ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๙ ตัววุ่นวายอยู่ในกล่อง ๒

ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๙ ตัววุ่นวายอยู่ในกล่อง ๒

‘หมู่ตึกเจ็ดดารา’ คือสถานที่พำนักของประมุขพรรคมารและเหล่าผู้อาวุโส ลักษณะเป็นเรือนเจ็ดหลัง ตั้งกระจายกันอยู่ โดยมีเรือนใหญ่ชื่อ ‘เรือนจื่อ’ อยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยเรือนย่อยอีกหกหลัง แต่ละเรือนจะมี ‘พ่อบ้านประจำเรือน’ ทำหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย แม้งานส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องจิปาถะ แต่จะดูเบาคนเหล่านี้มิได้

การรับใช้ใกล้ชิดเหล่าผู้นำย่อมหมายถึงการได้รู้เห็นความลับและความเป็นไปที่คนทั่วไปมิอาจแตะต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้ความลับเหล่านี้รั่วไหล กระบวนการคัดสรรพ่อบ้านจึงใช้วิธีเฉพาะที่สืบทอดกันมา และให้สิทธิ์พ่อบ้านในแต่ละเรือนเลือกผู้สืบทอดด้วยตัวเอง โดยที่เหล่าผู้อาวุโสไม่มีสิทธิ์เข้ามาแทรกแซง สิทธิพิเศษที่ได้มาทำให้ตำแหน่งพ่อบ้านประจำเรือนมักสืบทอดกันในหมู่เครือญาติและลูกบุญธรรม

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเหล่าพ่อบ้านประจำเรือนมักอุทิศตนแก่หน้าที่จนมิได้แต่งงาน เพื่อให้มีผู้สืบทอดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน กว่าครึ่งนิยมรับญาติหรือเด็กที่มีแววมาเป็นลูกบุญธรรม แล้วถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ พอเติบใหญ่ถึงวัยที่สามารถช่วยงานได้ก็จะกลายมาเป็นพ่อบ้านฝึกหัด โดยตำแหน่งนี้สามารถมีได้หลายคน เพื่อให้เกิดการแข่งขัน

เรือนย่อยทุกเรือนมีพ่อบ้านฝึกหัดไม่ต่ำกว่าสอง ทว่าเรือนใหญ่ซึ่งเป็นเรือนของท่านประมุขกลับมีพ่อบ้านฝึกหัดเพียงหนึ่งเดียวคือลี่ชง คนอื่นมองมาย่อมคิดว่า ตำแหน่งพ่อบ้านแห่งเรือนจื่อคนต่อไปต้องเป็นของลี่ชงอย่างแน่นอน นำมาซึ่งความริษยา แต่กลับไม่มีใครขวัญกล้าเสนอตัวมาเป็นคู่แข่งของเขาเลยสักคน เพราะกิตติศัพท์ความน่ากลัวของจิ้งซู พ่อบ้านเรือนจื่อคนปัจจุบัน

พ่อบ้านฝึกหัดภายใต้การดูแลของชายผู้นี้ล้วนบาดเจ็ด ไม่ก็เสียชีวิตจากการทดสอบ เหล่าเด็กหนุ่มต้องทรมานจากการถูกพิษและลอบสังหารไม่เว้นแต่ละวัน รวมถึงการเคี่ยวกรำให้ฝึกร่างกายและจิตใจอย่างหนัก จิ้งซูประกาศกร้าวว่ากิจวัตรเหล่านี้จะยุติลงต่อเมื่อเขาลงจากตำแหน่งเท่านั้น ไม่มีใครทนได้นานเกินปี แต่ลี่ชงก็อยู่มาได้ถึงเจ็ดปี

ชายหนุ่มวัยยี่สิบผู้นี้มิได้เลอเลิศกว่าคนทั่วไป แต่มีความอดทนและคุณสมบัติบางอย่างที่ถูกใจจิ้งซู พ่อเฒ่าวัยเจ็ดสิบผู้แสนเข้มงวดยอมผ่อนปรน ให้โอกาสลี่ชงแก้ตัวใหม่เสียหลายครั้งหลายครา เพราะความรู้สึกที่ลี่ชงมอบให้ท่านประมุข ลี่ชงเป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงมาโดยได้ยินวีรกรรมและเรื่องราวความยิ่งใหญ่ของมารเงินไม่เว้นแต่ละวัน เด็กน้อยปฏิญาณออกมาจากใจว่าชีวิตนี้มิได้เป็นของตน แต่เป็นของท่านประมุข ความภักดีของเขาซึมลึกอยู่ในกระดูกและจิตวิญญาณ ซึ่งคุณสมบัตินี้หาได้ยากยิ่งในหมู่คนรุ่นใหม่ ซึ่งมิเคยได้พบหน้าและประจักษ์ต่อความยิ่งใหญ่ของนายเหนือหัว

ลี่ชงเฝ้ารอวันที่ท่านประมุขจะตื่นจากการหลับใหลมาโดยตลอด เขาปีติยินดีจนหลั่งน้ำตาเมื่อได้เข้าพบนายเหนือหัวแห่งตนเป็นครั้งแรก ท่านประมุขตัวจริงนั้นดูน่าเกรงขามและงดงามกว่าในภาพเหมือนหลายพันเท่า สองขาของลี่ชงสั่นระริกจนแทบยืนไม่อยู่เมื่อถูกจ้องมอง ท้ายที่สุดเขาก็ทรุดลงกับพื้น หูดับตาบอดไม่ได้ยินแม้แต่น้อยว่าท่านประมุขเอ่ยถามสิ่งใด รู้ตัวมีสติคืนมาอีกครั้งก็ถูกทิ้งเอาไว้ลำพังแล้ว

‘น่าขายหน้า ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก ข้ามันคนโง่ ข้ามันคนไม่เอาถ่าน’

ลี่ชงอับอายเมื่อนึกถึงการกระทำของตน เขากลับมาร้องไห้อย่างหนักเพราะคิดว่าต้องถูกขับไล่ออกจากเรือนจื่อแน่ ทว่าการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น ท่านประมุขให้อภัยต่อการกระทำอันเสียมารยาท ท่านไม่เพียงไม่กล่าวโทษ ยังอนุญาตให้เขารับใช้ต่อไป

“ต่อแต่นี้เจ้าจะได้เป็นคนจดบันทึก แต่อย่าได้ทะนงตนไป เจ้ายังต้องเรียนรู้อีกมาก” จิ้งซูกล่าวกับลี่ชง

“ขอรับ ข้าจะตั้งใจทำงานให้ดี” ลี่ชงรับคำอย่างแข็งขัน แล้วร้องไห้ออกมาอีกครั้งด้วยความยินดี

‘คนจดบันทึก’ คือข้ารับใช้ใกล้ชิดที่มีหน้าที่บันทึกทุกอย่างเกี่ยวกับท่านประมุขเอาไว้ โดยบันทึกนี้จะแยกเป็นบันทึกดิบ ซึ่งเป็นบันทึกรายวัน บันทึกสรุปซึ่งเป็นบันทึกรายเดือนที่จะสรุปใจความสำคัญของรายวันมาอีกที และบันทึกประจำปี ซึ่งจะรวมเอาเหตุการณ์อันโดดเด่นในรอบปีมาไว้ด้วยกัน พอสะสมบันทึกประจำปีได้มากๆ เข้า ก็จะมีการจัดทำสิ่งที่เรียกว่า ‘บันทึกวีรกรรม’ ขึ้นมา เพื่อเผยแพร่แก่คนในพรรคมาร

ลี่ชงผู้ที่อ่านบันทึกวีรกรรมมาไม่ต่ำกว่าร้อยรอบรู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทำหน้าที่นี้ เขาตวัดปลายพู่กันเขียนทุกสิ่งที่เห็นอย่างแข็งขัน แม้มันจะซ้ำซากน่าเบื่อปานใด ก็ไม่อาจลดทอนศรัทธาที่เขามีต่อท่านผู้ยิ่งใหญ่ได้ ในบันทึกทุกหน้าล้วนมีคำแสดงความชื่นชมแฝงมา ยกตัวอย่างบันทึกช่วงต้นปี


วันที่ ๑๒ เดือน ๑ ปี ๒๑๘ (นับตามอายุของท่านประมุข)

สองยามสาย ท่านประมุขตื่นนอน ลุกขึ้นมาบิดตัวอย่างสง่า แล้วเรียกหาชาร้อนทันที ดื่มเสร็จก็หยิบหนังสือ ‘บันเทิงจริต’ ขึ้นมาอ่าน

สามยามสาย เรียกให้คนยกสำรับเข้ามา ท่านประมุขกินข้าวไปครึ่งชาม กับข้าวสิบอย่างแต่กินแค่ผัดผักกับปลาทอดเล็กน้อย จากนั้นเรียกหาชาร้อนและงีบพักหลังอาหารครึ่งชั่วยาม

หนึ่งยามบ่าย ลุกขึ้นมามองทิวทัศน์ด้านนอก ด้วยแววตาเหมือนกำลังขบคิดปรัชญาอันลึกซึ้ง

สองยามบ่าย พาสัตว์ผู้พิทักษ์ออกไปเดินเล่น ทุกย่างก้าวล้วนแสดงออกถึงวรยุทธ์อันล้ำเลิศ

หนึ่งยามเย็น อาบน้ำและกลับมาอ่านหนังสือบันเทิงจริตต่อ

สองยามค่ำ รับอาหารเป็นข้าวต้มทรงเครื่อง ชมว่ารสดีแต่กินไปเพียงครึ่งชาม

ยามมืด นั่งสูบยาชมจันทร์ เรียกหาสุรากับแกล้มเป็นขนมหวาน ท่านประมุขดื่มได้สมชายชาตรียิ่ง สุราหลายกาหมดไปโดยไม่เมา ส่วนขนมหวานกัดชิมไปเพียงคำเดียว ที่เหลือยกให้ท่านฟูนุ่ม (สัตว์ผู้พิทักษ์)

สองยามดึก เข้านอนโดยไม่ดับไฟ


บันทึกกิจวัตรประจำวันอันแสนเกียจคร้านของประมุขพรรคมาร ดำเนินไปในลักษณะนี้หลายเดือน สิ่งที่เปลี่ยนไปมีแค่ชื่อหนังสือที่อ่าน กับกิจกรรมสร้างความบันเทิง ที่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว เช่นเล่นดนตรี เดินหมากหรือวาดภาพ นานๆ ครั้งจะมีท่านผู้อาวุโสลำดับสองและสามมาพบ

ลี่ชงไม่เคยเดือดร้อนกับความเงียบสงัดของเรือนจื่อและความซ้ำซากจำเจ จนกระทั่งเริ่มเขียนบันทึกเดือนที่หก เขาก็ได้ตระหนักว่ายังไม่พบเหตุการณ์สำคัญอันใดที่สามารถนำมาใส่ในบันทึกประจำปีได้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป บันทึกประจำปีจะว่างเปล่า ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นเลยนับแต่มีการแต่งตั้งตำแหน่งคนจดบันทึก

“ข้าจะทำเช่นไรดี เป็นความผิดของข้าโดยแท้”

ลี่ชงพร่ำโทษตัวเองว่าไร้บุญวาสนา ชายหนุ่มผู้ภักดีจนโง่งม ไม่เฉลียวใจเลยว่าความผิดทั้งหมดนั้นอยู่ที่ท่านประมุขจอมขี้เกียจ มารเงินจงใจให้บันทึกประจำปีว่างเปล่า เพราะสิ่งนี้จะเป็นหลักฐานว่าตนนั้นได้บรรลุถึงวิถีแห่งการใช้ชีวิตไปวันวันแล้ว

วิถีตามความต้องการของสองนายบ่าวค้านกันราวกับขาวและดำ ลี่ชงเป็นแค่ข้ารับใช้ตัวจ้อยย่อมไม่มีสิทธิ์กะเกณฑ์ให้นายเหนือหัวลุกขึ้นมาปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจังได้ ชายหนุ่มจึงหันไปภาวนาขอให้มีเรื่องดีๆ ที่ควรค่าแก่การบันทึกเกิดขึ้น

ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะเข้าข้างลี่ชงมากทีเดียว วอนขอไม่ทันไรท่านประมุขก็อนุญาตให้จัดงานเลี้ยงขึ้น สถานที่คือโถงสำราญ ที่ใกล้กับลานกว้างซึ่งใช้จัดงานประลองฝีมือ ตามธรรมเนียมพ่อบ้านเรือนจื่อจะต้องเป็นคนดูแลตรวจสอบทุกอย่าง ตั้งแต่อาหารการกินเรื่อยไปจนถึงของขวัญที่ถูกส่งมา นี่เป็นโอกาสอันดีที่ลี่ชงจะได้เรียนรู้ แต่เขาไม่กล้าทำอะไรตามอำเภอใจเพราะยังมีหน้าที่จดบันทึกอยู่ จึงรอคำสั่งอยู่เงียบๆ ในที่สุดก็ถูกเรียกตัวไปยังสถานที่จัดงานเลี้ยงตอนบ่าย

โถงสำราญซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงคราคร่ำไปด้วยเหล่าข้ารับใช้ที่กระตือรือร้น งานนี้เป็นของเรือนจื่อ แต่ก็มีคนจากเรือนอื่นๆ มาช่วยหลายคนเพราะจัดอย่างกะทันหัน และข้ารับใช้ในเรือนจื่อก็มีไม่มาก นอกจากจิ้งซูกับลี่ชงแล้ว ก็มีสองสาวพี่น้องยวี่เอ๋อกับยวี่ผิง

“ท่านพ่อ...พวกเรามากันหมด แล้วใครจะช่วยท่านประมุขแต่งตัว” ลี่ชงถาม

จิ้งซูมองอย่าพอใจที่ลี่ชงเริ่มมีนิสัยช่างสังเกต กระนั้นก็ยังตอบบุตรบุญธรรมด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ท่านผู้อาวุโสจิวซือจะเป็นคนจัดการ”

“เช่นนี้เอง”

ผู้อาวุโสจิวซือหรือผู้อาวุโสลำดับที่สามนั้น มีความสนิทสนมกับท่านประมุขมากกว่าผู้อาวุโสลำดับอื่น ว่ากันว่าในอดีตท่านประมุขเคยเกือบจะรับเป็นบุตรบุญธรรมด้วยซ้ำ แต่ผู้อาวุโสจิวซือไม่ต้องการเช่นนั้น คนเก่าคนแก่ที่ช่างซุบซิบนินทาบอกว่าผู้อาวุโสจิวซือหมายมั่นอยากได้ตำแหน่งฮูหยินประมุขพรรค ทว่าท่านประมุขไม่เคยคิดกับนางเป็นอื่น บ้างก็ว่าทั้งคู่มีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน แต่จิวซือยึดติดกับตำแหน่งผู้อาวุโสจึงไม่เรียกร้องสิทธิ์ที่ควรได้

ความจริงเป็นเช่นไรลี่ชงไม่อาจรู้ เขาเก็บคำนินทาเอาไว้เป็นเพียงข้อมูลประกอบ แล้วปักใจเชื่อเฉพาะในสิ่งที่เห็นด้วยสองตา ท่านจิวซือสนิทสนมกับท่านประมุขมากกว่าคนอื่นดังคำเขาว่า นางสามารถเข้าพบท่านประมุขได้เลยโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า และท่านประมุขมักจะโอนอ่อนผ่อนตามนางหลายประการ ยกตัวอย่างเรื่องยาบำรุง แม้ท่านประมุขจะยืนกรานว่าไม่จำเป็นต้องกิน แต่เมื่อท่านจิวซือยื่นมาให้ ท่านประมุขก็หยิบเข้าปากโดยง่าย ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ทางกาย ลี่ชงไม่เคยเห็นว่ามีอะไรมากไปกว่าการจับมือ

พ่อบ้านฝึกหัดพักเรื่องของผู้อาวุโสลำดับสามเอาไว้ในใจ แล้วเร่งจัดเตรียมโต๊ะตามรายชื่อแขก นอกจากผู้อาวุโสและหัวหน้าสาขาแล้ว ยังมีหัวหน้าหน่วยต่างๆ ตลอดจนบุคคลที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนพรรคเข้าร่วมด้วย นับรวมแล้วได้ หนึ่งร้อยคนพอดิบพอดี

ทุกคนในรายชื่อมารวมตัวกันก่อนเริ่มงานระยะหนึ่ง ไม่มีใครเข้าไปนั่งประจำที่เลยสักคน ต่างก็พร้อมใจตั้งแถวรอรับท่านประมุข ลี่ชงได้มีโอกาสเห็นคนที่รู้จักแต่เพียงนามก็วันนี้ เขาไม่คาดคิดเลยว่าหัวหน้าสาขาคนหนึ่ง จะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ในแคว้นเจียงเฉียง จริงดังคำท่านพ่อว่าพรรคมารไม่เคยเสื่อมอำนาจ ไม้ใหญ่ต่อให้ถูกโค่น ก็ยังเหลือรากหยั่งลึกในผืนดิน

บรรดาแขกหรืออีกนัยคือเหล่าผู้คนที่ถูกเรียกตัวมารวมกัน ยืนรออยู่ประมาณสองชั่วยาม นายเหนือหัวที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงพร้อมกับผู้อาวุโสลำดับสาม ภาพที่ปรากฏต่อสายตาก่อให้เกิดความเงียบงัน ราวกับแก้วหูดับไปชั่วขณะ ลี่ชงเข้าใจถึงความงามอันสะกดสายตาของบุคลทั้งสอง รวมถึงความกดดันที่แผ่ออกมา เขาสมควรชินได้แล้ว แต่พอเห็นทั้งสองอยู่ในชุดที่เป็นทางการ ก็อดที่จะตะลึงค้างไม่ได้

ท่านประมุขสวมชุดดำขลิบม่วง ตัดกับเรือนผมสีเงินซึ่งบัดนี้ถูกมัดรวบเอาไว้อย่างบรรจง ส่วนผู้อาวุโสจิวซือสวมชุดสีเขียวหยกที่ค่อนข้างจะดูเปิดเผย รับกับรูปร่างอันเย้ายวน พอรวมเข้ากับใบหน้าอันงดงาม ก็ยากจะหาคนมาทาบรัศมี หากไม่รู้ความจริงมาก่อน คงยากที่จะเชื่อว่านางงามผู้นี้มีอายุใกล้เคียงกับผู้อาวุโสลำดับสอง

ทุกคนเดินตามทั้งคู่ไปราวกับต้องมนตร์สะกด แม้ท่านประมุขจะออกคำสั่งและให้เริ่มงานเลี้ยงได้ ก็ยังมีหลายคนตกอยู่ในภวังค์ยืนค้างอยู่กับที่

“เอาพวกไม่ได้เรื่องออกไปให้หมด” อยู่ๆ ท่านประมุขก็ออกคำสั่ง

“ขอรับ” จิ้งซูรับคำอย่างรู้ใจ

ชายชรารับหน้าที่เป็นพ่อบ้านเรือนจื่อมาตั้งแต่ก่อนที่ท่านประมุขจะหลับใหล จึงเข้าใจหลายๆ คำสั่ง เขาส่งสัญญาณเรียกให้คนในหน่วยจื่อออกมา หน่วยนี้ทำหน้าที่เสมือนองครักษ์คอยดูแลความปลอดภัยของท่านประมุข จึงมีแต่ยอดฝีมือขั้นหัวกะทิ พริบตาเดียวคนที่ยืนอยู่ก็ถูกจับโยนออกไปอย่างไม่ปรานี

ลี่ชงไม่เข้าใจว่าเหตุใดหนนี้ท่านประมุขจึงเข้มงวด คราวเขาท่านยังเมตตา แต่พอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อครู่กับบันทึกที่เคยอ่าน ก็เริ่มรู้ว่านี่เป็นการทดสอบ เมื่อตอนตื่นมาครั้งที่แล้วท่านประมุขได้ใช้พลังปราณผสานกับวิชาที่มีผลต่อจิตใจทำให้ผู้คนเกิดอาการผิดปกติ วิชานี้จะไม่มีผลต่อผู้ที่มีพลังใจเข้มแข็ง หรือผู้ที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ในครานั้นมีคนกว่าครึ่งร้อยถูกจับโยนออกไป และถูกปลดออกจากตำแหน่ง

ความยำเกรงจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้คนได้ประจักษ์ถึงอำนาจ มารเงินตระหนักถึงข้อนี้ ในกาลก่อนจึงได้คิดวิธีทดสอบนี้ขึ้นมา ทว่าในครานี้สิ่งที่เกิดขึ้นตามอารมณ์ มิได้มีเจตนาอื่นใดแอบแฝง ชายหนุ่มคิดเพียงแต่จะเดินเข้างานเลี้ยงมาให้ผู้คนเห็นหน้าแล้วก็กลับ แต่จิวซือมาชักชวนเสียก่อนว่าควรจะแต่งองค์ทรงเครื่องสักนิด แล้วออกไปแกล้งพวกเด็กๆ ให้สนุก ชายหนุ่มเห็นว่าน่าสนใจกว่าดื่มเหล้าลำพังจึงโอนอ่อนตาม

การเย้าแหย่ของประมุขพรรคมารมักเป็นตลกร้ายที่คนเจอขำไม่ออก แต่มารเงินก็มิได้นำพาต่อปฏิกิริยาผู้คน แค่มีคนติดกับและเขาพอใจ เท่านี้ก็ถือว่าสำเร็จ

“เห็นได้ชัดว่ามีพวกใช้ไม่ได้น้อยกว่าที่ข้าคิด พวกเจ้าแข็งแกร่งขึ้น หรือรู้ล่วงหน้ากัน” ชายหนุ่มตั้งคำถามอย่างไม่เจาะจงว่าให้ผู้ใดตอบ

หากรู้นิสัยย่อมเข้าใจว่านี่เป็นเพียงคำหยอก แต่กว่าครึ่งในที่นี้ไม่เคยรับใช้เป็นการส่วนตัว จึงนิ่งเงียบพากันครุ่นคิด มารเงินเห็นเป็นเช่นนั้นจึงลองสบตาผู้อาวุโสลำดับสี่ ซึ่งเป็นเหมือนหัวหน้าของบรรดาผู้อาวุโสรุ่นใหม่ ด้วยการหันไปจ้องหน้า พร้อมกันนั้นก็เพิ่มระดับแรงกดดันให้มากขึ้น หากหวั่นไหวแม้แต่นิดเดียวจะเกิดภาพหลอนว่ามีอสูรร้ายกำลังตรงเข้ามาขย้ำ

หลีจุนไม่สั่นสะท้านต่อดวงตาคมกล้า เขาลุกขึ้นค้อมกายลงต่ำอย่างนอบน้อม แล้วเอ่ยว่า

“ด้วยบารมีท่านประมุข ทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามที่ท่านหวัง”

หลีจุนรับมือกับสถานการณ์ได้ไม่เลว หากถูกจ้องแล้วไม่เอ่ยสิ่งใดคงถูกโยนออกไปทันที ส่วนคำตอบไม่ว่าจะ ‘แข็งแกร่งขึ้น’ หรือ ‘รู้ล่วงหน้า’ ล้วนเป็นคำต้องห้าม หากแกร่งขึ้นยามผู้นำอ่อนแอ ย่อมสื่อว่าการกลับมาของมารเงินไร้ความหมาย ส่วนรู้ล่วงหน้าย่อมเท่ากับเดาความคิดออก ฟังแล้วช่างดูหยิ่งผยอง

“เจ้าช่างเหมือนพ่อ”

ทุกคนในที่นี้ต่างก็รู้ว่าหลีจุนมีใบหน้าคล้ายบิดา แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญเท่าข่าวลือที่ว่าหลีจางมีใจคิดทรยศ เขาตายก่อนที่จะทันได้พิสูจน์ความจริง เรื่องนี้จึงกลายเป็นรอยด่างพร้อยของชีวิตหลีจุน น้ำเสียงของประมุขพรรคมารยามเปรียบเทียบคนทั้งสองยากจะอ่านความรู้สึก พอๆ ท่าทีสงบเสงี่ยมของหลีจุน

มารเงินจ้องผู้อาวุโสลำดับสี่อย่างพิจารณา ก่อนจะหมดความสนใจเมื่อไม่มีคำพูดโต้ตอบ เขาผินหน้ามาทางผู้อาวุโสลำดับที่สอง

“อยากทำอะไรก็เริ่มซะ”

ซีหยุนลุกขึ้นทำความเคารพนายเหนือหัว แล้วประกาศต่อทุกคนในที่นั้นว่าขอเป็นตัวแทนกล่าวแสดงความยินดีที่ท่านประมุขฟื้นจากนิทรา

เมื่อได้ฟังดังนั้นทุกคนในโถงจัดเลี้ยงก็พร้อมกันลุกขึ้นค้อมกายทำความเคารพอย่างพร้อมเพรียง ยังไม่ทันเงยหน้า ผู้อาวุโสลำดับสองก็เริ่มแผนการข่มขวัญคนรุ่นใหม่ในทันที

“ขอท่านประมุขโปรดรับคำอวยพรและสัตย์สาบานของเหล่าข้ารับใช้ที่ยังมิเคยได้ปฏิญาณตนต่อหน้า”

พิธีมอบสัตย์สาบานของพรรคมารนั้นแสนเรียบง่าย แค่เดินมาตรงหน้าประมุข ค้อมกายคำนับเอ่ยคำปฏิญาณว่าจะภักดีแล้วรับเหล้าไปดื่มหนึ่งจอกก็เป็นอันเสร็จพิธี ทว่าในความเรียบง่ายนี้แฝงความน่ากลัวอยู่ ไม่มีใครรู้ว่าในเหล้าผสมอะไร เพราะมันเป็นได้ตั้งแต่ของปรุงแต่งให้มีกลิ่นหอม เรื่อยไปจนถึงยาพิษ

นับตั้งแต่อดีตมา มีคนกว่าครึ่งร้อยตายหลังให้สัตย์สาบาน บ้างก็สามวัน บ้างก็เจ็ดวัน ร้ายแรงสุดก็คือล้มลงไปสิ้นใจต่อหน้า จึงมีข่าวลือว่ายาพิษที่อยู่ในเหล้าสามารถสังหารผู้ที่มีใจทรยศได้จริง โดยพิษพิเศษนี้เกิดจากการคิดค้นของผู้อาวุโสลำดับที่สอง

ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสจิวซือรู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไร นางจึงช่วยกระพือให้ข่าวลือมีความน่าเชื่อถือขึ้น ด้วยการเอ่ยอย่างร่าเริงว่า

“ข้าเตรียมสุราพิเศษมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ...เด็กๆ ยกเข้ามาเร็ว”

ขาดคำกาสุราขนาดใหญ่สี่กาก็ถูกนำมาวางเรียงต้องหน้าประมุขพรรคมาร

“กาแรกสำหรับเด็ก ถัดมาเป็นของคนโปรด อันนี้ข้าคิดว่าท่านประมุขต้องชอบมาก ส่วนนี่พิเศษสุดๆ”

รอยยิ้มหวานหยดขณะอธิบายคุณสมบัติของสุราแต่ละชนิดของผู้อาวุโสลำดับสองทำให้หลายคนหน้าซีดเหงื่อตก ไม่เว้นแม้แต่ผู้ภักดีที่อดจะอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ เขากลัวว่าท่านประมุขจะระแวงตนแล้วมอบพิษร้ายให้

มารเงินยิ้มเล็กน้อยอย่างชอบใจ ที่จริงแล้วสุราเหล้านี้เหมือนกันทุกกา แล้วก็ไม่ได้มีพิษร้ายอะไรอยู่เลย นอกเสียจากสมุนไพรที่ออกฤทธิ์ทำให้ไม่สบายเนื้อตัว ยิ่งหัวใจเต้นแรงเลือดสูบฉีดมากก็จะยิ่งมีอาการมากขึ้น ถ้ารู้จักเดินลมปราณทำใจให้สงบคืนเดียวก็หาย แต่คนส่วนใหญ่มักจิตตกสติแตกวิ่งพล่านหาหมอ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีวันพิสูจน์ได้ว่าเป็นพิษอะไรแน่ เลยต้องทนไม่สบายตัวเสียหลายวัน

“ไม่ต้องเอ่ยคำสาบานให้มันมากความ เรียกแถวกันเข้ามาเลย ข้าจะรินเหล้าให้”

มารเงินหยิบกาที่ได้รับคำอธิบายว่า ‘พิเศษสุดๆ’ ขึ้นมา น่าชื่นชมที่หลีจุนเดินอย่างกล้าหาญมารับสุราเป็นรายแรก ประมุขพรรคมารรินให้เสียปริ่มขอบถ้วย ซึ่งผู้อาวุโสลำดับสี่ก็ดื่มจนหมดไม่เหลือสักหยดเดียว หลีจุนค้อมกายทำความเคารพเมื่อดื่มเสร็จ แล้วกลับไปนั่งที่อย่างสง่า ทำให้ทุกคนเชื่อว่าสุรากานี้ปลอดภัย ใครที่ดื่มล้วนโล่งอก ส่วนคนที่ได้จากกาอื่นก็ลุ้นระทึกกันต่อไป

มารเงินรินได้สักสามสิบกว่าจอก ก็มีชายผู้หนึ่งยังคงรั้งอยู่เบื้องหน้าเขา ทั้งที่ดื่มเหล้าไปแล้ว ยังไม่ทันถามว่าต้องการสิ่งใด เขาก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

“ข้าน้อยซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ที่ได้มีโอกาสดื่มสุราสาบานต่อหน้าท่าน ขอท่านประมุขโปรดรับของขวัญแสดงความขอบคุณจากใจข้าเอาไว้ด้วย”

“ทิ้งมันไว้ แล้วไปให้พ้นหน้าข้า” มารเงินเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ

หลังจากเสพลาภยศมาจนเต็มอิ่ม ได้ครอบครองของสูงค่ามากมาย จนทุกสิ่งในโลกดูไร้ค่า

“ของสิ่งนี้จะรั้งรอเก็บเอาไว้ในหีบนานไม่ได้เพราะเป็นมนุษย์” เสี่ยวชาวรีบโพล่งเพื่อไม่ให้เสียแผน

“เจ้าจับหญิงงามใส่หีบมาให้ท่านประมุขรึ” จิวซือถาม

“ใช่ขอรับ หญิงงามยากหาใดเปรียบ”

“บังอาจ!” ผู้อาวุโสลำดับสองตวาดเสียงดัง “แดนมายาห้ามคนนอกเข้า เจ้ามีสิทธิ์อันใดจึงกระทำการฝ่าฝืนกฎ เอามันออกไปแล้วฆ่าผู้หญิงคนนั้นทิ้งซะ”

เสี่ยวชาวหน้าซีด เขารีบคุกเข่าลงแล้วแก้ตัวอย่างลนลาน

“ข้าน้อยมิได้นำนางมา แต่นางเป็นผู้บุกรุกข้าเลยจับมาให้ท่านประมุข ขะ...ข้ารู้ว่าตามกฎต้องกำจัดนางทิ้ง แต่เพราะนางเป็นเจ้าของกระบี่หิมะ ข้าเลย...”

คำอธิบายนี้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ใครเลยจะไม่รู้ว่าเจ้าของกระบี่หิมะคือศัตรูคู่อาฆาตของท่านประมุขในกาลก่อน

“เอาของขวัญของเจ้ามาให้ข้าดู” มารเงินสั่ง สีหน้าของชายหนุ่มยังไม่เปลี่ยนไป มีเพียงคิ้วเท่านั้นที่ขมวดเล็กน้อย

เสี่ยวชาวหันไปบอกที่ซ่อนของหีบซึ่งใช้ใส่ร่างของไป๋หลิน ของขวัญพิเศษนี้มิได้กองรวมอยู่กับพวกของขวัญทั่วไป เพราะมันจะต้องถูกตรวจสอบก่อนนำเข้าไปในเรือนจื่อ เสี่ยวชาวก็เลยวางไว้อย่างแอบๆ ด้านนอก

ไม่นานหีบเงินขนาดใหญ่ก็ถูกหามเข้ามา เมื่อไขกุญแจเปิดออกก็พบว่าภายในมีสตรีชุดขาวที่งดงามราวกับเทพธิดานอนหมดสติอยู่ มือและเท้าของนางถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยตรวนเหล็ก ข้อมือเล็กๆ เต็มไปด้วยรอยแดงคาดว่าน่าจะเกิดจากการพยายามหลบหนี

มารเงินปรี่เข้าไปมองของขวัญ ใบหน้าเช่นนี้ย่อมใช่นางไม่ผิดแน่ ชายหนุ่มจับชีพจรนางดู มันสับสนปั่นป่วนเหมือนได้รับพิษสลบมากเกิน หากพลังปราณของนางไม่ใช่ชนิดพิเศษ คงไม่ใช่แค่หมดสติแต่สิ้นใจไปนานแล้ว ประมุขพรรคมารเงยหน้าจากของขวัญ แล้วกลับมายืนตัวตรงอีกครั้ง

“ดูเหมือนว่าข้าควรจะให้รางวัลชิ้นใหญ่แก่เจ้า เอาเป็น...เอาเป็นได้รับเกียรติเป็นเพื่อนเล่นของฟูนุ่มเป็นไง”

ริมฝีปากหยักได้รูปคลี่ออกเป็นรอยยิ้มที่งดงามและน่าครั่นคร้ามยิ่ง กว่าครึ่งในที่นี้ไม่รู้ว่าฟูนุ่มคือตัวอะไร แต่ขึ้นชื่อว่าสัตว์เลี้ยงของประมุขพรรคมารย่อมไม่ธรรมดาแน่

“ท่านประมุขโปรดอภัย ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยทำไปเพราะความภักดีมิได้มีเจตนาให้ท่านขุ่นเคือง”

เสี่ยวชาวร้องขอชีวิตอย่างน่าเวทนา เขามองไปทางหัวหน้าโดยตรงอย่างผู้อาวุโสลำดับที่สาม ทว่ากลับได้รับสายตาขยะแขยงราวกับมองหนอนแมลงกลับมา ผู้อาวุโสลำดับที่สี่ซึ่งไม่เกี่ยวข้องเสียอีก กลับมาช่วยพูดให้

“ที่เขาทำไปเพราะเห็นว่านางผู้นี้มิใช่สตรีธรรมดา หากสังหารตามกฎแดนมายาอาจส่งผลเสียหลายประการ ขอท่านประมุขโปรดพิจารณาด้วย”

“แดนมายามีกฎ แต่ข้าผู้นี้อยู่เหนือกฎทั้งปวง”

ขาดคำแผ่นดินก็สะเทือน สิ่งที่เกิดขึ้นหาใช่เพราะพลังปราณของมารเงิน หากเกิดจากการวิ่งตะบึงเข้ามาของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ไม่เป็นรองช้าง

สัตว์ร้ายตัวนี้มีลักษณะเหมือนราชสีห์ ขนสีดำสนิทเป็นมัน มันมีเขี้ยวยาวคมกริบ เขาหนึ่งคู่และหางอีกสีหาง องค์ประกอบทุกสัดส่วนในร่างกายมันบ่งบอกว่าคือสัตว์ในตำนานที่สามารถทำลายกองทัพขนาดใหญ่ในพริบตา ทุกคนล้วนรู้จักมันในนาม ‘มารนิล’

“จัดการมันซะ” ประมุขพรรคมารสั่ง

ไม่ทันที่เสี่ยวชาวจะได้ร้องขอชีวิต หัวก็กระเด็นหลุดจากบ่า กลิ้งกระดอนไปไกล เลือดสีสดไหลทะลักออกมาจากร่างไร้ชีวิต มารนิลส่งเสียงในลำคออย่างผิดหวังที่เหยื่อตายเร็วเกินคาด มันแค่ตะปบเบาๆ เท่านั้น แต่ของเล่นที่ได้มากลับขาดพังในทันที เจ้าตัวโตเขี่ยร่างของคนที่มันเพิ่งดับลมหายใจให้พ้นทาง ก่อนมายืนเคียงข้างเจ้านาย

สัตว์ร้ายสร้างความกริ่งเกรงให้ทุกคน แต่ที่ทำให้หวาดผวายิ่งกว่าเห็นจะเป็นบุรุษผมเงินผู้ที่ทำให้มารนิลยอมสยบ ต้องอำมหิตแค่ไหนกัน สัตว์ที่ได้ชื่อว่ากระหายเลือดและมีจิตอาฆาตที่สุด จึงกลายเป็นสุนัขผู้ภักดี

“งานเลี้ยงเลิกแล้ว!” มารเงินเอ่ยทำลายความเงียบ

ชายหนุ่มเดินออกจากห้องโถงโดยไม่เก็บอาการว่ากำลังหงุดหงิด

“ช้าก่อนขอรับ!” ซีหยุนเรียกไว้ ก่อนที่นายเหนือหัวจะลับไปจากสายตา

“มีอะไร” มารเงินเอี้ยวตัวกลับมามอง

“ท่านจะให้ข้าทำสิ่งใดกับของในหีบนี้ขอรับ”

หากสตรีที่หลับใหลอยู่เป็นคนธรรมดาทั่วไป ย่อมจัดการเก็บกวาดได้ไม่ยาก แต่นางเป็นถึงธิดาประมุขแห่งอุดร ย่อมมีค่าเกินกว่าจะสังหารโดยง่าย

“ยังต้องให้บอกอีกรึ”

“ข้าน้อยด้อยปัญญาขอท่านประมุขโปรดชี้แนะ”

ประมุขพรรคมารไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด แต่ขยับมือเป็นสัญญาณที่รู้กันเพียงผู้ใกล้ชิด ซีหลุนค้อมกายเมื่อเห็นสัญญาณ เขาตอบเสียงดังว่ารับทราบ แล้วกระซิบบอกบางสิ่งกับพ่อบ้านเรือนจื่อ

เมื่อมารเงินออกไปจากสถานที่จัดงานเลี้ยงแล้ว บรรยากาศกดดันก็พลอยสลายไปด้วย ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมาเพราะสีหน้าอันเคร่งเครียดของเหล่าผู้อาวุโส หลีจุนและผู้อาวุโสอีกสองคนหันไปสบตาซีหยุนเป็นเชิงบอกว่ามีเรื่องอยากพูดด้วย

“ยังไม่ใช่วันนี้ อยู่เงียบๆ และทำหน้าที่ของพวกเจ้าต่อไป” ซีหยุนประกาศเสียงดัง

ตำแหน่งผู้อาวุโสในพรรคมารนั้นนับกันตามลำดับ อันดับสี่จึงเป็นรองอันดับสองอย่างเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งในแดนมายาซีหยุนยังมีอำนาจมากกว่า หลีจุนจึงค้อมศีรษะให้พร้อมทั้งกล่าวขอตัว ซีหยุนพยักหน้ารับแต่เป็นเขาเสียเองที่เดินออกจากสถานที่ไปก่อน

แขกที่เหลือค่อยๆ ทยอยกันออกไป เมื่อไม่มีคนอยู่แล้ว พ่อบ้านแห่งเรือนจื่อก็ออกคำสั่งให้จัดการทำความสะอาดสถานที่ให้เรียบร้อย

“ยืนนิ่งอะไรอยู่ กลับเรือนไปรับใช้ท่านประมุขสิ” จิ้งซูตำหนิลี่ชงที่มัวแต่เหม่อ “อย่าบอกนะว่าเจ้ากลัว”

“ไม่ ไม่มีวัน ข้าออกจะชื่นชมด้วยซ้ำ”

ความตายของตัวแทนหัวหน้าสาขามิได้ทำให้ศรัทธาของลี่ชงต่อท่านประมุขลดน้อยถอยหลง เขายังคงเชื่อว่าถ้าท่านประมุขคิดว่าคนผู้นี้สมควรตาย มันก็เป็นแค่หนอนแมลงไร้ค่าที่สมควรตายจริงๆ

“แล้วเหตุใดไม่เร่งติดตามท่านประมุขไป”

“ข้า...ข้าแค่สงสัย ท่านพ่อบอกข้าได้ไหม สัญญาณมือนั่นหมายความว่าอย่างไร ท่านประมุขให้ทำอะไรกับผู้หญิงคนนี้” ชายหนุ่มถามอย่างกระหายใคร่รู้

ท่าทีที่เหมือนอยากรู้อยากเห็นมากกว่ากระตือรือร้นอยากรับใช้ทำให้ลี่ชงถูกตำหนิ แต่ถึงจะพร่ำบ่นเสียมากมาย จิ้งซูก็เฉลยความจริงให้ทราบในตอนสุดท้าย

“ท่านประมุขสั่งให้พานางไปที่ห้องนอน”


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายตอนค่ะ
ขอโทษที่เลตอีกแล้วนะคะ
โน้มเป็นโรคกระเพาะปวดท้องมาก T^T
หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด เครียดก็ปวด
สปีดในการรีไรท์มาลงเลยช้านิดนึง
ช่วงนี้คำผิดหยุดเยอะไม่ว่ากันนะคะ
สังขารไม่ไหวจะตรวจทานหลายรอบจริงๆ
ขอบคุณทุกคนที่เป็นห่วงและส่งกำลังใจมาให้นะคะ
ช่วงนี้กำลังบูรณะตัวเองออย่างตั้งใจ
พยายามกินนอนให้ตรงเวลา

คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์นะคะ

หมายเหตุ เราจะไม่สปอยสิ่งอื่นใด นอกจากชื่อตอน ตอนหน้าชื่อ “สนทนาบนเตียง” ^O^ โฮะๆๆ




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มิ.ย. 2559, 23:12:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 มิ.ย. 2559, 23:12:04 น.

จำนวนการเข้าชม : 1071





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๘ ตัววุ่นวายอยู่ในกล่อง ๑   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๐ สนทนาบนเตียง >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 1 ก.ค. 2559, 00:25:06 น.
กรี้ดดดดดดดดดดดดดด
ขอให้ไรท์เตอร์หายป่วยโดยไวนะค้าาาา ไม่ได้มีไรแอบแฝงเล้ยยย 5555


Zephyr 1 ก.ค. 2559, 00:32:17 น.
อุ้ต้ะนางโบ้
ห้องนอนเชียวนะ
ว่าละสัตว์เลี้ยงไม่ธรรมดา
ฟูนุ่ม อืมมมมม มันกะฟูๆนุ่มๆจริงๆละนะ
ตัวที่พี่ห้าผ่าหัวแบะมาแล้ว
สัตว์พันปีน่ารักกว่ารึป่าว
แต่มารเงินคู่กะมารนิลกะสมควร
อิตัวฟูนี่คงสู้โบ้ไม่ได้ รับรอง


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account