ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๔ สตรีผู้มีค่าควรเมือง

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๔ สตรีผู้มีค่าควรเมือง

องค์ชายแปดไม่ใช่คนเดียวที่กังวลเรื่องกุ้ยฮวา แว่นเองก็รู้ดีว่าเทศกาลนี้สุ่มเสี่ยง จึงเก็บตัวอย่างมิดชิด ถึงกระนั้นก็ยังมีการทาบทามสู่ขอเป็นระยะ ฮ่องเต้ทรงบอกปัดเมืองเล็กเมืองน้อยทั้งหลาย โดยอ้างชื่ออดีตจักรพรรดิว่ากำหนดคู่หมายเอาไว้ในใจแล้ว เสด็จกลับมาเมื่อไรคงจะมีการจัดการงานแต่ง พวกที่ไม่มีอำนาจต่อรองจำต้องยอมรับ แต่ก็มีไม่น้อยที่ยังไม่ถอดใจ ส่งตัวแทนมางานเทศกาลหนุ่มสาว เพื่อหวังผูกสัมพันธ์

แว่นรู้ว่าตัวเองมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ไม่คิดว่าจะดังข้ามแคว้น สาเหตุหลักไม่ใช่การร่ำลือแบบปากต่อปาก แต่เป็นเพราะตำราพิธีกรรมสุขภาพถูกคนจากต่างแคว้นคัดลอก แล้วส่งต่อไปยังราชสำนัก สร้างความประทับใจ จนแคว้นใหญ่ทางตะวันตก ยื่นข้อเสนอแต่งงาน พร้อมผลประโยชน์มหาศาล

ต้องขอบคุณเสาคานอันแข็งแกร่งและความเป็นสตรีที่มีค่าควรเมือง ทำให้เหล่าขุนนางส่วนใหญ่ลงความเห็นว่าไม่ควรตอบรับ

องค์ชายแปดซึ่งอยู่ร่วมในที่ประชุมลอบถอนใจ ยังไม่ทันสุดก็ต้องกัดฟันกรอด เมื่อขุนนางใหญ่จากฝั่งสกุลเหอกราบทูลฮ่องเต้ให้ทรงพิจารณาอย่างรอบคอบอีกหน

“ต่อให้ไม่คำนึกถึงผลประโยชน์ ก็ต้องคำนึกถึงผลเสียให้ถ้วนถี่ แคว้นอิ้นมีแสนยานุภาพเกรียงไกร หากปฏิเสธไปอาจเกิดสงคราม”

“เรื่องยังไม่เกิด ไยต้องตีตนไปก่อนไข้ แคว้นอิ้นอยู่ห่างไกล คงไม่โง่งมส่งกำลังทหารมากมาย มาตายในต่างแดนกระมัง” คนของสกุลเฉินเอ่ยขัด

“อย่าได้ดูเบาสติปัญญาของทางนั้น” เหอฟู่ต๋าพูด ชายผู้นี้มีศักดิ์เป็นน้าแท้ๆ ขององค์ชายหรู่เผย

“จริงอยู่ว่าหากเดินทางทางบกต้องผ่านแคว้นนับสิบและใช้เวลานาน แต่หากยกทัพมาทางทะเล ระยะทางก็ไม่ใช่ปัญหา”

เจียงเฉียงไม่มีอาณาเขตติดกับทะเล แต่ใช่ว่าจะอยู่ห่างไกล หากยกพลขึ้นบกที่ยู่หลานและตีฝ่าเข้ามาได้ ก็จะบุกถึงแดนใต้ของเจียงเฉียงทันที

“สตรีเพียงหนึ่งแลกกับผลประโยชน์และสันตินับว่าคุ้มค่า โปรดทรงตรองดูเพื่อบ้านเมืองด้วย”

แม้คำวิงวอนนี้จะมีเหตุผล แต่กว่าครึ่งมองออกว่าสกุลเหอจงใจกำจัดกุ้ยฮวา เพื่อลดอำนาจของสกุลเฉิน

องค์ชายแปดบังเกิดโทสะ เขาเกลียดสกุลทางฝั่งมารดา มาเจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งชัง จนไม่คิดอยู่เฉย

“ท่านเหอพูดได้ไม่เลว ข้าเห็นด้วยหลายส่วน เพียงมีข้อสงสัยเล็กน้อย ไม่ทราบว่าจะยกมาถกได้หรือไม่”

เสียงขององค์ชายหรู่เผยดึงความสนใจของทุกคน แม้จะถูกเรียกตัวกลับมาเป็นการชั่วคราว แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยขาดการประชุมสำคัญ นอกเหนือจากทัศนะอันหลักแหลมและความเฉลียวฉลาด สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเห็นตรงกันคือองค์ชายพึงใจที่จะขัดขวางกิจของสกุลเหอ

“เชิญองค์ชายตรัสมาเถิด กระหม่อมยินดีไขความกระจ่าง” ฟู่ต๋าวางตนอ่อนน้อม ทั้งที่ในใจกำลังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน

“ถ้าเช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว” องค์ชายหรู่เผยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แต่ด้านหลังซ่อนมีดเอาไว้

“ว่าเรื่องคุณค่าขององค์หญิงรุ่ยฟาง ท่านว่า ‘สตรีเพียงหนึ่งแลกกับผลประโยชน์นับว่าคุ้มค่า’ แสดงว่าเห็นสิ่งที่แคว้นอิ้นมอลให้เรามีค่ามากกว่านาง ข้าจึงฉงนนักที่ทางนั้นกลับเห็นค่าองค์หญิงรุ่ยฟางมากกว่า หากถึงขั้นยกทัพก็น่าคิดมิใช่หรือ ว่าเหตุใดจึงต้องทุ่มเทแย่งชิงสตรีเพียงนางเดียว”

องค์ชายวายร้ายเล่นงานท่านน้าจนพูดไม่ออกอยู่เป็นนาน ฟู่ต๋ากลับคำไม่ได้ทั้งยังไม่อาจลดทอนคุณค่าขององค์หญิง หากเป็นขุนนางอื่นคงต้องยอมแพ้อย่างไม่เต็มใจ แต่คนสกุลเหอนั้นหน้าด้านอย่างไม่ธรรมดา เขายังยืนกรานขอให้ฮ่องเต้ทรงพิจารณาใหม่

ฮ่องเต้โหย่งซินไม่ตัดสินพระทัยในทันที แต่ถามทุกคนในที่นั้นว่าใครมีความเห็นอีกหรือไม่ ขุนนางทั้งหลายล้วนเงียบ เว้นก็แต่เจ้าเมืองจุ้ยห้านหรือก็คือองค์ชายสามที่ยกมืออย่างกระตือรือร้น

“กระหม่อมอยากให้ฟางหมิงแสดงความเห็น” ชายหนุ่มหันไปทางลูกชายซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เล็กข้างๆ

องค์ชายเจ้าสำราญชอบพาบุตรชายตัวน้อยไปไหนมาไหนด้วย ไม่เว้นแม้แต่ในที่ประชุมที่มีฮ่องเต้เป็นประธาน ปกติเขามักใช้ฟางหมิงเป็นข้ออ้างในการหลบออกไป หรือยุติการประชุมชั่วคราว แต่วันนี้ชายหนุ่มจงใจให้ลูกรัก ได้ปกป้องอาหญิงไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือทางการเมือง

“ว่ามา” ฮ่องเต้ทรงอนุญาต เนื่องจากมองออกว่าโอรสมีแผนการอยู่

“ฟางหมิง เจ้าบอกทุกคนสิว่าคิดเช่นไร” องค์ชายสามกระตุ้น

ท่านชายน้อยยืดตัวตรง สบตากับทุกคนโดยไม่มีท่าทีประหม่าหรือเกรงกลัว แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่ได้แสดงความเห็นในการประชุมใหญ่ในวังหลวง แต่มิใช่ครั้งแรกที่ต้องพูดต่อหน้าผู้ใหญ่จำนวนมาก

“ข้าคิดว่ามันไม่ถูกต้อง ไม่มีใครถามความเห็นของอาหญิงเลย”

ประโยคนี้ไม่ได้มีการตระเตรียมมา แต่ตรงกับที่องค์ชายสามคาดเดาทุกประกาย คนอ่านใจเด็กออกยิ้มกริ่มเมื่อเหล่าขุนนางทำท่าเหมือนเขาบอกบทให้ฟางหมิงพูด ชายหนุ่มจึงปิดปากแน่น เพื่อพิสูจน์ว่าประโยคที่ฟางหมิงจะเอ่ยต่อจากนี้ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

“องค์หญิงรุ่ยฟางย่อมเต็มใจ หากทราบว่าการแต่งงานของนางจะนำมาเพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน ท่านชายยังเล็กคงไม่เข้าใจ” ขุนนางผู้หนึ่งขัดอย่างจงใจให้เด็กน้อยจนคำพูด

ฟางหมิงทำท่าครุ่นคิดอย่างจริงจัง องค์ชายสามจึงเอามือแตะริมฝีปากเป็นเชิงห้ามไม่ให้ทุกคนรบกวนสมาธิ

สักพักท่านชายน้อยก็ได้คำตอบ เขามองสบตาทุกคนแล้วเอ่ยว่า

“แคว้นเราไม่ได้ยากจน ไม่ได้อ่อนแอ ทำไมยังต้องการผลประโยชน์ เสด็จปู่ตรัสว่าปลาใหญ่กินปลาเล็ก แสดงว่าจริงๆ แล้วเราเป็นปลาเล็กอย่างนั้นหรือ เลยต้องส่งอาหญิงไปให้ปลาใหญ่กิน แล้วถ้าเขาไม่อิ่มเล่า เราต้องส่งใครไปอีก ข้าหรือพวกท่าน”

ฟางหมิงไม่มีเจตนาพูดส่อเสียด เขาไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่ผู้ใหญ่หลายคนกลับหน้าม้าน เพราะรู้สึกเหมือนโดนเด็กต่อว่า ว่าขี้ขลาดไร้น้ำยาจนต้องหวังพึ่งสตรีให้ตัวเองรอด

“จะไม่มีการส่งใครไปทั้งนั้น ข้อเสนอของแคว้นอิ้นให้ปฏิเสธไป” ฮ่องเต้ตรัสอย่างเด็ดขาด

พระองค์แสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่คิดเปลี่ยนพระทัยถอนรับสั่ง จึงกลายเป็นว่าข้อถกเถียงยุติลงได้เพราะเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง



ในความเป็นจริง ฮ่องเต้ไม่คิดจะส่งกุ้ยฮวาไปต่างแคว้นตั้งแต่ต้น ที่ไม่แสดงท่าทีก็เพราะต้องการเห็นทัศนะของแต่ละฝ่าย อิ๋นหานกับจงเต๋อไม่เคลื่อนไหวในทันที เห็นจะเป็นเพราะกำลังดูเชิงกันอยู่ หรู่เผยต่อต้านสกุลเหอถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ที่ทำให้แปลกใจคือการกระทำของลี่หมิง พฤติกรรมน่าสงสัยของเขาในช่วงนี้ ส่อเจตนาก่อกวนอย่างเห็นได้ชัด เขายั่วยุทุกฝ่ายราวกับต้องการเรียกคมดาบเข้าหาตน

ฮ่องเต้โหย่งซินไม่ทรงห่วงว่าจะเกิดเหตุร้ายแก่โอรสผู้มากสามารถ กังวลแต่หายนะของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งก็คือพี่น้องสายเลือดเดียวกันและข้าราชสำนักกว่าครึ่ง ตราบใดที่พระองค์ยังอยู่ พระองค์จะไม่มีวันยอมให้ลี่หมิงทำตามใจเด็ดขาด



ในวังหลวง องค์ชายสามไม่ใช่คนเดียวที่มีแผนการในใจ ทุกคนไม่ว่ามีตำแหน่งเล็กใหญ่ก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดกันทั้งนั้น ยิ่งเป็นองค์ชายก็ยิ่งไม่มีข้อยกเว้น ต่อให้ไม่มักใหญ่ใฝ่สูงก็ต้องเลือกข้าง เรียกว่าไม่มีผู้ใดโดดเดี่ยวหรือเป็นกลางอย่างแท้จริง แม้แต่องค์ชายหกซึ่งเข้ากันได้กับทุกฝ่าย ก็ไม่ได้รับการยกเว้น

ชายหนุ่มถูกบีบให้เลือกข้าง ยิ่งช่วงนี้บรรยากาศการเมืองขับเคี่ยวกันเข้มข้น ก็ยิ่งถูกจับตามอง องค์ชายหกระอาเต็มทนจึงแกล้งป่วย เก็บตัวอยู่ในตำหนัก และตั้งใจจะทำเช่นนี้ต่อไปอีกสักระยะ เพื่อประกาศจุดยืนว่าไม่ขอข้องเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจ

แม้จะต้องเก็บตัว แต่ตำหนักขององค์ชายลี่หยางยามนี้ไม่เงียบเหงา มีสหายสองคนชักชวนให้เขาแต่งกลอนแก้เบื่อ ชายหนุ่มจึงยอมออกจากห้องนอน มาที่ห้องโถงนั่งเล่น สั่งคนจัดสุราอาหาร เตรียมแท่นหมึกกับผู้กันให้พร้อม

บทกลอนของสหายคนแรกงดงามลึกซึ้ง ส่วนอีกคนอ่านแล้วทำให้ยิ้มออก ทว่าพอถึงคราวตัวเอง องค์ชายหกกลับไม่รู้จะเขียนสิ่งใด จึงเปิดหน้าต่างออก หมายจะใช้ทิวทัศน์ด้านนอกเป็นแรงบันดาลใจ บังเอิญเหลือเกินที่น้องรักกลับมาพอดี เขาจึงโบกมือทักทาย

“เสด็จพ่อถามถึงท่านด้วย” องค์ชายแปดตะโกนบอกพี่ชาย

“แล้วเจ้าว่าอย่างไร”

“บอกว่าท่านเป็นหวัดแต่ไม่หนักหนา”

ฮ่องเต้ทรงสอบถามผ่านองค์ชายแปด เพราะขณะนี้องค์ชายหรู่เผยและเหล่าผู้ติดตามพำนักอยู่ที่ตำหนักขององค์ชายหก กลับมาคราวนี้เขาไม่ได้ถูกเมินจนไม่มีที่ซุกหัวนอน แต่จำใจมาอยู่ที่นี่ เพราะความเอาแต่ใจของใครบางคน

“ขอบใจเจ้ามาก”

“ไม่เป็นไร แต่ท่านควรแสดงเป็นคนป่วยให้สมบทบาทหน่อย ครึกครื้นออกปานนี้ เกิดเสด็จพ่อรู้เข้าจะทำเช่นไร”

องค์ชายหรู่เผยได้ยินเสียงหัวเราะดังมาแว่วๆ คาดว่าคนที่อยู่ด้านบนคงเมากรึ่มได้ที่

“ก็พวกเขาไม่ยอมให้ข้าอยู่เงียบๆ นี่ รีบขึ้นมาเถอะ มาช่วยกันจัดการกับสหายเจ้า”

สหายที่ว่านั่น รู้กันดีว่าคือใคร องค์ชายแปดเลยแวะนั่งพักดื่มชาคลายเหนื่อย ก่อนจะขึ้นมาเจอเรื่องปวดหัว

“ทำไมชักช้านัก ไปถ่ายหนักมาหรือไง เห็นไหมว่าเข่อซินมารอนานแล้ว”

คำพูดนี้ไม่ใช่ขององค์ชายหก แต่เป็นเสียงแหบห้าวที่ดังมาจากชายผิวคล้ำร่างสูงใหญ่ เขาคือตัวปัญหาที่ทำให้องค์ชายแปดต้องมานั่งเฝ้านอนเฝ้า คอยคุมความประพฤติอยู่ไม่ห่าง

ใครจะคิดว่าซาโม่หยางผูผู้เถรตรงจนเข้าขั้นไร้มารยาท จะได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเทศกาลหิมะด้วย องค์ชายแปดปวดหัวไม่น้อยเมื่อต้องสอนระเบียบในวังหลวงให้ ซาโม่หยางผูหรือที่คนสนิทเรียกกันว่าหยางผู ไม่ชอบเรือนรับรองที่ฮ่องเต้จัดให้ แต่กลับไปถูกอกถูกใจตำหนักองค์ชายหก เลยมาขออยู่ด้วยแบบหน้าด้านๆ

“ข้าไม่ใช่แขกอย่างเจ้า จะได้นั่งกินนอนกินโดยไม่ต้องทำงาน”

“ลี่หยางยังอยู่เล่นด้วยได้”

หยางผูอายุน้อยกว่าองค์ชายหลายปี แต่ครั้นจะให้นับญาติเรียกว่าท่านพี่ก็กระดากปาก เพราะหน้าแก่กว่าเยอะ ตอนมาแรกๆ จึงเรียกองค์ชาย แต่พอสนิทกันมากเข้าก็เรียกชื่อโดดๆ ด้วยถือคติเรียกยศศักดิ์จะทำให้ห่างเหินกัน

“พี่หกไม่ค่อยสบายต่างหาก”

ถึงรู้ว่าอู้แต่คนเป็นน้องก็ยังเถียงแทนพี่ชายสุดที่รัก

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็ทำดีแล้ว ลี่หยางเอาแต่อุดอู้อยู่ในห้อง เมื่อไรจะหาย”

องค์ชายแปดมองสหายร่วมสาบานอย่างยอมแพ้ เรื่องพูดเอาดีเข้าตัวซาโม่หยางผูถนัดนัก บางคราวองค์ชายแปดคิดว่าตนหน้าหนาแล้ว แต่วัดกันจริงๆ แล้วยังบางกว่าเจ้ายักษ์ตรงหน้าหลายศอก

“พวกท่านทำอะไรกันอยู่” องค์ชายแปดตัดสินใจเมิน แล้วหันไปสนใจแขกอีกคนแทน

“พวกเรากำลังสอนหยางผูแต่งกลอน” โจวเข่อซินตอบ

ชายผู้นี้เป็นทูตจากแคว้นโจวเหลียน ทั้งยังมีสถานะเป็นองค์ชาย แต่กลับไม่ห่วงภาพลักษณ์ ชอบมาขลุกอยู่กับคนเถื่อนอย่างหยางผู

“ลำบากพวกท่านแล้ว” องค์ชายหรู่เผยทำท่าเห็นอกเห็นใจ

“ก็คืบหน้าอยู่นะ เพียงแต่เขาตรงไปหน่อย” องค์ชายเข่อซินตอบอย่างไว้หน้า

องค์ชายแปดชำเลืองมองกองกระดาษที่มีลายมือเป็นอักษรกลางโย้เย้ สัมผัสของคำจัดว่าใช้ได้ แต่ความหมายนั้นไม่ได้เรื่อง

“ข้าหิว ข้าจึงกิน กิน กิน กิน ข้าอยากกินแกะย่าง” องค์ชายหรู่เผยอ่านออกเสียง “หลานชายข้าเพิ่งหกขวบยังทำได้ดีกว่า”

“อย่างเจ้าจะรู้อะไร วรรณศิลป์เสพด้วยใจมิใช่ตา”

“ไปหัดเขียนคำว่า ‘วรรณศิลป์’ ให้ถูกเสียก่อนแล้วค่อยพูด” องค์ชายหรู่เผยตอกกลับ

ภาษาพูดในแถบนี้มีความคล้ายคลึงกันสูง จึงสามารถสื่อสารกันได้ แต่อักษรที่ใช้ในการเขียนค่อนข้างมีความต่าง เพื่อไม่ให้เข้าใจคลาดเคลื่อน ทางการทูตจึงใช้อักษรกลางหรือภาษากลางแทน หยางผูมีทักษะการพูดยอดเยี่ยม เขาเลียนสำเนียงได้แทบทุกภาษา แต่กลับมาตกม้าตายเรื่องการเขียน บางทีก็เอาอักษรจากภาษาต่างๆ มาใช้ปนกันมั่วไปหมด

“ข้าไม่ชอบเรียนนี่”

คนเอาแต่ใจโยนพู่กันทิ้งดื้อๆ เขาตรงเข้าไปกอดคอองค์ชายหรู่เผยกับองค์ชายเข่อซิน แล้วชักชวนให้ออกไปหาเรื่องสนุกทำ

“ลี่หยางก็ไปด้วยกันนะ”

“ไม่ล่ะ ตอนนี้คงไม่เหมาะ”

หยางผูเหมือนเด็กช่างเซ้าซี้ ทว่าหนนี้กลับไม่ชวนซ้ำ ดวงตาชายหนุ่มปรากฏแววเห็นใจวูบหนึ่ง หยางผูรู้ตื้นลึกหนาบางมากกว่าท่าทีที่แสดงออก วังหลวงแห่งนี้งดงาม แต่ไม่น่าอยู่เลยสักนิด เขายอมเป็นคนเถื่อนให้ดูแคลน ดีกว่าต้องลงไปเกลือกกลิ้งในบ่ออาจม



ตำหนักขององค์ชายหกกลับมาสงบอีกครั้ง เมื่อตัวการสร้างความอึกทึกออกไปข้างนอก องค์ชายลี่หยางใช้ช่วงเวลาแห่งความเงียบนี้ค่อยๆ พิจารณาสิ่งต่างๆ เขารู้ว่าคงทำตัวดื้อแพ่งได้ไม่นานนัก แล้วยังมีคำพูดที่ทำให้คิดไม่ตกของเสด็จพ่ออีก

“เจ้ามีเวลาถึงปีหน้าเท่านั้น”

ประโยคนี้หมายความว่าอย่างไรกัน ทำไมต้องเป็นปีหน้า ทรงกำหนดกรอบเวลาไปเพื่ออะไร ไม่ทันหายสงสัยก็บังเอิญไปได้ยินเรื่องที่ไม่ควรเข้า

“แผ่นดินนี้จะเป็นของใคร บุตรชายทั้งสองของหม่อมฉันคือผู้กำหนด” ท่านแม่เอ่ยกับเสด็จพ่อ

น่าแปลกที่เสด็จพ่อไม่กริ้ว พระองค์ตรัสบางสิ่งแต่เสียงเบาจนจับใจความไม่ได้ หากเป็นพี่สามคงแสดงตัวแล้วถามให้รู้เรื่องว่าที่พูดมาหมายความว่าอย่างไร แต่เขากลับทำได้เพียงหนีออกมา

“ข้านี่มันช่างขี้ขลาดเสียจริง” ชายหนุ่มพึมพำ

“ท่านไม่ได้ขี้ขลาด แค่ใจดีเกินไป” องค์ชายหรู่เผยแก้ให้

องค์ชายหกทำท่าตกใจ เมื่อน้องชายย่องมาเงียบๆ

“ทำไมกลับมาเร็วนัก แล้วคนอื่น?”

ชายหนุ่มรู้ตัวว่าเหม่ออยู่พักใหญ่ แต่เวลาน่าจะผ่านไปไม่เกินสองชั่วยาม

“หยางผูหาเรื่องใส่ตัว ข้าไม่อยากวุ่นวายเลยกลับมาก่อน”

องค์ชายหรู่เผยเล่าว่าเรื่องสนุกที่หยางผูชวนไปทำ คือแอบชมโฉมสตรีที่งามที่สุดในวังหลวง ตอนแรกองค์ชายแปดคิดว่าเป็นกุ้ยฮวา แต่กลับกลายเป็นองค์หญิงสิบสี่ ไม่รู้หยางผูทราบได้อย่างไร ว่านางชอบออกมาเดินเล่นตอนบ่าย ทั้งยังมั่นอกมั่นใจมากว่าจะต้องเดินผ่านจุดที่ซ่อนตัวอยู่

องค์ชายแปดเป็นพี่ ไปพบน้องถึงตำหนักก็ยังได้ แต่หยางผูกับเข่อซินนั้นเป็นคนนอก พวกเขาไม่มีสิทธิ์เข้าไปในส่วนที่พำนักของสตรี แม้แต่ทางเดินหรือสวนก็ต้องใช้แยกกัน องค์ชายหรู่เผยเตือนแล้ว แต่เจ้าตัวแสบไม่ฟัง เขาจึงปล่อยเลยตามเลย ทิ้งเข่อซินให้เป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมของหยางผู องค์ชายแห่งแคว้นโจวเหลียน ไม่มีความคิดอยากแอบดูเลยสักนิด แต่ไหวตัวช้าเลยถูกปลิงทะเลทรายเกาะหนึบ

“ข้าละสงสารเข่อซิน เขาต้องกำลังบ่นว่าเจ้าเป็นสหายทรยศแน่” องค์ชายหกหัวเราะ

“เข่อซินเป็นยอดนักการทูต เข้าไปเจรจาในค่ายศัตรูยังรอดออกมาได้ นับประสาอะไรกับกลางวงล้อมสตรี”

คนแรกที่มององค์ชายแห่งแคว้นโจวเหลียนได้อย่างทะลุปรุโปร่งหาใช่องค์ชายแปด แต่เป็นซาโม่หยางผู พอลองสังเกตดีๆ องค์ชายหรู่เผยก็พบว่าจริงดังว่า บุรุษผู้สวมหน้ากากองค์ชายผู้อ่อนน้อม แท้จริงร้อยเล่ห์แสนกล

“จะไม่ย้อนกลับไปดูลาดเลาสักหน่อยจริงๆ หรือ”

“ไม่ละ ข้าอยากคุยกับท่านมากกว่า” องค์ชายแปดทำท่าจริงจัง

“มีอะไร?”

องค์ชายหรู่เผยไม่ตอบทันที เขาเดินไปปิดประตูหน้าต่าง มองซ้ายขวาจนแน่ใจว่าปลอดคนแล้วค่อยพูด

“เรื่องกุ้ยฮวา ข้ากลัวใจพี่รอง”

ชายหนุ่มเล่าเหตุการณ์ในที่ประชุมวันนี้ให้ฟัง แม้กุ้ยฮวาจะไม่ต้องแต่งงานไปอยู่ต่างแคว้น แต่ก็ใช่ว่าสกุลเหอจะยอมรามือง่ายๆ เดิมทีองค์ชายรองอยู่ฝ่ายสกุลเหอ ย่อมไม่อาจแต่งงานกับธิดาสกุลเฉินได้ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว สกุลเฉินมีอำนาจมากเกินไป เมื่อกำจัดกุ้ยฮวาไม่ได้ ก็ต้องดึงตัวนางมาเป็นพวก

ที่น่าวิตกที่สุดคือองค์ชายจงเต๋อไปเป็นทูตอยู่ที่หางเฟยหลายปี สร้างผลงานมากมาย สิ้นสุดงานเทศกาลเมื่อไร จะมีการประกาศเกียรติคุณและพระราชทานรางวัล จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะทูลขอสมรสพระราชทาน

“เจ้าก็เสนอตัวแทนสิ ขี้คร้านสกุลเหอจะรีบส่งเสริม”

“พี่หก! ข้าจริงจังนะ ท่านอย่าล้อเล่นได้ไหม” องค์ชายแปดทำเสียงขรึมใส่ แต่หูกลับแดงแจ๋

“ข้าไม่ได้ล้อเล่นสักหน่อย เจ้าเป็นห่วงนางเพราะชอบนางไม่ใช่หรือ เลิกปากแข็งแล้วรีบบอกความในใจไปเสียที เจ้าก็รู้ว่าใครก็แต่งกับกุ้ยฮวาไม่ได้ หากนางไม่เต็มใจ ”

“ข้าไม่ได้ปากแข็ง ใครจะไปชอบผู้หญิงร้ายกาจพรรค์นั้น ท่านไม่เห็นหรือว่าเที่ยวโปรยเสน่ห์ ปั่นหัวใครต่อใครไปทั่ว น่าชังนัก”

“หรู่เผย...เจ้านี่มันโตแต่ตัวจริงๆ มิน่ากุ้ยฮวาถึงเห็นเจ้าเป็นเด็ก” คนเป็นพี่ส่ายหน้าระอา แต่รอยยิ้มเจือความเอ็นดูไม่น้อย

องค์ชายแปดรู้สึกเหมือนถูกจี้ใจดำ เขากับนางอายุห่างกันเพียงสามปี แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างวัยถึงได้กว้างนัก บางคราวก็อดคิดไม่ได้ว่านางปฏิบัติต่อเขาเหมือนลูกหลานด้วยซ้ำ

“ข้าพยายามอยู่นี่ไง พยายามอยู่ทุกวัน” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างอัดอั้น

เขาดิ้นรนแสดงความสามารถทุกทาง พยายามหาพรรคพวก สร้างฐานอำนาจ ทั้งหมดก็เพื่อให้นางเห็นว่าเขาเติบโตเป็นคนที่คู่ควร

องค์ชายลี่หยางไม่แสดงความเห็นเรื่องนี้ เขากล่าวเพียงว่า

“เจ้ารู้อะไรไหม บางทีความทุ่มเทที่อีกฝ่ายไม่รับรู้ ก็ไม่ต่างจากการไม่ทำอะไรเลย”

องค์ชายหรู่เผยนิ่งไป สื่อว่ากำลังเก็บถ้อยคำไปคิด สำหรับเด็กหัวดื้ออย่างหรู่เผย ได้เท่านี้ถือว่าดีมากแล้ว

“ตาท่านพูดเรื่องตัวเองบ้างแล้ว” อยู่ๆ องค์ชายแปดก็หันมาจ้องหน้า

พี่ชายผู้แสนดีถูกจับได้เสียแล้วว่ามีความในใจ องค์ชายแปดจงใจทิ้งสหายแล้วรีบกลับมา เพราะมองออกตั้งแต่ต้น

ใบหน้าเปื้อนยิ้มขององค์ชายลี่หยางเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาไม่ได้ระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมาทันที แต่กลับถามน้องชายด้วยคำถามที่ไม่ควรถาม

“อยากได้บัลลังก์หรือไม่”

หากใครมาได้ยินคงสะดุ้ง เจียงเฉียงมีองค์รัชทายาทอยู่แล้ว เอ่ยเช่นนี้เท่ากับคิดกบฏ แต่องค์ชายแปดกลับตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ทั้งอยากและไม่อยาก”

“เพราะเหตุใด?”

“ข้าเกลียดความอ่อนแอของตัวเอง จึงอยากได้อำนาจ แต่ก็ไม่อยากแบกแผ่นดินเอาไว้บนบ่า”

“หากไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมจะทำเช่นไร”

ชะตากรรมที่ว่านั้นคือชะตากรรมขององค์ชาย ส่วนใหญ่หากไม่ลงมือแก่งแย่ง ก็ต้องถูกกำจัด

“เมื่อไม่อาจหลีกหนี ก็มีแต่ต้องเผชิญหน้า”

“ต่อให้พี่น้องต้องเข่นฆ่ากันเองอย่างนั้นหรือ” องค์ชายหกเอ่ยอย่างเจ็บปวด

“ใครหันดาบเข้าหาข้า ข้าฆ่าได้ทุกคน ยกเว้นท่าน”

องค์ชายแปดคิดเช่นนั้นจริงๆ เขาเชื่อมั่นว่าพี่หกคือคนเดียวบนโลกที่จะไม่มีวันทรยศตน แต่หากวันใดเหตุการณ์พลิกกลับตาลปัตร เขาก็พร้อมจะยอมรับชะตากรรม ความตายย่อมดีกว่าการมีชีวิต โดยไม่เหลือคนที่สามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้

องค์ชายลี่หยางรับรู้ความรู้สึกทุกอย่างผ่านแววตา ชายหนุ่มกล่าวขอบคุณ แล้วยุติการสนทนาเพียงเท่านี้

ความจริงใจของหรู่เผยทำให้คนที่กำลังสับสนเห็นแสงนำทาง องค์ชายหกตัดสินใจเลิกหลบซ่อน เขารวบรวมความกล้าเพื่อออกไปหาคำตอบ


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายบทค่า
บทนี้ขอการเมืองนิดนึงนะคะ
บทหน้าเราจะมาเฮฮากับเทศกาลหนุ่มสาวแล้ว
ณ เวลานี้พี่ด้าก็ยังมาไม่ถึงเจียงเฉียง
กำลังพยายามกลิ้งมาอย่างสุดกำลัง
แม่ยกพี่ด้าปลูกไผ่รอไปก่อนนะจ๊ะ

นานๆ ทีขอตอบคำถามยาวๆ สักนิดนะคะ เรื่องมีคนสงสัย
แว่นรู้ไหมว่าฟางหมิงเป็นลูกเจ้
แว่นระแคะระคายค่ะ หน่อมก็สงสัย แต่แบบไม่มีใครพูดอะไร
(ส่วนอิโบ้อย่าถาม นางไม่รู้เรื่องอะไรเช่นเดิม ไร้สติไปวันๆ)
อย่าลืมว่าประวัติเจ้เคยเป็นคณิกานะคะ
ถ้าใครมาขุด ฟางหมิงแย่แน่ ต่อไปน้องจะใช้ชีวิตลำบากมากค่ะ
ดีแค่ไหนก็ดูถูกดูแคลน กีดกัน คนไม่ยอมรับ
เอาตรงๆ เลยขนาดยุคเราเจริญแบบนี้
รู้ว่าแม่ขายตัว จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม
คนคนนั้นยังถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ
นับภาษาอะไรกับโลกที่ยึดขนบโบราณ

แล้วสถานะแม่ค้าล่ะ?
อันนี้พอได้ถ้าเจ้ยอมเป็นลูกบุญธรรมตระกูลใหญ่
แต่ระบบชนชั้นวรรณะมันบัดซบค่ะ
ตอนเขียนไม่ได้ใส่รายละเอียดเยอะเพราะมันจะหลุดธีมคอมเมดี้
แต่ถ้าลองย้อนกลับไปอ่านช่วงเทศกาลหนุ่มสาวในเล่มสอง
จะบอกไว้เลยค่ะว่าศาลาที่เล่นต่อกลอนกันผู้ชายมีสามหลัง ผู้หญิงมีสี่
คือศาลาสำหรับเชื้อพระวงศ์ พวกลูกหลานขุนนางสูงและขุนนางระดับกลาง
ของผู้หญิงจะมีบุตรีพ่อค้าเพิ่มเข้ามา
แต่ของผู้ชายไม่มีเพราะถือว่าเป็นชนชั้นที่ไม่ได้รับการยอมรับ ในแวดวงคนชั้นสูง
นึกภาพ น้องแปดคบกรรมกร หม่อมแม่รู้มีเป็นลมตายค่ะ 5555

แถมเกร็ดความรู้นิดนึง
สมัยจีนโบราณพ่อค้าเป็นชนชั้นที่มีเกียรติต่ำสุดนะคะ
เรื่องนี้เซตติ้งคล้ายจีนโบราณจึงอิงตามนั้น
เรียงลำดับเลยคือ ปัญญาชน ชาวนา กรรมกรและพ่อค้า
ทำไมพ่อค้าต่ำสุด? สาเหตุเพราะพวกนี้ไม่อยู่กับที่ เดินทางไปทั่ว
เวลาเกิดศึกสงครามก็ย้ายหนี เรียกว่าอกตัญญูต่อแผ่นดินค่ะ
เพิ่งจะมีคนเห็นความสำคัญมากขึ้นก็ยุคหลังๆ นี่เอง
จริงๆ ยุคจิ๋นซีเริ่มมีแนวคิดว่าพวกพ่อค้าเป็นคนขับเคลื่อนเศรษฐกิจแคว้น
แต่ระบบมันฝังหัวค่ะ มองยังไงก็ไม่มีเกียรติ
พวกพ่อค้าจึงมักคบบัณฑิต สนับสนุนค่าใช้จ่าย
เพื่ออัพเลเวลตัวเอง ว่าอั๊วะดูดีมีการศึกษา

วัฒนธรรมดูถูกพ่อค้านี่ไม่ใช่แค่จีนนะคะ จะเกาหลี ญี่ปุ่น ไทยมีหมด
บทเรียนไทยสมัยก่อน มีเขียนเอาไว้เลยว่าพ่อค้าคนกลางหน้าเลือด
พวกเชื้อพระวงศ์จะไม่ลดตัวลงมาทำการค้าขายด้วยค่ะ
เพราะถือว่าเป็นเรื่องเสื่อมเกียรติ

ที่นี่เราวกกลับมาที่เจ้กับชายสาม
ก็จะเห็นเหตุผลได้ลางๆ ว่าทำไมองค์ชายสามไม่ตื๊อ
หนึ่ง ผู้หญิงไม่รัก สอง ทำเพื่อลูก
สมัยก่อนถ้าแม่ต่ำศักดิ์มากๆ เด็กที่พ่อรักจะถูกเอามาให้เมียเอกเลี้ยงค่ะ
ยิ่งเมียเอกไม่มีลูกชาย เด็กก็จะได้ออกงานมีหน้ามีตา
เห็นได้บ่อยๆ ว่าเมียเอกบางคนจะจ้องแย่งลูกอนุ
ดูที่มีแววเอามาชุบเลี้ยงเพิ่มอำนาจให้ตัวเอง
ส่วนแม่เด็ก มีทั้งที่ตาย ถูกทำให้ตาย เก็บไว้ในบ้านบอกว่าเป็นคนใช้
เรื่อยไปใจกระทั่งแม่ที่ทำเพื่อลูกยอมหนีหายไปเอง
ยกตัวอย่างในเรื่องเลยคือแม่ทัพต่ง แม่จริงๆ ยังไม่ตาย แต่จากไปเพื่อลูก

ส่วนเจ้ ก็อย่างที่รู้ๆ กัน นางกลับมาอยู่กับฟางหมิงไม่ได้
กลับมาน้องก็ตายห่านสิคร้า อย่าลืมคำทำนายท่านเทพ
เจ้รักลูกนะคะ อยากเจออยากกอด แต่แอบดูยังไม่กล้าเพราะกลัว
เข้าใจตรงกัน แล้วปล่อยพวกเค้าไปเถอะนะคะคนดี

สำหรับชายาเอกองค์ชายสาม แม่นางฉิงอี๋
บทแม่นางใกล้หมดแล้ว
ใครสงสัยความสัมพันธ์ขอเฉลยในภาคพิเศษนะคะ
(ถ้าได้เขียน 5555)
ตอนนี้เอาภาคหลักให้รอดก่อนเนอะ

คืนนี้ฝันดีราตรีสวัสดิ์
แล้วพบกันวันศุกร์นะคะ ^O^

หมายเหตุ เป็นทอร์กที่ยาวและกินพลังงานมาก ขออภัยในความเวิ่นเว้อ มา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ




นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 ก.พ. 2560, 00:00:08 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 ก.พ. 2560, 00:00:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 894





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๓ ติดสินบนเด็กไม่ใช่เรื่องง่าย   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๕ สตรีแก่เหนียงยาน ไยต้องมองให้เสียสายตา >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account