ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๘ ตัววุ่นวายอยู่ในกล่อง ๑

ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๘ ตัววุ่นวายอยู่ในกล่อง ๑



บทที่ ๘ ตัววุ่นวายอยู่ในกล่อง ๑



ก่อนหนีออกจากหุบเขาหิมะ โบ้ได้ทิ้งจดหมายเอาไว้ฉบับหนึ่ง ใจความคือมีเรื่องสำคัญต้องทำ ขอร้องอย่าให้ทุกคนตามหา เสร็จธุระแล้วจะรีบกลับมาทันที หากเป็นยามปกติ ประมุขมู่คงยอมหลับตาข้างหนึ่งปล่อยให้ธิดาทำตามใจ แล้วส่งไป๋อวี้กับคนสนิทสักคนตามไป ทว่ายามนี้สถานการณ์ในยุทธภพตึงเครียด ฝ่ายอธรรมมีใจเหิมเกริม ซ้ำร้ายไป๋หลินซึ่งถือครองกระบี่หิมะยังเป็นที่ต้องการตัว หากพรรคมารรู้เข้า ย่อมออกตามล่าตัวนาง



เพื่อความปลอดภัยของบุตรสาว ประมุขแห่งอุดรจึงปิดข่าวเรื่องไป๋หลินแอบหนีออกจากหุบเขาหิมะ แล้วส่งยอดฝีมือที่ไว้ใจได้ออกตามหา โดยมีเบาะแสคือลู่เสียน ไป๋หลินใช้ลู่เสียนเป็นพาหนะ ดูจากรอยเท้าและทิศทางการวิ่งเห็นชัดว่ามุ่งลงใต้ พอคิดถึงที่อยู่ของบรรดาสหายที่นางให้ความสำคัญ ก็อนุมานได้ว่าไป๋หลินกำลังไปเมืองหลวง



เหล่ายอดฝีมือจากพรรคเทพสวรรค์มุ่งไปยังเมืองหลวงทันที ทว่ายิ่งตามรอยกลับพบว่าจุดหมายปลายทางไกลออกไปเรื่อยๆ จากเมืองหลวงไปจุ้ยห้าน แล้วลงใต้ต่อไปยังซัวหวงซึ่งเป็นเมืองขึ้นของเจียงเฉียง พวกเขาตามรอยกันแบบไม่หยุดพักแต่ก็ไม่เคยทันเพราะลู่เสียนนั้นฝีเท้าจัด วิ่งได้เป็นระยะเวลานานโดยไม่หยุดพัก



การติดตามลู่เสียนถือว่ายากแต่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ อาชาตัวโตสีขาวปลอดสง่างามย่อมเป็นที่จดจำ พวกเขาจึงตามรอยต่อไปได้เรื่อยๆ โดยไม่เฉลียวใจเลยว่าไป๋หลินนั้นก็เป็นสตรีที่งดงามโดดเด่นไม่แพ้กับม้า เหตุใดจึงไม่มีใครเอ่ยถึงนางเลย กว่าจะรู้ตัวว่าคนที่ตามหาไม่ได้ลงใต้มาพร้อมกับม้า ไป๋หลินก็เข้าไปอยู่ในสถานที่อันตรายซึ่งยากแก่การติดตามเสียแล้ว



ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าการปล่อยลู่เสียนออกมาจะเป็นแผนลวง แม้แต่คนที่หนีออกมาก็ไม่คิดเช่นกันว่าบทสรุปจะออกมาในลักษณะนี้ แรกเริ่มเดิมทีโบ้ตั้งใจจะหนีออกมาเพียงลำพัง เขาหลบออกมาจากห้องได้โดยไม่มีใครพบเห็น แต่ไม่สามารถฝ่าด่านยามที่เฝ้าอยู่ตรงปากทางเข้าไปได้



โบ้ไม่อยากใช้กำลังและไม่อยากทำให้เอิกเกริกเกินไป จึงได้แต่รอจังหวะการผลัดเปลี่ยนยาม ทว่าคนที่ดูแลเรื่องนี้กลับไม่เผอเรอเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำยังวางกำลังแน่นหนากว่าตอนกลางวันเสียเอง ในขณะที่กำลังคิดไม่ตก ลู่เสียนก็ปรากฏกายขึ้นตรงหน้า ทั้งที่ควรจะอยู่ในคอก



ลู่เสียนถูกปล่อยออกมาเดินเล่นเพราะอยู่ๆ ก็อาละวาดกลางดึก ม้าเหยียบเมฆาเป็นม้าที่มีพละกำลังมาก จำต้องได้วิ่งทางไกลสม่ำเสมอ ทว่านับตั้งแต่อี้เทาขึ้นเป็นประมุขอุดรก็มีงานมากมายล้นมือ ไม่ค่อยได้พามันวิ่ง เป็นเหตุให้ลู่เสียนกลายเป็นม้าอารมณ์ร้าย พอถูกร้องเรียนมากเข้า อี้เทาจึงแก้ปัญหาด้วยการยกลู่เสียนให้อยู่ภายใต้การดูแลของไป๋เจี้ยนแทน ลู่เสียนจึงสงบเสงี่ยมลงบ้าง ก่อนจะกลับมากลายเป็นม้าจอมเหวี่ยงอีกครั้งเมื่อไป๋เจี้ยนไม่อยู่



ขณะนี้ไป๋เจี้ยนได้รับคำสั่งให้ไปเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของพรรคมารที่เขตชายแดน ขาดไป๋เจี้ยนไปคุณภาพชีวิตของลู่เสียนก็แย่ลง แม้จะมีไป๋หลง บุตรชายคนที่สองของอี้เทามาดูแลแทน ก็เป็นข้ารับใช้ที่ไม่ได้เรื่องเป็นอย่างยิ่ง อาหารที่จัดมาให้ไม่เคยถูกปาก สื่อสารกันก็ไม่รู้เรื่อง สั่งอย่างหนึ่งไพล่ไปทำอีกอย่าง น่าโมโหเสียจริง



ลู่เสียนอยากให้ไป๋เจี้ยนกลับมาโดยเร็วเสียจริง แต่ที่คิดถึงที่สุดคงเป็นหยางเจี้ยนกับไป๋อวี้ หยางเจี้ยนนั้นมีฝีมือการแปรงขนอันเป็นเลิศ ส่วนไป๋อวี้ก็สื่อสารกันรู้เรื่อง วานง่ายใช้คล่อง น่าโมโหนักที่คนหนึ่งตอนนี้อยู่ไหนก็ไม่รู้ ส่วนอีกคนถูกจับไปฝึกวิชาอย่างเข้มงวด ยิ่งคิดเปรียบเทียบไป๋หลงกับคนโปรดทั้งสองมากเท่าไร ลู่เสียนก็หงุดหงิดมากขึ้นเป็นลำดับ กลายเป็นที่มาของการอาละวาดเตะข้าวของ จนคนดูแลต้องปล่อยให้ออกมาวิ่งกลางดึกก่อนที่คอกม้าจะพัง



ลู่เสียนออกวิ่งไปรอบๆ เขตพรรคเทพสวรรค์ ขณะที่กำลังผ่อนฝีเท้าลงเพื่อทอดน่องชมจันทร์ ม้าเหยียบเมฆาก็ได้กลิ่นคุ้มจมูกมาจากพุ่มไม้ กลิ่นนี้จะเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้วนอกจากไป๋หลิน มันรู้สึกเฉยๆ กับไป๋หลิน แม้จะชอบมากกว่าเกลียดแต่ก็ไม่ยอมให้แปรงขนเด็ดขาดเพราะมือหนักเกินไป



“ฮี่!” ลู่เสียนส่งเสียงเป็นเชิงถามคนที่กำลังซ่อนตัวว่ามาหลบทำอะไรลับๆ ล่อๆ อยู่นี่



“ชู่ว์!...เงียบก่อนพี่ลู่เสียน มาหลบนี่เร็ว” โบ้ทำไม้ทำมือให้ม้าตัวโตเข้ามาหลบหลังพุ่มไม้ด้วย



ลู่เสียนทำเพียงกลอกตามองมนุษย์สมองนิ่ม พุ่มไม้แค่นั้นจะปิดซ่อนร่างกายอันสง่างามของมันหมดได้อย่างไร หรือต่อให้บังมิด ท่านลู่เสียนผู้นี้ก็ไม่นึกอยากทำ



เมื่อม้าไม่เล่นด้วย โบ้ก็ต้องอ้อนวอนอีกหน ทำเลตรงนี้เห็นความเคลื่อนไหวของยามได้ถนัด ทั้งยังไม่เป็นที่สังเกต ถ้าจะแอบออกไปก็ต้องรอจังหวะอยู่แถวนี้เท่านั้น



“ข้าต้องออกไปทำธุระสำคัญ พี่อยู่ตรงนี้มันเป็นจุดเด่นนะ เดี๋ยวก็ถูกจับได้กันพอดี”



ม้าสาวเชิดหน้าพลางมองจิกด้วยสายตา ‘เรื่องของเจ้าไม่ใช่ธุระของข้า’ ลู่เสียนสะบัดแผงคอนุ่มสลวยใส่ แล้วเดินจากไป ทว่าความเบื่อหน่ายก็ทำให้มันวนกลับมาที่เดิมอีก เมื่อเห็นว่าไป๋หลินยังไม่ขยับไปไหน สายตาจับจ้องอยู่ที่กลุ่มยามตรงประตูด้านหน้า ความคิดบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัว มันจึงทำท่าหันคอเอี้ยวตัวเหมือนตอนสั่งให้คนแปรงขนให้ ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริง แต่โบ้เคยเดินทางกับลู่เสียนและหยางเจี้ยน จึงเข้าใจว่านี่เป็นคำสั่งให้ตามหยางเจี้ยนมาแปรงขนให้



“ขอโทษนะพี่ลู่เสียน พี่หยางไม่ได้อยู่ที่นี่ ตอนหัวค่ำข้าได้ยินว่าเขาอยู่ซัวหวง ไกลจากที่นี้พันกว่าลี้ได้”



หยางเจี้ยนได้รับคำสั่งให้ไปพบยอดฝีมือที่เร้นกายอยู่ทั่วยุทธภพเพื่อแจ้งข่าวการกลับมาของมารเงิน รวมถึงขอความร่วมมือเผื่อเอาไว้หากมีเหตุร้าย หน้าที่นี้ค่อนข้างยาก เพราะยอดฝีมือแต่ละท่านเมื่อเร้นกายแล้วย่อมปกปิดตัวตนสุดความสามารถ คาดว่าคงไม่ได้กลับมาอีกนาน



ลู่เสียนพยักหน้าอย่างพอใจ มันใช้ขาหน้าเขี่ยดิน ก่อนจะพยักพเยิดไปที่ประตูด้านหน้า เป็นเชิงบอกว่าจะช่วยออกไป จงรอจังหวะให้ดี



โบ้พอเข้าใจท่าทีที่ลู่เสียนต้องการสื่อได้เลาๆ เขาตั้งใจจะขอบคุณแต่ม้าเหยียบเมฆาก็วิ่งออกไปเสียแล้ว ลู่เสียนตรงเข้าไปอาละวาดใส่ยามที่บริเวณทางออก เตะคบไฟกระจัดกระจายดับไปหลายอัน ไม่มีใครกล้าทำร้ายม้าเหยียบเมฆาจึงได้แต่ถอยออกมาเพื่อรอให้มันสงบ โบ้จึงสบโอกาสปีนกำแพงหนีออกไปโดยสะดวก



ลู่เสียนตามโบ้ออกมาหลังจากนั้นไม่นาน ทั้งคู่วิ่งแข่งกันได้พักหนึ่งก่อนจะแยกย้ายไปทางใครทางมัน ลู่เสียนไปตามข้ารับใช้กลับมาแปรงขน ส่วนโบ้มุ่งสู่แดนมายาเพื่อตามหาความรัก





ช่วงเวลาที่โบ้หนีออกมาจากหุบเขาหิมะ บริเวณชายป่าซึ่งเป็นทางผ่านเข้าสู่แดนมายาถูกเหล่าจอมยุทธ์เฝ้าจับตาเอาไว้ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างเข้มงวด โบ้เห็นพี่ใหญ่ของตัวเองเดินตรวจตราอยู่แวบๆ จึงไม่สามารถใช้ทางเดิมที่คนนำทางพาไปได้อีก หรือต่อให้ใช้ได้ก็จำทางไม่ค่อยจะได้อยู่ดี โบ้จึงแก้ปัญหาตามแบบฉบับตัวเองด้วยการใช้สัญชาตญาณคลำทางเอา



โบ้ไม่มีแผนที่ ไม่คุ้นเคยเส้นทาง ทั้งยังเตรียมตัวมาไม่ดี สุดท้ายก็หลงทาง โบ้เดินวนอยู่ในป่าลึกหลงกลับมาที่เดิมเสียหลายครั้งหลายครา เสบียงที่เตรียมมาหมดไปหลายวันแล้ว แต่แทบไม่พบสัตว์หรือพืชผลที่สามารถเด็ดมาประทังความหิวได้เลย โบ้กุมท้องที่กำลังแผดเสียงร้องอย่างทรมาน กระนั้นก็ยังไม่หยุดก้าวเดิน เขายึดมั่นอย่างโง่งมว่าโชคชะตาจะต้องนำพาตัวเองไปสู่เส้นทางที่ถูกต้องแน่



ไม่รู้ว่าเพราะโชคชะตามีจริงหรือเพราะความบ้าและพละกำลังที่มากกว่าคนทั่วไปกันแน่ โบ้จึงหลุดออกจากป่าทึบมาเจอหมู่ป่าคนป่าจนได้ หมู่บ้านนี้ไม่คุ้นตามองแล้วไม่น่าจะใช่หมู่บ้านของเผ่าอิโต่ที่เคยมาพักอยู่คราวก่อน



“มีใครอยู่ไหม!” โบ้ตะโกนออกไปเป็นภาษาของคนป่า



อึดใจก็มีคนกลุ่มหนึ่งโผล่ออกมาจากพุ่มไม้พร้อมอาวุธ แต่พอเห็นว่าผู้บุกรุกเป็นใคร คนกลุ่มนี้ก็เบิกตากว้าง แล้ว วิ่งหนีกันไปคนละทิศละทางอย่างไม่คิดชีวิต



โบ้มองอาการของคนป่าเหล่านั้นอย่างไม่เข้าใจ เขาเหลียวไปมองด้านหลังก็ไม่เห็นว่ามีอันตรายหรือสัตว์ร้าย จึงได้แต่วิ่งตามเข้าหมู่บ้านไปเพื่อสอบถามความจริง ทำให้เกิดความโกลาหลวุ่นวายไปกันใหญ่ ทุกคนที่เห็นโบ้ถ้าไม่วิ่งป่าราบก็หนีไปซ่อน



ความกลัวของคนป่าพวกนี้มีเหตุผล ที่แท้แล้วพวกเขาคือเผ่าติโน่ที่สู้กันคราวก่อน โบ้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ไปมาก ทุกคนจึงจำฝังใจว่าสตรีชุดขาวนางนี้คือแม่มดผู้โหดเหี้ยม ทางด้านคนที่ถูกกล่าวหาเป็นแม่มดนั้นกลับไม่รู้ตัวเลยสักนิด จอมยุทธ์หญิงเห็นไม่มีคนยอมคุยด้วย เลยใช้กำลังคว้าตัวคนที่อยู่ใกล้ที่สุดมาคุยด้วยเสียเลย



“อ๊าก! แม่มดแตะตัวข้าแล้ว ข้าถูกคำสาป ข้าถูกคำสาป!”



คนป่าหวีดร้องอย่างหวาดกลัว เขาคร่ำครวญอ้อนวอนขอชีวิตต่อแม่มดอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยไม่หยุดสังเกตเลยว่าสตรีที่คว้าตัวไว้มิได้มีเจตนาร้าย โบ้เห็นเขากลัว ก็เลยปล่อยมือก่อน หมายจะบอกให้สงบสติอารมณ์ แต่อีกฝ่ายกลับยิ่งลนลาน ถึงกับฉี่ราดต่อหน้าเลยทีเดียว



“ข้ากลัวแล้ว อยากให้ข้าทำอะไรข้ายอมทำนั้น แก้คำสาปให้ด้วย ไว้ชีวิตข้าด้วย”



“ข้าไม่ได้สาปเจ้า ข้าแค่หลงทางแล้วก็หิวมากด้วย” โบ้อธิบาย



ไม่รู้ว่าคนป่าตีความไปอย่างไร คำอธิบายของโบ้กลายเป็นคำสั่งไปเสียฉิบ ชายหนุ่มตะโกนเรียกร้องบอกทุกคนว่าแม่มดจะสาปแช่งหมู่บ้านนี้ถ้าไม่หาอาหารมาให้นางและปฏิบัติตามคำสั่งนาง



ผู้คนที่หนีกระจัดกระจายกันไปได้ยินดังนั้นก็กลับมารวมตัวกันแบบกล้าๆ กลัวๆ พอมีคนมากเข้า หัวหน้าหมู่บ้านที่เรียกสติกลับมาได้ก็สั่งให้คนจัดหาอาหารที่ดีที่สุดมาให้แม่มดชุดขาว โบ้ที่อดอยากมานานจึงอิ่มหมีพีมัน ทั้งยังได้หลับพักผ่อนอย่างสบายที่บ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ซึ่งบัดนี้อพยพครอบครัวไปนอนกันที่อื่น



โบ้ทึกทักเอาเองว่านี่คือความมีน้ำใจของคนป่า ตรงข้ามกับเจ้าของสถานที่ที่ตกอยู่ในความหวาดวิตกว่าแม่มดจะมายึดครองหมู่บ้านแห่งนี้ และทำให้ทุกคนกลายเป็นทาส แม่มดชั่วร้ายในตำนานของเผ่าติโน่จะใช้งานทาสอย่างหนักจนตาย แล้วชุบชีวิตซากศพขึ้นมาใหม่ กลายเป็นผีร้ายซึ่งจะต้องรับใช้แม่มดไปตลอดกาลไม่มีวันได้รับการปลดปล่อย ซึ่งข้อหลังนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าความตาย



ค่ำคืนนั้นนอกจากผู้บุกรุกที่นอนหลับฝันดีแล้ว ไม่มีใครข่มตานอนลงได้เลย ทุกคนอยากหาทางขับไล่แม่มด แต่ก็กริ่งเกรงในอำนาจของนางเกินกว่าจะกระทำการใดๆ ได้ แม้แต่กระซิบปรึกษากันเงียบๆ ก็ไม่มีใครกล้า ทั้งหมู่บ้านจึงตกอยู่ในความเงียบจวบจนกระทั่งรุ่งสาง





โบ้ตื่นมาอย่างสดชื่นส่วนคนป่านั้นล้วนมีสีหน้าหม่นหมอง ผู้บุกรุกที่ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวกินอาหารเช้าเข้าไปเต็มคราบแล้วเริ่มขอความช่วยเหลือให้นำทางไปยังป่าหมอก



เขตหมอกนั้นเป็นสถานที่ต้องห้ามที่ไม่ว่าเผ่าไหนก็ไม่อยากย่างกรายเข้าไป ทุกคนเชื่อว่ามันเป็นแดนอาถรรพ์ จึงปักใจว่าแม่มดต้องการกระทำพิธีกรรมบางอย่าง ที่อาจต้องใช้ชีวิตคนเป็นเครื่องเซ่นสังเวย



“ท่านต้องการคนเท่าไร” หัวหน้าหมู่บ้านถามเสียงเครียด



“ขอรบกวนแค่คนเดียวก็พอแล้ว แต่ถ้าขากลับกลัวเหงาจะไปส่งข้าหลายๆ คนก็ไม่ว่าหรอกนะ”



“มะ...ไม่ ท่านพูดทีแรกว่าแค่คนเดียว ต้องคนเดียวเท่านั้น จะเอาไปเพิ่มไม่ได้” หัวหน้าหมู่บ้านผู้เข้าใจผิด พยายามแข็งใจต่อรองเพื่อปกป้องชีวิตคนของตน



“ขอแค่พาไปถูกจะยังไงก็ได้”



โบ้ไม่อยากรบกวนมากนัก แต่ครั้นจะให้บอกทางแล้วเดินไปเองก็กลัวหลงอีก



“ท่านต้องการผู้หญิงหรือผู้ชายหรือเด็ก”



“ใครก็ได้ที่รู้ทาง แต่ผู้ชายก็ดีนะ”



โบ้คิดในแง่ว่าขากลับจะได้ไม่ต้องห่วงความปลอดภัย ทว่าในตำนานของคนป่า การใช้เครื่องสังเวยเป็นผู้ชายคือการทำยาอมตะ โดยสูบเลือดของเครื่องสังเวยจนแห้ง แม้จะรู้เช่นนั้นแต่เหล่าคนป่าก็มิอาจขัดขืนจำเป็นต้องแลกหนึ่งชีวิตกับคนทั้งหมู่บ้าน



“ข้าจะไปเอง” นักรบคนหนึ่งอาสา



“ไม่ได้ ขาดเจ้าพวกติโน่จะยิ่งได้ใจ บุกมายึดดินแดนเราเพิ่ม”



ครั้งก่อนพวกเขาพ่ายแพ้ในการรบทำให้ต้องเสียพื้นที่ล่าสัตว์ไปส่วนหนึ่ง แม้จะไม่เดือดร้อนมาก แต่หากถูกบีบเอาพื้นที่ไปอีกอนาคตต้องลำบากแน่



“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปเอง” ผู้เฒ่าวัยหกสิบอาสา



“ไม่ได้ พ่อหมอเป็นคนทำยา ขาดท่านจะเป็นเช่นไร”



“ข้าไปเอง ข้าอยากไป” เด็กน้อยที่เพิ่งจะแปดขวบอาสา เขาไม่เกรงกลัวเพราะยังอ่อนเดียงสายิ่งนัก



“เจ้ารู้ทางไปป่าหมอกเสียทีไหน” มารดาของเด็กน้อยปราม



คนต่อไปที่อาสาคือบุตรชายของหัวหน้าหมู่บ้าน แต่ทุกคนก็คัดค้านอีกเพราะเขาต้องสืบทอดตำแหน่งต่อไป ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มเคราะห์ร้ายคนหนึ่งจึงถูกบังคับให้เป็นตัวแทน เขากำพร้าพ่อแม่และไม่มีอะไรโดดเด่น หัวหน้าหมู่บ้านจึงเกลี้ยกล่อมว่าจะสรรเสริญเขาดุจผู้กล้านับจากนี้ เด็กหนุ่มที่ถูกปฏิบัติอย่างกาฝากมาทั้งชีวิตเลยตัดสินใจยอมเสียสละตน เขานำทางแม่มดชุดขาวไปยังป่าหมอก เมื่อถึงจุดหมายแล้วก็เผชิญหน้ากับนางอย่างหาญกล้า



“ถึงที่แล้ว อยากทำอะไรข้าก็ทำเลย”



เด็กหนุ่มหลับตาลง เขาปล่อยแขนลงอย่างผ่อนคลาย นึกถึงนามของตัวเองที่จะถูกสลักเอาไว้บนศิลาผู้กล้ากลางหมู่บ้าน คนในเผ่าติโน่จะต้องสรรเสริญเขาไปตราบนานเท่านาน ความอิ่มเอมนี้ทำให้เขาไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไปแม้ว่าแม่มดชุดขาวกำลังจับมือตน



“ขอบคุณนะ” เสียงหวานใสดังที่ข้างหู



นี่คือการขอบคุณธรรมดาแต่หนุ่มน้อยเผ่าติโน่กลับคิดไปว่ามันเป็นมนตรา สมองมันเลยพานแปลสิ่งที่นางเอ่ยออกมาไม่ออกเสียอย่างนั้น สิ่งที่เขารู้แน่ชัดคือแม่มดยัดบางสิ่งใส่มือเขา จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ถอยห่างออกไป เด็กหนุ่มยืนรอความตายอยู่เนิ่นนาน แต่สิ่งที่เฝ้ารอก็ไม่มาถึง เขาจึงค่อยเปิดเปลือกตาออกแล้วจึงพบว่าร่างกายของตนไม่มีความผิดปกติอันใด สิ่งที่แม่มดชุดขาวมอบให้คือเงินที่พวกคนนอกใช้กัน



‘เป็นไปได้หรือที่เขาไม่ถูกฆ่าซ้ำยังได้ของตอบแทนอีก หรือข้าจะตายแล้วไม่รู้ตัว’



เด็กหนุ่มยืนคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่ได้รับคำตอบ เขาจึงกลับไปที่หมู่บ้าน แล้วเล่าเรื่องทุกอย่างให้หัวหน้าหมู่บ้านฟัง หลายคนไม่เชื่อว่าแม่มดจะไม่ทำอะไร ทุกคนรังเกียจเขายิ่งกว่าเดิมเพราะคิดว่าโดนคำสาปร้ายมา เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายในหมู่บ้าน เด็กหนุ่มก็เลยโดยแยกให้ออกไปอยู่ที่อื่นเป็นการชั่วคราว พร้อมกันนั้นก็ปลอบใจทุกคนในหมู่บ้านว่า



“แม่มดชุดขาวจากไปแล้ว นางคงไม่กลับมาที่นี่อีก อย่าได้แตกตื่นกันไป”



คำประกาศของหัวหน้าหมู่บ้านทำให้ทุกคนอุ่นใจขึ้น น่าเศร้าที่การคาดคะเนนั้นผิดมหันต์ ไม่ทันจะผ่านไปสองวัน แม่มดชุดขาวก็กลับมาทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวนและ ‘ขอข้าวกิน’





การเข้าไปในแดนมายานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีแหวนอันธการและรู้ทางเข้าก็ยังต้องหากลไกที่ซ่อนอยู่ให้พบเสียก่อน เพื่อเปิดการทำงานของแหวน นอกจากนี้ยังต้องเข้าไปในช่วงเวลาที่เหมาะสม คนของพรรคมารที่ถูกส่งมาทำงานข้างนอกจะรู้ขั้นตอนและวิธีการคำนวณเวลา แต่จุดที่มีกลไกนั้นเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณหาเอาเอง



โบ้ที่ค่อนข้างจะหัวช้าจึงหากลไกไม่พบ เขาพยายามจนหมดแรงเลยกลับเข้าหมู่บ้านไปขออาหาร ได้กินอิ่มนอนพักเต็มที่ก็กลับมาที่ป่าหมอกอีก ทำวนเวียนอยู่เช่นนี้ระยะใหญ่ โดยมีเด็กหนุ่มคนเดิมหรือก็คือ ‘เอียน’ เป็นผู้นำทางพาไปยังป่าหมอกทุกครั้ง การที่เอียนยังอยู่รอดปลอดภัยและได้รับเหรียญเงินกลับมาเป็นรางวัลเสมอ ทำให้คนในหมู่บ้านมองโบ้เปลี่ยนไป จากเดิมที่คิดว่านางเป็นแม่มดชั่วร้าย ก็เริ่มมองว่านางเป็นแม่มดที่มีพฤติกรรมประหลาดและไม่น่าจะมีพิษภัย



พวกเด็กเริ่มเข้ามาเล่นกับโบ้ ผู้ใหญ่บางคนก็พูดคุยด้วย มีแค่หัวหน้าหมู่บ้านกับพวกนักรบที่ยังคงเฝ้าระวังกันอยู่ เมื่อเวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง ความระมัดระวังก็เริ่มย่อหย่อนลง เสียดายที่ยังไม่ทันเกิดความไว้ใจต่อกัน แม่มดชุดขาวก็หายตัวไปในป่าหมอก ทุกคนล้วนโล่งใจที่หญิงสาวจากไปเสียได้ มีก็แต่เอียนเท่านั้นกระมังที่รู้สึกเหงา เขาเป็นคนเดียวที่รู้ว่าแม่มดชุดขาวมิได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด นางเป็นแค่จอมยุทธ์หญิงผู้อารี หรืออย่างน้อยๆ นางก็บอกเขาเช่นนั้น



เอียนรู้ว่านางต้องไปทำธุระในป่าหมอก ไม่มีกำหนดกลับมาแน่นอน เขาจึงแอบทำนายชะตาให้นาง โดยใช้วิธีง่ายๆ เริ่มแรกคือก่อไฟด้วยไม้จากเถาวัลย์สีม่วง แล้วนำเอาใบไม้จากเถาวัลย์ชนิดเดียวกันมาอังรอบเปลวไฟ วนไปทางขวาสามรอย ซ้ายสามรอบแล้วเอ่ยนามของผู้ที่ต้องการทำนายชะตา ถ้าคนคนนี้มีเคราะห์ใบไม้จะเปลี่ยนสีจากม่วงเป็นดำ ถ้าเปลี่ยนแค่ขอบถือว่าโชคร้ายเล็กน้อย ครึ่งใบถือว่าเจ็บหนัก ส่วนทั้งใบหมายถึงชีวิต



เด็กหนุ่มทำพิธีกรรมแล้วพลิกใบไม้ขึ้นมาดู ผลคือมันเปลี่ยนสีตรงกลาง เนื้อที่กินบริเวณไม่ถึงครึ่งใบทำให้วางใจได้ แต่ที่ทำให้งุนงงคือรูปแบบของมัน



“ดูไปก็คล้ายรูปหัวใจอยู่นะ หมายความว่าอย่างไรกัน”



เด็กหนุ่มมองรอยปริศนาอย่างไม่เข้าใจ ครั้นจะไปถามผู้เฒ่าก็ไม่กล้า เลยปล่อยให้คาใจอยู่เช่นนั้น





ในขณะที่เอียนทิ้งใบไม้ซึ่งเปลี่ยนสีเป็นรูปหัวใจลงกับพื้น โบ้ก็ได้มาถึงถ้ำซึ่งเขาเข้าใจว่ามันเป็นทางเข้า ทั้งที่ในความเป็นจริงมันคือกับดักที่เตรียมเอาไว้จัดการผู้บุกรุก โบ้เดินเข้าไปไม่ทันไรก็เหยียบเข้ากับกับดัก ถูกลูกดอกโจมตีชุดใหญ่ จอมยุทธ์หญิงใช้ปฏิกิริยาตอบสนองอันรวดเร็ว จัดการใช้ดาบปัดป้องจนรอดมาได้หวุดหวิด ทว่าดวงคล้ายจะมีเคราะห์อย่างที่เอียนทำนาย โบ้เจอกับกับดักอันตรายไปหลายอัน ถ้าชุดขาวที่สวมไม่ได้มีคุณสมบัติดังเช่นเกราะอ่อน คงมีได้ฟกช้ำดำเขียวกันบ้าง



โบ้เสียเวลาไปหนึ่งชั่วยามกว่าจะมาถึงทางแยกที่เขาพบกับนกสีเงิน สัญชาตญาณบอกโบ้ว่าใช่ตรงนี้แน่ถูกต้องแล้ว เขาก็เลยหยุดรอให้นกสีเงินปรากฏกาย



“มาสิเจ้านกน้อย จิ๊บๆๆ กุ๊กๆๆ”



โบ้เรียกนกเรียกไก่มั่วไปหมด ลงทุนหยิบเสบียงออกมาเป็นของล่อก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งหนึ่งชั่วยามผ่านไป โบ้เลยตัดสินใจได้ว่าต้องพึ่งตัวเอง



“โอเพนเซซามี” ลุกขึ้นร่ายค่าถาเต้นท่าเซ็กซี่



เงียบกริบ กำแพงไม่ขยับ แต่ถึงอย่างนั้นไม่ใช่ปัญหา



‘ไม่เปิดให้ ก็ใช้ตีนถีบเอาโลดค่า’



โครม! เสียงฝ่าเท้าประทับหินตามมาด้วยแรงสั่นสะเทือนขนาดย่อม ไม่กี่อึดใจ กำแพงหนาก็พังลง ออกแรงอีกนิดหน่อยก็กว้างเป็นช่องพอให้รอดเข้าไปแบบสวยๆ



โบ้เดินยิ้มเข้าไปในทางลับอย่างร่าเริง แสงสว่างรำไรปลายอุโมงค์นำมาซึ่งความหวัง คนช่างมโนคิดอย่างเพ้อฝันว่าชายหนุ่มคนนั้นกำลังรอเขาอยู่ในสวนสวยดั่งแดนสวรรค์แห่งนี้



โบ้ยิ้มกว้างขณะหยีตาสู้แสงอาทิตย์ ฉับพลันรอยยิ้มก็หุบลงเมื่อพบว่าสถานที่ซึ่งเคยงดงามได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง บัดนี้สวยสวนกลับเหี่ยวเฉา ต้นไม้ใหญ่ไม่เพียงแต่แห้งตายยังกลายเป็นสีดำจนดูเหมือนถูกใครสูบเอาพลังชีวิตไปจนหมดสิ้น ผืนดินแตกระแหงแม้แต่ต้นหญ้าสักต้นก็ไม่มีขึ้น



“นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น”



โบ้มั่นใจว่ามาไม่ผิดที่จึงกวาดตาดูโดยรอบ ความเสียหายนี้เกิดขึ้นเป็นแนวกว้างแต่ก็ยังมองเห็นแนวป่าสีเขียวอยู่ เขาลองค้นหาต้นสายปลายเหตุดู แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ โบ้ไม่รู้เลยว่าที่สวนสี่ฤดูแห่งนี้ไม่อาจคงอยู่เหตุเพราะแหล่งพลังงานถูกชิงไป สุวรรณมาลีเมื่อหยั่งรากจะให้พลังแก่สรรพชีวิตมหาศาล แต่เมื่อถูกเด็ดดอกไปมันจะเหี่ยวเฉาในข้ามคืน พืชพันธุ์ที่ต้องพึ่งพิงพลังของสุวรรณมาลีเพื่อผลิดอกผลอย่างฝืนธรรมชาติ จึงเสื่อมสลายในพริบตา



ตัวตนเหตุยังคงเดินงงโดยไม่รู้เรื่องรู้ราวต่อไป ทั้งยังไม่รู้ว่าขณะนี้ถูกจับตามองโดยคนของพรรคมาร ทุกสถานที่ในแดนมายาล้วนมีเวรยาม แม้สวนแห่งนี้จะไม่เหลือความงามแล้วก็ยังมีคนเฝ้าอยู่ เมื่อมีผู้บุกรุกชายหนุ่มจึงส่งสัญญาณเตือนออกไป แต่สัญญาณนั้นถูกระงับโดยตัวแทนหัวหน้าสาขาคนหนึ่ง



‘หัวหน้าสาขา’ คือคำเรียกของผู้ที่มีอำนาจรองลงมาจากผู้อาวุโส ผู้อาวุโสคนหนึ่งจะแต่งตั้งหัวหน้าสาขาได้ไม่เกินแปดคน ดังนั้นทั้งพรรคจะมีหัวหน้าสาขาอยู่สี่สิบแปดคน ในกรณีที่หัวหน้าสาขาเสียชีวิตหรือถูกปลดออกจากตำแหน่งจะมีการแต่งตั้ง ‘ตัวแทนหัวหน้าสาขา’ ขึ้นมาเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปโดยสะดวก ตำแหน่งนี้มักคงอยู่ไม่นาน ถ้าไม่ถูกเลื่อนขึ้นก็โดนถอดออก แต่ในกรณีของเสี่ยวชาวนั้นต่างออกไป



เขาเป็นคนในสังกัดผู้อาวุโสจิวซือ ซึ่งชอบค้นคว้าส่วนใหญ่จะเร้นการมิใคร่ยุ่งเกี่ยวกับการภายใน เมื่อหัวหน้าสาขาคนเก่าชีวิตเขาจึงได้ขึ้นมาแทนจนบัดนี้ก็ผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว เมื่อครั้งที่ได้พบกันกับผู้อาวุโสเมื่อหลายปีก่อน ชายหนุ่มได้ทวงถามเรื่องการแต่งตั้ง ท่านผู้อาวุโสจึงให้สัญญาณว่าหากทำผลงานได้ดีจะเลื่อนตำแหน่งให้ ทว่าสิ่งที่เขาตั้งใจทำกลับไม่เคยประสบความสำเร็จ วันนี้ท่านประมุขมีงานเลี้ยง บรรดาหัวหน้าสาขาล้วนถูกเรียกตัวมา ไม่แน่ว่าอาจมีการแต่งตั้งโยกย้าย ตัวเขาที่ไม่เข้าตาต้องถูกปลดแน่



ขณะที่กำลังกลัดกลุ้มเสี่ยวชาวก็ได้พบกับลาภก้อนใหญ่ เขาบังเอิญพบผู้บุกรุกที่เป็นสตรีโฉมงาม นางเข้ามาได้ลึกแสดงว่ามีวรยุทธ์สูง เขาจึงเฝ้าสังเกตอยู่ห่างๆ จนพบว่ากระบี่ที่นางใช้มีสัญลักษณ์เกล็ดหิมะ ที่เป็นหลักฐานชั้นดีว่าบรรพบุรุษของนางกับพรรคมารมีความแค้นต่อกันอย่างล้ำลึก



“ข้าจะจัดการนางเอก” เสี่ยวชาวออกคำสั่งด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย



ยามซึ่งเป็นผู้น้อยได้ฟังก็ถอยออกมาแต่โดยดี สบโอกาสให้เสี่ยวชาวลบกลิ่นอายตัวเองและสะกดรอยตามไป วิชาของพรรคมารนี้จัดว่าเป็นวิชาระดับสูง ทว่าด้วยฝีมือของไป๋หลิน ย่อมตรวจจับได้ในทันทีว่ามีคนสะกดรอยตาม น่าเสียดายที่บัดนี้ผู้ครอบครองร่างคือโบ้ ความสามารถนี้จึงสูญเปล่า



แม้จะผ่านอันตรายมาหลายครั้ง โบ้ก็ยังคงไม่สำเหนียกว่าควรระวังตัว เมื่อไม่มีหยางเจี้ยนกับไป๋อวี้คอยคุ้มกัน กว่าจะรู้ตัวภัยร้ายก็คืบคลานเข้ามาแล้ว เข็มเคลือบยาพิษพุ่งเข้าปักหลังมือของจอมยุทธ์สาวอย่างแม่นยำ ตรงกับจุดซึ่งมีเส้นเลือดอยู่พอดิบพอดี พิษรุนแรงกระจายเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกายหมดเรี่ยวแรง สติเริ่มเลือนราง



โบ้ขืนตัวเอาไว้ไม่ให้ล้ม พร้อมกันนั้นก็ชักกระบี่ออกมาเพื่อป้องกันตัวเอง



“ใคร...”



เขาฝืนพูดได้แค่นั้น ก็เข่าอ่อนจดทรุด มือที่กำกระบี่เอาไว้เริ่มคลายออก สิ่งเดียวที่ทำได้ในขณะนี้คือฝืนตัวเองเอาไว้ไม่ให้หลับ โบ้เร่งเดินลมปราณเพื่อขับพิษ น่าเศร้าที่ไม่อาจต้านเพราะคนร้ายปาเข็มพิษใส่เขาอีกเล่ม สิ่งสุดท้ายที่โบ้รับรู้ก่อนจะหมดสติไป คือใบหน้าบิดเบี้ยวของชายวัยกลางคนและเสียงหัวเราะอันชั่วร้าย



-โปรดติดตามตอนต่อไป-



สวัสดีท้ายบทค่ะ ขอโทษที่ช้านะคะ พอดีป่วย T^T ปวดกระเพาะหนักมาก

จนปัญญาจะตะกายมาเขียนนิยาย เลยต้องนอนพักก่อน

ตอนนี้แก้ไปแก้มา อ้าวหน้าหมด สัตว์เลี้ยงขนปุยท่านประมุขมิได้ออก

เลยขอแบ่งเป็นสองส่วนแทน แล้วจะชดใช้ให้ด้วยการลงอีกส่วนคืนวันพุธนะคะ

เท่ากับอาทิตย์นี้เราได้อ่านสามตอนเลย จันทร์ พุธ ศุกร์ แล้วเจอกันคืนวันพุธค่ะ ^O^



หมายเหตุ ไม่ต้องห่วงโบ้นะคะ ห่วงท่านประมุขดีกว่า เชื่อคนเขียนเถอะ 5555



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 มิ.ย. 2559, 19:15:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 มิ.ย. 2559, 19:15:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1104





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๗ ปณิธานความขี้เกียจ   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๙ ตัววุ่นวายอยู่ในกล่อง ๒ >>
Zephyr 28 มิ.ย. 2559, 20:52:55 น.
เหม่ คิดดีแช้วชิมิ
ที่จะเล่นกะเด็ก!!!
เด็กใครสักคน หึหึ


นักอ่านเหนียวหนึบ 28 มิ.ย. 2559, 21:48:20 น.
55555 โอเค หวังว่าโบ้คงไม่ทำให้ใครปางตายอีก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account