ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑ การกลับมาขององค์ชาย

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑ การกลับมาขององค์ชาย

ข่าวการกลับมาขององค์ชายแปดแพร่กระจายไปทั่ววัง เพียงไม่กี่ชั่วยามก็กลายเป็นประเด็นร้อนให้กล่าวถึง เหตุเพราะองค์ชายน้องเล็กกลับมาโดยมิได้รับอนุญาตจากพระบิดา อีกทั้งยังอยู่กับองค์หญิงรุ่ยฟางในขณะที่นางพลัดตกสระ

หลายคนจำได้ว่าเมื่อประมาณสี่ห้าปีก่อนก็เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ครานั้นองค์ชายหรู่เผยผลักองค์หญิงรุ่ยฟางที่ยังมียศเป็นเพียงท่านหญิงตกน้ำ แล้วยืนมองนางจมลงไปโดยไม่กระทำการสิ่งใด ความโหดเหี้ยมนี้ทำให้เหล่าขุนนางรวมตัวกันร้องเรียนเพื่อถอดยศ ทว่าเหตุก็สงบลงได้เพราะอิทธิพลของสกุลเหอ และความใจกว้างของสกุลเฉินที่ไม่เอาความ

แม้จะรอดจากการถูกถอดยศมาได้ แต่ฮ่องเต้ก็มิได้ทรงปล่อยปละ องค์ชายหรู่เผยต้องโทษกักบริเวณที่ตำหนักมังกรน้ำ รวมถึงไม่อนุญาตให้เข้าร่วมการล่าสัตว์พันปี ทว่าแทนที่จะสำนึก องค์ชายแปดกลับก่อเรื่องซ้ำ ทำหยกตะวันซึ่งเป็นของคู่บ้านคู่เมืองแตกร้าว จึงถูกลงโทษให้ไปอยู่ที่เจี่ยวหวา ตราบใดที่เขื่อนซูเจี้ยนไม่เสร็จห้ามกลับเด็ดขาด

เขื่อนขนาดใหญ่นี้ใช้เวลาสร้างไม่ต่ำกว่าเจ็ดปี ตอนองค์ชายแปดไปเพิ่งจะเริ่มการก่อสร้างได้เพียงสามเดือนเท่านั้น แต่ฮ่องเต้ก็พระทัยแข็งยิ่งนัก แม้จะผ่านมาถึงสี่ปีแล้ว ก็ยังไม่เคยตรัสถึงโอรสองค์สุดท้องเลยสักครั้ง ทางสกุลเหอก็ไม่มีการเคลื่อนไหว จนคนลือกันว่าเสนาบดีเหอตัดขาดกับหลานชายจอมเกเร แล้วไปให้การสนับสนุนองค์ชายรองอย่างเป็นทางการแล้ว

สถานะขององค์ชายหรู่เผยไม่ต่างจากหมาหัวเน่า ไร้คนเหลียวแล ถึงกระนั้นก็ยังขวัญกล้าแอบกลับมาทำการอุกอาจ ทำร้ายกุ้ยฮวาซ้ำสอง เห็นทีครานี้องค์ชายแปดคงไม่รอดจากการถูกถอดยศเป็นแน่

ในขณะที่ผู้คนคาดเดาไปต่างๆ นานา องค์ชายเจ้าปัญหาก็ถูกเรียกเข้าเฝ้าต่อหน้าขุนนางน้อยใหญ่ องค์ชายหรู่เผยซึ่งบัดนี้เติบใหญ่กลายเป็นชายรูปงามสง่า ก้าวสู่ท้องพระโรงอย่างสุขุม มินำพาต่อเสียงนินทายั่วยุ มองผิวเผินคล้ายจะแปลกไปมาก แต่หากพิจารณาให้ดีจะพบว่า ดวงตาเรียวคมกล้ายังมีแววอวดดีไม่เปลี่ยน

“กระหม่อมจ้าวหรู่เผย ถวายบังคมฝ่าบาท” องค์ชายแปดเอ่ยเสียงดัง ขณะคุกเข่าลงไปทำความเคารพตามแบบพิธีการที่ขุนนางพึงกระทำ

การคุกเข่าแล้วค้อมศีรษะลงต่ำแสดงถึงความจงรักภักดี แต่ก็แฝงนัยประชดประชันยิ่ง ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ ‘เสด็จพ่อ’ เปลี่ยนเป็น ‘ฝ่าบาท’ ท่าทีเช่นนี้มิเท่ากับประกาศว่าต่อหน้าพระพักตร์หรอกหรือว่าต่อให้ถูกถอดยศก็หาได้ใส่ใจ ขุนนางฝ่ายสกุลเหอร้อนๆ หนาวๆ กันถ้วนหน้า พร้อมใจกันลอบสังเกตสีพระพักตร์ฮ่องเต้ ด้วยเกรงว่าหากทรงพิโรธจะกระทบมาถึงตน ส่วนทางฝ่ายที่ชังน้ำหน้ากันอยู่ ก็ภาวนาขอให้หายนะเกิดแก่องค์ชายผู้โง่เขลา

เวลาผ่านไปเสี้ยวอึดใจ ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้องค์ชายหรู่เผยลุกขึ้น พระองค์ดูสงบนิ่ง ไม่ยินดียินร้าย แต่ยามที่ตรัสถาม สุรเสียงช่างทรงอำนาจน่าครั่นคร้ามยิ่งนัก

“เขื่อนซูเจี้ยนยังไม่แล้วเสร็จ เหตุใดเจ้าจึงกลับมา”

“กระหม่อมมาในฐานะตัวแทนของหลิวเจียเย่ตามพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ” องค์ชายตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ

หลายวันก่อนฮ่องเต้ทรงอยากทราบความคืบหน้าของเขื่อน แต่รายงานที่ส่งมาไม่ใคร่จะละเอียดนัก จึงมีรับสั่งเรียกตัวคนที่รู้เรื่องการก่อสร้างโดยละเอียดมาเฝ้า พระองค์ไม่ได้ระบุว่าต้องการตัวผู้ใด หลายคนจึงคะเนไปว่าคงไม่พ้นหลิวเจียเย่ ขุนนางหนุ่มใหญ่จากกรมโยธา ใครเล่าจะคาดคิดว่าท่านหลิวจะให้องค์ชายแปดมาแทน

ฮ่องเต้มิได้ตำหนิการตัดสินใจโดยพละการของหลิวเจียเย่ในทันที พระองค์คิดว่าที่ขุนนางผู้นี้กล้าเสี่ยงย่อมมีเหตุผล

“ในเมื่อเจ้ามาในฐานะตัวแทน แสดงว่ารู้รายละเอียดการก่อสร้างเป็นอย่างดี ตอบข้ามา เหตุใดจึงมีการสร้างบันไดปลาโจน”

สิ่งก่อสร้างนี้ไม่มีใครรู้จักและไม่ได้อยู่ในแบบแปลนตั้งแต่แรก แม้จะมีการอธิบายว่าทำไว้เพื่อให้สัตว์น้ำสามารถเดินทางข้ามเขื่อนไปได้ แต่พระองค์ก็ยังไม่เห็นประโยชน์ของสิ่งนี้

”ทูลฝ่าบาท เดิมทีการสร้างเขื่อนซูเจี้ยนได้รับการคัดค้านอย่างหนัก เพราะความเชื่อที่ว่า การสร้างสิ่งปลูกสร้างขวางทางน้ำเป็นการลบหลู่เทพเจ้า แม้ชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์มาใช้แรงงานสร้างเขื่อนจะไม่สามารถขัดคำสั่งทางการได้ แต่ก็ขาดขวัญกำลังใจ ทำให้งานเสร็จล่าช้า บันไดปลาโจนนี้จึงเปรียบดั่งกุศโลบายสำหรับเรียกขวัญกำลังใจกลับมา”

ชาวบ้านที่เชื่อเรื่องเทพเจ้า ย่อมเชื่อว่าฝูงปลาคือบริวารของเทพ การที่ปลาว่ายผ่านบันไดไปยังอีกฝั่งของเขื่อนได้ จึงเสมือนสารจากทวยเทพ ว่าการสร้างเขื่อนนี้ไม่ได้ผิดลิขิตสวรรค์

“แค่เรื่องความเชื่อจำเป็นต้องลงทุนลงแรงถึงเพียงนี้เชียวรึ”

ฮ่องเต้คล้ายจะไม่พอพระทัย เป็นที่ทราบกันดีว่าพระองค์ปรารถนาให้ประชาชนศรัทธาในความจริง มากกว่าความเชื่องมงาย

“กระหม่อมไม่อาจปฏิเสธว่าบันไดปลาโจนนี้เกิดเพราะความเชื่อ แต่ประโยชน์ที่แท้จริงของมันมีมากกว่านั้น เขื่อนจำเป็นต้องมีบันไดปลาโจนเพื่อป้องกันภาวะขาดแคลนอาหารในอนาคต จากการศึกษาพบว่าปลาในเขตเจียวหวามีพฤติกรรมว่ายน้ำขึ้นเหนือไปวางไข่ การสร้างเขื่อนจะเป็นการปิดกั้นทำให้ปลาไม่สามารถแพร่พันธุ์ได้ ปัจจุบันอาจจะไม่เป็นไร แต่หากตัวเมืองขยาย ผู้คนเพิ่มขึ้น จะต้องประสบปัญหาแน่ โดยเฉพาะในปีที่ไม่สามารถทำการเกษตรได้”

“เหตุใดเจ้าจึงมั่นใจนักว่าแม่น้ำจะขาดปลา” ฮ่องเต้ทรงซักต่อ

“กระหม่อมได้รับการชี้แนะจากท่านซุนผู ร่วมกับบันทึกของเขื่อนหนานหูที่สามารถนำมาอ้างอิงได้พ่ะย่ะค่ะ เขื่อนนี้มีลักษณะเดียวกันกับเขื่อนซูเจี้ยน แต่สร้างมากว่าสามสิบปีแล้ว มีบันทึกอย่างชัดเจนว่าจำนวนปลาที่จับได้บริเวณพื้นที่เหนือเขื่อนลดลงทุกปี ท้ายที่สุดหมู่บ้านประมงก็ไม่สามารถอยู่ได้”

ความปราดเปรื่องขององค์ชายแปด ไม่ทำให้ตื่นเต้นเท่านาม ‘ซุนผู’ ชื่อนี้ก่อให้เกิดเสียงกระซิบกระซาบเบาๆ เหตุเพราะท่านผู้เฒ่าเป็นปราชญ์ที่มากความสามารถ ในอดีตเคยสร้างผลงานให้ราชสำนักมากมาย แต่ปัจจุบันนั้นเร้นกายอยู่ที่ใดไม่มีใครรู้ หลายคนจึงสงสัยว่าองค์ชายแปดอาจอ้างนามนี้ขึ้นมาลอยๆ เพื่อความน่าเชื่อถือ บางคนถึงปรามาสว่าการสร้างสะพานปลานี้ใช้เป็นข้ออ้างในการโกงกินเสียมากกว่า

องค์ชายแปดรู้ว่าทุกคนคิดเช่นไร แต่ก็ไม่รีบร้อนแก้ต่าง เพราะเชื่อในหลักการของตน

“กระหม่อมได้นำบันทึกคำแนะนำของท่านซุนผู กับสำเนาบันทึกของเขื่อนหนานหูติดตัวมาด้วย เชิญทอดพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”

หัวหน้ามหาดเล็ก ปรี่ไปรับไว้ แล้วนำมาถวายฮ่องเต้อีกต่อ ลายมือคุ้นตาของอดีตพระอาจารย์ทำให้พระองค์ทรงอ่านอย่างตั้งใจ นอกจากบันทึกทั้งสองอย่างแล้ว ยังมีแบบแปลนบันไดปลาโจนอย่างละเอียด รวมถึงบันทึกการทดลองการใช้งาน

“ใครเป็นผู้ออกแบบบันไดปลาโจน”

“กระหม่อมกับหลี่เจียอิน รวมถึงบัณฑิตหลายคนในเจี่ยวหวาร่วมกันออกแบบพ่ะย่ะค่ะ”

นามหลี่เจียอินไม่ใคร่คุ้นหู แต่ก็พอมีคนจำได้ลางๆ ว่าชายผู้นี้เคยทำงานในสำนักราชเลขาธิการ แล้วอยู่ๆ ก็ถูกโยกย้ายไปเจี่ยวหวาโดยไม่ทราบสาเหตุ มีผู้เกี่ยวข้องเพียงหยิบมือที่ทราบว่า เสนาบดีเฉินจงใจส่งชายผู้นี้ไปช่วยขัดเกลาองค์ชายแปด

“เจ้าหัดคบหากับบัณฑิตแล้วรึ” ฮ่องเต้ตรัสอย่างเมตตาขึ้น

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพระองค์พอใจเป็นอย่างมาก แต่องค์ชายแปดก็ยังเป็นองค์ชายแปด คนสกุลเหอไม่ทันได้โล่งใจ ก็พูดจาให้อกสั่นขวัญแขวนอีกรอบ

“มิใช่เพียงบัณฑิต หากอัธยาศัยต้องกัน กระหม่อมคบได้ทุกชนชั้น”

การคบคนต่างชนชั้นถือเป็นเรื่องเสื่อมเกียรติ แม้จะมีข้อยกเว้นในกรณีบัณฑิตหรือกลุ่มคหบดีที่มีอิทธิพล แต่ถ้าฐานะทางสังคมต่ำกว่านี้ ไม่มีทางที่จะเป็นสหายกันได้

“เจ้าพูดเหมือนคบนักเลงหัวไม้เป็นสหาย”

“ไม่เชิงเสียทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคบหากับหัวหน้าคนงานคนหนึ่ง เขาหยาบคายเหลือทน แต่มากล้นด้วยน้ำใจ”

“เจ้าก็เลยใช้น้ำใจของสหายหาเงิน” สุรเสียงของฮ่องเต้เปลี่ยนเป็นเย็นชา

“ขอประทานอภัย กระหม่อมไม่เข้าใจว่าพระองค์หมายถึงสิ่งใด”

“มีรายงานว่าบันไดปลาโจนสร้างขึ้นจากงบประมาณนอก ที่ไม่เกี่ยวข้องการเงินในท้องพระคลัง รวมถึงไม่มีการเก็บภาษีท้องถิ่นเพิ่ม แล้วเจ้าเอาเงินมาจากไหนกันมากมาย”

แม้ว่าองค์ชายแปดไม่ได้ถูกเนรเทศแบบตัวเปล่า แต่ก็ไม่ได้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย

“ค่าใช้จ่ายส่วนนี้มาจากการเปิดเส้นทางการค้าในทะเลทรายพ่ะย่ะค่ะ”

ทางตอนใต้ของเจี่ยวหวามีทะเลทรายซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับสามแคว้น คือเจียงเฉียง ยู่หลานและโจวเหลียน ทะเลทรายอันกว้างใหญ่นี้ไม่ได้อยู่ภายใต้การปกครองของแคว้นใด แต่เป็นที่อาศัยของชนเผ่าซึ่งชำนาญการรบแต่รักสันโดษเป็นอย่างยิ่ง หลายสิบปีที่ผ่านมามีการเจรจาเพื่อเปิดเส้นทางการค้าหลายครั้ง แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ การส่งกำลังทหารเข้าไปยึดครองมีแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย ยังไม่ทันรบก็ต้องป่วยไข้เพราะภูมิอากาศอันแปรปรวนกับฝูงสัตว์มีพิษแล้ว หรือต่อให้ได้มาพื้นที่เหล่านี้ก็แทบจะทำประโยชน์อันใดมิได้

ทุกแคว้นล้วนตัดใจจากเส้นทางทะเลทราย หันมาใช้ทางอ้อมซึ่งปลอดภัยกว่าแทน แต่แล้วอยู่ๆ เมื่อสามปีก่อนเส้นทางนี้กลับถูกเปิดออก มีกลุ่มพ่อค้าหลายกลุ่มได้รับการคุ้มครองจากชนเผ่าทะเลทราย ทำให้บรรยากาศการค้าแถบเมืองชายแดนคึกคักขึ้นผิดตา

“เจ้าถือสิทธิ์อันใดจึงตักตวงผลประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต” ฮ่องเต้ทรงตำหนิเสียงดัง

ทุกคนในที่นั้นล้วนเข้าใจตรงกันว่าองค์ชายแปดเรียกเก็บเงินจากพ่อค้า

“ขอฝ่าบาทอย่าทรงเข้าใจผิด ผลประโยชน์ที่กระหม่อมได้มานั้นมาไม่ได้เกิดจากการเรียกร้องแต่เป็นความเต็มใจ”

องค์ชายแปดชี้แจงอย่างใจเย็นว่าบังเอิญเข้าไปมีส่วนในการเจรจาระหว่างพ่อค้ากับพวกชนเผ่าทะเลทราย เนื่องจากพวกพ่อค้าไม่สามารถผ่านเส้นทางนี้ไปได้โดยไม่มีคนท้องถิ่นนำทาง จึงคิดจะว่าจ้างคนคุ้มกัน แต่ชนเผ่าทะเลทรายล้วนไม่อยากวิสาสะกับคนนอก องค์ชายแปดซึ่งมีความสัมพันธ์ค่อนข้างดีกับหัวหน้าเผ่าจึงเป็นคนกลางให้ เมื่อได้ข้อยุติเป็นที่น่าพอใจ เขาจึงได้ค่าตอบแทนมา

“เรื่องนี้เหลือเชื่อเกินไป ขอฝ่าบาททรงวินิจฉัยด้วย” ในที่สุดก็มีคนลุกขึ้นมาค้าน

อย่าว่าแต่เหล่าขุนนางเลย เสนาบดีเหอยังไม่เชื่อว่าหลานชายตัวเองจะมีความสามารถปานนั้น

องค์ชายแปดยิ้มเยาะดังจะรอคอยคำพูดนี้มานาน เมื่อได้โอกาสชายหนุ่มจึงจัดการตบหน้าผู้คนที่ปรามาส ด้วยการขออนุญาตนำหลักฐานเข้ามา สิ่งที่ชายหนุ่มให้คนยกเข้ามาคือขนแกะสีทอง แกะสีทองนี้ถือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าทะเลทราย ตัวมันใหญ่พอๆ กับวัว มีความดุร้ายมาก ตามกฎของเผ่าจะสามารถล่าได้แค่ปีละหน และผู้ที่สามารถใช้ขนของมันได้ มีแต่หัวหน้าเผ่าและนักรบผู้กล้าที่ได้รับการยอมรับเท่านั้น

“สิ่งนี้มาจากบุตรชายของหัวหน้าเผ่าซาโม่หยาง เขาให้กระหม่อมนำมาถวายแด่ฝ่าบาท”

เผ่าซาโม่หยางเป็นเผ่าใหญ่ที่สุดในทะเลทราย เรียกว่าเป็นผู้ปกครองอาณาเขตนี้ก็ว่าได้

“เหตุใดบุตรชายของหัวหน้าเผ่าจึงมอบขนแกะนี้ให้ข้า”

ชนเผ่าทะเลทรายไม่ประจบสอพลอ ไม่เกรงกลัวอำนาจใด การส่งของสูงค่ามาย่อมสร้างความกังขา

“กระหม่อมมิทราบ แต่ชายผู้นี้น่าจะมีคำตอบ”

องค์หรู่เผยหันไปทางชายที่นำขนแกะเข้ามา ตัวเขาแต่งกายแปลกตา ผิวคล้ำกว่าคนทั่วไปมากมองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชนเผ่าทะเลทราย ชายหนุ่มรีบทำความเคารพทันทีเมื่อรู้ว่าตัวเองถูกเอ่ยถึง เมื่อฮ่องเต้ตรัสถามข้อสงสัยเขาก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว

“เหตุผลอยู่ในสารฉบับนี้แล้ว แต่กระหม่อมมิกล้าถวายเพราะซาโม่หยางผูเป็นคนโผงผาง จะสนทนาหรือเขียนอ่านก็ไม่รื่นหู เกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทกริ้ว”

สำเนียงของตัวแทนจากเผ่าซาโม่หยางบอกชัดว่าไม่ใช่คนเจียงเฉียง ถ้านี่เป็นการจัดฉากก็ถือว่าเล่นได้สมจริงมาก เพราะแม้แต่ชื่อคนส่งของกำนัลก็ทำได้ไม่พลาด น้อยคนนักที่จะรู้ว่าชนเผ่าทะเลทรายเรียกกันด้วยชื่อโดดๆ ไม่มีแซ่ คนที่สามารถใช้ชื่อเผ่านำหน้าชื่อตนได้มีแต่หัวหน้าเผ่าและบุตรชายเท่านั้น

“นำสารออกมา ข้ารับปากว่าจะไม่ถือสา”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นคนจากเผ่าซาโม่หยางก็ส่งสารให้มหาดเล็กนำไปถวาย ทว่าแทนที่จะเปิดอ่านเอง พระองค์กลับสั่งให้อ่านให้ได้ยินทั่วกัน

องค์ชายแปดรีบก้มหน้ากลั้นยิ้มราวกับรู้ว่าในนั้นเขียนอะไรเอาไว้ ส่วนมหาดเล็กนั้นถึงกับหน้าซีดเหงื่อซึมเมื่อเห็นข้อความ

“รออะไร รีบอ่านเร็วเขา”

“พ่ะย่ะค่ะ” คนถูกใช้ให้ทำงานยากหน้าเจื่อน

ชายหนุ่มฝืนอ่านข้อความเร็วจี๋รวดเดียวจบ เสียงของมหาดเล็กดังแผ่วกว่าที่เคย ถึงกระนั้นก็ได้ยินกันชัดทั้งท้องพระโรงโดยเฉพาะประโยคสุดท้าย

“ข้า...ซาโม่หยางผู เห็นจ้าวหรู่เผยเป็นพี่น้อง พ่อเขาก็เหมือนพ่อข้า ปีนี้ได้ของล้ำค่ามาจึงนำมามอบให้ ขอท่านผู้เฒ่าโปรดรับไว้”

อ่านจบมหาดเล็กก็ลงไปโขกศีรษะขอพระราชทานอภัยโทษ ขณะที่ขุนนางทั้งหลายตกอยู่ในความเงียบ ข้อความนี้ไม่ต่างอะไรกับการหมิ่นพระเกียรติ ซาโม่หยางผูเป็นเพียงชนเผ่าทะเลทรายกลุ่มเล็กๆ กล้าดีอย่างไรมาเทียบชั้นกับจักรพรรดิ แล้วยังเรียกฮ่องเต้ว่า ‘ท่านผู้เฒ่า’ ถึงจะมีคำว่าท่านโผล่มาแต่มันก็ไม่ต่างจากการตะโกนใส่หน้าว่า ‘ตาแก่’

ทว่าแทนที่จะกริ้วจนสั่งประหารคนนำสาร ฮ่องเต้กลับทรงพระสรวลเสียงดังพลางตบหัตถ์อย่างชอบใจ

“เพื่อนของหรู่เผยช่างน่าสนใจนัก ฝากบอกซาโม่หยางผูว่าเราถูกใจขนแกะมาก สหายของบุตรข้า ข้าก็จะนับเขาเป็นบุตรด้วย”

ฮ่องเต้ไม่เพียงมอบเกียรติอันสูงสุดให้ ยังให้คนส่งของกำนัลกลับไปให้ซาโม่หยางผูด้วย พระองค์ทำให้ทุกคนตะลึงค้างกับการลงทุนที่หาประโยชน์อันใดมิได้ น้อยคนที่จะรู้ว่าสิ่งที่ทรงทำไปก็เพื่อให้ความสามารถของโอรสองค์สุดท้องเป็นที่ประจักษ์ เมื่อชื่อของซาโม่หยางผูเป็นที่กล่าวถึง วีรกรรมขององค์ชายแปดก็จะเป็นที่เลื่องลือเช่นกัน

สี่ปีมานี้พระองค์มิได้ทอดทิ้งโอรสดังที่ทุกคนเข้าใจ ทรงติดตามข่าวคราวความเป็นไปของหรู่เผยเสมอ เรื่องดีร้ายล้วนผ่านพระเนตรพระกรรณโดยละเอียด หลายครั้งที่ต้องปวดพระทัยเมื่อเห็นความทุกข์ยากของโอรส แต่ก็ต้องฝืนใจทำเป็นไม่รับรู้ ปล่อยให้อุปสรรคทำให้เด็กเกเรไม่ได้ความเติบใหญ่

มาบัดนี้หรู่เผยทำได้ดีเหนือกว่าที่คิดฝัน แต่พระองค์ก็ต้องกักเก็บความภาคภูมิยินดีไว้ เพื่อไม่ให้โอรสหลงระเริง ทว่าพ่อก็ยังเป็นพ่อ พยายามเช่นไรก็ไม่อาจเก็บซ่อนความรักต่อบุตร

“ไหนๆ ก็กลับเมืองหลวงแล้ว พักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยกลับไปพร้อมคนจากเผ่าซาโม่หยาง ถ้ามีเวลาก็ไปเยี่ยมแม่เจ้าด้วย”

ฮ่องเต้มิได้กำหนดเวลากลับของคนจากเผ่าซาโม่หยาง นั่นหมายความว่าองค์ชายหรู่เผยอยู่เมืองหลวงได้นานเท่าที่ต้องการ การอนุญาตให้ไปเยี่ยมมารดาเป็นการบอกอย่างอ้อมๆ ว่าพระองค์ยังคงเมตตาให้องค์ชายแปดเข้าออกเขตพระราชฐานชั้นในได้ ดังนั้นไม่ว่าใครก็อย่าได้บังอาจล่วงเกิน

องค์ชายแปดรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดผ่านสายพระเนตรและน้ำเสียง เมฆหมอกในใจชายหนุ่มพลันกระจ่าง เขาไม่ได้อ้างราชโองการกลับมาเมืองหลวงเพียงเพื่อผลงานอย่างเดียว ที่ยอมเสี่ยงถูกกริ้วเพราะอยากทดสอบความรู้สึกของพระบิดา ว่าหากตนทำประโยชน์ให้ได้ เสด็จพ่อจะเปลี่ยนไปเพียงไหน

คำตอบคือพระองค์ไม่เคยเปลี่ยน ทุกอย่างยังคงเดิม มีเพียงเขาเท่านั้นที่มองผิดเพี้ยนไปตั้งแต่ต้น เด็กน้อยผู้โง่เขลาปักใจว่าพระบิดามีความลำเอียง เพิ่งได้ตระหนักเมื่อเติบใหญ่ว่า ความรักที่พระบิดามอบให้นั้นเกินกว่าความดีของตน ชายหนุ่มลงไปคุกเข่าอีกครั้งหนึ่ง แล้วกล่าวคำขอบคุณในพระกรุณาเสียงดัง



ทันทีที่องค์ชายแปดออกจากท้องพระโรง วีรกรรมของชายหนุ่มก็แพร่ไปทั่ววังอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เมื่อองค์ชายผู้ไร้คนเหลียวแล แสดงผลงานจนเป็นที่ประจักษ์ ทุกอย่างก็กลับตาลปัตรไปหมด ข่าวเรื่ององค์ชายหรู่เผยผลักองค์หญิงรุ่ยฟางตกน้ำ กลายเป็นว่าเขากระโดดลงไปช่วยชีวิตนาง แถมยังมีข่าวลือประหลาดว่าองค์หญิงรุ่ยฟางตกใจในความสง่างามขององค์ชายหรู่เผยจนตกน้ำ ชายหนุ่มจึงลงไปช่วยและกอดปลอดขวัญอยู่นานสองนาน

ข่าวลือที่ไม่มีมูลความจริงเหล่านี้พูดกันไปทั่วอย่างสนุกปาก ก่อนที่จะมีคนจากกรมวังมาสอบถามความจริงเสียอีก แว่นผู้ยังไม่รู้ถึงข่าวลืออันน่าโมโห ตัดสินใจโกหกเพื่อตัดปัญหาทั้งที่ไม่อยากปกป้องเด็กแสบเลยสักนิด

“ข้าเป็นลม จึงพลัดตกสระ เคราะห์ดีได้องค์ชายแปดมาช่วยไว้”

คนจากกรมวังได้ยินเช่นนั้นก็ไม่ซักถามอย่างอื่นอีก ดังจะทำเป็นพิธีเท่านั้น แม้แต่อาการเจ็บป่วยบาดเจ็บก็ไม่เอ่ยถึง เห็นจะเป็นเพราะคนตกน้ำยังสามารถพูดคุยได้เป็นปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นกระมัง

เมื่อคนของกรมวังกลับไปแล้ว ซีอิ๋งก็ยกถ้วยยาสมุนไพรมาให้ดื่ม สรรพคุณของมันคือป้องกันหวัด บรรเทาอาการตกใจ แว่นเป็นคนสั่งยานี้ให้ตัวเอง จะได้กินกันเอาไว้ก่อนเผื่อดึกๆ อาจจับไข้ ทว่าพอเจอรสขมฝาดก็ไม่ใคร่อยากดื่มนัก เลยถ่วงเวลาด้วยการแสร้งรอให้ยาเย็น

“มีอะไร” แว่นเพิ่งสังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของซีอิ๋งตอนที่วางถ้วยยาลง

“ไม่มีเพคะ หม่อมฉันแค่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

หญิงสาวปฏิเสธด้วยใบหน้าไร้พิรุธ สมแล้วที่อยู่ในวังหลวงด้วยกันมานาน ซีอิ๋งเปลี่ยนไปมาก ถึงกระนั้นแว่นก็รู้ทัน

“อยากรู้ละสิว่าทำไมองค์ชายแปดถึงกอดข้า”

พวกนางกำนัลที่อยู่ด้วยในตอนนั้นเห็นกันหมดว่าองค์ชายหรู่เผยกอดกุ้ยฮวาไว้แน่น ทั้งยั้งอุ้มพาตัวไปส่งถึงรถม้า ความห่วงใยนี้ทำให้สับสนและสงสัย ว่าเห็นทีภาพที่ชายองค์ชายแปดผลักนายหญิงของตนตกน้ำจะเป็นภาพลวงตา หรือความเข้าใจผิด

“เพคะ” ซีอิ๋งยอมรับเสียงอ่อย

นางไม่ใช่เด็กสาวที่จะร้องวี้ดว้ายกับทุกเรื่องอีกแล้ว แต่ก็เพิ่งจะสิบแปดเท่านั้น ยังคงสนใจเรื่องความรัก โดยเฉพาะเรื่องของนายหญิงที่ซีอิ๋งเห็นว่าสำคัญยิ่งกว่าชีวิตตน นางเข้าใจมาตลอดว่ากุ้ยฮวารักอยู่กับองค์ชายห้า แล้วนี่มันอะไรกัน เหตุใดอยู่ๆ องค์ชายแปดถึงโผล่มา

“เขาก็แค่แกล้งแหย่ให้ข้าโมโหเท่านั้นเอง อย่าใส่ใจเลย”

“แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้น” ใครบางคนเอ่ยแทรก

แว่นกับซีอิ๋งหันขวับไปมองตามเสียง ก็พบว่าคนที่เอ่ยถึงกำลังนั่งเก๊กหล่ออยู่ริมหน้าต่าง ซีอิ๋งตกใจจนสะดุ้ง นางเกือบตำหนิว่านี่คือตำหนักของอดีตจักรพรรดิ ต่อให้เป็นองค์ชายก็ใช่ว่าจะมีสิทธิ์เข้าออกตามชอบใจ ทว่ายังไม่ทันพูด ตัวนางก็แข็งค้างเพราะดวงตาเรียวที่ทรงอำนาจ

“เจ้าออกไปก่อน” องค์ชายแปดสั่ง

“ไม่ต้องออกไป” แว่นห้าม

เขาไม่กลัวการอยู่ตามลำพังกับองค์ชายแปด แต่ไม่ชอบใจที่ชายหนุ่มถือสิทธิ์มาสั่งคนของตน

“ก็ตามใจ นางจะได้หายสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงกอดเจ้า” ผู้บุกรุกยิ้มยั่วทำตาพราว

แว่นรู้ในทันทีว่าถ้าปล่อยให้ซีอิ๋งอยู่ด้วยมีหวังองค์ชายแปดได้สร้างความเข้าใจผิดเพิ่มแน่ๆ เลยเปลี่ยนใจโบกมือไล่ให้ซีอิ๋งหลบฉากไปก่อน

“มีอะไรก็ว่ามา” แว่นเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ เขายังเคืองที่ถูกผลักตกน้ำอยู่จึงละเรื่องหางเสียงเอาไว้

“บาดเจ็บหรือเปล่า ให้หมอมาดูอาการหรือยัง”

คำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใยทำเอางงว่าเขาจะมาไม้ไหน

“องค์ชายกินน้ำเข้าไปเยอะหรือ มีไข้หรือเปล่า” แว่นเอามือแตะหน้าผากอย่างอดไม่ได้

องค์ชายหรู่เผยดึงมือเล็กๆ ให้พ้นไปจากใบหน้าอย่างหงุดหงิด

“เจ้านี่ชอบทำเสียเรื่องเรื่อย”

เขาตั้งใจว่าจะมาขอโทษดีๆ แต่ตอนนี้ไม่มีอารมณ์พูดแล้ว องค์ชายหรู่เผยงอนที่ถูกลืม ตอนนี้เคืองที่นางไม่เข้าใจความรู้สึก หากเป็นเขาคนก่อนคงโวยวายใส่จนทะเลาะกัน แต่ตอนนี้ชายหนุ่มหัดนับหนึ่งถึงสิบ และเลือกที่จะมองเหตุการณ์ในด้านดี

“เห็นแก่ที่เจ้าโกหกเพื่อข้า จะยอมยกโทษให้ก็ได้”

องค์ชายแปดแอบฟังอยู่นานแล้ว เขารอให้คนของกรมวังออกไปเสียก่อนจึงค่อยแสดงตัว การได้เห็นกุ้ยฮวาพูดเข้าข้างตน ทำให้หัวใจคนแอบรักชุ่มชื่นขึ้นมาก ตรงข้ามกับแว่นที่ตอนนี้เพลียจิต ฝ่ายที่ต้องยกโทษให้มันทางนี้ต่างหาก ไม่มีคำขอโทษไม่ว่า แต่ไอ้ท่าทางเหมือนอยากได้คำขอบคุณนี่มันอะไร

“พัฒนาขึ้นนะเพคะ หน้าหนาขึ้นเยอะเชียว”

องค์ชายแปดไม่สนใจคำค่อนขอด ทั้งยังยืดอกอวดผิวที่เข้มขึ้นของตน

“ข้าคุมการสร้างเขื่อน จะให้ผิวบางหน้าบางอย่างพวกคนชาววังได้อย่างไร”

แว่นเผลอยิ้มออกมาจนได้ เขาคิดถึงเจ้าเด็กบ้านี่มากกว่าที่คิด เห็นแล้วความเอ็นดูมันรื้นที่มาที่อก หากไม่ติดว่าเขาโตเป็นหนุ่มแล้ว แว่นคงโผไปกอดแล้วขยี้ผมแรงๆ ให้หายมันเขี้ยว

“ที่นั่นคงลำบากมากทีเดียว แต่องค์ชายอดทนได้ดีจริงๆ”

แว่นมองมือใหญ่หยาบกร้านขององค์ชายหรู่เผย เมื่อก่อนมันทั้งขาวบอบบางราวกับมือของสตรี แต่บัดนี้มันกลายเป็นมือหนาของบุรุษที่ทุ่มเทเพื่องานหนัก

“เจ้าอยากให้ข้าอยู่เมืองหลวงไปตลอดไหม”

องค์ชายแปดถามอย่างแฝงนัย แต่คนที่กำลังอยู่ในอารมณ์เอ็นดูกลับตอบอย่างไม่คิดมาก

“อยากสิเพคะ หม่อมฉันเคยบอกมิใช่หรือว่าถ้าไม่ได้พบกันอีกคงจะเหงามาก”

“ประเสริฐแท้ จำคำพูดเมื่อก่อนได้ แต่กลับลืมหน้าข้า”

แว่นหัวเราะเบาๆ เขาง้อเด็กด้วยการเปิดตู้หยิบขนมออกมา แล้วรินน้ำชาให้ดื่ม

“องค์ชายเพิ่งกลับจากเข้าเฝ้าคงยังไม่ได้กินอะไร ขนมพวกนี้มาจากร้านอร่อยนอกวัง ลองชิมดูสิเพคะ”

กุ้ยฮวาไม่เคยโกรธเขาได้นาน ทั้งยังแสดงออกว่าห่วงใยกันอย่างเป็นธรรมชาติ องค์ชายหรู่เผยทั้งรักทั้งชังเวลานางวางตัวเป็นพี่สาวเช่นนี้ ตัวเขาเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่กลับไม่อาจลบภาพเด็กน้อยในใจของนางออกไป หากมีเวลาคงพอมีหวัง แต่เขากลับไม่อาจรั้งอยู่ที่นี่ได้นาน

องค์ชายหรู่เผยมองหญิงสาวเงียบๆ โดยไม่แตะต้องขนม แว่นคะยั้นคะยอจนเหนื่อยเขาก็ยังนิ่ง แว่นไม่รู้ว่าเด็กแสบจะมาไม้ไหนเลยเงียบตาม กลายเป็นว่าจ้องหน้าอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน สุดท้ายก็เป็นแว่นที่รู้สึกเคอะเขินและอึดอัดจนต้องพูดอะไรออกมา

“จะจ้องกันอีกนานไหมเพคะ มีอะไรก็ว่ามา” แว่นเอ่ยกึ่งดุ

ริมฝีปากขององค์ชายหรู่เผยเปิดออก แล้วก็กลับไปปิดสนิท เขากอดอกขมวดคิ้วจ้องเขม็งอยู่อีกพักหนึ่ง จึงค่อยยอมปริปาก

“ข้าหมดธุระแล้ว เจ้าดื่มยาเสร็จเมื่อไร ข้าก็จะไปเมื่อนั้น”

พอได้ยินแบบนั้นแว่นก็ซดยาที่วางทิ้งไว้รวดเดียวหมด เขาอยากให้คนกวนประสาทรีบไปให้พ้นหน้า ทว่าพอเห็นปฏิกิริยาตอบกลับก็ต้องเสียใจ แววตาขององค์ชายแปดดูเศร้าระคนตัดพ้อ จนเขาเกือบหลุดปากขอโทษที่ผลักไส ไม่ทันได้เอ่ยคำใด ชายหนุ่มก็ลุกพรวดจากเก้าอี้

“รอก่อนก็แล้วกัน พร้อมเมื่อไรจะมารับ” ชายหนุ่มประกาศคำมั่น แล้วกระโดดหายไปทางหน้าต่าง

แว่นไม่อาจรู้ความในใจแต่หมด จึงได้แต่ทอดสายตามองกรอบหน้าต่างว่างเปล่า องค์ชายแปดเคยเป็นคนอ่านง่าย มีอะไรก็แสดงออกมาทางสีหน้าจนหมดสิ้น มาบัดนี้เขากลับกลายเป็นปริศนาที่แว่นไม่เข้าใจเสียแล้ว

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายบทค่า
ในที่สุดเราก็มาถึงภาคสุดท้ายกันแล้ว
เนื้อหาวางไว้ประมาณ 40 ตอนค่ะ

ขึ้นภาคใหม่เลยได้ฤกษ์เปลี่ยนเพลงใหม่
ลองเปิดเสียงแล้วฟังกันได้นะคะ มีซับไทยพร้อมความหมาย
ใครฟังเพลงไม่ได้โน้มสรุปความมาให้ได้ประมาณนี้

“พายุที่เกิดขึ้นในหัวใจ
แม้หลายปีผ่านไปก็มิอาจทำให้จางหาย
โชคชะตานำพาให้พบกัน
ลิขิตอนาคตของสองเราไว้
เสียงกีบม้ากระทบพื้นค่อยๆ ดังห่างออกไป
คำสัญญาที่จะพบกันอีกครา ดับไปพร้อมวัยเยาว์
เจ้าเต็มไปด้วยตัณหา จึงไร้หัวใจ
เจ้าฝังข้าไว้ด้วยการรอคอย
บุปผาแบ่งบานในวสันตฤดู
หัวใจข้าแตกเป็นเสี่ยงอยู่ในกำมือเจ้า
หญิงสาวผู้นั้นนางอยู่แห่งหนใด นางช่างงดงามนัก
เพียงชั่วพริบตานั้นมากพอจะจดจำไปชั่วกาล”

ฟังแล้วอินระดับสิบเพราะมันเข้ากับเนื้อเรื่องมากค่ะ
ใครจะอยู่ ใครจะไป ใครจะร้าว หรือนี่เป็นแค่คำขู่ มาลุ้นกันนะคะ
แม่ยกชายแปดกับชายห้ามีเยอะพอๆ กันเลย
งานนี้อาจมีเรือไททานิกล่ม
จะเตรียมเรือกู้ชีพพร้อมหน่วยแพทย์ไว้รอนะจ๊ะคนดี ^O^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ม.ค. 2560, 00:00:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ม.ค. 2560, 00:00:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 966





<< ประมุขพรรคมาร : บทที่ ๑๕ ซวบลาบ (ตอนที่ ๑๖-๓๐ ติดตามต่อได้ในเล่ม 5 นะคะ)    ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๒ ความพยายามของคนรอ >>
Zephyr 30 มี.ค. 2560, 16:23:15 น.
น้องแปดกละบมาอย่างแมน
เราจะเปลี่ยนใจเลยมั้ยนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account