, 09:58:42 น.
สุดยอดดดดมากลู่เสียน วิ่งแข่งเนี่ยนะ 5555


Zephyr 9 พ.ค. 2559, 16:05:39 น.
แห้วววววววววว แง้
มาไม่ทันตอนก่อนรึป่าวนะ งงเลย ฐานะอะไรกัน
เริ่มตอนใหม่อีกแล้นนนน กรี้ดๆๆๆ
วิ่งแข่งกะม้า เอิ่มมมม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account