ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๕ สตรีแก่เหนียงยาน ไยต้องมองให้เสียสายตา

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๕ สตรีแก่เหนียงยาน ไยต้องมองให้เสียสายตา

ในปีนี้วันที่สิบสี่ เดือนสิบเอ็ด ถูกกำหนดให้เป็นวันแรกของเทศกาลหนุ่มสาว บรรยากาศในวังจึงคึกคักมาก ทั้งในส่วนของผู้ที่ได้รับเชิญและคนเตรียมงาน เจียงเฉียงมีคำกล่าวว่า ‘หิมะโปรยมา บุปผาแย้มบาน’ และบุปผาที่งามล้ำเลิศทั้งหลายนั้น บัดนี้ได้มารวมตัวกันอยู่ในวังหลวง ดึงดูดแมลงภู่ผึ้ง

คนหนุ่มในเทศกาลนี้แบ่งได้เป็นสามประเภทหลักๆ คือ หนึ่งพวกเจียมตัว หวังเพียงได้ยลโฉมสะคราญเป็นบุญตา ไม่หวังเกี้ยวพาราสี สองผู้มักใหญ่ใฝ่สูงทะเยอทะยาน หวังเด็ดดอกฟ้ามาครอบครอง และประเภทสุดท้ายคือพวกที่มาร่วมงานเพื่อความบันเทิง ซึ่งซาโม่หยางผูจัดอยู่ในประเภทนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

ชายผู้รักการละเล่นและสาวงาม บุกเข้ามาในห้องนอนขององค์ชายแปดตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง แล้วปลุกให้รีบลุกขึ้นมาแต่งตัวไปร่วมงาน

องค์ชายแปดโมโหที่ถูกปลุก จึงชักดาบออกมาขู่ไล่ให้ไป ก่อนจะกลับไปนอนคลุมโปงทำเป็นไม่สนใจ หยางผูเลยเปลี่ยนเป้าหมายไปบุกเรือนรับรองคณะทูตจากแคว้นโจวแทน เขาลักพาองค์ชายเข่อซินที่กำลังสะลึมสะลือ แบกขึ้นหลังมากดดันองค์ชายแปดถึงขอบเตียง

องค์ชายแปดรำคาญจนนอนต่อไม่ไหว เลยลุกขึ้นมาจัดการตัวปัญหา

“จะไปก็ต้องอาบน้ำแต่งตัวก่อน ดูสภาพเข่อซินสิ จะให้เขาออกไปทั้งอย่างนี้รึ”

ตอนนี้หยางผูแต่งหล่ออยู่คนเดียว แต่องค์ชายเข่อซินผู้น่าสงสารยังอยู่ในชุดนอน

“เจ้ามีชุดตั้งเยอะ เอามาให้เขายืมหน่อยสิ”

“ใช้ของข้าได้ที่ไหน พาเขากลับไปแต่งตัวเลยไป” องค์ชายแปดโบกมือไล่

“ทำไมถึงไม่ได้” หยางผูทำท่าสงสัย

เขามองซ้ายขวาเปรียบเทียบสหายทั้งสองอย่างละเอียด หรู่เผยสูงกว่าก็จริงแต่รูปร่างพอๆ กัน แล้วชุดของเจียงเฉียงก็เป็นแบบผูก แขนกว้าง ชายยาว หากไม่อ้วนจัดผอมจัดก็แลกกันใส่ได้สบาย

“เขาเป็นองค์ชายแคว้นโจวจะให้แต่งแบบเจียงเฉียงได้อย่างไร”

“ชิส์! ยุ่งยากจริง” คนตัวโตบ่น ถึงกระนั้นก็ยอมพาองค์ชายเข่อซินกลับไปแต่งตัว

หยางผูใช้วิธีแบกสหายขึ้นหลังเช่นเดียวกับขามา เพราะมั่นใจว่าฝีเท้าตัวเองเร็วกว่ารถม้าที่แล่นเอื่อยๆ องค์ชายเข่อซินผู้น่าสงสารเลยต้องทนลำบากตากลมหนาวอีกหน โชคดีมหาดเล็กองค์ชายหกมือไวส่งเสื้อคลุมกันหนาวให้ทัน คนที่อยู่ในชุดนอนบางๆ จึงรอดจากการเป็นหวัด

หลังจากหายไปชั่วยามเศษ หยางผูก็พาเข่อซินที่หล่อเนี้ยบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ามาตะโกนเรียกองค์ชายแปดอีกครั้ง ทว่าชายหนุ่มกลับยังไม่เปลี่ยนชุด เขาไม่อยากให้คนล้อเลียนว่าตื่นเต้นจนต้องรีบไป จึงถ่วงเวลาด้วยการบอกว่าจะอาบน้ำ

“เจ้าจะอาบน้ำทำไมให้วุ่นวาย เมื่อคืนก็อาบไปแล้วนี่” คนใจร้อนโวยวาย

“เรื่องของข้า ไม่อยากรอก็ไปก่อนสิ”

“ไม่เอา อยู่กันสามคนสนุกกว่า” หยางผูเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ

“งั้นก็ต้องรอ” องค์ชายแปดประกาศอย่างเด็ดขาด

เขาบอกมหาดเล็กไปก่อนหน้านี้ว่าไม่ต้องรีบเตรียมน้ำอาบ แต่หยางผูคล้ายจะรู้ทัน จึงไปจัดการด้วยตัวเอง ไม่นานเขาก็แบกถังน้ำขนาดใหญ่มาให้ถึงที่ แถมทำท่าจะอาบให้อีก

“เลิกยุ่งกับข้า แล้วไปจัดการตัวเองเถอะ”

เพราะมัวแต่วิ่งไปวิ่งมา ชุดเก่งจึงเปรอะเปื้อน ผมเผ้ายุ้งเหยิง หยางผูเห็นเงาตัวเองในกระจก จึงปัดฝุ่นออกจากตัว เอามือแตะน้ำลายจัดการผมยุ่งๆ ให้เข้าที่

“เสร็จแล้ว” คนมักง่ายว่า

“เท่านี้ยังใช้ไม่ได้ ออกงานทั้งที แต่งให้เต็มยศหน่อยสิ” องค์ชายหกเอ่ยแทรก

เขาตื่นนานแล้วเพราะเสียงเอะอะโวยวาย จึงถือโอกาสนำของที่ตั้งใจจะมอบให้ออกมาเสียเลย ชายหนุ่มสั่งให้คนเข้ามาจัดการแปลงโฉมให้ชายหนุ่ม โดยไม่รอคำตอบรับ หยางผูขัดขืนในทีแรก เขามีเรี่ยวแรงมหาศาล ต่อให้พวกมหาดเล็กช่วยกันยังกระเด็น องค์ชายหกคาดการณ์ไว้แล้ว เลยใช้งานองครักษ์แทน สิบต่อหนึ่งไม่ชนะให้มันรู้ไป

หยางผูถูกจับแก้ผ้าโยนลงไปในถังน้ำที่เขาแบกมาเป็นอย่างแรก จากนั้นก็ขัดตัว สระผม แต่งเครา ประโคมเครื่องหอม กว่าจะเสร็จทุกขั้นตอนบรรดาองค์ชายก็ได้หัวเราะกันท้องแข็ง

หยางผูโกรธมากในตอนแรก แต่เมื่อได้ส่องกระจกก็พอใจ หนวดเคราที่เขาภูมิใจไม่ได้ถูกตัดออกมากอย่างที่คิด เพียงแต่เล็มให้เป็นทรงขึ้น ชุดที่องค์ชายหกจัดมาให้ก็ไม่เลวเลย แม้จะยังยึดรูปแบบชุดประจำเผ่าเอาไว้ แต่ตัดเย็บอย่างประณีต ใช้ขนสัตว์หายากและผ้าเนื้อดีมาตกแต่ง ทำให้ดูหรูหราขึ้นมา

“ข้าชอบชุดนี้ กลับบ้านแล้วจะส่งของดีกลับมาตอบแทนแน่นอน” ชายหนุ่มหมุนตัว สะบัดชายเสื้อคลุมเล่นอย่างสนุก

ของขวัญจากองค์ชายลี่หยางช่วยถ่วงเวลาได้นานโข สามสหายพร้อมด้วยผู้ติดตามจึงได้ออกเดินทางในเวลาที่พอเหมาะ เสียดายก็แต่องค์ชายลี่หยางไม่ไปด้วย ชายหนุ่มบอกว่ามีเรื่องต้องทำ จึงขอผลัดไปร่วมงานวันอื่นแทน

ตอนไปถึงสถานที่จัดงาน ศาลาฝั่งผู้ชายทั้งสามหลังมีคนมานั่งอยู่ก่อนแล้วประปราย หยางผูไม่ชอบใจที่ไม่ได้มาคนแรก เลยบ่นใหญ่ว่าเพราะหรู่เผยกับเข่อซินชักช้า

“เอาเวลาบ่นไปหัดแต่งกลอนดีกว่าไหม แพ้ขึ้นมาถูกจับเปลื้องผ้าไม่รู้ด้วย” องค์ชายแปดเบี่ยงเบนความสนใจ

ตามธรรมเนียมวันแรกของงานเทศกาลหนุ่มสาวเป็นการต่อโคลงกลอนกันระหว่างชายหญิง หากฝ่ายชายแพ้จะต้องมอบของติดตัวให้ ตามแต่ฝ่ายหญิงจะเรียกร้อง รับประกันว่าพวกที่ชอบท้าแข่งแบบไม่เจียมตัวอย่างหยางผู จะต้องถูกสาวๆ ริบเสื้อผ้าจนหมดตัว

“พวกนางอยากเห็นข้าเปลือยก็เอาสิ ลมหนาวเพียงเท่านี้จะสักเท่าไรกันเชียว ดีเสียอีกจะได้อวดหุ่นชายงาม”

ปกติคนจากทะเลทรายมักไม่ถูกกับหิมะ แต่หยางผูหนังหนาหน้าทน ลงไปเกลือกกลิ้งกลางหิมะจนเปียกโชกอยู่หลายวัน ก็ยังไม่เคยป่วยไข้

“ตามใจก็แล้วกัน ข้าไม่แก้แค้นให้หรอกนะ”

หยางผูเป็นพวกชอบเอาชนะ หาเรื่องทะเลาะตบตีได้ไม่เกี่ยง เด็ก สตรี คนชราก็ไม่ไว้หน้า ถ้าถูกริบเสื้อผ้าไปจริง ขี้คร้านจะลงไปดิ้นขอให้ช่วย

“ข้าไม่ง้อเจ้าหรอก มีเข่อซินทั้งคน”

องค์ชายผู้กำลังถูกลากไปซวยถึงกับสะดุ้ง เขากระเถิบหนีตามสัญชาตญาณ แต่ดูเหมือนจะไม่ทัน เพราะสหายร่างยักษ์จับตัวเอาไว้แน่น แล้วลากพาตัวเข้าศาลาไปพร้อมกัน

การปรากฏตัวของสามสหายก่อให้เกิดทั้งความเงียบและเสียงอื้ออึง ความเงียบนั้นมาจากทางฝั่งของบุรุษ ปีนี้เชื้อพระวงศ์ชายของเจียงเฉียง หากไม่นับองค์ชายหกก็มีเพียงองค์ชายแปดที่โดดเด่น พวกเชื้อพระวงศ์ชั้นปลายแถวที่จับจองพื้นที่ในศาลาอยู่ก่อนหน้า จึงพร้อมใจกันหยุดการสนทนาและเปิดทางให้ ส่วนเสียงอื้ออึงดังมาจากศาลาของเหล่าสตรี ที่พร้อมใจกันชี้ชวนคนรอบข้างให้ชมโฉมองค์ชายทั้งสอง

ชื่อเสียงขององค์ชายหรู่เผยกับองค์ชายเข่อซินโด่งดังไม่น้อยในหมู่สตรี ต่อให้ไม่นับชาติตระกูลกันสูงส่งก็ยังถึงพร้อมด้วยรูปลักษณ์และความสามารถ องค์ชายหรู่เผยหล่อเหลาองอาจ ดูสง่าสุขุมแต่ไม่ดุดันถึงขั้นแข็งกร้าว องค์ชายเข่อซินงามอย่างละมุนตา ดูเป็นปัญญาชนที่ไม่สำอางเหลาะแหละ พอยืนเคียงข้างกันเช่นนี้แล้ว ก็มีคนอดเปรียบเทียบไม่ได้ว่างามดุจตะวันจันทรา

ขณะที่พวกแม่นางทั้งหลายกำลังชมโฉมยอดบุรุษอย่างเพลิดเพลินใจ ฉับพลันก็มีเมฆร้ายมาบดบังทัศนียภาพ เจ้าเมฆก้อนยักษ์ที่ว่า จะเป็นใครไปไม่ได้อีกแล้วนอกจากคนเถื่อนเช่นหยางผู เหล่าสตรีทั้งหลายตั้งแง่รังเกียจชายผู้นี้ไม่น้อย ทั้งเรื่องกิริยามารยาท และรูปลักษณ์ภายนอก แม้วันนี้เขาจะแต่งกายมาอย่างดี แต่ก็ยังไม่ต้องรสนิยมสตรีส่วนใหญ่

“เมื่อไรจะหลบไปสักที เกะกะสายตาจริง” คุณหนูผู้หนึ่งเอ่ยอย่างไม่พอใจ

ตามหลักนางกำนัลอาวุโสต้องเข้ามาตักเตือนว่านางทำกิริยาไม่เหมาะสม แต่เนื่องจากเอ่ยได้ตรงใจคนหมู่มาก ผู้ดูแลจึงทำเป็นปล่อยผ่าน ไม่ได้ยินเสีย

ทางด้านเมฆวายร้ายก้อนยักษ์ เมื่อเห็นสตรีทั้งหลายพากันจ้องมองมา ก็ประกาศเสียงดังว่าพวกนางให้ท่า

คำว่า ‘ให้ท่า’ สำหรับหยางผูเป็นคำที่ใช้พูดคุยกันธรรมดา ไม่ถือว่าหมิ่นเกียรติ แต่สำหรับกุลสตรีที่ยึดขนบว่าต้องสงวนท่าที คำพูดนี้ไม่ต่างจากการลากพวกนางไปตบหน้ากลางสะพาน บรรดาคุณหนูรวมถึงเหล่านางกำนัลที่โกรธแค้นแทนนายของตน ล้วนหมายมาดว่าจะยึดเครื่องแต่งกายของคนเถื่อนมารยาททราม ไม่ให้เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

รอไม่กี่อึดใจ การประชันกลอนก็เริ่มต้นขึ้น โจทย์แรกกำหนดให้มีชื่อดอกไม้ในบทกลอน ฝ่ายชายที่แต่งเสร็จเป็นคนแรกจะได้รับสิทธิ์ส่งบทกลอนไปยังสตรีที่หมายตา หยางผูเลยไปกระตุกแขนเข่อซินให้เร่งมือ

องค์ชายแห่งแคว้นโจวเหลียนไม่คิดทำตัวเด่น แต่เมื่อสังเกตรอบตัวก็พบว่าทุกคนล้วนมีท่าทีเกรงใจ ไม่อยากเสียมารยาทตัดหน้าองค์ชายแปด ทว่าคนที่ควรเขียนกลอนเปิดงาน กลับเอาแต่คุยกับองครักษ์ด้านนอกศาลา ไม่ยอมเข้ามาเสียที องค์ชายเข่อซินที่มีศักดิ์เสมอกันจึงรับกระดาษพู่กันมาเขียนแทน

“องค์ชายประสงค์จะท้าใครพ่ะย่ะค่ะ” มหาดเล็กเข้ามาถาม

หากรู้ว่าท้าองค์หญิงหรือสตรีจากตระกูลสูง มหาดเล็กก็จะแอบส่งสัญญาณให้นางกำนัลที่อยู่อีกฝั่ง จะได้เตรียมตัวทัน

“ก็ต้องเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดสิ” หยางผูตอบแทน

“ขออภัย วันนี้องค์หญิงรุ่ยฟางมิได้เสร็จมาร่วมงาน”

มหาดเล็กตอบโดยไม่เสียเวลาตรอง วันนี้เขาถูกถามไม่ต่ำกว่าสิบครั้งแล้วว่ากุ้ยฮวาจะมาร่วมงานหรือไม่

“ข้าหมายถึงองค์หญิงสิบสี่ต่างหาก องค์หญิงรุ่ยฟางคือใคร มีคนงามกว่าองค์หญิงสิบสี่ด้วยรึ” หยางผูทำท่าสนใจ

มหาดเล็กและผู้ที่ได้ยินคำถามล้วนมีสีหน้าประหลาดใจ ในวังหลวงแห่งนี้มีคนที่ไม่รู้จักองค์หญิงรุ่ยฟางอยู่ด้วยหรือ ใครๆ ก็รู้ว่าเกียรติศัพท์ของนางระบือไกลเพียงไหน แต่ครั้นจะบอกว่าองค์หญิงสิบสี่ด้อยกว่าก็ไม่ควร มหาดเล็กหนุ่มจึงตอบไปว่า

“ความงามยากตัดสิน ข้าน้อยทั้งเขลาและเยาว์นัก มิกล้าแสดงความเห็น”

“ในที่นี้มีใครเคยยลโฉมนางบ้าง แล้วเห็นเป็นเช่นไร” หยางผูถามทุกคนที่อยู่ในที่นั้น

บรรดาผู้ร่วมงานมองหน้ากันอยู่อึดใจ เมื่อบรรดาองค์ชายไม่มีท่าทีตอบสนอง ท่านชายผู้หนึ่งจึงช่วยตอบคำถามให้

“พักตร์งามเฉิดฉัน รูปนั้นดุจจำแลงมา แม้แต่มวลผกา ยังหลบตาละอายนาง”

ท่านชายตอบได้ดี เพราะบรรยายความงามเป็นบทกลอนให้คิดเอง นอกจากนี้ยังไม่ยกองค์หญิงสิบสี่ มาเปรียบเทียบให้เสียหน้า เสียดายผู้รับสารเข้าใจได้ไม่ถึงครึ่ง แถมยังจินตนาการไปถึงพืชสายพันธุ์ประหลาดเสียอย่างนั้น

“เข่อซิน...ดอกไม้ที่นี่มีตาด้วยรึ”

องค์ชายเข่อชินหยุดมือที่กำลังตวัดปลายพู่กัน เพื่อหันมาตอบคำถาม

“นี่เป็นการเปรียบเปรย ความหมายคือสวยจนดอกไม้สู้ไม่ได้”

“อย่างนี้เอง แล้วทำไมไม่พูดตรงๆ เล่า” หยางผูโยนความผิดให้อีกฝ่ายเสียอย่างนั้น

“ถ้าพูดตรงๆ จะใช่บทกลอนได้อย่างไร” องค์ชายหรู่เผยที่เพิ่งเข้ามาว่า

“งามจริงๆ น่ะหรือ ทำไมข้าไม่เคยได้ยินเรื่องของนางเลย พวกเจ้าก็ไม่เคยพูดถึง”

หยางผูเที่ยวเก็บข้อมูลหญิงงามอยู่หลายวัน ชวนสหายคุยก็ออกบ่อย เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะตกข่าวอยู่คนเดียว

“เคยสิ ถ้าเอ่ยนาม ‘กุ้ยฮวา’ ขึ้นมา เจ้าพอจะคุ้นบ้างไหม” องค์ชายเข่อซินบอกใบ้

“อ๋ออออ!” พอนึกออก ปากก็พลันท่องวลีเด็ดแฉเพื่อนทันที “น้ำค้างปลายหญ้า คิดร่วงหล่นแต่ไม่หยดลง”

ประโยคนี้องค์ชายหรู่เผยเคยพูดไว้ตอนเมา เป็นเชิงตัดพ้อสตรีในดวงใจ องค์ชายแปดกระแอมเสียงดังทีเดียว ชายหนุ่มปรี่ไปหาสหาย แล้วจัดการดึงความสนใจไปที่บทกลอนที่เข่อซินกำลังเขียน ทว่าสหายตัวดีกลับไม่ยอมหยุดปาก

“ข้าไม่แย่งเจ้าหรอกน่า เชิญรอแม่นางน้ำค้างตามสบาย”

องค์ชายหรู่เผยทำตาดุใส่ เพราะคำพูดของหยางผูไม่ต่างจากการประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเขามีใจให้กุ้ยฮวา หยางผูสบตาแทนที่จะเข้าใจ กลับตีความไปคนละเรื่อง แกว่งปากหาเสี้ยนเสียอย่างนั้น

“ก็บอกแล้วไง ว่าข้าไม่สนใจสตรีแก่เหนียงยานหรอก”

ในเจียงเฉียงสตรีอายุยี่สิบสองแล้วยังไม่แต่งงานถือว่าใกล้ขึ้นคานเต็มที แต่ยังไม่ถึงขั้นสาวแก่ ทว่าธรรมเนียมของเผ่าทะเลทรายนั้นต่างออกไป ในสถานที่ที่หยางผูเติบโตมา ผู้หญิงอายุสิบสามสิบสี่ก็เป็นแม่คนได้แล้ว ดังนั้นผู้หญิงที่อายุมากกว่ายี่สิบในสายตาเขา จึงจัดอยู่ในประเภท ‘สาวแก่’

งานนี้เจ้าตัวได้ยินคงเดือด แต่เนื่องจากกุ้ยฮวาไม่ได้อยู่ที่นี่ เหล่าผู้นิยมชมชอบในตัวนางจึงไม่พอใจแทน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีจางไห่รวมอยู่ด้วย ชายหนุ่มทำท่าจะตำหนิ แต่องค์ชายแปดห้ามไว้

“เก็บแรงไว้ใช้ที่หลัง” พอได้ยินเช่นนั้นมือที่กำแน่นก็คลายลง

องค์ชายแปดห้ามคนสนิทได้ แต่ห้ามคนอื่นไม่ทัน องค์ชายเข่อซินจึงช่วยขัดจังหวะด้วยการเร่งให้มหาดเล็กอ่านกลอนของตน

เสียงขับบทกวีดังขึ้นแล้ว จะลุกขึ้นมาติเตียนผู้อื่นก็ใช่ที่ ทุกคนเลยต้องเก็บความไม่พอใจไว้

“ม่อหลันกลางธารา เกล็ดหิมะหมายร่วงหล่น ม่อหลันมองเมิน เกล็ดหิมะสลายในธารา องค์ชายโจวเข่อซินประพันธ์ แจ้งแก่องค์หญิงจ้าวจินเฟิ่งให้ต่อบท”

คนนอกไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ว่าคู่นี้เคยปะทะคารมกันมาก่อน ล้วนเข้าใจว่าองค์ชายเข่อซินเปรียบองค์หญิงสิบสี่เป็นหญิงงาม เปรียบตัวเองเป็นเกล็ดหิมะที่หมายปองนาง แต่เพราะนางไม่แยแส จึงต้องตัดใจ

กลอนลักษณะนี้ ถ้าสตรีมีใจจะตอบกลับเป็นในเชิงให้ความหวัง ถ้าไม่ชอบก็จะบอกปัดอย่างสุภาพ ตามหลักองค์หญิงสิบสี่ควรตอบอย่างกลางๆ สงวนท่าทีเข้าไว้ ทว่าตอนนี้นางกลับไม่อาจสงบใจได้ องค์หญิงน้องเล็กผู้เกลียดความพ่ายแพ้รู้สึกเหมือนถูกท้าทายมากกว่าเกี้ยวพา หนก่อนตอนบังเอิญเจอกัน เขาเป็นฝ่ายเข้ามาในเขตสตรีแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมรับความผิด เถียงหน้าตายว่าพลัดหลงเข้ามา นางร้องเรียนเขาเพื่อรักษากฎ แต่กลับเป็นฝ่ายผิด ถูกตำหนิว่าวางตัวไม่สมกับเป็นกุลสตรี

“แค้นนี้ต้องชำระ” องค์หญิงคนงามพึมพำ

คนแต่งกลอนมองใบหน้าบึ้งตึงก็พลันยิ้ม นางแสดงท่าที่เช่นนี้แปลว่ารู้ความหมายที่แท้จริง เขาเปรียบนางเป็นดอกม่อหลัน ไม่ใช่เพราะความงาม แต่เพราะวันนี้นางสวมชุดสีชมพูอมแดง ที่ว่าเกล็ดหิมะหมายร่วงหล่น ไม่ได้บอกว่ามีใจให้ แต่หมายถึงว่าวันนั้นเขาแค่มีน้ำใจอยากคบหาฉันมิตร แต่นางกลับปฏิเสธ ในเมื่อนางไม่สน เขาก็ไม่ใส่ใจ ขอลาไปตามทาง

องค์หญิงสิบสี่ตอบกลับมาอย่างเร็วจี๋ ไม่เพียงไม่รักษาน้ำใจ แต่ยังผลักไสไล่ส่งด้วย

“ม่อหลันบานกลางคิมหันต์ มิอาจรอเหมันต์เคลื่อน ธาราไหลสู่โจวเหลียน หิมะควรเปรมปรีดิ์”

ถ้าให้แปลตรงๆ จากใจก็คือ ‘ไสหัวกลับบ้านโจวเหลียนไปซะ’

แทนที่จะขัดเคือง องค์ชายเข่อซินกลับหัวเราะชอบใจ ชายหนุ่มเขียนกลอนตอบกลับไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ผลัดกันไปมาอย่างนี้ได้สี่ห้ารอบ ความหมายก็ชักเริ่มเปลี่ยนไปในเชิงท้ารบ นางกำนัลผู้ดูแลเห็นท่าไม่ดี จึงออกมาประกาศให้เสมอกัน และยุติการต่อบทกลอนเพียงเท่านั้น เปิดโอกาสให้ฝ่ายหญิงท้าบ้าง

องค์หญิงสิบสี่เพิ่งจะต่อกลอนเสร็จ องค์หญิงสิบสามจึงได้สิทธิ์ท้าในหัวข้อต่อไป ทีแรกนางเล็งองค์ชายจากแคว้นโจวเหลียนเอาไว้ แต่เพราะเขาแสดงท่าทีสนใจน้องสาว นางไม่อยากเสียหน้าจึงยกสิทธิ์ให้คนอื่น

เหล่าคุณหนูและท่านหญิงทั้งหลายเห็นเป็นโอกาสได้จัดการเมฆยักษ์จอมเกะกะ จึงส่งคำท้าไปให้หยางผู กลอนที่พวกนางส่งมานั้น ต่อบทได้ยากทีเดียว แต่หยางผูก็อาศัยโชคกับความใจกล้าหน้าด้าน เอาชนะสาวน้อยหน้าบางมาได้ เจ้าตัวเลยฉลองชัยด้วยการขอเครื่องประดับที่มีค่ามากที่สุดในตัว และท่องกลอนที่แสนจะภาคภูมิใจอีกครั้งหนึ่ง

“ข้าหิว ข้าจะกิน กิน กิน กิน ข้าอยากกินแม่นาง”

เจอแบบนี้เข้าไปคงไม่มีกุลสตรีที่ไหนกล้าต่อกรด้วย ทว่าพวกคุณหนูทั้งหลายกับเหล่าผู้ติดตามก็ไม่ยอมแพ้ ยังตบเท้าเข้ามาท้าทายหยางผูอีกเรื่อยๆ แล้วก็ถูกเขาจัดการทำให้อับอายด้วยกลอนที่เรียกว่ากึ่งอนาจาร พวกนางกำนัลอาวุโสกับมหาดเล็กที่ดูแลงาน ล้วนตกที่นั่งลำบาก ตั้งแต่จัดงานเทศกาลมาหลายสิบปี ไม่มีครั้งไหนที่บรรยากาศจะเลวร้ายเช่นนี้

องค์ชายหรู่เผยกับองค์ชายเข่อซินไม่ถือสาสหายในทีแรก แต่พอได้อ่านกลอนอันล่าสุด ก็เริ่มเห็นว่าหยางผูสนุกจนเลยเถิด จึงบอกให้ยอมแพ้เสีย

“ข้ายังไม่ได้อ่านกลอนเลย ทำไมต้องยอมแพ้ด้วย”

“ไอ้ที่เจ้าแต่งมันไม่ใช่กลอน” องค์ชายแปดเอ็ด

เขาทำท่าจะยึดกระดาษที่เขียนบทกลอนเอาไว้ แต่คนตัวโตมือไวกว่า เลยชิงส่งให้มหาดเล็กก่อน

“ห้ามประกาศเด็ดขาด” องค์ชายหรู่เผยสั่ง

มหาดเล็กกวาดสายตามองอักษรบนแผ่นกระดาษก็เข้าใจว่าทำไม

‘แม่นางงามจริง เป็นเมียข้าเถิด’ นอกจากจะไม่ใช่บทกลอนแล้ว ยังหยาบคาบด้วย ชายหนุ่มเลยทำตามคำสั่ง พร้อมทำลายข้อความเจ้าปัญหา ด้วยการโยนลงเตาไฟ

“เจ้าบังอาจทำลายผลงานชิ้นเอกของข้า” หยางผูตะโกนอย่างโมโห

เขาตรงเข้าไปหามหาดเล็กร่างบาง หมายจะซัดสักหมัดตามประสาคนใจร้อน แต่ก็ยังช้ากว่าจางไห่ องค์รักษ์ผู้รอจังหวะมาเนิ่นนาน ฟาดสันมือที่กลางลำคอของตัวปัญหาอย่างแรง คนปกติคงสลบ แต่หยางผูผู้มีความทึกทนแค่มึนเท่านั้น จางไห่รู้ดีอยู่แล้ว เพราะองค์ชายแปดย้ำหลายครั้ง เลยแถมลูกเตะกับเข็มพิษสลบให้อีกหนึ่งชุด

ก่อนที่ใครๆ จะทันได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หยางผูก็ถูกจางไห่และบรรดาองครักษ์ อุ้มพาตัวขึ้นรถม้า เอากลับไปเก็บที่วังองค์ชายหกเรียบร้อยแล้ว

องค์ชายแปดให้จางไห่ติดตามมาก็เพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดหยางผูจะหลับยาวจนถึงพรุ่งนี้เย็น องครักษ์หนุ่มยิ้มอย่างพอใจ ที่ได้สั่งสอนคนปากเสีย แต่ก็ยังไม่สาแก่ใจเท่าใดนัก จึงแอบลดความแรงของพิษลง เพื่อให้หยางผูตื่นขึ้นมาทันเข้างานถัดไป จะได้จัดการสั่งสอนอีกหนึ่งรอบ

ใครจะคิดว่าองค์รักษ์ผู้แสนดี จะมีแง่มุมโหดร้าย นับเป็นความซวยของหยางผูโดยแท้ ที่บังอาจหยามกุ้ยฮวาต่อหน้าติ่งเดนตาย ตัวเขาถูกด่าไม่เป็นไร แต่อย่าได้แตะต้องจอมนางในดวงใจเชียว ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์คนนี้ พร้อมกลายร่างเป็นปีศาจ



เช้าวันรุ่งขึ้น ตัวแสบอย่างหยางผูตื่นขึ้นมาอย่างกระปรี้กระเปร่า มีแรงเข้าร่วมงานเทศกาลวันที่สองตามแผนของจางไห่ วันนี้เป็นการประชันดนตรี หยางผูที่ถูกตราหน้าว่าเป็นคนเถื่อนเลยโดนสั่งให้ฟังอย่างเดียว ชายหนุ่มไม่ชินกับทำนอง จึงยอมฟังเงียบๆ จนสองชั่วยามผ่านไป ค่อยลุกมาป่วน ด้วยการคว้าขลุ่ยไปเป่า

หลายคนเตรียมอุดหู แต่หยางผูกลับทำให้ประหลาดใจ ด้วยการเล่นเพลงเดียวกันกับที่องค์หญิงสิบสามเพิ่งจะบรรเลงพิณไปเมื่อครู่ ได้อย่างไพเราะเพราะพริ้ง ไม่ผิดแม้แต่ตัวโน้ตเดียว มีแต่องค์ชายแปดเท่านั้นที่ไม่แปลกใจ เขาเคยได้ยินเพลงขลุ่ยฝีมือหยางผูมาก่อน ชายหนุ่มไม่ได้เด่นแค่เรื่องพละกำลัง แต่ยังหูดีมาก สามารถแยกเสียงต่างๆ และจดจำมันได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม

ความสามารถทางดนตรีทำให้หยางผูพอจะกู้หน้ามาได้บ้าง แต่ตัวป่วนก็ยังเป็นตัวป่วนวันยังค่ำ ไม่ทันไรก็หาเรื่องข้ามเขตไปฝั่งสตรี ก่อความวุ่นวายอีก องค์ชายแปดเลยต้องส่งสัญญาณให้จางไห่จัดการลากคอพาตัวออกไป

องครักษ์คนซื่อ ซึ่งบัดนี้ยังสร่างแค้น ไม่เพียงซัดก้านคอเต็มแรง ยังแอบลดปริมาณยาสลบเหมือนเคยด้วย เป็นผลให้หยางผูได้มีโอกาสร่วมงานในวันที่สาม ซึ่งวันนี้นั้นเป็นการแข่งขันของเหล่าบุรุษ เหมาะให้คนเรี่ยวแรงเหลือเฟืออาละวาดเป็นที่สุด

วันนี้จางไห่ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังเข้าห้ามเหตุ เพราะมีองครักษ์หลวงดูแลอยู่มากมาย ถึงกระนั้นก็ยังได้ความสะใจกลับมา เมื่อจอมป่วนที่มีความทระนงตนสูงอย่างหยางผู พ่ายแพ้ต่อรองแม่ทัพจากเจียนเจี๋ย ไม่ว่าจะเป็นการประลองดาบ ขี่ม้ายิงธนู เรื่อยไปจนเตะลูกหนัง รองแม่ทัพกวาดชัยชนะไปได้หมด ความสามารถโดดเด่น จนมีคนขนานนามว่าต่งจินไท่คนที่สอง

องค์หญิงสิบสามดูพึงใจในตัวรองแม่ทัพไม่น้อย ถึงขั้นสั่งให้คนยกขนมน้ำชาไปให้ ส่วนทางด้านคนแพ้ไม่ต้องพูดถึง ไม่เพียงแต่ไม่มีใครเหลียวแล สหายรักยังทอดทิ้ง ไม่มีใครอยู่ปลอบใจสักคน

วันที่สี่ของงานเทศกาลคือการเรียนเต้นรำ วันนี้ชายหญิงเรียนเต้นกันคนละที่ หยางผูอยากแก้มือกับรองแม่ทัพ ก็เลยไปท้าประลองหลังเลิกงาน หนนี้แม้จะสู้ด้วยมือเปล่าอย่างที่เขาถนัดก็ยังแพ้ เพราะมีจุดอ่อนตรงที่การเคลื่อนไหวอ่านง่ายเกินไป

รองแม่ทัพอายุยี่สิบกลางๆ แต่ประสบการณ์การต่อสู้โชกโชนกว่ามาก จึงแนะนำข้อผิดพลาดให้อย่างละเอียดละออ อีกทั้งยังไม่ถือสาหาความที่เสียมารยาท หยางผูประทับใจจนขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ รองแม่ทัพเห็นความมุ่งมั่นก็ใจอ่อน แต่ก็ย้ำชัดว่าขณะนี้ตนเป็นอาจารย์ของท่านชายฟางหมิง ถ้าอยากเป็นศิษย์จริงๆ ก็ต้องมีสถานะเป็นศิษย์น้องของเด็กหกขวบและเรียนร่วมกัน หยางผูไม่ขัดข้องเรื่องนี้ ฟางหมิงเลยได้ศิษย์น้องที่หน้าแก่กว่าพ่อเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหน่อ


ในที่สุดเทศกาลวันสุดท้ายที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง งานเลี้ยงเต้นรำสำหรับหนุ่มสาวถูกจัดขึ้นอย่างหรูหรา โถงขนาดใหญ่ประดับประดาไปด้วยโคมไฟและเชิงเทียนส่องแสงระยิบระยับ แต่ของประดับหรือจะชวนมองเท่าสตรี วันนี้แต่ละนางล้วนประทินโฉมจนสวยซึ้ง จากวันแรกที่ว่างามแล้ว วันสุดท้ายของเทศกาลกลับดูจับตากว่าหลายเท่า

บรรดาแขกเมืองและผู้ร่วมงานล้วนเพลินตา เสียดายก็แต่ไร้วาสนา ไม่มีโอกาสได้เห็นสตรีที่คนโจษจันว่างามล่มเมืองอย่างกุ้ยฮวา

เมื่อไม่มีจันทราแล้วไซร้ หิ่งห้อยตัวน้อยอย่างองค์หญิงสิบสี่ก็พลันโดดเด่น แม้จะมีคนเปรียบนางอย่างใจร้ายว่าเป็นแมลงกลางคืน แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าในบรรดาสตรีนับพัน รูปโฉมขององค์หญิงสิบสี่โดดเด่นเกินใคร เหล่าบุรุษล้วนมุ่งความสนใจมาที่นาง เพียงเพลงแรกดังกังวาล ก็มีคนมากมายค้อมกายขอไมตรี

องค์หญิงเลือกเต้นรำกับบุรุษที่มีชาติตระกูลสูงก่อน ทั้งยังจงใจมององค์ชายเข่อซินอย่างหาเรื่อง อีกฝ่ายเลยส่งยิ้มละมุนไปยั่วโทสะ ผลคือองค์หญิงโมโหจนเต้นพลาด เหยียบเท้าคู่เต้นรำไปหลายที

อันที่จริงองค์ชายเข่อซินเอ็นดูองค์หญิงสิบสี่ไม่น้อย แต่เพราะนางคล้ายกับน้องสาวจอมเอาแต่ใจของเขามาก เข่อซินเลยอดแหย่เล่นไม่ได้

“องค์หญิงสิบสี่ท่าทางชอบเจ้าน่าดู” หยางผูแสดงความเห็นพลางแทะขาไก่

ตอนนี้จอมป่วนยังไม่ออกไปวาดลวดลายเพราะห่วงเรื่องดื่มกินอยู่

“ทำไมเจ้าคิดเช่นนั้น”

เขานึกว่าหยางผูจะเยาะเย้ยที่ตนถูกสาวงามเกลียดเสียอีก

“นางทอดสายตาให้เจ้าบ่อยจะตาย ไม่เห็นหรือ นั่นไง...ขนาดเต้นรำอยู่กับคนอื่นแท้ๆ”

องค์ชายเข่อซินหัวเราะลั่น การทำปากขมุบขมิบสาปแช่ง ห่างจากคำว่าทอดสายตาไกลโข

“นางชังน้ำหน้าข้าต่างหาก”

“ผู้หญิงก็อย่างนี้ ปากบอกว่าเกลียด แต่จริงๆ รักจะแย่” หยางผูทำท่าเป็นผู้รู้ ด้วยถือว่ามีประสบการณ์มากที่สุด

“ข้อนี้ใช้ไม่ได้กับทุกคนหรอก จริงไหมหรู่เผย”

องค์ชายแปดไม่ตอบรับ องค์ชายเข่อซินถามซ้ำก็ยังเงียบ ทั้งยังทำหน้าเคร่งจนน่ากลัว ยังไม่ทันพิจารณาว่าเกิดอะไรขึ้น บรรยากาศอึกทึกในงานก็พลันหยุดชะงัก หลายคู่เลิกเต้นรำ แม้แต่เสียงบรรเลงดนตรียังติดขัด เหตุเพราะทุกสายตาพร้อมใจกันจับจ้องไปยังทิศเดียว

ผู้ที่สร้างปรากฏการณ์นี้ คือองค์ชายหกที่เพิ่งมาร่วมงาน ลำพังเขาคนเดียวมาช้า ย่อมไม่สะดุดตา เท่ากับเดินเคียงคู่สตรีที่งามพิลาศ แม้นางจะแต่งกายอย่างเรียบง่าย สวมเครื่องประดับน้อยชิ้น บอกเจตนาว่าไม่ต้องการประชันโฉมกับใคร ก็ยังเด่นสะดุดตาราวกับเทพธิดาจำแลงมา

“องค์หญิงรุ่ยฟาง...องค์หญิงรุ่ยฟางเสด็จ” เสียงกระซิบกระซาบดังอื้ออึ้ง

องค์ชายแปดตาลุกเป็นไฟ เมื่อบุรุษทั้งหลายพากันจ้องมองนาง เขาไม่รู้ว่าเหตุใดกุ้ยฮวาจึงเปลี่ยนใจมาร่วมงาน ทราบเพียงตอนนี้โกรธแทบบ้า

ผู้หญิงอายุมากขึ้นควรจะสวยน้อยลงมิใช่หรือ เหตุใดเมื่อเวลาผ่านไปกลับยิ่งงามหยดย้อยนัก แม้แต่ดรุณีวัยแรกรุ่นก็ยังไม่สวยผุดผาดเท่า แล้วยังยิ้มเจ้าปัญหานั่นอีก เพียงยิ้มน้อยๆ ไม่จำเพาะเจาะจงว่ามอบแด่ผู้ใด ก็ทำให้ลืมหายใจ กี่คนแล้วที่ตกหลุมรักรอยยิ้มนั่น ชำเลืองมองไปทางเจ้าบ้าข้างๆ นี่ยิ่งอาการหนัก จนบัดนี้ก็ยังอ้าปากค้างไม่เลิก

“ยายแก่เหนียงยานนั่นของข้า เจ้าห้ามมอง” องค์ชายแปดเอ็ดเสียงดัง

คนที่ยังไม่หลุดจากภวังค์ไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น หยางผูเดินโซเซตรงดิ่งไปหากุ้ยฮวา หมายจะสารภาพความในใจ ทว่ายังไม่ทันข้ามเขตก็ถูกสกัดดาวรุ่ง

“จางไห่!”

ติ่งเดนตายปฏิบัติหน้าที่ในพริบตา เข้าไปประชิดตัวปัญหา จัดการฟาดสันคอ แล้วลากไปเก็บ

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายบทค่ะ
ใครคิดถึงแพนด้ายกมือขึ้น
จริงๆ ก่อนรีไรท์ บทสามแพนด้าก็ออกแล้วค่ะ
แต่แบบมันมือ ตีสแตกรื้อใหม่ทั้งยวง
เพิ่มบทหยางผู 5555 ชอบคาแร็กเตอร์นี้
ที่เปลืองที่เพราะความผิดฮีเลยค่ะ
(ชี้นิ้ว โบ้ยความผิด)
ตอนนี้ตัวป่วนโดนลากไปเก็บแล้ว
ส่วนตอนหน้าพี่ด้าจะมาไหม หรือจะมีใครมาตบแย่งเต้นกับแว่น
รอลุ้นกันวันจันทร์นะคะ ^O^

คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ค่า

หมายเหตุ นิยายเล่ม 1-5 มีเป็นทั้งแบบรูปเล่มและ Ebook นะคะ
สามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป เว็บซีเอ็ดนายอินทร์มีหมดค่ะ
สำหรับเล่ม 6 ซึ่งเป็นเล่มจบ กำหนดวางแผงปลายเดือนหน้าค่ะ
ถ้ามีความคืบหน้าจะมาแจ้งข่าวอีกทีนะคะ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.พ. 2560, 00:03:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.พ. 2560, 00:03:34 น.

จำนวนการเข้าชม : 963





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๔ สตรีผู้มีค่าควรเมือง   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๖ มอดไหม้ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account