ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๔ ปราการเทพสวรรค์

ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๔ ปราการเทพสวรรค์

ปาร์ตี้ชุดนอนกึ่งๆ มหกรรมเทศนาโบ้จบลงโดยใช้เวลาไม่ถึงครึ่งคืน แก๊งตุ๊ดไม่ได้คุยกันยันเช้าเพราะคนท้องผล็อยหลับไปในระหว่างที่รอโบ้เข้าห้องน้ำ เจ้กับแว่นเห็นอย่างนั้นจึงเข้านอนตาม ทำให้ได้พักผ่อนกันเต็มที่ก่อนจะสะดุ้งตื่นเพราะเสียงรบกวน

ยามเช้าในปราการเทพสวรรค์เริ่มต้นด้วยเสียงกลองดังสนั่น เสียงนี้เป็นสัญญาณให้ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายฝึกวิทยายุทธ์ หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีกลองขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนที่สูงกระจายอยู่รอบปราการ ทุกเช้าจะมีเวรกลองผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปทำหน้าที่ กลองหลักให้สัญญาณเริ่มเมื่อไร เวรกลองที่เหลือจะเริ่มรัวไม้ตีเป็นจังหวะตามที่ได้ฝึกฝน เป็นระยะเวลาหนึ่งชั่วยาม หรือจนกว่าจะมีสัญญาณให้หยุด

บรรดาแขกที่ไม่รู้ธรรมเนียมตกใจไม่น้อย พวกนางกำนัลถึงกับวิ่งตามหาองค์หญิงกันให้วุ่น เพราะเข้าใจว่าเสียงกลองเป็นเสียงเตือนภัย คนในคฤหาสน์ต้องอธิบายอยู่พักหนึ่งจึงเข้าใจ

โบ้งดเว้นกิจกรรมยามเช้าแบบนี้มานาน เมื่อสภาวะอารมณ์กลับเข้าร่องเข้ารอยแล้ว จึงออกไปยืดเส้นยืดสายในสวน แว่นกับเจ้เดินตามด้วย ส่วนหน่อมถูกบังคับให้นั่งดูอย่างเดียวเพื่อความปลอดภัย

ออกกำลังกายเสร็จสี่สาวก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำชำระล้างเหงื่อไคล ตอนนี้ฤดูร้อนคนที่นี่จึงอาบน้ำเย็นกัน แต่ก็มีน้ำร้อนเตรียมเอาไว้ให้แขก บ่งบอกถึงความใส่ใจ อาบน้ำเสร็จแล้ว พ่อบ้านสกุลมู่ก็เชิญทุกคนไปรับประทานอาหาร พร้อมกับแจ้งว่าประมุขมู่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับในตอนเย็นให้

“พวกเรามารบกวนก็เป็นภาระมากแล้ว อย่าลำบากไปกว่านี้เลย” หน่อมว่า

“มิได้ๆ ทางเราต่างหากที่เสียมารยาท องค์หญิงเสด็จมานานแล้ว แต่ท่านประมุขก็ยังติดขัดไม่สามารถมาต้อนรับได้ ช่างน่าละอายนัก ขอให้พวกเราได้ต้อนรับท่านอย่างสมเกียรติสักหนเพื่อล้างความผิดเถิด”

“อย่าพูดอย่างนั้นเลย พวกเราเข้าใจดีว่าท่านประมุขงานยุ่ง”

ทุกคนรู้มาจากโบ้แล้วว่าอี้เทาออกจากบ้านแต่เช้ามืดเพราะมีงานสำคัญ

“วันนี้มีพิธีคัดเลือกศิษย์ใน หากองค์หญิงอยากชม กระหม่อมจะจัดรถม้าเอาไว้ให้” พ่อบ้านเสนอ

“สักบ่ายค่อยไปก็ได้ ไปตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรน่าสนุกหรอก” โบ้เอ่ยแทรก

“ศิษย์ในคืออะไรหรือ” แว่นถาม

“ทูลองค์หญิงคำว่าศิษย์ในหมายถึงศิษย์ที่สังกัดสำนักในปราการพ่ะย่ะค่ะ” พ่อบ้านสกุลมู่ตอบ

พรรคเทพสวรรค์ประกอบด้วยสำนักมากมาย แต่มีเพียงสามสำนักเท่านั้นที่ตั้งอยู่ในปราการ หนึ่งคือสำนักวายุพิทักษ์ สองคือสำนักทลายภูผา สามคือสำนักเทพศาสตรา สองสำนักแรกเป็นสำนักฝึกวิชาการต่อสู้ แต่สำนักหลังเน้นการสร้างอาวุธเป็นหลัก

การเป็นศิษย์ในไม่เพียงแต่จะได้รับเกียรติและความภาคภูมิใจ ยังได้รับสิทธิประโยชน์หลายอย่าง ทุกปีจะมีผู้สมัครจำนวนมาก เพื่อให้ง่ายต่อการคัดกรองจึงมีการประลองและจัดการทดสอบความสามารถขึ้น เพื่อเฟ้นหาผู้มีพรสวรรค์ นอกจากนี้การสมัครเข้ามาทดสอบเป็นศิษย์ใน จะต้องผ่านการเป็นศิษย์นอกมาก่อน หรืออย่างน้อยๆ ก็ต้องมีคำรับรองจากสำนักที่น่าเชื่อถือ

การคัดเลือกศิษย์ในจัดขึ้นปีละครั้ง สงวนเอาไว้เฉพาะผู้ที่มีอายุไม่เกินสิบหกปี ทว่าในปีนี้ต่างออกไป เพราะจัดถึงสองหน ทั้งยังขยายอายุผู้เข้าร่วมการทดสอบเพิ่มขึ้นจนถึงยี่สิบ เป็นนัยว่าพรรคเทพสวรรค์กำลังต้องการกำลังพล

แว่นวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็วว่าการคัดเลือกศิษย์คือข้ออ้างในการซ่องสุมกำลัง พรรคเทพสวรรค์อาจจะไม่มีเจตนาร้าย เพียงแค่อยากป้องกันตัวจากพรรคมาร แต่ถ้าการกระทำนี้เลยเถิดมากเกินไป ทางการที่ไม่เคยสอดมือเข้ามายุ่งอาจมีการเคลื่อนไหว

‘ไม่ใช่สิ ทางการคงจะเคลื่อนไหวแล้วในทางลับ’

เมื่อคิดถึงการเดินทางของเพื่อน แว่นก็เริ่มสงสัยว่าแม่ทัพต่งพาองค์หญิงลี่จูมาที่นี่อย่างมีวัตถุประสงค์ จินไท่ใส่ใจภรรยามาก ย่อมอยากพาไปเปิดหูเปิดตาในสถานที่ที่ไม่เคยไป ไม่ใช่มาเมืองที่ลี่จูมาจนเบื่อ ท่าทางแม่ทัพต่งจะได้รับบัญชาให้เอาเรื่องท่องเที่ยวบังหน้า แล้วใช้สายสัมพันธ์ของตัวเองกับเหล่าชาวยุทธ์ จับตาดูการเคลื่อนไหวแถบนี้เอาไว้

ราชวงศ์จ้าวยืนยาวมาได้ร้อยกว่าปีเพราะนโยบายทางการเมืองอันชาญฉลาด เมื่อพบภัยคุกคามที่สามารถจัดการได้ก็ต้องเร่งกำจัด แต่เมื่อเห็นว่าการยอมสวามิภักดิ์คือคำตอบก็ไม่ลังเล ยามที่พรรคมารเรืองอำนาจ เจียงเฉียงจึงยังอยู่รอด ไม่ย่อยยับอย่างบางแคว้น

ทว่าในปัจจุบัน ด้วยข้อมูลอันจำกัดและปัจจัยหลายอย่าง ทำให้ไม่อาจคาดเดาการตัดสินพระทัยของฮ่องเต้ได้ แว่นเริ่มไม่อยากอาหารเมื่อนึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายที่อาจเกิดขึ้น ยิ่งหันไปเห็นโบ้กินมื้อเช้าอย่างอร่อย ก็คันมือคันไม้อยากตบเรียกสติ รู้ทั้งรู้ว่าผู้ชายที่ตัวเองไปตามเทียวไล้เทียวขื่อเป็นใครก็ยังไม่หยุดวุ่นวาย ถ้าเขาเป็นประมุขมู่จะจับมาลงหวายฟาดให้ดิ้น

โบ้ถูกแว่นมองด้วยสายตาทิ่มแทงตลอดมื้ออาหาร แต่คนไม่คิดมากก็ยังคงไม่คิดมาก โบ้กินอาหารเช้าต่อไปจนเกลี้ยง เสร็จแล้วค่อยพาเพื่อนๆ ไปแนะนำกับพวกพี่น้องให้รู้จัก

ตอนนี้พี่ใหญ่อย่างไป๋เจี้ยนไม่อยู่ ทุกคนเคยเจอไป๋หลงซึ่งเป็นพี่รองแล้ว โบ้ก็เลยพาเพื่อนๆ ไปหาไป๋หู่ ซึ่งเป็นพี่ชายคนที่สาม พี่สามของโบ้หน้าตาคล้ายน้องสาวแต่เครื่องหน้าคมกว่า ถือว่าเป็นหนุ่มรูปงาม ขนาดว่ามีแผลเป็นที่หน้าผากเป็นรอยยาวเกือบถึงคิ้วขวาก็ยังดูดี

ไป๋หู่ปฏิบัติต่อสหายของน้องสาวอย่างสุภาพ เขาเป็นคนพูดน้อยเป็นทุนอยู่แล้ว จึงไม่ได้สนทนาปราศรัยกันมากนัก โบ้แอบกระซิบบอกทีหลังว่าพี่ชายทำอาหารอร่อยมาก แต่เจ้าตัวไม่ชอบให้ประกาศออกไป เกี๊ยวน้ำเมื่อเช้าที่ทุกคนชมว่าอร่อยหนักหนาก็เป็นฝีมือพี่สาม

ถัดจากพี่ชายก็มารู้จักน้องชายกันบ้าง ทุกคนคุ้นเคยกับไป๋อวี้ดีอยู่แล้ว เหลือที่ยังไม่ได้พบคือไป๋เทียน ซึ่งอายุน้อยกว่าไป๋หลินสองปีและน้องเล็กอย่างไป๋ซาน สองหนุ่มหน้าตาไม่เหมือนกับพี่สาวเท่าไร แต่ถ้าพิจารณาดีๆ ก็พอจะเห็นเค้าลางๆ ไป๋เทียนนับถือพี่ชายคนโตมาก จึงพยายามวางมาดสุขุม ตัวตรงหลังตรงตลอด แต่เพราะพยายามมากไปเลยเหมือนคุณชายขี้เก๊ก ส่วนไป๋ซานเข้ากับคนง่าย ฉลาดช่างพูด จึงเรียกความเอ็นดูได้มากกว่า

“เอ๊ะ! เจ้าไม่ต้องไปช่วยอาจารย์เจ้าหรอกรึ” โบ้ทักน้องๆ

ลูกหลานสกุลมู่กว่าครึ่งเป็นศิษย์ใน ไป๋เทียนกับไป๋ซานก็เช่นกัน ทุกครั้งที่มีการประลองหรือพิธีการต่างๆ พวกศิษย์ในจะต้องอยู่ช่วยงานห้ามหลบเลี่ยง

“ท่านพ่อให้ข้ากับไป๋ซานมาคอยดูแลพวกองค์หญิง” ไป๋เทียนตอบ

“อย่างนี้นี่เอง” โบ้พึมพำ



ตกบ่ายโบ้กับพวกน้องๆ ก็พาแขกไปที่สนามประลองซึ่งใช้คัดเลือกศิษย์ใน สนามประลองแห่งนี้เป็นลานดิน มีอัฒจันทร์ล้อมรอบ โครงสร้างเรียบง่ายแต่แข็งแรง ประมุขมู่เตรียมที่นั่งพิเศษเอาไว้ให้ทุกคน แต่ตัวเขาไม่ได้อยู่ในงาน เห็นว่ามีเรื่องจำเป็นเร่งด่วนเลยรีบออกไป

ในระหว่างที่รอให้งานประลองช่วงบ่ายเริ่มต้นขึ้น ไป๋ซานก็ช่วยอธิบายกติกาให้ฟัง เขาบอกว่ารอบนี้เป็นการจับคู่ประลอง โดยเลือกเอาคนที่ใช้อาวุธประเภทเดียวกันหรือมีวิชาใกล้เคียงกันมาต่อสู้ คนที่มีสิทธ์เข้าประลองในรอบบ่ายล้วนผ่านการทดสอบในรอบเช้ามาแล้ว ดังนั้นต่อให้แพ้ก็ยังมีโอกาสได้รับเลือก

“เหล่าอาจารย์ผู้ตัดสินอยู่ตรงนั้น”

ไป๋ซานชี้ไปยังบริเวณที่นั่งซึ่งอยู่ชิดติดขอบเวทีมากที่สุด ตรงนั้นมีไป๋หู่นั่งอยู่ด้วย ทุกคนเลยได้ข้อมูลเพิ่มว่าเขาเป็นอาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในสำนักเทพศาสตรา แม้คนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าสำนักนี้เน้นทำอาวุธ แต่เมื่อเรียนจนสามารถสอบผ่านระดับสูงได้ ฝีมือจะไม่ด้อยไปกว่าศิษย์จากอีกสองสำนักเลย

“มีไหมที่ชนะแล้วไม่ได้เป็นศิษย์ใน” แว่นถาม

“มีขอรับ แต่นานๆ จะมีสักหน”

“ทำไมถึงไม่ให้ผ่านล่ะ”

“ไม่เชิงไม่ผ่านขอรับ เป็นการสละสิทธิ์มากกว่า ส่วนใหญ่จะต้องตาผู้อาวุโส เลยโดนขอตัวไปเป็นศิษย์เอก ส่วนน้อยก็พวกมีใจคอโหดเหี้ยม ไม่ก็ถูกจับได้ว่าใช้วิชามาร”

“วิชามารคืออะไร” แว่นอยากรู้คำจำกัดความเพื่อจะได้เข้าใจตรงกัน

“คืออวิชาที่ห้ามฝึกเด็ดขาด ส่วนใหญ่จะเป็นวิชาที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจหรือร่างกาย เช่นการฝึกปราณความมืด”

“ปราณความมืดไม่ดีหรือถึงห้ามฝึก” แว่นชำเลืองมองเจ้ขณะถาม

“ปราณความมืดที่พวกพรรคมารฝึกกันจะใช้ความคิดด้านลบดึงพลังของตัวเองออกมา ถ้าจิตใจไม่เข้มแข็งพอจะถูกความเกลียดชังกลืนกินจนธาตุไฟแตกซ่าน ไม่ก็สูญเสียสติสัมปชัญญะกลายเป็นมือสังหารที่โหดเหี้ยมฆ่าไม่เลือก”

หน่อมหันมามองเจ้อีกคนด้วยสายตาเป็นห่วง เจ้าของปราณความมืดเลยรีบอธิบายต่อจากไป๋ซาน

“ปราณความมืดเป็นวิชาที่ไม่ควรฝึก แต่ถ้าเป็นพรสวรรค์โดยกำเนิดก็เป็นอีกเรื่อง”

เจ้ไม่ได้โกหกเพื่อให้คลายความกังวล ปราณความมืดในร่างกายนี้มีความบริสุทธิ์สูงมาก เพราะถือกำเนิดจากแหล่งเดียวกับพลังชีวิต จึงไม่ส่งผลประทบต่อร่างกายและจิตใจ ที่น่าห่วงคือความคิดบิดเบี้ยวของหงเซียนมากกว่า ตอนเข้ามายังสนามประลองเจ้หวั่นใจไม่น้อย ว่าหงเซียนอาจออกมาอาละวาด เคราะห์ดีที่ไม่มีใครปล่อยรังสีฆ่าฟันได้ถูกใจ นางจึงยังหลับอย่างเรียบร้อยอยู่ในร่าง

“อาจารย์ของข้าก็เคยกล่าวเช่นนี้” ไป๋เทียนเข้าร่วมการสนทนาด้วย “ท่านว่าเสียดายที่ฝ่ายธรรมะไม่มีคนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ เด็กที่มีปราณความมืดมักถูกพวกพรรคมารจับไปเลี้ยงดู ไม่ก็ถูกค้นพบโดยองค์กรมือสังหาร”

ชายหนุ่มพูดจบ การต่อสู้คู่แรกก็เริ่มขึ้นพอดี ขณะที่กำลังดูการประลองอย่างสนุกสนาน อาวุธลับของผู้เข้าแข่งขันก็ถูกคู่ต่อสู้ปัดลอยมาทางพวกแว่น หนนี้ถือว่าโชคดีที่สองในสี่ตาไวและมีปฏิกิริยายอดเยี่ยม อาวุธลับจึงถูกเบี่ยงทิศ กระเด็นไปหล่นในจุดที่ไม่มีคน

“องค์หญิงบาดเจ็บไหมพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋เทียนรีบถาม

“พวกเราปลอดภัยดี ต้องขอบคุณไป๋หลินกับชิงชิง”

“ไม่ใช่ผีมือพวกเราหรอก” เจ้แก้ความเข้าใจผิด

เมื่อครู่เจ้ยกมีดสั้นขึ้นกัน ส่วนโบ้สะบัดกระบี่ ความที่กระบี่ยาวกว่ามีดสั้นอาวุธของโบ้เลยไปถึงก่อน แต่ยังไม่ทันได้ปัดมันออกไป ก็มีหินก้อนเล็กพุ่งเข้ามาจัดการของมีคมก่อน เห็นแล้วก็ทึ่งว่าระบบรักษาความปลอดภัยของพรรคเทพสวรรค์นี่ยอมเยี่ยมจริงๆ

“หยกน้อยเป็นคนจัดการน่ะ” โบ้เอ่ยอย่างภูมิใจในฝีมือของน้องชายฝาแฝด

ไป๋อวี้ทำเหมือนหายตัวไปตั้งแต่เช้า แต่จริงๆ แล้วแอบตามทุกคนมาโดยไม่ให้รู้ตัว เมื่อแว่นกับหน่อมรู้ความจริงก็เอ่ยชมไปหลายคำ

“พี่ห้ามีดีก็แค่เรื่องนี้เท่านั้น” ไป๋เทียนพึมพำ

น้ำเสียงและสายตาของชายหนุ่ม แฝงเอาไว้ด้วยความดูแคลน เขาก็เหมือนพี่น้องส่วนใหญ่ที่ไม่พอใจในตัวไป๋อวี้ แต่มุมมองค่อนข้างต่างกันอยู่สักหน่อย พี่ชายทั้งสามคนมองเห็นความสามารถในตัวไป๋อวี้ จึงโมโหที่เขาชอบทำเป็นเล่น ส่วนไป๋เทียนมองแต่การแสดงออกภายนอก จึงเชื่อว่าพี่ชายเป็นคนขี้ขลาดไม่เอาไหน ทั้งยังไร้พรสวรรค์

แว่นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของไป๋เทียนที่มีต่อไป๋อวี้ แต่ก็ไม่เข้าไปแทรกแซงความสัมพันธ์ของพวกพี่น้อง เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ทั้งยังรู้สึกว่าไป๋อวี้พอใจให้เป็นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ขอให้ทุกคนปิดเรื่องที่ไปรบเป็นความลับ

เมื่อไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนก็กลับมาสนใจการประลองต่อ พอดูซ้ำๆ หลายคู่ก็เริ่มเบื่อ แว่นจึงขอให้ไป๋ซานเล่าเรื่องยอดฝีมือที่เขารู้จักให้ฟัง ไป๋ซานกำลังเบื่อเช่นกัน จึงพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ทำให้ทราบว่าขณะนี้ภายในสนามประลองเต็มไปด้วยบุคคลสำคัญในยุทธภพ ถ้ามีคนร้ายเซ่อซ่าหลงมาก่อเหตุเห็นทีจะชะตาขาด

‘เพราะที่นี่ปลอดภัยมากหรือเปล่านะ แม่ทัพต่งเลยไม่รีบตามมา’

คิดถึงแม่ทัพต่งแม่ทัพต่งก็มา แว่นบังเอิญเหลือบไปเห็นเขาที่ทางเข้าลานประลอง พริบตาเดียวชายหนุ่มก็มายืนอยู่ตรงหน้า

“ข้าขอโทษที่มาช้า ขอองค์หญิงโปรดอภัย” ชายหนุ่มรีบขอโทษขอโพยภรรยา

จินไท่ไม่ใส่ใจว่าคนอื่นจะคิดเช่นไร เพราะอย่างนี้จึงถูกนินทาว่า ท่านแม่ทัพผู้ไร้พ่ายจัดเจนแต่การศึก ส่วนเรื่องในบ้านนั้นพ่ายแพ้ต่อฮูหยินโดยสมบูรณ์

“ข้าเสียอีกที่ต้องขอโทษ รีบร้อนขึ้นเขามาก่อน ทำให้ท่านเป็นห่วง”

“ไม่เลย นี่เป็นความผิดของข้า”

จินไท่ควรมาถึงเร็วกว่านี้ แต่ก็ช้าไปหลายชั่วยามเพราะงานที่ต้องเก็บเป็นความลับ เขาคิดว่าองค์หญิงน่าจะทราบ แต่นางแสร้งไม่รู้เพื่อความสบายใจของตน

“ถ้าอย่างนั้นเราก็ผิดกันคนละครึ่ง เท่ากับเสมอกันแล้ว”

เมื่อองค์หญิงสุดที่รักเอ่ยเช่นนั้น แม่ทัพหนุ่มก็ยอมโดยง่าย แว่นสังเกตว่าทั้งคู่ไม่ได้เปลี่ยนคำเรียกแทนตัวอีกฝ่ายเป็น ‘ท่านพี่’ กับ ‘ฮูหยิน’ พอกระเซ้าเรื่องนี้ แม่ทัพต่งก็พูดอย่างจริงจังว่าไม่บังอาจ ที่ยังเรียกองค์หญิงก็เพราะอยากให้เกียรติ ส่วนหน่อมบอกว่ายังไม่ชิน แล้วจินไท่ก็ชอบให้เรียกอย่างนั้นเลยปล่อยเลยตามเลย

นอกจากคำแทนตัวแล้ว แว่นยังสังเกตเห็นความเอาใจใส่ของจินไท่ที่มีต่อภรรยา แม่ทัพต่งห่วงองค์หญิงแทบจะทุกการเคลื่อนไหว ต่อให้ไม่ทราบว่าตั้งครรภ์ก็ไม่จำเป็นต้องห่วง

เจ้กับโบ้ก็คิดคล้ายกันจึงปิดปากเงียบ น่าเสียดายที่ความลับนี้อยู่ได้ไม่นาน แถมยังไม่ใช่โบ้ด้วยที่ทำเสียเรื่อง คนที่ได้รับความไว้วางใจอย่างแว่นต่างหากที่พลาดเอง

แดดยามบ่ายวันนี้ค่อนข้างร้อน ไป๋เทียนจึงสั่งให้คนนำชาดอกไม้มาให้ดื่มดับกระหาย ชานี้ไม่ได้ทิ้งให้เย็น แต่ชงอย่างเข้มข้นแล้วใส่น้ำแข็งลงไป กลิ่นชาหอมฟุ้งลอยมาเตะจมูก พร้อมภาพส่วนประกอบที่ลอยเข้ามาในหัวของศิษย์เอกหมอเทวดา

“คนท้องห้ามดื่มนะ!” แว่นร้องลั่น “ในชามีดอกน้ำค้างหิมะ”

ดอกไม้ชนิดนี้เป็นพืชประจำถิ่น สรรพคุณคล้ายใบบัวบก ฤทธิ์มันไม่รุนแรงขนาดทำให้แท้ง แต่ในตำราบอกว่าถ้าคนตั้งครรภ์ดื่มมากๆ ธาตุในร่างกายจะเสียสมดุล

“ขะ...ข้าไม่ทราบ ว่าองค์หญิงตั้งครรภ์” ไป๋เทียนเอ่ยด้วยความตกใจ

เขารีบลงไปคุกเข่าลงต่อหน้าองค์หญิงและจินไท่

“องค์หญิง ท่านแม่ทัพ โปรดอภัยให้ความสะเพร่าของข้าด้วย”

แม่ทัพต่งไม่ว่ากระไร แต่สีหน้าเขาแสดงออกชัดเลยว่า ‘ข้าไม่โทษเจ้า เพราะข้าก็ไม่รู้เช่นกัน’

แม้เป็นความบกพร่องเพียงเล็กน้อย แต่อาจมีคนทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างวางยาพิษได้ หน่อมจึงรีบบอกให้ไป๋เทียนลุกขึ้น เขาย้ำให้คนแถวนั้นได้ยินเสียงดัง ว่าเป็นความผิดตัวเองที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้ให้ทราบ ไป๋เทียนได้ยินอย่างนั้นก็ขอบคุณที่องค์หญิงไม่ถือสา เขาบอกให้น้องชายดูแลแขกต่อ ส่วนตัวเองจะไปแจ้งกับคนทำอาหารให้ระวังเรื่องวัตถุดิบ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดในงานเลี้ยงตอนเย็น

ไป๋เทียนเดินลับสายตาไปได้สักพักแล้ว แต่จินไท่ยังยืนนิ่ง หน่อมจึงหันไปพูดกับสามีเสียงอ่อนเสียงหวาน

“ข้าอยากเก็บข่าวดีไว้บอกท่านตอนเราอยู่ด้วยกันสองคน ท่านอย่าโกรธข้าเลยนะ”

จินไท่ผงกศีรษะรัวๆ ใบหน้าเรียบเฉยของเขาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ ชายหนุ่มดึงมือภรรยามากุมไว้แล้วบีบแน่นด้วยความตื้นตัน ว่าที่คุณพ่อใกล้จะร้องไห้เต็มทีแต่ฝืนน้ำตาแห่งความยินดีเอาไว้สุดความสามารถ ถ้าอยู่ด้วยกันตามลำพังจินไท่คงไม่ต้องทรมานกับการเก็บความรู้สึก เพื่อชดใช้ความผิดของตน แว่นจึงหาเหตุให้ทั้งสองคนแยกตัวออกไป ด้วยการสาดชาใส่หน้าท่านแม่ทัพ

“ข้าขอโทษ ข้านี่แย่จริงๆ ท่านรีบไปเปลี่ยนชุดดีกว่า เจ้าด้วยนะลี่จู น้ำชากระเด็นใส่ตั้งเยอะ”

ถึงจะแค่สองสามหยด หน่อมก็รีบทำตาม ทางด้านแม่ทัพต่งก็ไม่เคืองกุ้ยฮวาเลยสักนิด ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณเสียมากกว่า น้ำชาในมือหญิงสาวช่วยปิดบังหยดน้ำที่กำลังเอ่อล้นขอบตา ได้ทันเวลาพอดี



การประลองหาตัวศิษย์ในจบลงตอนพลบค่ำ เมื่อพวกแว่นกลับมาถึงสกุลมู่จึงเป็นเวลางานเลี้ยงพอดี สถานที่จัดเลี้ยงในวันนี้ไม่ใช่ห้องโถงใหญ่ของสกุลมู่ แต่เป็นห้องจัดเลี้ยงในที่ทำการของพรรคเทพสวรรค์ ที่นี่กว้างขวางใหญ่โตเหมาะสำหรับงานใหญ่ ที่ต้องรับรองแขกเป็นจำนวนมาก แต่ประมุขมู่ก็ยังเลือกที่นี่ เพื่อแสดงออกให้รู้ว่าพวกองค์หญิงลี่จูไม่ใช่แค่สหายของไป๋หลิน แต่ยังเป็นแขกของพรรคด้วย

เจ้าภาพมาถึงงานก่อนแขกเล็กน้อย ในที่สุดพวกแว่นก็ได้เจอกับประมุขมู่เสียที มู่อี้เทาเป็นชายร่างสันทัน ไว้เคราแต่งเป็นทรงอย่างดี ใบหน้าคมคาย ท่าทางน่าเกรงขาม แต่กลับสุภาพอ่อนน้อมจนน่าแปลกใจ อี้เทากล่าวขออภัยที่บกพร่องเรื่องการรับรอง ทั้งยังขอบคุณที่ช่วยให้บุตรสาวยอมออกจากห้อง

เพื่อแสดงว่าซาบซึ้งในน้ำใจประมุขมู่ได้มอบป้ายเงินขนาดครึ่งฝ่ามือให้แก่ทุกคน ป้ายเงินนี้มีตราสัญลักษณ์ของพรรค สามารถใช้ขอความช่วยเหลือจากเหล่าชาวยุทธ์ที่สังกัดพรรคเทพสวรรค์ รวมถึงใช้เป็นเครื่องยืนยันตัวตน เพื่อเข้ามาในปราการ โดยไม่จำเป็นต้องมีหนังสือรับรอง

“กระหม่อมยินดีต้อนรับองค์หญิงและสหายของไป๋หลินเสมอ เพียงแต่ระยะนี้สถานการณ์ในยุทธภพไม่ค่อยดีนัก เพื่อความปลอดภัยจึงไม่ควรรั้งอยู่ที่นี่นาน”

คำพูดของอี้เทาสื่อให้รู้ว่าเขาเป็นคนสุภาพที่ตรงไปตรงมาเป็นอย่างยิ่ง พวกแว่นจึงน้อมรับคำเตือนเอาไว้

“ขอบคุณท่านประมุขที่ห่วงใย พวกเราเข้าใจสถานการณ์ดี แต่คงต้องขอรบกวนท่านอีกสักสองคืน”

สองคืนถือว่าน้อยกว่าที่คาดการณ์มาก อี้เทาจึงชวนให้แขกอยู่ต่ออีกสี่ห้าวัน ทว่าแว่นก็ยืนยันคำเดิม โดยอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพของตนกับองค์หญิงลี่จู แม่ทัพต่งเห็นด้วยกับเรื่องนี้ สังเกตจากที่เขาไม่คัดค้าน ท่าทางคงอยากรีบพาองค์หญิงลี่จูลงจากเขา มีแต่โบ้ที่ดูผิดหวังเพราะอยากให้เพื่อนๆ อยู่กันนานกว่านี้

ประมุขมู่ต้อนรับทุกคนอย่างสมเกียรติ อาหารและการแสดงล้วนน่าประทับใจ อยู่กลางหุบเขาแท้ๆ แต่แทบไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง

งานเลี้ยงดำเนินมาได้ครึ่งทาง ก็มีคนสังเกตเห็นว่าหยางเจี้ยนไม่ได้มาร่วมงาน ไป๋หลงถามเสียงดังว่าเขาไปไหน เพราะจำได้ว่าอยู่ในรายชื่อแขก

“พี่หยางไปรับท่านลุงเลี่ยง” ไป๋ซานเป็นคนตอบ

ลุงเลี่ยงหรือก็คือหวงเลี่ยง มีศักดิ์เป็นบิดาของหยางเจี้ยนทั้งยังเป็นผู้อาวุโสที่ทุกคนให้ความเคารพ เขาออกจากพรรคไปใช้ชีวิตอย่างสงบที่บ้านเกิดภรรยาเมื่อเจ็ดปีก่อน แต่ก็กลับมาเยี่ยมเยียนสหายที่หุบเขาหิมะเป็นระยะ

บทสนทนาเกี่ยวกับหยางเจี้ยนจบลงเพียงเท่านี้ ไม่มีใครนึกถึงชายหนุ่มผู้แสนดีคนนี้อีกเลย โดยเฉพาะโบ้ที่มัวแต่เฝ้าเพ้อถึงคนไม่มีใจให้ กว่าจะสำนึกและเห็นถึงความดีของหยางเจี้ยนอย่างแท้จริง ก็ไม่อาจเอ่ยคำขอบคุณหรือตอบแทนเขาได้



-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายบทค่า
ช่วงนี้เปลี่ยนเวลาลงเป็นตอนเช้า
เพื่อสุขภาพอันดีงามของทุกคนนะคะ ^o^
แล้วพบกันใหม่พุธหน้าค่า
อรุณสวัสดิ์วันใหม่นะคะ
(ดีใจ ในที่สุดก็ได้พูดคำนี้บ้าง 5555)



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ส.ค. 2559, 06:11:37 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ส.ค. 2559, 06:12:13 น.

จำนวนการเข้าชม : 1304





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๓ ที่ซ่อนฉุกเฉิน   ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๕ ซวบลาบ (ตอนที่ ๑๖-๓๐ ติดตามต่อได้ในเล่ม 5 นะคะ) >>
นักอ่านเหนียวหนึบ 3 ส.ค. 2559, 14:05:37 น.
คนเก่งกับคนฉลาดอยู่รวมกันมันช่างน่ากลัวววว


Zephyr 3 ส.ค. 2559, 22:54:42 น.
กลัวใจไรท์ตอนคำพูดจบจริงๆ
โน้มจะทำไรพี่หยางน่ะ อย่านะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account