ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๒ ความพยายามของคนรอ

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๒ ความพยายามของคนรอ

องค์ชายหรู่เผยพำนักอยู่ที่วังหลวงเพียงหนึ่งคืน ก็เดินทางกลับเจี่ยวหวา โดยไม่รอคนจากเผ่าซาโม่หยาง แม้แต่การไปเยี่ยมมารดาตามพระบัญชา องค์ชายก็มิได้นำพา การทำตัวขบถของเขาทำให้คนของสกุลเหอยิ่งตระหนักถึงความยากลำบากในการใช้หมากตัวนี้ จ้าวหรู่เผยปราศจากความกลัวแต่มิได้โง่เขลา คล้ายดั่งมีดแหลมคม ที่พร้อมจะฟาดฟันทุกสิ่งที่ขวางหน้า

บุคคลเช่นนี้รังแต่จะทำให้การใหญ่มีความเสี่ยง ทว่าในสายตาของเหล่าผู้อาวุโสใน มีดอย่างองค์ชายแปดกลับเป็นของล้ำค่า ไม่เพียงคมปลาบ ยังเปล่งประกายเจิดจรัส มีค่าควรบัลลังก์ ถือว่าสิ้นคิดโดยแท้หากจะทิ้งขว้าง เหล่าผู้เฒ่าสุมหัวกันประชุมเคร่ง แม้จะยังมิได้ข้อสรุปว่าจะใช้งานองค์ชายแปดเช่นไร แต่เห็นตรงกันว่าควรเฝ้าสังเกตการณ์ไปอีกระยะ

นับแต่องค์ชายห้าถูกเนรเทศไปหรงซิ่ง การเมืองภายในราชสำนักก็แทบหยุดชะงัก แม้จะมีการเคลื่อนไหวของหลายฝ่าย แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากผู้เป็นใหญ่ที่สุดในแผ่นดิน ฮ่องเต้เคยมีดำริอย่างลับๆ ว่าอยากให้เหล่าโอรสแข่งขันกันอย่างยุติธรรม เมื่อองค์ชายแปดอายุสิบเจ็ด แต่บัดนี้เลยกำหนดมาสองปีแล้ว ก็ยังไม่มีแถลงการณ์อันใด หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานอาจมีราชโองการสละราชบัลลังก์ให้องค์รัชทายาท แต่นั่นไม่น่ากลัวเท่ากับการเคลื่อนไหวขององค์ชายสาม

ขณะนี้อำนาจในมือองค์ชายองค์นี้มีมากจนน่าพรั่นพรึง ต่อให้ไม่นับการสนับสนุนจากสกุลเฉิน องค์ชายลี่หมิงก็ยังมีสถานะของเจ้าเมืองจุ้ยห้าน และบุตรเขยของเจ้าเมืองเจียนเจี๋ยอยู่ จุ้ยห้านเป็นเมืองการเกษตรที่ร่ำรวย ส่วนเจียนเจี๋ยมีสินแร่ อำนาจการต่อรองจึงสูงยิ่ง แต่องค์ชายลี่หมิงไม่พอใจเพียงเท่านี้ เขารับชายารองอีกสองคน คือบุตรของแม่ทัพใหญ่กับหลานสาวของเจ้ากรมพิธีการ เพื่อเพิ่มฐานอำนาจและหูตาในวังให้ตน

บัดนี้ชายหนุ่มจึงมิใช่เสือติดปีก แต่เป็นมังกรที่นอนอยู่ใต้พิภพ เพียงแค่ขยับตัวบิดขี้เกียจก็สะท้านสะเทือนทั้งแผ่นดิน ในภาวะที่สกุลเหอกำลังเสื่อมอำนาจเช่นนี้ ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าการที่เขาได้ขึ้นเป็นใหญ่อีกแล้ว ขุนนางหลายคนเริ่มคิดทบทวนถึงการย้ายข้างมาอยู่กับองค์ชายสาม ต้องขอบคุณกลับมาขององค์ชายแปดที่หยุดยั้งการเอาใจออกห่างไว้ได้

องค์ชายแปดอายุไม่มากแต่กลับเป็นที่นับถือของขุนนางและบัณฑิตทางใต้ เจ้าเมืองเจี่ยวหวาเองก็ชื่นชมองค์ชายแปดไม่น้อย เต็มใจสนับสนุนสุดความสามารถ ถึงขั้นส่งคนมาเจรจาขอความช่วยเหลือจากสกุลเหออย่างลับๆ โดยมีเงื่อนไขว่าขอเพียงเขื่อนเสร็จก่อนกำหนด เขายินดียกความชอบทั้งหมดให้องค์ชายแปด ข้อเสนอนี้ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะปฏิเสธ แต่พวกผู้เฒ่าคิดไปไกลกว่านั้น การสนับสนุนจากเจ้าเมืองเป็นเพียงใบเบิกทางเท่านั้น ต้องได้กำลังทหารและขุนนางผู้ใหญ่มาด้วย ในเมื่อองค์ชายสามสร้างฐานอำนาจจากการแต่งงานได้ แล้วไยองค์ชายแปดจะอภิเษกกับสตรีตระกูลสูงไม่ได้

เหล่าผู้เฒ่าทั้งหลาย ร่วมมือกันหาทางให้องค์ชายแปดได้กลับมาในช่วงเทศกาลหนุ่มสาวปลายปีนี้ รวมถึงเลือกเฟ้นสตรีที่สามารถช่วยเหลือเกื้อกูลกันได้ มีรายนามของท่านหญิงและคุณหนูให้เลือกมากมาย แต่ในบรรดารายชื่อยาวเหยียดเหล่านี้ กลับไม่มีชื่อคนในดวงใจขององค์ชายหรู่เผยปรากฏอยู่

ทางด้านคนที่ถูกเมิน ไม่โดนจัดให้เป็นตัวเลือกอย่างแว่น กำลังจมอยู่ในห้วงความรู้สึกผิด เพราะดวงตาเศร้าๆ ขององค์ชายแปดยังคงติดค้างอยู่ในความทรงจำ

“ไม่ได้ตั้งใจแกล้งสักหน่อย ทำไมถึงใจน้อยนัก”

แว่นบ่นเด็กแสบเพราะรู้ว่าที่เขารีบกลับเจี่ยวหวาตัวเองนั้นมีส่วนเกินครึ่ง ทว่าพอคิดทบทวนดีๆ กลับรู้สึกผิด ในวังหลวงแห่งนี้องค์ชายหรู่เผยแทบไม่มีใครให้พึ่งพิง มีแม่ก็เหมือนไม่มี พี่หกตอนนี้ไปราชการต่างเมือง เพื่อนคนเดียวที่เหลือมีเพียงกุ้ยฮวา แต่นางก็ยังใจร้ายผลักไสได้ลง

พอคิดได้แว่นก็รีบเขียนจดหมายพร้อมกับส่งของไปง้อเด็ก เขาไม่ได้เขียนคำขอโทษ แต่ดุไปแทนว่าเหตุใดจึงไปไม่ลา หากทำอีกปีนี้จะไม่ส่งผ้าห่มกับเสื้อกันหนาวไปให้

แว่นเริ่มส่งของไปให้องค์ชายแปดเมื่อประมาณสองปีก่อน โดยฝากไปทางจางไห่ หลังจากได้รู้ว่าเขาไม่ยอมใช้ของที่สนมเหอส่งไปให้ องค์ชายหรู่เผยบอกว่ายอมทนหนาว ดีกว่าอบอุ่นเพียงชั่วคราวแล้วต้องทนแบกบุญคุณไปมากกว่านี้ ไม่รู้ว่าเด็กวายร้ายจะทิฐิไปถึงไหน แว่นอ่อนใจกับความรั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เข้าใจเสียทีเดียว แว่นรู้เรื่องที่องค์ชายแปดกรีดเลือดคืนมารดา ทั้งยังรู้ว่าสกุลเหอปฏิบัติต่อเขาเช่นไร ดีเท่าไรแล้วที่ยังรักษาจิตใจเอาไว้ได้

องค์ชายแปดยังคงเป็นองค์ชายแปด สังเกตจากส่งขนมกินเล่นไปไม่ทันไร ก็มีม้าเร็วส่งจดหมายตอบกลับมา เจ้าเด็กแสบไม่รู้บุญคุณคนเขียนหนังสือตัวโตเต็มหน้ากระดาษว่า

‘ขนมไม่อร่อย กินได้คำเดียวก็ถุยทิ้งแล้ว’

แว่นยังไม่ทันโมโห ก็ต้องหัวเราะลั่นเพราะจดหมายของจางไห่ที่ถูกส่งมาพร้อมกัน

‘ขนมอร่อยมากขอรับ แต่ข้าได้กินชิ้นเดียว ที่เหลือองค์ชายแปดยึดเอาไปหมด’

องครักษ์ผู้แสนดีแฉองค์ชายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวอีกเช่นเคย

นอกจากจดหมายแล้ว ยังมีกล่องขนมถูกส่งมาด้วย ข้างในมีของที่คล้ายกระยาสาทรบรรจุอยู่ พร้อมข้อความเขียนด้วยลายมือขององค์ชายแปดว่า ‘นี่สิถึงจะเรียกว่าอร่อย’

“ข่มกันนี่นา” แว่นอมยิ้มพลางหยิบขนมมาลองชิม รสชาติมันใช้ได้ทีเดียว ไม่รู้เรียกว่าอะไร

เขานึกสงสัยเลยเขียนจดหมายไปถามเดี๋ยวนั้น พร้อมยอมรับแบบเต็มปากเต็มคำว่าอร่อย แน่นอนว่ามีการเหน็บไปพร้อมว่า ‘ข้ากล้ากินกล้ารับ ไม่เหมือนใครบางคน’

การเขียนจดหมายโต้ตอบอย่างเป็นทางการโดยไม่ผ่านจางไห่เริ่มต้นจากจุดนี้ องค์ชายแปดตอบจดหมายค่อนข้างเร็ว เลยไม่เคยต้องรอนาน เวลาเบื่อๆ ก็เก็บกลับมาอ่านย้อนหลังทำให้ลืมเรื่องกังวลไปได้บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของคนไกลอย่างองค์ชายห้า ชายหนุ่มขาดการติดต่อไปนานจนแว่นรู้สึกกลัว เลยลองใช้สถานะขุนนางขั้นสี่สืบดู แล้วก็พบว่าเกิดเรื่องจริงๆ

ขณะนี้สถานการณ์ในหรงซิ่งไม่สู้ดีนัก เหตุเพราะทางเหนือเกิดเรื่อง ดินแดนแถบนั้นติดกับหุบเขาที่มีชื่อว่าแดนคนเถื่อน ส่วนใหญ่เป็นที่อาศัยของกลุ่มคนเร่ร่อน ซึ่งดำรงชีพด้วยการลักขโมยปล้นชิง คนพวกนี้กระจายตัวกันอยู่ไม่มีที่อาศัยเป็นหลักแหล่ง แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด อยู่ๆ พวกคนเร่ร่อนก็มารวมตัวกัน จัดตั้งเป็นชุมชน สร้างกองทัพขึ้น อาศัยยุทธการกองโจร บุกปล้นสร้างความเสียหายไปทั่ว ไม่เพียงแต่ที่หรงซิ่ง ทางตะวันออกของไห้ซิ่วและแคว้นเพื่อนบ้านอย่างเข่ออู้ก็ได้รับความเดือดร้อน

ทางเจียงเฉียงยกภาระการปราบโจรให้หรงซิ่งรับผิดชอบ โดยแลกกับการไม่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการ แต่การลาดตระเวนในพื้นที่กว้างใหญ่ไม่ใช่เรื่องง่าย ไหนจะกำลังพลที่ต้องใช้ กับงบประมาณอีกมหาศาล หากทำสำเร็จคุณความดีที่ได้แค่เสมอตัว แต่หากล้มเหลวจะกลายเป็นความอับอายของชนชาตินักรบอย่างหรงซิ่ง

องค์ชายห้าย่อมไม่อยู่เฉยงอมืองอเท้า แว่นเห็นภาพเขาบัญชาการอยู่แนวหน้า นอนกลางดินกินกลางทราย ต่อสู้อย่างยากลำบาก แว่นรู้ว่าเขายุ่งมากและไม่อยากให้เป็นห่วงจึงเงียบหาย คนคอยทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ และส่งสมุนไพรกับข้าวของจำเป็นไปให้เรื่อยๆ

การต้องทนคอย ไม่สามารถแบ่งปันความทุกข์ให้กันและกันได้ สำหรับแว่นมันอึดอันทรมานมาก เขาเลยพยายามหาข่าวของทางหรงซิ่ง รู้เพิ่มมาสักนิด ย่อมดีกว่าถูกปิดหูปิดตา น่าเศร้าที่ตำแหน่งของแว่นเป็นเพียงที่ปรึกษาสำนักหมอหลวง แม้มีสิทธิ์ถวายฎีกา แต่ไม่ใช่ขุนนางจำพวกที่ต้องแต่งกายเต็มยศ มีหน้าที่มารอเฝ้าฮ่องเต้เวลาออกว่าราชการ จึงอดฟังรายงานความเป็นไปของบ้านเมือง

ด้วยเหตุนี้แว่นเลยตัดสินใจเสนอหน้ามาที่ท้องพระโรงด้วยตัวเอง เขาถวายฎีกาต่อฮ่องเต้ นำเสนอแนวคิดเรื่องการสาธารณะสุขและการศึกษาขั้นพื้นฐานของประชาชน ผลคือไม่มีใครเข้าใจเรื่องสาธารณะสุข ส่วนเรื่องการศึกษานั้นคนส่วนใหญ่คิดว่าไม่ใช่สิ่งจำเป็นสำหรับพวกชนชั้นไพร่

เจอกับกระแสคัดค้านรุนแรงเช่นนี้ แว่นเลยปรับเปลี่ยนแผน หาทางต่อสู้กับเหล่าขุนนางหัวเก่าจนเส้นเลือดในสมองแทบแตก ในที่สุดแนวคิดบางส่วนจึงได้รับการยอมรับ ซึ่งก็เป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น แต่นั่นก็มากพอจะเปิดโอกาสให้แว่นได้พบปะกับเหล่าขุนนางผู้ใหญ่ สร้างเครือข่ายขยายความสัมพันธ์เพื่อสืบข่าว

แม้เจตนาของแว่นจะไม่บริสุทธิ์ตั้งแต่คราแรก แต่เขาก็ตั้งใจทำงานมาก โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการให้ความรู้ด้านสุขอนามัยขั้นพื้นฐานแก่ประชาชน เพื่อป้องกันโรคติดต่อ รวมถึงวิธีดูแลตัวเองเบื้องต้นเมื่อเจ็บไข้ แว่นรวบรวมเหล่าปราชญ์และคนจากสำนักหมอหลวง ช่วยกันทำตำราที่เรียกว่า ‘พิธีกรรมสุขภาพ’ ขึ้น โดยเน้นภาษาเข้าใจง่าย และมีภาพประกอบจำนวนมาก เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ

แว่นฟันฝ่าต่อสู้ในสังคมชายเป็นใหญ่อย่างสุดความสามารถ เขายืมมุกฮิตทำเครื่องกรองน้ำของบรรดานางเอกทะลุมิติทั้งหลาย มาเปิดตัวอย่างอลังการในท้องพระโรง พร้อมทูลเกล้าถวายตำราที่เกิดจากความอุตสาหะ เมื่อฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตรและซักถามข้อข้องใจแล้ว ก็เห็นควรให้คัดลอกแจกจ่ายให้ประชาชน โดยแรกเริ่มให้หัวหน้าหมู่บ้านในเมืองหลวง มารับไปคนละเล่มก่อน และกำหนดให้ช่วยสอนคนในปกครองทีละเรื่อง

เมืองหลวงไม่ขาดแคลนน้ำ แต่ในถิ่นกันดารนั้นต่างออกไป พวกชาวบ้านเห่อเครื่องกรองน้ำกันมากจนแทบจะเรียกว่าของวิเศษ ทำให้ยอมทำตามตำราของทางการง่ายขึ้น น่าอัศจรรย์นัก เพียงไม่กี่เดือนคนเจ็บคนตายก็ลดลงจนสังเกตได้ ผลงานครั้งนี้ทำให้องค์หญิงรุ่ยฟาง ได้รับคำสรรเสริญอย่างมากมาย บางคนเริ่มมองนางเป็นเทพธิดามาจุติ มีการสร้างรูปปั้นให้พร้อม จุดยืนในราชสำนักเลยมั่นคงจนไม่มีคนกล้าล่วงเกิน งานนี้คงไม่ต้องบอกกระมัง ว่าพื้นที่บนคานจะขยายออกไปอย่างไพศาลปานไหน

แว่นทำงานพัฒนาประเทศได้ดีแต่สิ่งที่ต้องการจริงๆ กลับไม่ได้เรื่องได้ราว ข่าวคราวจากทางหรงซิ่งยังเงียบหาย เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีรายงานการปราบโจรส่งมา กุ้ยอี้กับคนจากกรมกลาโหมก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม ใช้ลูกล่อลูกชนอย่างไรก็ใช้ไม่ได้ผล จนแว่นมั่นใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นความลับที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของแผ่นดิน แต่จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สุดจะคาดเดา



วันที่สาม เดือนสิบเอ็ด ปีโหย่งซิ่นที่ยี่สิบเก้า หิมะแรกของปีโปรยปรายลงมา ต้อนรับการรวมตัวของครอบครัวในเทศกาลหิมะ องค์ชายทุกพระองค์ได้รับพระบัญชาให้กลับมาพำนักที่วังหลวง ทว่าจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาขององค์ชายห้า แว่นนึกตัดพ้อในใจว่าแม้แต่เด็กวายร้ายอย่างองค์ชายแปดยังยอมกลับมา แล้วเหตุใดพ่อพระเอกหุ่นหมีจึงเงียบหาย นี่ก็สี่เดือนแล้วที่เขาไม่ส่งจดหมายมา

“ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็น่าจะมีจดหมายส่งมาบ้างสิ อย่างน้อยให้คนส่งข่าวว่ายังไม่ตายก็ยังดี คนรอเขาเป็นห่วงนะ จะไปหาก็ทำไม่ได้” แว่นตะโกนอย่างโมโหทำเอาพวกนางกำนัลที่รายล้อมอยู่รอบตัวสะดุ้ง

บังเอิญว่าแว่นตะโกนเป็นภาษาไทย จึงไม่มีใครเข้าใจ ส่วนซีอิ๋งนั้นชินแล้ว เลยบอกทุกคนว่าไม่ต้องตกใจ องค์หญิงแค่ออกกำลังกายปอด แม้พวกนางจะไม่เข้าใจ ก็ยอมเก็บปากเก็บคำไม่ซักถาม ในสายตาของบรรดานางกำนัล องค์หญิงรุ่ยฟางนั้นงามล้ำ พอๆ กับความแปลก นางเก่งเกินชาย ทำตัวผิดขนบ แต่ถึงกระนั้นพวกนางก็เต็มใจรับใช้ เพราะองค์หญิงน้ำพระทัยงามยิ่ง

“วันนี้มีจดหมายจากสหายข้าไหม” แว่นถามซีอิ๋งเป็นภาษาเจียงหลังจากตะโกนคลายเครียดเสร็จ

“ไม่มีเพคะ”

แว่นพยักหน้ารับอย่างผิดหวัง เขานึกอิจฉาเพื่อนๆ โดยเฉพาะโบ้ที่เป็นจอมยุทธ์ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ แทบไม่ต้องห่วงสถานะกับผลที่ตามมา ไม่เหมือนตนที่ติดอยู่ในร่างหญิงสูงศักดิ์ ทำได้เพียงอดทนยอมรับสภาพ

พูดแล้วก็คิดถึงเพื่อนๆ ทีแรกทุกคนตั้งใจจะเข้าวังมาหาแว่นช่วงเทศกาล แต่อยู่ๆ แดนมายาก็มีปัญหา โบ้เลยออกมาไม่ได้ เจ้บังเอิญติดธุระกะทันหัน ส่วนหน่อมลูกป่วย เลยขอผลัดมาเจอกันปีหน้าแทน แว่นเข้าใจความจำเป็น แต่ก็อดหดหู่รับฤดูเหงาไม่ได้

ดูเหมือนสวรรค์จะเวทนาแว่นอยู่บ้าง ซึมได้ไม่นาน ก็ส่งเทวดาน้อยๆ มาเยียวยาจิตใจ

“พี่หญิง...ข้ากับเฟยมาแล้ว”

เสียงใสๆ ของจื่อซ่านขับไล่ความหมองหม่นได้ชะงัดนัก น้องชายตัวน้อยวิ่งมาหา พร้อมแบกอีกาอ้วนกลมมาด้วย

ขณะนี้แว่นอยู่ในห้องโถงของตำหนักเขียว รอบตัวมีนางกำลังกำลังนั่งทำงานเย็บปัก พวกสาวๆ เห็นคุณชายรองสกุลเฉินก็พากันยิ้มเอ็นดู จื่อซ่านจึงส่งยิ้มกลับไปให้ รอยยิ้มของเด็กน้อยสว่างจ้าอบอุ่น ช่วยปลอบประโลมจิตใจของเหล่าพี่สาวได้ชะงัดนัก

“ก๊า!” เฟยเองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ส่งเสียงร้องทักทายทุกคนด้วย

“เจ้าพาเฟยเข้าวังมาด้วยแบบนี้ ท่านแม่ไม่ว่าหรือ”

จื่อซ่านอายุย่างเก้าขวบแล้ว ตอนต้นปีจึงได้เข้าเรียนในโรงเรียนหลวง เด็กคนนี้ติดจะชอบเล่นมากกว่าเรียน หย่าลี่เลยห้ามไม่ให้พกสิ่งไม่จำเป็นเข้าวัง ซึ่งเฟยก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

“ว่าขอรับ แต่ท่านพ่อช่วยพูดให้ ท่านพ่อบอกว่าเทศกาลหิมะไม่ต้องเรียน ถือเป็นกรณีพิเศษ ถ้าข้าสัญญาว่าจะดูแลเฟยอย่างดี ไม่ให้รบกวนคนอื่นก็จะอนุญาต”

“ต้องแบกมันไปไหนมาไหนแบบนี้มิลำบากแย่หรือ”

เฟยนั้นเหมาะกับคำว่าอ้วนตันโดยแท้ แว่นเคยลองอุ้มครั้งหนึ่งถึงกับทรุดเอวแทบเคล็ดทีเดียว ถ้าขืนยังปล่อยให้แบกมันทุกวันอย่างนี้ต่อไป อนาคตจื่อซ่านคงมีแววเป็นนักกล้าม

“ไม่ลำบากขอรับ ข้าชอบพาเฟยเดินเที่ยว อีกอย่างคือข้าไม่อยากทิ้งเฟยไว้ที่บ้าน เกิดสาวใช้ลืมให้อาหาร กว่าข้าจะกลับไปเฟยมิผอมแย่หรือ” เด็กชายตอบอย่างฉะฉาน

แว่นหลุดขำออกมา อย่างเฟยอดอาหารสักอาทิตย์คงไม่ใช่ปัญหา หรือต่อให้ลืมมันก็มีปัญหากินเอง ที่ผ่านมาจื่อซ่านให้อาหารเฟยอย่างพอเหมาะ เพื่อสุขภาพของมัน แต่เจ้ากาตะกละก็ยังหาหนทาง ฉกเอาของว่างหรือของเหลือมากินจนได้ ถึงได้พองออกๆ ดังที่เห็น

“แล้วมาหาพี่ถึงนี่มีอะไรหรือ” แว่นจำได้ว่าวันนี้ยังไม่ใช่กำหนดที่จื่อซ่านจะมานอนค้างด้วย

“ข้ากับเฟยมาอยู่เป็นเพื่อนพี่หญิงขอรับ”

“น่ารักจริงเชียว มานั่งกับพี่เร็ว” แว่นขยับที่บนตั่งให้

ไม่ว่าจื่อซ่านจะเต็มใจมาเองหรือมาเพราะถูกมารดาส่งมา แว่นก็เป็นปลื้มที่น้องชายห่วงใย

“แล้วท่านแม่เจ้าเล่าไปไหนเสีย”

“ท่านแม่ไปช่วยงานอาหญิงหงจิงขอรับ”

ช่วงนี้ในวังมีงานให้ทำมากมาย ทั้งงานเลี้ยงตอนรับพวกเจ้าเมือง ไหนจะคณะทูตที่ต้องรับรอง ฉากหน้าคืองานสังสรรค์ ฉากหลังนั้นเป็นการขับเคี่ยวทางการเมือง มีหรือเสนาบดีฝ่ายขวาจะทำใจเย็นอยู่บ้านฉลองกับลูกเมียได้

ปกติจื่อซ่านมักถูกทิ้งให้อยู่บ้านกับมารดา แต่ปีนี้พิเศษหน่อยเพราะเสนาบดีเฉินขอให้ฮูหยินพาลูกมาพักด้วยกันในวัง คาดว่าคงเพราะยุ่งมากเทียวไปเทียวมาไม่ไหว ครอบครัวเลยได้อยู่พร้อมหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็น

การย้ายที่พำนักชั่วคราวไม่ส่งผลอะไรต่อพวกผู้ใหญ่นัก แต่เด็กอย่างจื่อซ่านสนุกใหญ่ เพราะมีเพื่อนเล่นมาก ไม่ทันไรคู่ซี้ก็มาตาม

“คารวะอาหญิง ข้ามารับท่านอาจื่อซ่านขอรับ”

ฟางหมิงอายุน้อยกว่าจื่อซ่านสองปี แต่พูดจาฉะฉานไม่แพ้กัน อาหลานคู่นี้ คือตำนานสองเทพบุตรแห่งอุทยานกลาง ที่มาแทนที่เรื่องราวขององค์หญิงลี่จูกับกุ้ยฮวา พ่อหนูทั้งสองสนิทกันมาก แต่มีเสน่ห์คนละแบบ จื่อซ่านเป็นเด็กร่าเริงสดใสเหมือนแสงตะวัน ชอบยิ้มยิงฟันจนตาหยี ตรงข้ามกับฟางหมิงที่สงวนท่าทีกว่า แกชอบคลี่ยิ้มแต่พองาม แล้วใช้สายตาสื่อความรู้สึก ถ้ายิ้มของจื่อซ่านช่วยเพิ่มความชุ่มฉ่ำให้หัวใจ รอยยิ้มของฟางหมิงก็ละมุนละไมจนทำให้พี่สาวทั้งหลายใจละลายตายเกลื่อน

คิดไม่ทันไรก็มีคนทำตัวโงนเงนทำท่าเหมือนจะเป็นลม ท่าทางคงโดนยิ้มพิฆาตโจมตีเข้าอย่างจัง บังเอิญเหลือเกินที่ฟางหมิงสังเกตเห็น หนุ่มน้อยผู้แสนดีจึงเข้าไปสอบถาม

“พี่สาวไม่สบายหรือ”

“ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ ข้าแค่เป็น เอ่อ...เป็นเหน็บชา”

รู้แบบนี้ เด็กปกติคงหมดความสงสัย แต่ฟางหมิงไม่ใช่เช่นนั้น แกเป็นเด็กจิตใจดี ก็เลยถอดเสื้อคลุมออกมาคลุมขาให้

“ข้าให้ยืม ทำขาให้อุ่นไว้จะได้สบายขึ้น”

นางกำนัลผู้โชคดีเป็นลมล้มพับไปในทันที ก่อนสิ้นสตินางถึงกับครวญครางว่า ชาตินี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เพียงเท่านี้นางก็นอนตายตาหลับ บอกไม่ถูกเลยว่า ระหว่างองค์ชายสามที่ขยันบริหารเสน่ห์อย่างจงใจ กับลูกชายที่ทำไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว อย่างไหนอันตรายกว่ากัน

ท่านชายน้อยผู้ปรารถนาดี ได้แต่ทำตาปริบๆ หันมาถามอาหญิงว่าตนทำอะไรผิด แว่นไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เลยวางมือบนไหล่แล้วบอกว่าทำดีแล้ว

“พี่สาวคนนี้แค่ไม่สบายน่ะ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” แว่นรีบโบกมือให้พาคนเป็นลมออกไป แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “ว่าแต่เจ้ากับจื่อซ่านจะไปไหนกันหรือ”

“ข้ามาชวนท่านอาจื่อซ่านไปเล่นหิมะ ท่านอาจะไปไหม”

“ไปแน่นอน ท่านชายรอเดี๋ยว”

จื่อซ่านก็กระโดดลงจากตั่ง วิ่งเร็วจี๋ไปหาพี่เลี้ยง เพื่อขอชุดกันหนาวมาสวมให้สัตว์เลี้ยงแสนรัก อีกาอ้วนในชุดเสื้อคลุมมีหมวกสีแดงตัดกับขนดูน่าขัน แต่เฟยกลับไม่รังเกียจ ท่าทางมันจะชอบสัมผัสของผ้ากำมะหยี่ไม่น้อย

“พวกเจ้าจะไปเล่นที่ไหนกัน”

“แถวนี้แหละขอรับ” ฟางหมิงตอบอีกครั้ง

แว่นเห็นว่าหิมะยังตกลงมาอยู่ จึงบอกให้รอก่อน ทว่าไม่กี่อึดใจเด็กๆ ก็ได้ออกไปเล่นสนุก เพราะมีคนใจร้อนกว่ามาขออนุญาตให้ คนคนนั้นคือ ‘เว่ยฉิงอี๋’ หรือก็คือชายาเอกขององค์ชายสาม ปีนี้นางเพิ่งอายุสิบเก้า แว่นจึงเห็นเป็นน้องสาว ทั้งเอ็นดูและถูกชะตามากที่สุดในบรรดาพี่สะใภ้ทั้งสาม

ครั้งแรกที่แว่นพบฉิงอี๋คือช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ หลังจากที่นางแต่งงานกับองค์ชายสามได้ประมาณเจ็ดเดือน ทั้งคู่ทำพิธีมงคลสมรสที่จุ้ยห้าน หากมิใช่เพราะสนมเฉินกับฮ่องเต้พร้อมใจกันกดดัน องค์ชายสามคงไม่ยอมส่งลูกเมียมาเมืองหลวง

แว่นเห็นองค์ชายสามแต่งงานอย่างรีบร้อน ทั้งยังหวงแหนชายามาก เลยเข้าใจว่าฉิงอี๋คงงามหยาดฟ้ามาดิน แต่เปล่าเลย ฉิงอี๋นั้นสวยอย่างเรียบๆ ผิดคาด แม้จะงามตามวัยแต่ก็ไม่สะกดสายตา นอกจากนี้ยังเหมือนเด็กซน กิริยามารยาทรวมถึงความรู้ยังบกพร่องหลายอย่าง แต่ก็มีดีตรงที่ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ และเข้ากันได้ดีกับฟางหมิง

แว่นเห็นมากับตาว่าชายาเอกขององค์ชายสามแอบปีนต้นไม้เล่น พอถูกจับได้ นางก็ยอมรับแต่โดยดี ทั้งยังพูดเจื้อยแจ้วว่าการได้ปีนต้นไม้สูงๆ แล้วมองท้องฟ้าเป็นการคลายเครียดอย่างหนึ่ง

“องค์หญิงต้องเข้าใจหม่อมฉันนะเพคะ กฎเกณฑ์ในวังกับการมีแม่สามีอย่างสนมเฉินมันเครียดมากจริงๆ”

คำพูดอันแสนตรงไปตรงมาทำให้แว่นถูกใจนิสัย เลยสอนวิธีการเอาตัวรอดให้หลายอย่าง รวมถึงช่วยปิดบังเวลาฉิงอี๋เล่นซน นางเลยรักที่จะมาเป็นแขกตำหนักนี้

วันนี้ก็เช่นกัน ที่จริงแล้วคนที่อยากเล่นหิมะไม่ใช่ฟางหมิง แต่เป็นท่านแม่ของท่านชายน้อยต่างหาก แว่นเลยแนะให้ไปเล่นกันในสวน จะได้สนุกกันเต็มที่โดยไม่ต้องกลัวสายตาใคร คนของตำหนักเขียวอาจจะไม่ใช่บุคลากรชั้นเลิศที่สุด แต่มีดีตรงที่ปิดปากสนิท

เด็กสอง ผู้ใหญ่หนึ่งและอีกาอ้วน เล่นหิมะกันอย่างสนุก แม้ว่าตัวหลังจะมัวแต่หาของกิน เสียงหัวเราะและเรียกชื่อของเฟยก็ยังดังให้ได้ยินเป็นระยะ

คิดดูแล้วชะตาของท่านหญิงฉิงอี๋นั้นน่าสงสารไม่น้อย นางแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รัก ต้องคอยเลี้ยงดูลูกของเขาที่เกิดจากหญิงอื่น สามีมีอนุภรรยาแทบจะทันทีหลังแต่งงาน ต่อจากนั้นก็ทิ้งนางไว้กับแม่สามีที่ร้ายกาจ ถ้าเป็นแว่นคงยิ้มไม่ได้ขำไม่ออก ไม่รู้เขามองโลกในแง่ร้ายหรือเพราะมาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างเกินไป ที่รู้แน่คือบางครั้งการมองโลกอย่างสตรีเช่นฉิงอี๋ ก็น่าริษยาไม่น้อย

“องค์หญิงรับลมนานแล้ว เดี๋ยวไม่สบายนะเพคะ” ซีอิ๋งกล่าวเตือนเมื่อเห็นว่าเริ่มเหม่อ

แว่นยอมปิดหน้าต่างแล้วให้ซีอิ๋งประคองมานั่งที่ตั่งโดยไม่อิดออด ใต้ตั่งมีถ่านแดงๆ ใส่เอาไว้เพื่อให้ความร้อน เวลานั่งจึงอุ่นสบาย เหมาะเป็นที่สำหรับเจ้านาย นางกำนัลรับใช้ไม่มีใครได้อภิสิทธิ์แต่ก็ไม่ต้องทนหนาว เพราะใต้พื้นตำหนักนี้มีการสุมฝืนจุดไฟเอาไว้อยู่แล้ว

แว่นกลับไปอ่านหนังสือได้ประมาณสองหน้า ซีอิ๋งก็เริ่มชวนคุย

“องค์หญิงจะไม่ปักผ้าที่ใช้ในงานเต้นรำจริงๆ หรือเพคะ”

งานเต้นรำที่ว่าคืองานเต้นรำในเทศกาลหนุ่มสาว กุ้ยฮวาเคยเข้าร่วมเพียงหนเดียว จากนั้นก็ไม่เคยเยื้องกรายเข้าไปในงานอีกเลย

“ไม่คิดไปจะปักไปทำไมให้เสียของ” แว่นเอ่ยอย่างไม่สนใจ

ผลคือนางกำนัลสาวๆ รอบตัวพากันหน้าเหี่ยว หากองค์หญิงยืนกรานไม่เข้าร่วมจริงๆ บริวารอย่างพวกนางมีหรือจะกล้าเสนอหน้า บางคนถึงกับหยุดปักผ้า แล้วกระซิบกระซาบปรึกษาว่าควรเอาเวลาไปทำอย่างอื่น

“พวกเจ้าทำของตัวเองไปเถิด ถึงข้าไม่ไปแต่ก็รับปากท่านอาไว้แล้วว่าจะดูแลหลันเซียง ตั้งใจว่าจะให้พวกเจ้าไปเป็นบริวารติดตามนางในช่วงเทศกาล”

หลันเซียงที่ว่าเป็นธิดาของอารองจึงใช้แซ่เดียวกัน บ้านนางตั้งอยู่ห่างจากบ้านใหญ่ของสกุลเฉินไปหน่อยเดียว แต่ไม่ใคร่ได้พบหน้าเพราะอารองกับครอบครัวอยู่ที่เริ่นเจินเป็นหลัก

พวกสาวๆ ได้ยินแบบนี้ค่อยยิ้มออกกลับมาปักผ้าอย่างร่าเริง จะเหลือก็แต่ซีอิ๋งที่ยังพะวงห่วง นางไม่ได้คิดแต่เรื่องความสุขของตนเพียงอย่างเดียว ซีอิ๋งอยากให้นายหญิงสนุกกับงานรื่นเริงบ้าง นานเท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่กุ้ยฮวามิได้ยิ้มอย่างเต็มสีหน้า ด้วยเหตุนี้นางจึงแอบเตรียมผ้าปักสำหรับร่วมงานไว้ เผื่อเกลี้ยกล่อมสำเร็จ

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีวันจันทร์ค่ะ
ไม่ต้องแปลกใจ ทำไมอยู่ๆ โน้มน้าวลงนิยาย
พอดีปรับเปลี่ยนตารางนิดหน่อยค่ะ
ต่อแต่นี้จะลงอาทิตย์ละสองตอน
ทุกวันจันทร์กับศุกร์นะคะ

ใครรอแพนด้า จงรอต่อไปค่ะ
หรงซิ่งมันไกล ตอน3 พี่ก็ยังไม่โผล่
อ่านบทของจื่อซ่านกะฟางหมิงฆ่าเวลาไปก่อนนะคะคนดี



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 ม.ค. 2560, 00:19:46 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 ม.ค. 2560, 00:23:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 902





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๑ การกลับมาขององค์ชาย    ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๓ ติดสินบนเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account