ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๒ หมู่บ้านคนป่า

ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๒ หมู่บ้านคนป่า


อาณาเขตฝั่งตะวันตกของเจียงเฉียงลากยาวลงมาจนถึงทางใต้ เป็นเขตป่าขนาดใหญ่ทอดยาวครอบคลุมพื้นที่ถึงสี่แคว้น เนื่องจากมันเป็นป่าลึก กว้างใหญ่เกินกว่าจะเดินทางข้ามมาถึงอีกฝั่ง จึงไม่มีแคว้นใดถือสิทธิ์ครอบครอง ด้วยจงใจละไว้เป็นปราการธรรมชาติป้องกันข้าศึก

คนทั่วไปพร้อมใจกันเรียกป่าใหญ่นี้ว่า แดนมายา ในความเป็นจริง ส่วนที่เรียกว่าแดนมายานั้นไม่ได้หมายถึงผืนป่าทั้งหมด แต่เป็นดินแดนขนาดเล็กที่ซ่อนเร้นอยู่กลางป่า พรานหรือผู้อาศัยอยู่แถบนี้ต่างรู้กันดีว่าหากเข้าไปในพื้นที่ใดที่มีหมอกลงหนาผิดปกติ ให้เข้าใจว่ากำลังหลงเข้าสู่แดนมายา จงรีบถอยห่างออกมา อย่าได้ดันทุรังเดินลึกเข้าไป เพราะจะไม่มีวันได้กลับออกมาอีก

แดนมายาในตำนานของชาวบ้านมักเป็นแดนปีศาจไม่ก็ป่ากินคน แต่เรื่องเล่าของชาวยุทธ์นั้นต่างออกไป แทนที่จะคิดไปในทางเหนือธรรมชาติ พวกเขากลับเชื่อว่าที่นี่เป็นรังลับของพรรคมาร แม้ไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่ก็มีผู้พบเห็นคนของพรรคมารป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณนี้เป็นระยะ

หยางเจี้ยนเป็นหนึ่งในคนที่เชื่อว่าแดนมายาคือ สถานที่ของพรรคมาร ชายหนุ่มจึงตื่นตัวตลอดการเดินทาง คอยเฝ้าระวังให้ทุกคนปลอดภัย แม้ขณะนี้จะเพิ่งมาถึงชายป่า เขาก็ไม่ประมาท อาสาเฝ้ายามให้ในขณะที่ทุกคนนอนหลับพักผ่อน

“ข้าขอเฝ้ายามเอง” เจ้อาสา เมื่อคืนเธอเป็นคนเดียวที่ได้นั่งสบายบนหลังม้า แม้จะอดนอนก็ไม่เหนื่อยล้าเท่าคนอื่น

“แม่นางอย่าลำบากเลย ข้าอยู่ได้สบาย อีกไม่เกินสองชั่วยามก็เช้าแล้ว”

หยางเจี้ยนไม่ได้ดูแคลนว่าเจ้เป็นสตรีไม่มีฝีมือ ที่ยืนกรานจะทำหน้าที่ก็เพราะนิสัยสุภาพบุรุษในตัว

“ถูกของท่าน แต่ข้าก็ยังอยากให้ท่านพักผ่อนอยู่ดี รุ่งเช้าจะได้อุ่นใจที่มีท่านคอยคุ้มกัน”

“แต่...”

“ไม่ต้องแย่งกันหรอก นอนกันหมดนี่แหละ พี่ลู่เสียนจะเฝ้ายามให้เราเอง” ไป๋อวี้ว่า

ตอนนี้ม้าเหยียบเมฆากำลังอารมณ์ดีที่ชนะมนุษย์ ถ้าเป็นคนมันคงพูดว่า

‘ขนาดต่อให้ยังตามกันแทบไม่ทัน ท่านลู่เสียนผู้นี้จะช่วยสงเคราะห์ให้พวกเจ้าได้พักผ่อนก็แล้วกัน’

ถ้าไปบอกคนอื่นว่าให้ม้าเฝ้ายามคงหัวเราะกันท้องแข็ง ทว่าหยางเจี้ยนกลับยอมง่ายผิดคาด เจ้เลยเข้าใจว่าม้าตัวนี้เป็นสัตว์วิเศษที่มีสติปัญญาสูง ซึ่งไม่ผิดจากความจริงนัก เพียงแต่เหตุผลของหยางเจี้ยนต่างออกไป เขาเดินทางรอนแรมกับม้าหยิ่งเอาแต่ใจเพื่อตามหาสองพี่น้องกลับบ้านนานเป็นแรมเดือน นานทีลู่เสียนจะดีกับตนสักหน หากไม่รับความกรุณาไว้ น่ากลัวจะถูกท่านม้าเตะ


ทั้งสี่คนนอนเอาแรงจนกระทั่งสาย จากนั้นค่อยลุกขึ้นมาปรึกษากัน ทุกคนออกจากเมืองหลวงอย่างรีบร้อน จึงไม่ค่อยมีข้อมูลของแดนมายา ทราบแต่ต้องเดินทางจากชายแดนจุ้ยห้านเข้าไป แหวนอันธการบนนิ้วโบ้ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงไปยังหมู่บ้านเพื่อถามทางกับคนพื้นที่

หลังจากเดินเท้ามาได้ประมาณชั่วยามเศษ คณะตามหาสุวรรณมาลีก็พบหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง คนที่นี่หวาดระแวงคนแปลกหน้า แต่เนื่องจากมีความงามเป็นใบเบิกทางจึงได้รับการอำนวยความสะดวก ขนาดเรื่องที่ไม่ค่อยอยากพูดถึงอย่างแดนมายา ก็ยังอ้อมแอ้มบอกใบ้ให้ว่าต้องไปถามพ่อค้าเร่ชื่อเจี้ยหลุน

เจี้ยหลุนเป็นชายวัยสามสิบปลายๆ เขาเดินทางไปทั่วแถบนี้เพื่อรับซื้อของจากหมู่บ้านหนึ่งไปให้หมู่บ้านหนึ่ง ปกติจะมาเดือนละครั้ง ประจวบเหมาะเหลือเกินที่เป็นช่วงนี้พอดี

“ไม่เกินวันสองวัน เขาต้องมาแน่ เจี้ยหลุนไม่เคยผิดนัด ถ้าใจร้อนอยากพบโดยเร็ว ก็เดินตามถนนใหญ่ไปทางตะวันออกเลยก็ได้ เจี้ยหลุนมักมาทางนั้น ถ้าเจอคนหน้าแหลม ฟันจอบ มีเกวียนเทียมลาละก็ ใช่แน่นอน”

หนุ่มชาวบ้านให้ข้อมูลเพิ่มโดยไม่ต้องร้องขอ เจ้จึงเอ่ยขอบคุณพร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ ไปให้

ทั้งสี่หันมาปรึกษากันอีกครั้งว่าจะทำอย่างไรต่อไป เจ้ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มในขณะนี้จึงเสนอให้หยางเจี้ยนลองขี่ม้าไปตามหาเจี้ยหลุนดู ส่วนคนอื่นๆ ให้ลองไปคุยกับคนในหมู่บ้านหาข้อมูลเพิ่ม

หยางเจี้ยนไม่อยากแยกไปนัก แต่ก็เข้าใจข้อจำกัดด้านเวลา กุ้ยฮวามีเวลาเหลืออยู่ไม่มาก ไหนจะท่านประมุขมู่ที่กำลังรอให้บุตรทั้งสองกลับบ้านอีก

จอมยุทธ์หนุ่มหายไปนาน ก่อนจะกลับมาพร้อมเจี้ยหลุนตอนหัวค่ำ สาเหตุที่ช้าก็เพราะว่าเกวียนเทียมลาเก่าๆ ของพ่อค้าเร่ล้อหลุด กว่าจะซ่อมเสร็จก็บ่ายคล้อย อีกทั้งลาตัวจ้อยยังเคลื่อนไหวได้อืดอาด จะให้ลู่เสียนช่วยลากอีกแรง มันก็หยิ่งเกินกว่าจะลดตัวลงไป หยางเจี้ยนจึงต้องช่วยแทน เป็นเหตุให้เหงื่อไหลไคลย้อยทั้งตัว

“ได้ความว่าอย่างไรบ้าง” เจ้ถามพร้อมกับบุ้ยใบ้ให้โบ้เอาน้ำดื่มไปให้ชายหนุ่ม เธออยากรู้ความคืบหน้า แต่ก็ไม่ใจร้ายขนาดไม่เปิดโอกาสให้คนที่เดินทางมาเหนื่อยๆ ได้พักก่อน

“ชาวบ้านแถบนี้ไม่มีใครรู้ทางไปแดนมายาเลย ถ้าจะไปมีแต่จะต้องพึ่งคนป่า”

หยางเจี้ยนบอกข้อมูลที่ได้จากการสอบถามเจี้ยหลุนให้ทราบคร่าวๆ ส่วนรายละเอียดนั้น เขาขอให้พ่อค้าเร่ช่วยอธิบายอีกรอบ ซึ่งเจี้ยหลุนเต็มใจเป็นอย่างยิ่งเพราะได้สนทนากับสาวงาม

คนป่าที่กล่าวถึงคือ ชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในเขตป่าลึก มีด้วยกันหลายเผ่า ปกติจะไม่ย่างกรายออกจากป่าเลย ทั้งยังไม่คบค้าสมาคมกับคนภายนอก แต่ลุงของเจี้ยหลุนเคยได้รับความช่วยเหลือจากคนของเผ่าอิโต่หนหนึ่ง จึงกลับไปหาอีกหน พร้อมนำเสื้อผ้ากับยารักษาโรคไปให้เพื่อตอบแทน พวกคนป่าชอบกันมาก นับจากนั้นก็ติดต่อค้าขายกันเรื่อยมา

“ท่านมั่นใจแค่ไหนว่าคนป่าพวกนี้รู้ทางไปยังแดนมายา” เจ้ซัก

“มีคนป่าคนหนึ่งพูดภาษาเราได้ เขาเป็นคนบอกข้าเองว่าใกล้กับป่าผลไม้มีหมอกกินคน ฟังจากลักษณะแล้วต้องใช่ทางเข้าแดนมายาแน่”

แม้จะเป็นการคาดเดาที่ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนักเพราะเจ้าตัวไม่ได้เห็นกับตา แต่ก็ยังดีกว่าท่องไปในป่าใหญ่โดยไร้จุดหมาย เจ้จึงว่าจ้างให้เขานำทางไปหาคนป่า

“แม่นางจะไปที่นั่นจริงๆ หรือ อย่าเอาชีวิตไปทิ้งเลย” เจี้ยหลุนเตือนด้วยความปรารถนาดี

“คนป่าพวกนี้โหดเหี้ยมมากหรือ”

“ก็ไม่เชิงนัก เผ่าอิโต่ไม่ต้อนรับคนนอก พาคนเข้าไปมากๆ พวกเขาจะโมโหและทำร้ายเอาได้”

เจี้ยหลุนยกตัวอย่างตอนที่พาคนในหมู่บ้านเข้าไปด้วย เขาเกือบถูกตัดความสัมพันธ์ แถมคนคนนั้นยังถูกธนูยิงใส่บาดเจ็บสาหัส

“พวกเราจำเป็นต้องไปจริงๆ เงินจำนวนนี้น่าจะพอชดเชยให้ได้ ในกรณีที่เจ้าค้าขายกับเขาไม่ได้อีก”

เจ้ส่งถุงเงินขนาดเล็กไปให้ พอเปิดดู เจี้ยหลุนก็ทำตาโตเมื่อเห็นเหรียญทองบรรจุอยู่ในนั้นกว่าสิบเหรียญ เงินจำนวนนี้เป็นค่าตอบแทนที่มากกว่าการทำงานหนักทั้งชีวิตเสียอีก

“นั่นแค่เงินมัดจำ ถ้าช่วยนำทางไปยังแดนมายาสำเร็จ ข้าจะจ่ายให้อีกสองเท่า”

และแล้วอำนาจเงินก็ชนะอย่างสวยงาม เจี้ยหลุนตอบตกลงโดยไม่ถามสักคำว่าพวกเจ้จะไปแดนมายากันทำไม ชายหนุ่มขอเวลาสามวันเพื่อตระเตรียมข้าวของ เขาบอกว่าพวกคนป่าขอให้นำสุรากับผ้าเนื้อดีไปให้ภายในเดือนนี้ เพราะลูกสาวหัวหน้าเผ่ากำลังจะแต่งงาน ถ้ามีของที่พวกนั้นต้องการเป็นจำนวนมากอาจยอมต้อนรับคนแปลกหน้า


สามวันผ่านไป เจี้ยหลุนก็พร้อมนำทาง ชายหนุ่มแปลงสภาพทุกคนให้กลายเป็นลูกหาบ เพื่อที่จะได้อ้างกับพวกคนป่าว่าต้องมอบของกำนัลเหล่านี้ให้ แต่ขนมาด้วยตัวคนเดียวไม่ได้จึงให้ญาติช่วย

เสื้อผ้าเนื้อหยาบที่เจี้ยหลุนหามาให้ใส่ไม่สบายเลย ดีหน่อยที่เป็นฤดูหนาวจึงใส่สวมทับเสื้อผ้าของเดิมได้โดยไม่อึดอัด เจี้ยหลุนเห็นว่าทุกคนบ่นเรื่องเสื้อผ้ากันก็เลยอดเตือนไม่ได้

“พวกท่านต้องแบกสัมภาระพวกนี้เข้าป่าไปด้วย ห้ามให้ห่างตัวเด็ดขาดเพื่อความปลอดภัย”

เสื้อผ้าอาหารเหล่านี้ไม่ใช่แค่ของกำนัล แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ว่ามาดี พวกคนป่ามักส่งคนออกมาลอบจับตาดูผู้บุกรุก ถ้าเห็นว่ามีลักษณะเหมือนพ่อค้าหรือคนหาของป่ามักจะปล่อยไป

“แล้วม้าของพวกท่านเล่าจะทำอย่างไร ให้เอาเข้าป่าด้วยคงไม่ไหว” เจี้ยหลุนถามเรื่องลู่เสียน

“ข้าจ้างคนดูแลแล้ว” หยางเจี้ยนตอบ ลู่เสียนอยากเดินเล่นเล็มหญ้าชมทิวทัศน์แถวนี้มากกว่าไปลำบากเดินป่ากับพวกเขา ชายหนุ่มจึงเช่าคอกม้าให้

“ถึงจะมีคนดูแล แต่ก็น่ากลัวว่าจะหายอยู่นะ โจรขโมยม้าแถบนี้ร้ายกาจใช่ย่อย”

“โจรขโมยม้าทำอะไรพี่ลู่เสียนไม่ได้หรอก” ไป๋อวี้เอ่ยอย่างมั่นใจ

เมื่อเจ้าของเขาไม่ห่วง เจี้ยหลุนก็ไม่วุ่นวาย ชายหนุ่มกำชับเพิ่มว่าให้ซ่อนอาวุธอย่างมิดชิด แม้แต่มีดปอกผลไม้เล่มเล็กๆ ก็หยิบออกมาสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้

“ถ้าเกิดอะไรขึ้น พวกท่านต้องปกป้องตัวเอง หวังพึ่งข้าไม่ได้หรอกนะ” เจี้ยหลุนเตือนให้ทราบแต่เนิ่นๆ

“เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา” โบ้รับคำ

“ปกติใช้เวลาเดินเท้าเท่าไรจึงจะถึงหมู่บ้าน” เจ้ถามอีกครั้งเพื่อคำนวณเวลา

“ถ้าข้าเดินคนเดียวก็ห้าหกวันเห็นจะได้ แต่มีคนไปมากอย่างนี้น่าจะล่าช้ากว่าปกติ”

เจี้ยหลุนค่อนข้างฉลาดทีเดียวที่ไม่พูดว่ามีผู้หญิงกับคุณชายเจ้าสำอางเป็นตัวถ่วง นอกจากหยางเจี้ยนแล้ว ใครมองพวกเจ้ก็ต้องคิดว่าไม่มีทางแบกของหนักไหว เพราะแต่ละคนมีรูปร่างบอบบางอ้อนแอ้นกันทั้งนั้น ยิ่งเป็นผู้ชายหน้าขาวอย่างไป๋อวี้ ก็ยิ่งโดนดูถูกว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

ไม่กี่อึดใจต่อมา พ่อค้าหนุ่มก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อทุกคนแบกของกันได้อย่างสบาย โดยเฉพาะแม่นางไป๋หลินที่ยกสัมภาระขึ้นมาสะพายบ่าราวกับไม่มีน้ำหนักเลย จากที่เป็นฝ่ายปรามาสว่าคนพวกนี้ต้องเหนื่อยหอบ ขอพักตั้งแต่เดินยังไม่พ้นชายป่า กลับกลายเป็นว่าตัวเองต้องเป็นฝ่ายขอพัก

“พวกท่านไม่เหนื่อยกันบ้างหรือไร” เจี้ยหลุนถามขณะทิ้งตัวลงนั่ง พวกเขาเริ่มออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด จนถึงบัดนี้ก็บ่ายแล้ว แต่ยังไม่มีใครแสดงอาการว่าแรงตกให้เห็นเลย

“ก็เหนื่อยนิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกับที่ผ่านมาถือเป็นเรื่องเล็ก” ไป๋อวี้เอ่ย คณะนี้ล้วนผ่านการเดินทางสามวันสามคืนแบบแทบไม่พักมาแล้วทั้งสิ้น

เจี้ยหลุนหันไปมองคนพูดด้วยสายตาประหนึ่งกำลังมองสัตว์ประหลาด เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าไป๋อวี้ไม่มีเหงื่อเลยสักหยด ยิ่งคนพวกนี้ต่างกับปกติมากเท่าไร เจี้ยหลุนก็ยิ่งสังหรณ์ใจไม่ดีมากขึ้นเท่านั้น แต่ครั้นจะถามซอกแซกหรือยกเลิกกลางคันก็ไม่กล้า จึงจำใจทำหน้าที่ต่อไป

เมื่อเดินลึกเข้าไปในป่า สภาพแวดล้อมและอากาศก็เริ่มเปลี่ยนไป จากป่าโปร่งสบายตาเปลี่ยนเป็นมีต้นไม้ขึ้นหนาทึบ อากาศที่เคยเย็นสบายกลายเป็นหนาวจัด สายลมในป่าไม่กระโชกรุนแรง แต่เย็นเยือกทำให้สั่นสะท้าน โชคดีอย่างเดียวของคณะเดินทางคือ หิมะไม่ตก

ทุกคนหยุดพักเมื่อพระอาทิตย์ใกล้ตกดิน วันนี้พวกเขาเดินทางได้ไกลกว่าที่คิดมาก ถ้าเดินทางให้ได้ระยะเท่านี้ทุกวัน จะไปถึงก่อนกำหนดอย่างน้อยครึ่งวัน พวกนายจ้างคนอื่นไม่ว่ากระไร เว้นแต่แม่นางคนงามซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่ม นางบอกว่ายังเร่งเดินทางได้มากกว่านี้อีก จึงจัดการจัดสัมภาระเสียใหม่ให้คนนำทางอย่างเจี้ยหลุนแบกแต่ของน้ำหนักเบา ส่วนของหนักนั้นนางเอาไปให้พวกตัวเองถือ ปรับเปลี่ยนเพียงเท่านี้ การเดินทางก็เร็วขึ้นมาก เพียงสามวันครึ่งก็มาถึงเขตล่าของพวกคนป่า

บริเวณนี้มีร่องรอยของมนุษย์ปรากฏให้เห็นเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้า หญ้าที่ถูกเหยียบย่ำตามทางเดิน และเศษขี้เถ้าจากการก่อกองไฟ สิ่งเหล่านี้คือสัญญาณว่าอีกไม่นานพวกเขาจะได้พบคนป่า

เจี้ยหลุนเดินนำทุกคนลัดเลาะจากเขตล่าทะลุออกมายังบริเวณที่มีต้นไม้ขึ้นบางตากว่า แล้วหยุดเดินทันทีเมื่อพบสัญลักษณ์กากบาทบนต้นไม้ รอยนี้ลุงของเขาเป็นผู้ทำไว้เพื่อบอกอาณาเขตของหมู่บ้าน

“พวกท่านรออยู่แถวนี้ก่อน ห้ามขยับหรือทำอะไรเด็ด...”

ไม่ทันขาดคำ คนป่าจำนวนมากก็กรูกันมาล้อมรอบทุกคนไว้ ในจินตนาการของโบ้ พวกคนป่าต้องนุ่งห่มใบไม้ ไม่ก็ไม่ชอบใส่เสื้อผ้าอย่างพวกชนเผ่าตองเหลืองทางเหนือของไทย แต่พอเจอตัวจริงกลับผิดจากที่คาดไว้มาก พวกเขาดูใกล้เคียงกับชาวบ้านทั่วไป แม้ส่วนใหญ่จะสวมเครื่องนุ่งห่มที่ทำจากหนังสัตว์ก็ไม่ดูแปลกตา

“ใจเย็นๆ ก่อน พวกเรามาดี” เจี้ยหลุนรีบพูด ทว่าทุกคนกลับยังดูเกรี้ยวกราด ชายหนุ่มจึงตะโกนบอกให้ใจเย็นอีกครั้งเป็นภาษาของชนเผ่า พร้อมกับเรียกชื่อ ‘อาโต’ เสียงดัง

อาโตคือคนป่าที่พูดภาษาเจียงได้ แต่ไม่ว่าเรียกอย่างไร อาโตก็ไม่ปรากฏตัวสักที เจี้ยหลุนจึงพยายามพูดว่านำของขวัญมาให้แทน แม้จะติดต่อกันมานาน แต่ก็ค้าขายกันโดยมีล่ามตลอด พวกคนป่าไม่มีใครเข้าใจภาษาอันกระท่อนกระแท่นของชายหนุ่มเลย มิหนำซ้ำยังทำท่าโกรธกว่าเดิมอีก

“พวกมันพูดว่าอะไร” เจ้ถาม

“ขะ...ข้าก็ไม่รู้”

เจี้ยหลุนหน้าซีดเผือดเมื่อปลายแหลมของหอกอยู่ห่างตัวไปเพียงคืบเดียว เขาค้าขายมาเป็นสิบปี แต่ไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้สักหน เจี้ยหลุนผู้โง่เขลาตัดสินใจพลาดไปเสียแล้วที่เห็นแก่อามิสสินจ้างจนต้องเอาชีวิตของตนมาทิ้งอย่างไร้ค่า

“ข้ายังไม่อยากตาย ปล่อยข้าไปเถอะ” ชายหนุ่มคร่ำครวญ

เจ้หันไปสบตากับหยางเจี้ยนเป็นเชิงถามว่าควรจะสู้ดีไหม ถึงพวกคนป่าจะมีมากกว่าถึงสามเท่า แต่อาวุธที่ใช้ไม่ค่อยดีนัก หอกปลายทู่อย่างนี้ ถ้าไม่เจอจังๆ ย่อมแทงอะไรแทบไม่เข้า เรื่องฝีมือก็น่าจะไม่เท่าไร

“คงต้องสู้แล้วละ” หยางเจี้ยนบอก

“อย่าเพิ่ง!” โบ้รีบห้าม “พวกเขาไม่ได้คิดจะฆ่าเรา เพียงแต่ถามว่าใช่พวกติโน่หรือเปล่า”

“อาเจ๊ฟังออกด้วยหรือ” ไป๋อวี้ทำหน้าประหลาดใจ

“ก็พอฟังรู้เรื่อง”

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบตอบพวกมันไป แล้วอธิบายเร็วเข้า อธิบายดีๆ นะ” เจ้ย้ำประโยคหลัง เพราะไม่ใคร่จะไว้ใจโบ้นัก ที่ว่าฟังออกนี่ชัวร์หรือมั่วนิ่มก็ยังไม่ทราบได้

โบ้กระแอมหน่อยหนึ่ง แล้วเริ่มต้นสื่อสารกับพวกคนป่า ได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ พวกนั้นยอมลดอาวุธลง จากนั้นก็สนทนากันยาว ยิ่งได้ฟัง เจ้ก็ยิ่งคุ้นภาษานี้ เธอคิดว่าเคยได้ยินมันมาก่อน

‘ใช่แล้ว...ภาษาจากโลกเดิม’

“อิโบ้! แกพูดอิตาลีได้” เจ้อุทานออกมาเป็นภาษาไทยเพราะตกใจมาก การเรียนภาษาอิตาลีสำหรับเจ้ถือว่ายาก เพราะต้องผันกริยาเยอะมาก และมีจุดยิบย่อยที่ต้องจำเยอะกว่า

“ก็นิดหน่อยค่ะ แบบว่าฝึกเอาไว้เผื่ออนาคตมีสามีชื่อ ‘อันโตโอ้โห’ เอ๊ย! ‘อันโตนิโอ’”

โบ้เริ่มเรียนภาษาหลังจากชนะน็อกนักชกชาวอิตาลี เขารู้สึกผิดมากที่ต่อยหน้าพ่อเทพบุตรเสียจนตาแตก พยายามจะขอโทษขอโพยหลังการชกก็คุยกันไม่รู้เรื่อง เลยหมายมั่นปั้นมือว่าจะไปเรียนภาษา เกิดมีศึกล้างตาขึ้นมาเมื่อไรจะได้คุยกันจ๊ะจ๋าหลังจากชกเสร็จ เสียดายเหตุการณ์นี้ไม่เกิดเพราะคู่ชกแขวนนวมไปหลังจากนั้นไม่นาน

โบ้เกือบหยุดเรียนไปแล้วเพราะแรงบันดาลใจหมด แต่มาฮึดสู้อีกครั้งตอนได้ดูฟุตบอลโลก ถึงดูไม่ครบ แต่ไฟในการแสวงหาความรู้นั้นลุกโชนมาก

‘ทีมชาติอิตาลีไม่ได้แค่เล่นบอลเก่ง ยังน่ากินมากด้วย’

นี่เป็นอีกครั้งที่โบ้แสดงศักยภาพของตัวเองออกมาให้เห็นว่าไม่ได้โง่ แต่เป็นเรื่องของแรงจูงใจล้วนๆ

เจ้เริ่มสงสัยว่าเพื่อนอาจพูดเกาหลีได้อีกภาษา เพราะเห็นว่าบ้าดาราเกาหลีเสียเหลือเกิน แต่ก็ไม่สบโอกาสให้ถามเพราะสถานการณ์ไม่เอื้อ โบ้กำลังคุยพวกกับพวกคนป่า พร้อมกันนั้นก็แปลให้ทุกคนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น

“ลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้านถูกคนของเผ่าติโน่จับไป พวกเขาเลยเตรียมตัวไปช่วย แต่บังเอิญเจอพวกเราก่อน”

การชิงตัวผู้หญิงระหว่างสองเผ่าถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าคนรักของฝ่ายหญิงจริงจังก็จะยกพรรคพวกไปต่อสู้แย่งตัวคืนมา แต่สถานการณ์ในวันนี้ตึงเครียดกว่าปกติ เพราะผู้หญิงไม่ได้ถูกชิงตัวไป แต่มีการประกาศศึกระหว่างสองเผ่าด้วย ทางฝั่งติโน่โอ้อวดว่าพวกอิโต่ต้องแพ้แน่นอน พวกมันได้เตรียมสั่งสุราจากภายนอกมาดื่มฉลองชัยแล้ว เพราะเหตุนี้ทุกคนจึงถูกเข้าใจผิด

“แม่นางช่วยบอกทีว่า ข้ามาตามคำสั่งหัวหน้าหมู่บ้านอิโต่ ไม่ใช่คนของติโน่”

“ข้าอธิบายเรียบร้อยแล้ว พวกเขาเลยบอกให้เรากลับไป”

โบ้แปลอย่างรวบๆ ทั้งที่ความจริงคือพวกคนป่าหมดอารมณ์ค้าขาย ทั้งยังไม่พอใจที่มีคนนอกเข้ามามากเกินไป จึงขับไล่พร้อมขู่ฆ่า

“ไม่ได้...เราจะถอยไม่ได้เด็ดขาด” เจ้เอ่ยอย่างมุ่งมั่น ต่อให้ต้องใช้กำลังเธอก็จะทำให้คนป่าพวกนี้ช่วยนำทางไปแดนมายาให้ได้ “บอกไปว่าเราจะช่วยสู้ด้วย”

เจ้ตัดสินใจลุยด้วยหวังจะให้สงครามระหว่างสองเผ่ายุติโดยเร็วที่สุด หรือไม่อย่างน้อยๆ ก็ได้ตีสนิทหาคนนำทาง แต่พวกคนป่าเกลียดคนนอก มีหรือจะยอมให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้มาร่วมต่อสู้ แต่เพราะโบ้พูดภาษาตนได้อย่างคล่องปาก ทั้งยังมีเจ้ซึ่งมีทักษะการเจรจาคอยบอกว่าต้องโน้มน้าวอย่างไร ในท้ายที่สุดพวกคนป่าก็ยอมพาทุกคนไปพบหัวหน้าเผ่า

หัวหน้าเผ่ากำลังโมโหจึงไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า เขาไล่ให้ทุกคนกลับไปอย่างก้าวร้าว แต่เหตุการณ์กลับพลิกผัน เมื่อคนที่ส่งไปสอดแนมกลับมาบอกว่า พวกติโน่ใช้คนนอกมาร่วมรบด้วย คาดว่าน่าจะเป็นพรานป่า ทั้งยังมีหน้าไม้และดาบจำนวนมาก ต่อให้ทุกคนช่วยกันสู้ก็ไม่มีทางชนะ

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น หัวหน้าเผ่าก็รู้ทันทีว่าไม่มีทางเลือก หากไม่ตายเพื่อรักษาศักดิ์ศรี ก็ต้องยกลูกสาวให้พวกติโน่ไป พร้อมจ่ายค่าสงบศึกด้วยอาณาเขตการล่า แหล่งน้ำ ไม่ก็สัตว์เลี้ยง หากพวกนั้นเรียกร้องมากไป ท้ายที่สุดก็ต้องพากันตายเพราะความอดยากอยู่ดี

โบ้แปลทุกอย่างที่คนป่าพูดกันให้ทุกคนฟังตลอด ถึงจะสรุปความไม่ได้เรื่องนักก็พอทำให้เห็นภาพและเข้าใจสถานการณ์ เจ้เห็นเป็นจังหวะเหมาะจึงให้โบ้อาสาช่วยเหลืออีกครั้ง พร้อมกับบอกว่าพวกตนมีอาวุธ

หัวหน้าเผ่าอนุญาตให้ร่วมรบในที่สุด แม้พวกคนนอกจะดูไร้ฝีมือ แต่อาวุธของพวกเขาคมกริบเป็นประกายแวววาว ทั้งสวยงามและทรงอานุภาพ หากนักรบของเผ่าได้มาครอบครองต้องฆ่าพวกติโน่ได้เป็นจำนวนมากแน่ หัวหน้าเผ่าแสดงออกว่าอยากได้กระบี่ของหยางเจี้ยมาก แต่ไม่ช่วงชิงมาทันที เนื่องจากไม่อยากให้เกิดการต่อสู้จนต้องสูญเสียกำลังพล

ชายชราคิดอย่างชั่วร้ายว่า จะรอให้คนพวกนี้สู้จนอ่อนล้าแล้วค่อยชิงอาวุธมาเป็นของตัวเอง จึงจัดให้คนนอกทุกคนอยู่แนวหน้า โดยอ้างว่าต้องการให้แสดงความจริงใจและความกล้าหาญ ทั้งที่ความจริงต้องการให้เป็นโล่และส่งไปตาย

-โปรดติดตามตอนต่อไป-



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 4 พ.ค. 2559, 18:36:51 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 4 พ.ค. 2559, 18:36:51 น.

จำนวนการเข้าชม : 1208





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑ สุวรรณมาลี   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๓ ฤทธิ์ของหมอก >>
Zephyr 9 พ.ค. 2559, 16:23:01 น.
อืมมมม พวกนี้ห่างมานานได้สู้มันแน่ๆ
ไม่ตายหรอกนะ อีกเผ่าคงกระอักเช่นกัน เหอๆๆๆ
มันแน่ๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account