ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๓ ติดสินบนเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๓ ติดสินบนเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย

ที่สวนด้านนอก หลังจากที่บานหน้าต่างของตำหนักเขียวปิดลงได้ไม่นาน เฟยก็แสดงพฤติกรรมประหลาด มันแหงนหน้าขึ้นมองต้นอิงเถาที่กำลังออกผลสีแดงสด แล้วแหกปากร้องกระโดดโหยงเหยงเต้นไปมา ครั้นจะว่าอยากกินก็คงไม่ใช่ เพราะถ้าอยากคงไปขอให้เจ้านายช่วยนานแล้ว ไม่ใช่วิ่งวนไปมาเช่นนี้

เด็กและผู้ใหญ่ที่กำลังเล่นหิมะพร้อมใจกันหันมามองอีกาอ้วนด้วยความสนใจ สังเกตอยู่ระยะหนึ่งจึงเห็นว่าที่แท้เฟยกำลังคุยอยู่กับอีกาตัวโตบนต้นไม้

“นั่นเหยี่ยวดำนี่” จื่อซ่านชี้มือชี้ไม้

เด็กชายไม่เคยเห็นอีกาตัวนี้มาก่อน แต่เห็นปลอกขาสีเงินสะท้อนแสงอยู่แวบๆ แสดงว่ามีเจ้าของ แล้วยังปฏิกิริยาของเฟยอีก ตอนได้เจอกับจิ๊บน้อยมันก็แสดงออกอย่างตื่นเต้นดีใจเช่นนี้

ฟางหมิงมองตามอย่างตื่นเต้น แต่ฉิงอี๋ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกจึงแก้คำพูดให้

“นั่นอีกาต่างหากไม่ใช่เหยี่ยว”

“เหยี่ยวดำเป็นชื่อของกาตัวนี้ขอรับ มันเป็นพี่ของเฟย ตอนนี้อยู่กับองค์ชายแปด” จื่อซ่านให้ข้อมูล

พอได้ยินเช่นนั้นฉิงอี๋ก็ร้องอ๋อ นางได้ยินพวกนางกำนัลพูดกันว่าองค์ชายแปดเอาอีกาปีศาจมาเลี้ยง ไม่เพียงแต่ตัวโต ยังดุร้ายมาก แม้แต่เหยี่ยวขององค์ชายสี่ก็ไม่ใช่คู่มือ ถูกเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส

เหยี่ยวดำบินลงมาจากต้นไม้เมื่อถูกเฟยเรียกถี่ๆ เห็นพี่ชายลงมาหา เฟยกางปีทำท่าเหมือนพร้อมอ้าแขนรับ แต่กลับได้ฝ่าเท้ามาแทน เหยี่ยวดำถีบน้องชายจอมโวยวายเต็มรักเพราะรำคาญเสียงร้อง ร่างอ้วนกลมเลยกลิ้งหลุนๆ กระเด็นออกไป ขนาดเจอแบบนี้เฟยก็ยังไม่เข็ดหลาบ วิ่งมาหาพยายามนัวเนียคลอเคลียสุดพลัง เหยี่ยวดำโดนไขมันจากพุงกลมๆ กระแทกใส่หลายหน ก็ทนรำคาญไม่ไหวเป็นฝ่ายบินหนีไปแทน

เฟยพยายามกระพือปีกบินตามพี่ แต่แทนที่จะลอยกลายเป็นชนโครมกับต้นอิงเถาเข้าอย่างจัง แรงกระแทกทำให้เกล็ดน้ำแข็งจำนวนมากร่วงพราว

“ระวัง!” ฉิงอี๋เตือนเด็กๆ ที่อยู่ใต้ต้นไม้

เจ้าก้อนน้ำแข็งเล็กๆ ส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย แต่บางอันมีคม ถ้าบังเอิญหล่นลงมาปักใส่เนื้อนิ่มๆ พอดี ก็เลือดตกยางออกได้ ตอนยังเล็กฉิงอี๋เคยเจอฤทธิ์คมน้ำแข็งเข้าอย่างจัง เป็นเหตุให้จำฝังใจ นางถลาเข้าหาลูกเลี้ยง ทว่าก็อยู่ไกลเกินกว่าจะดึงตัวออกมาทัน โชคดีมีคนยื่นมือมาช่วย ฟางหมิงกับจื่อซ่านจึงไม่ได้รับบาดเจ็บ

“ขอบคุณท่านมาก” ฉิงอี๋เอ่ยกับชายในชุดทหาร

นางยิ้มให้เขา แต่เดี๋ยวเดียวแววตาก็เปลี่ยนเป็นไม่ไว้ใจ เขามาช่วยได้เร็วทันการณ์อย่างนี้ แสดงว่ามองอยู่นานแล้ว ไม่ใช่ว่าเป็นคนของสนมเฉินหรอกนะ

ขณะที่ลูกสะใภ้มือใหม่นิ่งไปเพราะความระแวง เด็กๆ กลับผลัดกันสนทนากับชายแปลกหน้า

“ท่านลุงเก่งจัง ท่านเป็นองครักษ์หน่วยไหนหรือ” จื่อซ่านถาม

เมื่อครู่เขาไม่เพียงช่วยตนกับฟางหมิงไว้ ยังใช้เท้าเกี่ยวพาตัวเฟยออกมาด้วย

ชายหนุ่มยิ้มรับคำชม เขาย่อตัวลงมาอยู่ในระดับเดียวกันแล้วจึงค่อยตอบ

“ข้ามิใช่องค์รักษ์หลวง แต่เป็นองครักษ์ขององค์ชายแปดขอรับ”

“ข้าชื่อฟางหมิง ท่านมีนามว่าอะไร” ท่านชายผู้เคร่งมารยาทแนะนำตัว

“ข้ามีนามว่าจางไห่ขอรับ”

“ส่วนข้าชื่อจื่อซ่าน ท่านลุงจางไห่รู้จักพี่ของเฟยไหม”

จื่อซ่านควรจะถามว่ารู้จักเหยี่ยวดำหรือเปล่า เพื่อให้เข้าใจง่าย แต่จางไห่ก็ไม่งง องครักษ์มาดขรึมผู้นี้รักเด็กตรงข้ามกับภาพลักษณ์ ตลอดเวลาที่สนทนาเขาใส่ใจฟังคำถาม ทั้งยังยินดีตอบโดยไม่แสดงท่าทีรำคาญ

“ขอรับ ข้าเห็นทั้งเฟย เหยี่ยวดำและจิ๊บน้อยมาตั้งแต่ยังเป็นลูกนก”

เด็กๆ ได้ยินแบบนั้นก็ตาวาว พวกเขาอยากรู้กันมากว่าเหยี่ยวดำสู้กับเหยี่ยวที่เป็นเหยี่ยวจริงๆ ได้อย่างที่เขาลือหรือเปล่า

“สู้ได้แน่นอนขอรับ สู้ชนะด้วย ข้าเลยต้องมาเป็นเพื่อนตอนออกมาบินเล่น จะได้ไม่ไปเกเรรังแกใคร”

องค์ชายแปดได้รับการร้องทุกข์เพราะพฤติกรรมของเหยี่ยวดำไม่น้อย โดยเฉพาะจากองค์ชายสี่ ตอนนี้ฝูงเหยี่ยวที่น่าเวทนาพากันจับไข้หัวโกร๋น แค่ได้ยินเสียงอีการ้องก็ตัวสั่นงันงก เหตุเพราะเหยี่ยวดำบุกไปสำแดงเดชถึงถิ่น ครั้นจะโทษเหยี่ยวดำฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกนัก มันโดนเหยี่ยวในวังหาเรื่องก่อน เลยต้องลงมือสั่งสอน

ฉิงอี๋ฟังเด็กๆ คุยกับองครักษ์ได้สักพัก ก็มั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนของสนมเฉิน จึงร่วมการสนทนาด้วย หญิงสาวสนใจที่มาของลูกนกทั้งสาม พอรู้ว่าได้มาขณะที่ตามเสด็จออกล่าสัตว์พันปี พระชายาผู้มีใจรักการผจญภัย ก็ซักถามอย่างตื่นเต้น

“ท่านได้สู้กับสัตว์ร้ายหรือไม่ แล้วได้เห็นสัตว์พันปีหรือเปล่า”

“ได้สู้กับหมีไม่ก็หมาป่าอยู่บ้าง แต่ตัวข้าไร้วาสนาจึงไม่ได้พบสัตว์พันปี”

จางไห่พูดอย่างธรรมดา เพราะเข้าใจว่าหญิงสาวเป็นนางกำนัลพี่เลี้ยง ทางด้านฉิงอี๋ก็ไม่ถือสา นางสบายใจเสียอีกที่ปลอมตัวได้อย่างแนบเนียน

“หมีตัวใหญ่มากไหม/หมาป่าเล่าเขี้ยวคมหรือเปล่า” จื่อซ่านกับฟางหมิงแย่งกันถาม

“ขนาดหมีก็ ประมาณนี้ขอรับ” จางไห่ยกมือขึ้นบอกระดับความสูง “ส่วนหมาป่า ข้าเคยเจอตัวหนึ่ง เขี้ยวมันคมขนาดกัดคนเนื้อหลุดได้เลย มีทหารคนหนึ่งไม่ทันระวัง ถูกกัดจนเนื้อที่แขนห้อย...”

จางไห่ชะงักไปเมื่อคิดได้ว่าไม่ควรเล่าเรื่องน่ากลัวให้เด็กฟัง เขาจึงรีบตัดบทในทันที

“พวกท่านชายตากลมกันนานแล้ว แม่นางรีบพากลับเข้าตำหนักไม่ดีหรือ”

ฉิงอี๋รู้สึกเหมือนเพิ่งออกมาครู่เดียว แต่สุขภาพของเด็กๆ ก็สำคัญ นางจึงถามเด็กทั้งสองว่าหนาวหรือไม่ แน่นอนว่าจอมซนที่กำลังห่วงเล่นย่อมปฏิเสธ ผู้ใหญ่ที่ติดเล่นไม่ต่างกันเลยอนุญาตให้อยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง จื่อซ่านกับฟางหมิงเลยรีบไปปั้นตุ๊กตาหิมะต่อก่อนจะหมดเวลา

หญิงสาวหันกลับมาหาจางไห่ นางตั้งใจชวนเขาคุยต่อ แต่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ก่อน

“ท่านไม่ใช่องครักษ์หลวง แล้วเข้ามาได้อย่างไร”

ตำหนักเขียวอยู่ในเขตที่ประทับของเชื้อพระวงศ์หญิง แม้จะอยู่ไกลเกือบสุดขอบเขตพระราชฐานชั้นกลาง ก็ยังได้ชื่อว่าเป็นตำหนักของอดีตจักรพรรดิ อย่าว่าแต่องครักษ์หลวงเลย เชื้อพระวงศ์ชายยังแทบไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้

ด้วยสถานะในตอนนี้ของจางไห่ เขาไม่มีสิทธิ์เข้ามาที่นี่จริงๆ ถ้ากุ้ยฮวาไม่มอบป้ายทองให้เป็นกรณีพิเศษ ทหารหญิงคงไม่ยอมเปิดทางให้ แต่ครั้นจะบอกว่าสนิทกับเจ้าของตำหนักก็กระดากปาก จึงใช้ข้ออ้างอย่างอื่นแทน

“ข้ามาทำธุระให้องค์ชาย”

“อ้าว! ไหนว่าพาเหยี่ยวดำมาบินเล่น”

“เอ่อ...ก็ใช่ คือว่า...ข้ามาทำสองอย่างพร้อมกันน่ะ” องครักษ์หนุ่มแก้ต่าง

ถึงจะเอ่ยอย่างตะกุกตะกักไปบ้างแต่ก็มีเหตุผล

“ธุระอะไรหรือ” ฉิงอี๋ทั้งสงสัยและอยากรู้

“มิใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้” จางไห่ทำหน้านิ่ง แต่ที่จริงใจหวั่นวิตก

ชายหนุ่มจำเป็นต้องโกหกเพราะแอบมาโดยไม่ให้องค์ชายหรู่เผยรู้ ตอนนี้ข่าวเรื่ององค์หญิงรุ่ยฟางจะไม่เข้าร่วมเทศกาลหนุ่มสาวดังไปทั่ววัง พอองค์ชายหรู่เผยได้ยินก็ดูผิดหวัง องค์ชายสงสัยว่าทำไม ทั้งยังห่วงว่านางอาจเจ็บไข้ แต่ก็ถือทิฐิ บอกว่ากลับมาหนนี้จะไม่ยอมเป็นฝ่ายไปหาก่อน ทั้งยังสั่งห้ามไม่ให้จางไห่ติดต่อด้วย

ตอนแรกองครักษ์หนุ่มก็ตั้งใจทำตามคำสั่ง แต่เห็นเจ้านายกินไม่ได้นอนไม่หลับหลายวันก็ชักห่วง เลยตัดสินใจใช้ข้ออ้างพาเหยี่ยวดำบินเล่นออกมาสืบข่าว

“แต่หากข้าถาม เจ้าต้องตอบ” ฉิงอี๋ที่อยากรู้จัด แสดงท่าวางอำนาจ

เห็นองครักษ์หน้าโหดยังทำท่าเซ่อ หญิงสาวเลยขึ้นเสียงตวาด

“บังอาจนัก! ไม่รู้รึว่าข้าเป็นใคร”

“เจ้าไม่ใช่นางกำนัลหรอกรึ”

ได้ยินแบบนั้นคนที่เคยภูมิใจว่าตัวเองปลอมตัวได้ดี กลับเริ่มคิดว่าเป็นเพราะตนไม่มีสง่าราศีดังคำค่อนขอดหรือเปล่า หญิงสาวคลำเปะปะรอบเอว ควานหาป้ายประจำตำแหน่งมาประกาศศักดา แต่ก็ไม่พบ นางพลาดเสียแล้วที่ลืมมันทิ้งไว้ในห้อง ฉิงอี๋ผู้มุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเองเลยกวักมือเรียกลูกเลี้ยงให้มาหา

“ฟางหมิง...บอกเขาสิว่าข้าเป็นใคร”

“นางเป็นท่านแม่ของข้า เป็นชายาเอกขององค์ชายสาม” ท่านชายน้อยเอ่ยอย่างคล่องปาก เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องพิสูจน์ตัวตนให้นาง

พวกผู้ใหญ่ล้วนเป็นห่วงว่าการมีพ่อเจ้าสำราญกับแม่เลี้ยงที่ไม่ได้ความ จะทำให้ฟางหมิงได้รับพฤติกรรมแย่ๆ มา แต่ในความเป็นจริงกลับตรงข้าม ตัวอย่างที่ไม่ดีทั้งสอง ช่วยฝึกความรับผิดชอบได้อย่างเหลือเชื่อ

“ชายาเอก...ท่านคือพระชายาเว่ย!” องครักษ์หนุ่มทำท่าตะลึง พอได้สติก็รีบลงไปคุกเข่าขออภัย

“เมื่อรู้ว่าข้าเป็นใครแล้วก็รีบพูดมา”

องค์รักษ์หนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เขาล่วงเกินคนที่ไม่สมควรจะล่วงเกินเข้าแล้ว แต่แม้จะตกใจเพียงไหน จางไห่ก็ยังมีสติ และมิได้โง่งมขนาดมองเจตนาคนไม่ออก ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพระชายาไม่ได้คาดคั้นเอาความจริงเพื่อลงโทษ นางเพียงแต่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น ถ้าที่เขาลือกันว่าพระชายาเว่ยเป็นคนมีน้ำใจไม่ถือตัวเป็นเรื่องจริง บางทีจางไห่อาจขอให้นางช่วยได้

“พระชายาโปรดอภัย ที่กระหม่อมบอกว่ามาเพราะธุระขององค์ชายแปดเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น” ชายหนุ่มสารภาพโดยที่ยังคุกเข่าอยู่กับพื้น

“เหตุใดเจ้าต้องโกหก”

“กระหม่อมไม่อยากให้เรื่องของเจ้านายแพร่งพรายออกไป”

องครักษ์หนุ่มอธิบายคร่าวๆ ว่าเจ้านายของตนเป็นห่วงที่องค์หญิงรุ่ยฟางไม่เข้าร่วมเทศกาลหนุ่มสาว ตนเลยมาสืบเรื่องราวให้

“องค์ชายแปดไม่ได้สั่ง แต่เจ้ากลับทำเกินหน้าที่ หมายความว่า...องค์ชายแปดชอบองค์หญิงรุ่ยฟางงั้นหรือ” ฉิงอี๋หรี่ตามอง

“ทั้งหมดเป็นเพียงการคาดเดาของกระหม่อม ขอพระชายาอย่าได้เข้าใจผิด”

จางไห่พยายามแก้ต่าง เพื่อไม่ให้กระทบกับเจ้านาย แต่ฉิงอี๋นั้นเชื่ออย่างสนิทใจไปแล้ว องค์หญิงรุ่ยฟางงามพิลาศออกปานนี้ ขนาดสตรีด้วยกันเห็นแล้วยังใจสั่น ไม่แปลกเลยที่จะมีบุรุษมาหลงรัก

“เห็นแก่ที่เจ้ายอมสารภาพ ข้าจะช่วยปิดเป็นความลับให้ ถ้าขอร้องดีๆ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยอมช่วยองค์ชายแปด” ฉิงอี๋เอ่ยอย่างนึกสนุก

จางไห่โยนศักดิ์ศรีทิ้งแล้ววิงวอนขอให้นางช่วยทันที ซึ่งอีกฝ่ายก็ตอบรับอย่างไม่เล่นตัว พระชายาเว่ยคิดหาแผนการอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า

“ข้าไม่รู้ว่าองค์ชายแปดเป็นคนเช่นไร จะให้เป็นแม่สื่อแม่ชักเต็มตัวคงทำไม่ได้ แต่จะเปิดโอกาสให้สานสัมพันธ์ในงานเทศกาลหนุ่มสาวก็แล้วกัน”

“แต่องค์หญิงจะไม่เข้าร่วม”

“ก็ต้องทำให้เข้าร่วมสิ อย่างน้อยงานเต้นรำก็ยังดี”

หญิงสาวกระซิบกระซาบบอกแผนการ สักพักจึงกวักมือเรียกเด็กๆ ให้มาหา

“ท่านองครักษ์มีอะไรจะพูดกับพวกเจ้าแน่ะ” ว่าแล้วก็ส่งสัญญาณให้จางไห่เล่นตามบท

องครักษ์หนุ่มลงไปคุกเข่าอีกหนึ่งรอบ เพื่อองค์ชายแปด ให้กัดกับหมาจางไห่ก็ทำได้

“ข้าบากหน้ามาที่นี่เพราะมีเรื่องอยากขอความช่วยเหลือ ท่านชายฟางหมิงกับคุณชายจื่อซ่านได้โปรดรับฟังด้วย”

“ว่ามาเถิด ถ้าข้าช่วยได้ข้าก็ยินดี” ท่านชายน้อยน้ำใจงามตอบรับแทบจะทันที

“ข้าอยากให้ท่านทั้งสองช่วยขอร้ององค์หญิงรุ่ยฟางให้เข้าร่วมเทศกาลหนุ่มสาวขอรับ”

เด็กทั่วไปมักจะไม่รู้จักและไม่สนใจเทศกาลนี้ แต่จื่อซ่านกับฟางหมิงเข้าออกในวังมาตั้งแต่เล็ก ย่อมได้ยินเหล่านางกำนัลพูดถึงมาบ้าง ประกอบกับทั้งคู่เป็นเด็กช่างสงสัย ชอบซักถาม จึงรู้ความสำคัญของเทศกาล

“ท่านลุงอยากเต้นรำกับพี่หญิงหรือ” จื่อซ่านถาม

“มิได้ๆ ข้ามิบังอาจ ข้าวอนขอก็เพื่อนายของข้า คุณชายโปรดอย่าเข้าใจผิด”

“นายที่ว่าคือองค์ชายแปดใช่ไหม” ฟางหมิงถาม

“ใช่ขอรับ องค์ชายแปด หรือท่านอาแปดของท่านชาย” จางไห่พยายามย้ำความเป็นญาติ เพื่อที่เด็กชายจะได้คิดว่าไม่ใช่คนอื่นคนไกล

ท่านชายน้อยเลยหันไปปรึกษาท่านอา สองหนุ่มกระซิบกระซาบกันอยู่พักหนึ่ง จื่อซ่านจึงหันมาให้คำตอบ

“เราสองคนจะช่วยท่าน ถ้าการกระทำนี้เกิดประโยชน์ ไม่ทำร้ายใครและมีเหตุผลที่ดีพอ เชิญท่านบอกมา”

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ นกแก้วนกขุนทองตัวน้อยๆ ช่วยกันจำมาจากผู้ใหญ่ ทั้งคู่มีคำคมๆ อยู่ในสมองเป็นกระตั๊ก แต่จะเข้าใจหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่อง

เจอไม้นี้องครักษ์หนุ่มถึงกับไปต่อไม่ถูก พระชายาบอกให้เขาหลอกใช้งานเด็ก แต่ไปๆ มาๆ ทำไมรู้สึกว่าตัวเองโง่กว่าได้ จางไห่เรียบเรียงความคิดเร็วจี๋ พยายามพูดชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดโน้มน้าวหว่านล้อมตามกำลังสติปัญญาของตน แต่ก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องนัก เพราะเด็กๆ ช่างสงสัยเหลือเกิน

“ถ้าได้เต้นรำกับองค์หญิง องค์ชายแปดจะมีความสุขขอรับ ท่านไม่อยากให้ท่านอาแปดมีความสุขหรือ”

“ท่านอาแปดอยากเต้นรำมากสินะ” ฟางหมิงถาม

“ใช่ขอรับ” จางไห่รีบพยักหน้ารัวๆ เขานึกว่าสถานการณ์จะดีขึ้นแต่เปล่าเลย

“แต่ว่า...ผู้หญิงคนอื่นก็มี ทำไมต้องเป็นอาหญิงด้วย”

“เพราะ...เอ่อ เพราะองค์ชายแปดชอบ อ๊า! ข้าพูดไม่ได้ เอาเป็นว่าต้องเป็นองค์หญิงรุ่ยฟางเท่านั้นขอรับ”

“ข้าเข้าใจแล้ว” จื่อซ่านทุบกำปั้นลงกับมือ “องค์ชายแปดคงนิสัยไม่ค่อยดี นอกจากพี่หญิงเลยไม่มีคนคบ ถ้าพี่หญิงไม่ไปก็จะไม่มีคนเต้นด้วย”

คุณชายน้อยแห่งสกุลเฉินสรุปความตามใจจนองค์ชายผู้หาญกล้าดูน่าเวทนา

“ไม่ใช่อย่างนั้นขอรับ องค์ชายแปดไม่ใช่คนนิสัยไม่ดี อาจจะนิสัยเสียไปบ้าง แต่ก็มีข้อดีเยอะ เช่น...”

พูดแล้วก็เงียบไป เนื่องจากมันกะทันหันไปหน่อย คนคิดช้าก็เลยพูดของดีของนายไม่ออก พอจะพูดก็เจอสายตาของเด็กๆ ประมาณว่า ‘คงไม่มีดีจริงๆ สินะ’ มองเข้าให้ เลยต้องฮึดสู้สุดใจเพื่อพลิกสถานการณ์

“องค์ชายหรู่เผยทั้งฉลาด องอาจกล้าหาญ เก่งทั้งบุ๋นบู๊รอบด้าน ถือเป็นยอดบุรุษที่ยากหาใครเทียบนะขอรับ”

แก้ต่างให้แล้วก็ยิ้มปลื้ม แต่ก็ไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้น เพราะบทสนทนาวกกลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นก็มีคนอยากเต้นด้วยเยอะแยะเลยสิ”

ถึงยังเด็กแต่ฟางหมิงก็รู้ว่าพวกสาวนางกำนัลล้วนนิยมชมชอบบุรุษที่มีคุณสมบัติดีๆ ครบถ้วน

“ไม่ได้ขอรับ ต้องเป็นองค์หญิงรุ่ยฟางเท่านั้น” จางไห่เอ่ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจ

“รายละเอียดไว้ว่ากันทีหลังเถิด มาสนใจเรื่องสำคัญกันดีกว่า” ฉิงอี๋ขัด

พระชายาเว่ยทำท่าเหมือนจะช่วยจางไห่ แต่เปล่าเลย แม่เลี้ยงผู้แสนดีกำลังรักษาผลประโยชน์ให้ท่านชายน้อยต่างหาก

“หากฟางหมิงกับจื่อซ่านรับปากจะช่วย ท่านจะให้อะไร”

“หมายถึงค่าตอบแทนหรือพ่ะย่ะค่ะ เอ่อ...ข้ามีเงินไม่มาก แต่ลองเสนอมาได้ หากเป็นสิ่งที่จางไห่ผู้นี้สามารถสรรหามาได้ก็ยินดี”

“เอาเป็นอะไรดีเด็กๆ” ฉิงอี๋หันมาทางสองหนุ่มอย่างร่าเริงผลคือถูกดุ

“ทำอย่างนี้ไม่ได้นะขอรับท่านแม่ เราไม่ควรรีดไถใคร”

ท่านชายน้อยเพิ่งเรียนความหมายของคำว่า ‘รีดไถ’ จึงถือโอกาสใช้เสียเลย

ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉิงอี๋คงสะดุ้งที่โดนเด็กดุ แต่ตอนนี้นางชินกับความเจ้าระเบียบโตเกินวัยของฟางหมิงแล้ว เลยพลิกแพลงรับมือได้อย่างรวดเร็ว

“เจ้าใช้คำผิดแล้วฟางหมิง นี่ไม่ใช่รีดไถ เขาเรียกว่า ‘ผลประโยชน์ต่างตอบแทน’ เจ้าช่วยท่านองครักษ์ เขาให้ค่าตอบแทนเจ้า ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ไม่มีใครติดค้างหนี้บุญคุณกัน เช่นนี้ไม่ดีหรอกหรือ”

ฟางหมิงฟังแล้วคิดตามก็เห็นด้วยตามนั้น เขาได้รับการสอนมาว่าไม่ควรติดหนี้บุญคุณใครง่ายๆ จึงเชื่อว่าคนอื่นก็ไม่อยากติดหนี้บุญคุณตนเช่นกัน

“ว่าอย่างไรเล่า อยากได้อะไร” ฉิงอี๋เร่งเพราะสังเกตเห็นสีหน้าคล้อยตาม

ถึงจะโตเกินวัยแต่ทั้งสองก็ยังเด็ก โดนเอาของมาล่อ แถมผู้ปกครองยังสนับสนุนย่อมต้องหวั่นไหว คิดอยู่ไม่กี่อึดใจรายการของที่อยากได้ก็พรั่งพรูออกมาเต็มหัว แต่ทั้งคู่ก็ไม่โลภ เลือกสิ่งที่อยากได้ที่สุดมาคนละอย่าง เคราะห์ดีที่ไม่ยากเกินความสามารถของจางไห่จะจัดหา เมื่อตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เด็กทั้งสองคนพร้อมด้วยฉิงอี๋ก็พากันกลับไปด้านในตำหนัก ทิ้งจางไห่ให้รอฟังผลอยู่ด้านนอก



จื่อซ่านกับฟางหมิงจูงมือกันวิ่งไปหากุ้ยฮวา พวกเขาอยากทำธุระให้เสร็จโดยเร็ว แต่ก็ไม่ได้คุยทันที เพราะถูกด่านนางกำนัลสกัดระหว่างทาง พวกนางรู้ว่าเด็กทั้งสองไปเล่นหิมะมา จึงเตรียมชุดให้ผลัดเปลี่ยน รวมถึงหาขนมของว่างเตรียมเอาไว้ให้

พวกนางกำนัลทั้งหลายพร้อมใจปรนนิบัติท่านชายกับคุณชายน้อยอย่างพิถีพิถัน ทำให้กว่าจะเสร็จทุกขั้นตอน ก็กินเวลาไปชั่วยามเศษ เคราะห์ดีสองหนุ่มน้อยไม่ใช่ปลาทอง พอกุ้ยฮวาเรียกไปนั่งด้วย พวกเขาก็ระลึกได้ทันทีว่าต้องทำสิ่งใด จื่อซ่านปีนขึ้นไปประกบด้านซ้าย ส่วนฟางหมิงยึดพื้นที่ฝั่งขวา แล้วช่วยกันบีบนวด

“พวกเจ้าก็มาอ้อนแบบนี้ แสดงว่าต้องการอะไรใช่ไหม” แว่นเอ่ยอย่างรู้ทัน

“ไม่เชิงขอรับ อาหญิงจะทำหรือไม่ทำตามก็ได้” ฟางหมิงบอก

“น่าสนใจนี่ ไหนลองว่ามาซิ”

เด็กน้อยทั้งสองมองหน้ากัน แล้วจึงประสานเสียงอย่างพร้อมเพรียง

“พวกเราอยากให้ท่านไปงานเทศกาลหนุ่มสาว”

แว่นประหลาดใจเมื่อได้ยิน เขามั่นใจมากว่านี่ต้องไม่ใช่ความคิดของพ่อหนูทั้งสองเป็นแน่

“ใครขอให้พวกเจ้ามาพูดกัน”

“ท่านลุงองครักษ์ชื่อว่าจางไห่ขอรับ” จื่อซ่านตอบตามตรง

ฉิงอี๋รีบยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เพื่อปิดบังพิรุธ ท่านองครักษ์โดนความไร้เดียงสาเล่นงานเข้าแล้ว เขามัวแต่ประกาศความดีของเจ้านาย จนลืมสั่งห้ามไม่ให้เด็กๆ บอกว่าใครเป็นตัวการ

“เขาไหว้วานพวกเจ้าเมื่อไรกัน”

“เมื่อครู่นี่เองขอรับ ท่านแม่ก็อยู่ด้วย” ฟางหมิงบอก

พระชายาเว่ยถึงกับสำลักน้ำชา ใครจะคิดว่าแม้แต่นางก็ยังไม่รอด

แว่นย่นหน้าผากขณะหันไปมองฉิงอี๋ เห็นนางร้อนตัวก็รู้แล้วว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง คนฉลาดไม่สนใจซักไซ้ไล่เรียงผู้ใหญ่ แต่หันไปส่งยิ้มหวาน ตะล่อมถามเด็กๆ แทน

“พระชายาเว่ยอยู่ด้วย พวกเจ้าคงเรียกค่าตอบแทนกันสนุกเลยสิ” แว่นเดาจากนิสัยของฉิงอี๋ ซึ่งก็จริงราวกับตาเห็น

“ขอรับ ข้าได้มัดจำมาแล้วด้วย” จื่อซ่านอวดถุงเงินถุงเล็ก

เด็กชายเปิดมันให้ดูเพื่ออวดพี่สาว ในนั้นมีเหรียญทองอยู่ห้าหกเหรียญ เหรียญเงินและเหรียญทองแดงอีกเล็กน้อย คาดว่าจะเป็นเงินติดตัวทั้งหมดที่จางไห่มี

“น้อยไปหน่อยนะ เป็นพี่จะเรียกสักร้อยทอง” แว่นว่า

“แค่นี้ก็พอขอรับ ข้าแค่อยากได้เงินไปซื้อปิ่นสวยๆ ให้ท่านแม่สักอัน”

“แล้วรางวัลที่พี่กับพี่กุ้ยอี้ให้ ไปไหนเสียหมดเล่า”

จื่อซ่านเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ ไม่ว่าปรารถนาสิ่งใดก็มีคนจัดเตรียมให้พร้อมสรรพ เลยไม่จำเป็นต้องมีค่าขนม แต่แว่นกับกุ้ยอี้เห็นตรงกันว่าน้องควรได้หัดใช้เงิน จึงให้รางวัลเป็นระยะถ้าทำตัวดี จากนั้นก็ให้คนพาไปตลาด ลองซื้อสินค้าที่ชาวบ้านนำมาวางขายดู จื่อซ่านไม่ถึงกับมือเติบใช้เงินจนหมดในคราว แต่ออกแนวใจกว้าง ชอบซื้อของฝากกลับมาให้ทุกคน

“ข้าฝากท่านแม่เอาไว้ขอรับ ถ้าไปขอท่านแม่ก็ต้องถามว่าจะเอาไปซื้ออะไร ข้าไม่อยากโกหก แล้วก็อยากทำให้ท่านแม่แปลกใจด้วย วันที่เก้าเดือนหน้านี้เป็นวันเกิดของนางขอรับ”

แว่นที่ไม่คิดจะเคืองน้องอยู่แล้ว ได้ฟังคำอธิบายก็ยิ่งซึ้งใจในความกตัญญู

“ท่านแม่ของเจ้าต้องดีใจมากแน่ๆ แล้วเจ้าเล่าฟางหมิง ขออะไร”

ในเมื่อจื่อซ่านได้รับค่าจ้างมาแล้ว ค่าจ้างอีกกึ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้ย่อมเป็นของฟางหมิง

“ข้าขอให้ท่านองครักษ์สอนปีนต้นไม้ขอรับ”

“เดี๋ยวนี้หัดซนแล้วรึ?” แว่นยิ้มเอ็นดู

เขาเดาว่าหลานชายได้รับอิทธิพลมาจากฉิงอี๋ แต่เปล่าเลย ฟางหมิงยังคงเป็นท่านชายน้อยผู้สำรวมเคร่งครัด เขาตอบเสียงใสว่า

“ข้าอยากหัดเอาไว้เผื่อเวลาท่านแม่ปีนขึ้นไปแล้วลงมาไม่ได้ จะได้ช่วยนางลงมา”

นี่ก็ลูกกตัญญูอีกเหมือนกัน แต่เรียกเสียงหัวเราะได้มากกว่าความซึ้ง พวกนางกำนัลเห็นพระชายาเว่ยยิ้มเจื่อนทำหน้าเก้อ ก็พากันกลั้นขำ ท่าทางของนางไม่ต่างจากการยอมรับว่าเคยปีนขึ้นไปบนต้นไม้แล้วลงมาไม่ได้จริงๆ แว่นกวาดตามองทุกคนในห้อง ก็พลอยขำตามไปด้วย

“ร้ายกันจริงๆ กล้าขายข้าแลกของกำนัล” แว่นหยอกเด็กๆ

“ข้าไม่ได้เห็นแก่ของอย่างเดียวนะขอรับ สงสารท่านอาแปดด้วย” ฟางหมิงอธิบาย

“ท่านอาแปดมาเกี่ยวอะไรด้วย”

“องค์ชายอยากเต้นกับพี่หญิงขอรับ แต่...ขวยเขิน”

พวกนางกำนัลได้ยิ้มกันอีกหน คำว่า ‘ขวยเขิน’ ทำลายภาพลักษณ์ปราชญ์ผู้ห้าวหาญเสียป่นปี้ พวกนางทุกคนล้วนเคยได้ยินกิตติศัพท์ขององค์ชายหรู่เผย ที่โจษจันกันมากที่สุดไม่ใช่ความฉลาดหลักแหลม แต่เป็นวีรกรรมที่ลงไปสู้ในบ่ออสรพิษกับคนของชนเผ่าทะเลทราย เรื่องนี้จริงเท็จแค่ไหนไม่ทราบชัด ที่มั่นใจคือผู้ที่ได้ยลโฉมล้วนเห็นตรงกันว่างามสง่าสมชายชาตรี

จื่อซ่านกับฟางหมิงไม่หยุดเพียงเท่านี้ เด็กน้อยทั้งสองยังคงปฏิบัติการเผาองค์ชายแปดต่อไปจนไม่เหลือซาก ไม่รู้จางไห่อธิบายไม่ดี หรือเด็กๆ จินตนาการสูงส่ง อ๋องแปดผู้เกรียงไกรในอนาคต เลยกลายเป็นผู้ใหญ่มีปัญหา น่าเวทนาถึงขีดสุด

แว่นปล่อยให้สองหนุ่มเล่าจนพอใจ แล้วจึงค่อยสั่งให้พวกเขาไปเล่นกันอีกห้อง ส่วนฉิงอี๋นั้นเขากักตัวเอาไว้ก่อน

“ตาเจ้าเล่าบ้างแล้ว ว่ารับสินบนอะไรมา หรือทำไปเพราะสงสารอย่างเด็กๆ”

“ไม่ใช่เพคะ ไม่ได้เลย เอ่อ...หม่อมฉันไม่ได้ทำอะไร หม่อมฉันแค่ยืนฟัง อุ๊บ!” ฉิงอี๋ปฏิเสธเร็วจี๋จนกัดลิ้นตัวเอง

“ขอประทานอภัยเพคะ” หญิงสาวเอามือกุมแก้มด้วยท่าทางจ๋อยสนิท

คิดแล้วก็แปลกใจตัวเอง อายุนางกับกุ้ยฮวาห่างกันเพียงไม่กี่ปี แต่ฉิงอี๋กลับเกรงอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก นี่กระมังที่เขาเรียกว่าบารมี ไม่จำเป็นต้องข่มขู่คุกคาม เหล่าบริวารก็ยอมสยบ

“ฉิงอี๋...ท่านจางไห่ยังอยู่ข้างนอกหรือไม่” แว่นถาม

“ไม่แน่ใจเพคะ”

ชายหนุ่มบอกจะรออยู่ข้างนอก จนกว่าจะทนหนาวไม่ไหว

“ซีอิ๋ง...เจ้าออกไปดูหน่อย ถ้ายังอยู่ก็ให้เขามาพบข้า”

“องค์หญิงจะลงโทษเขาหรือเพคะ” ฉิงอี๋ถามอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้

หญิงสาวเริ่มใจเสียเมื่อระลึกได้ว่าที่นี่คือวังหลวง ต่อให้ตำหนักเขียวห่างไกลจากสายตาผู้คน หรือองค์หญิงรุ่ยฟางดีต่อนางเพียงไร ก็ไม่ควรเหลิงปล่อยตัวจนเกินไป กฎวังมีอยู่ข้อหนึ่ง คือห้ามชายหญิงทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชัก รายละเอียดฉิงอี๋ลืมไปหมดแล้ว จำได้แค่โทษขั้นต่ำคือโบยยี่สิบไม้

“ก็ต้องดูก่อนว่าจุดประสงค์คืออะไร ให้ปล่อยไปเฉยๆ ไม่ตำหนิคงไม่ได้”

แว่นอ่านความคิดพี่สะใภ้ออก แต่ยังทำหน้านิ่งต่อไป ใจจริงเขาไม่อยากสวมบทโหด แต่ฉิงอี๋ควรได้รับบทเรียนบ้าง ต่อไปเวลาทำอะไรจะได้คิดให้รอบคอบ

ฉิงอี๋หน้าเสีย นางทำท่าว่าอยากรับเอาความผิดมาเสียเองเพราะเป็นคนต้นคิด ทว่าก็ต้องข่มใจปิดปากเงียบ แว่นเห็นแล้วก็พอใจ ในที่สุดฉิงอี๋ก็เข้าใจสถานะของตนเอง ต่อให้บริสุทธิ์ใจแค่ไหน พระชายาก็ไม่สมควรออกหน้าปกป้ององครักษ์ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปรังแต่จะเกิดผลเสีย

แว่นปล่อยให้ห้องโถงตกอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งซีอิ๋งกลับมาพร้อมจางไห่ จึงค่อยให้ทุกคนออกไป เหลือไว้ก็แต่ซีอิ๋ง

“ถวายบังคมองค์หญิง”

ชายหนุ่มทำความเคารพอย่างเป็นทางการตามแบบแผน แว่นเห็นความห่างเหิน ก็เริ่มเคืองขึ้นมาตะหงิดๆ จางไห่เป็นเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่เขามี แต่กลับไม่ยอมมาเยี่ยมทักทาย ทั้งยังทำตัวลับๆ ล่อๆ อีก

“ท่านไม่เห็นเราเป็นสหายแล้วสินะ มีอะไรจึงใช้คนอื่นมาบอก”

“กระหม่อมจะกล้านับองค์หญิงเป็นสหายได้อย่างไร” ชายหนุ่มรู้ว่าหญิงสาวไม่พอใจ แต่ก็ยังยืนกรานจะอยู่ในสถานะต่ำกว่า

แว่นได้แต่ถอนใจ เขาเผลอลืมไปว่าจางไห่ชอบทำตัวเสมือนหนึ่งข้ารับใช้มาตั้งแต่ต้น ที่ขยันเขียนจดหมายส่งมา ก็เพราะตั้งใจรายงานสถานการณ์ทางเจี่ยวหวาให้ทราบ เรื่องเป็นเพื่อนที่เท่าเทียมกัน แว่นทึกทักเอาเองคนเดียวล้วนๆ

“ช่างเถิด ท่านมาก็ดีแล้ว ดื่มชาเสียก่อน ค่อยอธิบายว่าเหตุใดจึงไม่มาพบข้าด้วยตัวเอง”

ซีอิ๋งรินชาให้องครักษ์หนุ่มอย่างรู้งาน จางไห่รับชามาดื่ม กลิ่นชาชั้นดีกับความอบอุ่นที่แผ่ซ่านไปทั้งร่าง ทำให้คนที่ยืนตากลมหนาวอยู่นานสองนานเหมือนได้เกิดใหม่ ชายหนุ่มมองกุ้ยฮวาอย่างซาบซึ้ง นางยังแสนดีไม่เปลี่ยน พอคิดว่าบัดนี้หญิงสาวได้กลายเป็นจอมนาง ตามที่ตนเคยทำนายไว้เมื่อห้าปีก่อน จางไห่ก็ยิ่งปลาบปลื้มว่าดูคนไม่ผิด

“อีกถ้วยไหมเจ้าคะ” ซีอิ๋งถาม

“ก็ดี เจ้า...เจ้าคือแม่นางซีอิ๋งหรอกหรือ เปลี่ยนไปมากจนแทบจำไม่ได้เลย”

เวลาสี่ปีเปลี่ยนเด็กหนุ่มเป็นชายหนุ่มได้ ก็ต้องเปลี่ยนเด็กสาวที่อายุใกล้กันให้กลายเป็นหญิงสาวได้ จางไห่ไม่ใช่คนช่างพูด จึงไม่ได้บอกว่าหญิงสาวสวยขึ้นผิดตา แต่ก็ไม่จำเป็นนัก รอยยิ้มขององครักษ์หนุ่ม ได้สื่อความคิดออกไปแทนคำพูดแล้ว

แว่นมองทั้งคู่อย่างเสียดาย ถ้าไม่ติดว่าซีอิ๋งมีคนที่ชอบอยู่ เขาคงวางแผนจับคู่ให้ทั้งสองคน

เมื่อดื่มชาเรียบร้อยแล้ว จางไห่ก็ขอโทษอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มชี้แจงว่าที่ไม่ได้มาหาเพราะถูกองค์ชายแปดสั่งห้าม องครักษ์ผู้แสนดีมิได้โบ้ยความผิดให้นายของตน จางไห่พยายามสุดความสามารถ ที่จะพรรณนาความรู้สึกขององค์ชายแปดออกมา แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องอยู่ดี คนฟังสรุปความได้แค่เด็กแสบงอน เลยห้ามคนอื่นไม่ให้มาเล่นด้วย

“องค์ชายอยากให้องค์หญิงเป็นฝ่ายมาหาบ้าง องค์หญิงอย่าถือโกรธเลย” องครักษ์หนุ่มวิงวอน

“เจ้าหมายความว่าข้าต้องเป็นฝ่ายง้ออย่างนั้นหรือ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ แค่เข้าร่วมงานเทศกาลหนุ่มสาวก็พอแล้ว องค์ชายเห็นท่านเดี๋ยวก็คลายโกรธ”

“ทำไมจึงคิดเช่นนั้น”

“องค์ชายชอบเอาชนะพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะเรื่องของท่าน องค์ชายแพ้ไม่เป็นเลยชอบคิดเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน”

แว่นรู้แล้วว่าทำไมเด็กๆ ถึงได้ดูเห็นอกเห็นใจองค์ชายแปดนัก ท่านองครักษ์ช่างอ่อนหัดเรื่องวาทะศิลป์ เห็นแก่ความพยายาม แว่นเลยแบ่งรับแบ่งสู้ว่าจะคิดดูอีกที

องค์รักษ์หนุ่มฟังแล้วก็ยิ้มออก แม้จะรู้ว่าเจ้านายของตน เสียเปรียบองค์ชายองค์อื่นอยู่มาก แต่จางไห่ก็ยังอยากให้สมหวัง ความปรารถนาดีของชายหนุ่มเขาไม่ใช่เรื่องผิด แต่ยังบกพร่องเพราะพิจารณาไม่ถี่ถ้วน จริงอยู่ที่องค์ชายแปดจะอยากพบกุ้ยฮวาสุดหัวใจ แต่เขาไม่ต้องการให้นาง ปรากฏตัวต่อหน้ามวลชน โดยเฉพาะในเทศกาลหาคู่ที่มีทูตมาจากหลากแคว้น ลำพังชื่อเสียงของกุ้ยฮวาก็เป็นที่ต้องตามากพอแล้ว หากผู้มีอำนาจได้ชมโฉม แล้วมีคำขอแต่งงานที่ปฏิเสธไม่ได้ถูกส่งมา จะทำเช่นไร


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีวันศุกร์ค่ะ
ตอนนี้เราเน้นขายเด็กและเปิดตัวชายาเอกชายสาม
คุ้นๆ แซ่นางกันไหมคะ แซ่เว่ย
บุตรสาวเจ้าเมืองเจียนเจี๋ย
ลำดับญาติง่ายๆ ก็น้องสาวคนและแม่ของซั่วเย่าค่า
ซั่วเย่าคอนเฟิร์มว่าดีแต่มีการันตีความแปลก 5555

ความสัมพันธ์ของฉิงอี๋กับองค์ชายสาม
จะพยายามแทรกรายละเอียดลงไปนะคะ
ส่วนเขาจะอยู่กันแบบเพื่อน? เพื่อการเมือง?
รักกันไหมหรืออะไรยังไง? ยังไม่สปอยนะคะ
เผื่อมีโอกาสได้เขียนเล่มพิเศษของเฮียสาม
เราจะได้ลุ้นกันยาวๆ

แถมท้ายด้วยเพลงจากนักอ่าน
มีคนบอกว่าความหมายเพลงนี้เข้ากับองค์ชายสามมากๆ
เลยเอาลิงค์มากฝากค่ะ ขอบคุณที่แนะนำนะคะ ฟังแล้วมีความอิน
เสียดายเราเจอกันช้าไป ไม่งั้นคงได้ใช้ประกอบตอนลงเล่มห้า

https://www.youtube.com/watch?v=wUvMyXV0jzo

คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์ค่ะ ^O^




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 ก.พ. 2560, 00:00:50 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 ก.พ. 2560, 00:00:50 น.

จำนวนการเข้าชม : 924





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๒ ความพยายามของคนรอ   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๔ สตรีผู้มีค่าควรเมือง >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account