ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"
คำนำ
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้
ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"
ตารกา
คำนำ
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้
ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"
ตารกา
Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์
ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๖ มอดไหม้
ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๖ มอดไหม้
‘เหตุใดกุ้ยฮวาจึงเปลี่ยนใจมาร่วมงาน’ คำตอบคือเพราะองค์ชายหกร้องขอ ส่วนเหตุใดองค์ชายลี่หยางจึงมาอย่างกะทันหัน คำตอบนั้นเป็นปริศนา แม้แต่แว่นก็ไม่อาจคาดเดาว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ ทราบเพียงหลายวันนี้ชายหนุ่มไปพบผู้คนมามากมาย องค์ชายลี่หยางปรากฏตัวตามตำหนักต่างๆ แต่กลับยอมไม่เข้าร่วมงานเทศกาลหนุ่มสาว
กุ้ยฮวาเก็บตัวเงียบ แต่รู้ความเป็นไปในวังดีเพราะนางกำนัลในตำหนักออกไปข้างนอกทุกวัน พวกนางถูกส่งไปร่วมงานในฐานะผู้ติดตามของเฉินเซียงหลัน ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของกุ้ยฮวา นางกำนัลตำหนักเขียวถูกฝึกอย่างเข้มงวด ห้ามไม่ให้แพร่งพรายเรื่องภายใน แต่ในขณะเดียวกันต้องหูตาไว หาข่าวได้ ล้วงความลับเป็น
ตอนบ่ายพวกนางวิเคราะห์ให้กุ้ยฮวาฟังอย่างออกรส ว่าองค์ชายหกอาจจะไม่อยากแต่งงาน ปีนี้ชายหนุ่มอายุยี่สิบสี่ เลยเกณฑ์รับชายาไปหลายปี ครั้นจะอ้างว่าพี่ชายแต่งงานช้าก็ทำไม่ได้ องค์ชายสามเพิ่งรับชายาตอนอายุยี่สิบเจ็ด แต่ก็มีบุตรชายเป็นเรื่องเป็นราวนานแล้ว ส่วนองค์ชายรองไม่ต้องพูดถึง ชายหนุ่มเป็นข้อยกเว้นเพราะได้รับพระราชทานอนุญาต ให้เลือกคู่ครองเองได้ ผิดกับองค์ชายองค์หญิงส่วนใหญ่ที่ประทานสมรสพระราชทานให้ ตามความเหมาะสม ไม่ก็อิงผลประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลัก
แว่นเห็นด้วยเรื่องที่องค์ชายหกไม่อยากแต่งงาน แต่ที่เขาสนใจกว่าคือเหตุใดองค์ชายลี่หยางจึงครองตัวเป็นโสดมาได้จนบัดนี้ จะว่าฮ่องเต้ไม่สนพระทัยหาคู่ครองให้ก็ไม่ใช่ จะว่าเจ้าตัวยืนกรานปฏิเสธสมรสพระราชทานยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ สาเหตุน่าจะเป็นเพราะสนมเฉิน ยังไม่คิดจะใช้ประโยชน์จากการแต่งงานของบุตรชายในตอนนี้
‘แต่คงอีกไม่นานหรอก’
ความคิดนี้แวบเข้ามาเมื่อนึกถึงสถานการณ์ในวังขณะนี้ พอนึกถึงเรื่องการแต่งงาน แว่นก็อดมองเซียงหลันไม่ได้ ตอนได้เทียบเชิญเซียงหลันยังอายุไม่เต็มสิบหกดี บิดาจึงตั้งใจปฏิเสธ อยากให้ฝึกหัดขัดเกลาความเป็นกุลสตรีอีกสักปีก่อนค่อยออกงาน ทว่านางกลับไม่ยอม ร่ำร้องอ้อนวอนขอมางานเทศกาลจนได้
ปกติเซียงหลันเป็นเด็กดี เชื่อฟังทุกอย่าง เหตุที่ลุกขึ้นมาขัดคำสั่งผู้ใหญ่ก็เพราะความรัก บุรุษที่เป็นรักแรกของนางอยู่ในวังหลวง นางจึงเฝ้ารอมาตลอดสามปีให้เทียบเชิญถูกส่งมา เพื่อที่จะได้พบเขา ตอนแรกไม่มีใครรู้ว่าชายผู้นี้เป็นใครเพราะเซียงหลันปากแข็งมาก แต่พองานเทศกาลจัดหลายวันเข้า ท่าทางมันก็ฟ้อง บอกความจริงทุกอย่าง
เซียงหลันหลงแอบรักองค์ชายหกอยู่ข้างเดียวตั้งแต่แรกพบ นางยอมมาเมืองหลวงก็เพื่อเจอเขา พอไม่ได้พบจิตใจก็ห่อเหี่ยว พานไม่อยากออกไปไหน หญิงสาวตัดสินใจปุบปับว่าจะไม่ไปร่วมงานเต้นรำ ทั้งที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากเต้นรำกับชายอื่น
แว่นเห็นใจเซียงหลัน แต่ก็สงสารพวกนางกำนัลด้วย ถ้ากุ้ยฮวากับเซียงหลันไม่ไป พวกนางก็ต้องอยู่เฝ้าตำหนักด้วย ในขณะที่กำลังคิดไม่ตกว่าควรจัดการอย่างไร องค์ชายหกก็มาพบ แล้วขอร้องให้ไปร่วมงาน
“พี่อยากให้เจ้าช่วยพี่ไขปริศนา ช่วยไปหน่อยเถิดนะ”
ชายหนุ่มไม่บอกรายละเอียด แต่ดูจริงจังเป็นอย่างมาก
“ข้าต้องทำอะไรบ้าง”
“ทำทุกสิ่งที่อยากทำ เต้นรำกับคนที่อยากเต้น”
“ท่านจะไปด้วยหรือไม่”
“ไปสิ พี่ไม่ให้เจ้าเข้างานสายตามลำพังหรอก”
ตอนคุยกันยังไม่ได้เวลาเริ่มงาน ถ้าขึ้นรถม้าไปตอนนี้จะทันแบบฉิวเฉียด แต่องค์ชายหกคิดว่าไม่ทันแน่เพราะกุ้ยฮวายังไม่ได้แต่งตัวเลย
พวกนางกำนัลสนับสนุนให้กุ้ยฮวาไปกันเต็มที แม้แต่เซียงหลันก็พลิกลิ้นอย่างไม่อาย อ้อนวอนขอตามไปด้วย แว่นใจอ่อนไปแล้วเกินครึ่ง ถึงกระนั้นก็ยังไม่รีบร้อนตัดสินใจ
“มีองค์ชายองค์ใดเข้าร่วมงานบ้างเจ้าคะ”
“คนที่เห็นเจ้าสำคัญ”
แว่นขมวดคิ้ว องค์ชายหกไม่ใช่พวกชอบเล่นลิ้น เขาจะสื่ออะไรกันแน่ จะบอกว่าพวกที่ไปงานมีใจให้กุ้ยฮวา หรือจะสื่อว่าคนที่ไม่อยู่ไม่ไยดี แว่นไม่คิดว่าองค์ชายหกจะตำหนิองค์ชายห้า เพราะกำหนดกลับที่เร็วที่สุดของเขาคือวันมะรืน คนที่ทำท่าว่าไม่ไยดี เห็นจะสื่อถึงองค์ชายรองมากกว่า องค์ชายจงเต๋อกับกุ้ยฮวาไม่ได้ติดต่อกันมาระยะใหญ่แล้ว ต่อให้บังเอิญเจอกันก็ดูเย็นชากว่าที่เคย ถ้าจำไม่ผิดชายหนุ่มดูแปลกไปนับตั้งแต่กลับมาจากหางเฟย
“องค์หญิง...” เซียงหลันเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่ากุ้ยฮวาเงียบไป
นางมิได้รบเร้าให้รำคาญ แต่มองมาด้วยแววตาวิงวอนสุดจะกล่าว พวกนางกำนัลคนอื่นๆ ก็พอกัน แม้แต่ซีอิ๋งก็ยังเป็นกับเขาด้วย รายนี้ไม่อ้อน แต่ไปเปิดกล่องหยิบผ้าสำหรับเต้นรำมาเตรียมไว้ล่วงหน้าเลย
“ก็ได้...ข้ายอมแล้ว” แว่นถอนใจ “ท่านพี่หกรอสักครู่ ข้าจะรีบแต่งตัว”
พวกนางกำนัลสาวๆ ร้องกรี๊ดกันลั่น แม้จะโดนเอ็ดพวกนางก็ยังยิ้มแป้น กระวีกระวาดช่วยกุ้ยฮวาแต่งตัว เนื่องจากไม่มีเวลา แว่นก็เลยแต่งมาเรียบๆ ดังที่เห็น นางกำนัลที่ดูแลพวกภูษามาลาไม่ใคร่จะพอใจนัก แต่ก็ต้องยอมปล่อยเพราะสายมากแล้ว
กุ้ยฮวากับองค์ชายหกไปไม่ทันช่วงเปิดงานตามคาด ผลที่ได้กลับมาคือปฏิกิริยาชะงักงันราวกับมีคนสะดุดปลั๊กเครื่องเสียงหลุด แว่นรู้ว่าตัวเองเด่น แต่ไม่คิดว่าจะดึงดูดความสนใจได้ขนาดนี้
“จะมาหลบหลังพี่ก็ได้นะ” องค์ชายหกหยอกเพื่อให้คลายความตื่นเต้น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” แว่นยิ้มตอบ
ต้องขอบคุณความเป็นครูที่ทำให้แว่นไม่ประหม่าง่ายๆ มาสายก็ต้องยอมรับว่ามาสาย จะแก้ตัวหรือหลบหลังคนอื่นให้เสียเวลาทำไม แว่นหันไปมองบรรดาผู้ติดตาม แล้วส่งสัญญาณให้
‘เด็กๆ ตามเจ๊มา’
เมื่อตัวแม่สายสตรองเดินเคียงคู่มากับองค์ชายรูปงามแบบไม่แคร์สื่อ บรรดาข้ารับใช้ก็พลอยข่มความเขินอาย วางท่าเลียนแบบ ดรุณีหน้าตาชะแล้มแช่มช้อยเดินเรียงกันเป็นระเบียบ กิริยาล้วนน่าชมกลายเป็นภาพชวนมอง
เหล่าสตรีที่ถูกแย่งความเด่นล้วนไม่พอใจ ทั้งยังตำหนิติติงนางเรื่องมารยาท หากมาช้าก็สมควรมาอย่างเงียบๆ ไม่ใช่เชิดหน้าเดินเข้างานอย่างเอิกเกริก พวกคุณหนูที่ริษยาล้วนพากันสาปแช่งนางในใจ แต่ไม่มีใครกล้าต่อกร เว้นแต่พวกองค์หญิงทั้งหลาย
แรกเริ่มเดิมทีที่นั่งของกุ้ยฮวากับบรรดาผู้ติดตามไม่ได้ถูกจัดไว้ แม้ว่าองค์ชายหกจะให้คนมาแจ้ง ก็จัดโต๊ะแทรกให้ไม่ได้ พวกองค์หญิงยืนกรานว่าจะไม่ยอมขยับให้ โต๊ะของกุ้ยฮวาเลยต้องถอยมาอยู่ด้านหลัง แทนที่จะได้มาอยู่ข้างๆ กันตามฐานันดร
หัวหน้าฝ่ายจัดสถานที่รีบวิ่งโร่มาขออภัย ซึ่งแว่นก็ไม่ได้ถือสา อยู่ตรงนี้มีองค์หญิงทั้งสองกับผู้ติดตามช่วยบังก็เป็นส่วนตัวดี ไม่ต้องปั้นยิ้มทำหน้าสวยตลอดเวลา
พี่ชายผู้แสนดีอย่างองค์ชายหกมาส่งถึงที่ ทั้งยังไม่รีบร้อนจากไป เขาแวะทักทายน้องสาวต่างมารดาทั้งสองและชวนพวกนางสนทนา องค์หญิงสิบสามได้โอกาสจึงถามว่าเหตุใดกุ้ยฮวาจึงเปลี่ยนใจมางาน ทั้งที่ปฏิเสธเทียบเชิญไปแล้ว
“เพิ่งนึกได้กระมังว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว” องค์หญิงสิบสี่ชิงตอบ
แว่นอดยิ้มไม่ได้ เขาไม่ได้เจอองค์หญิงน้องเล็กนานมาก แต่นางก็ยังปากกล้าไม่เปลี่ยน ใจจริงเขานิยมนางอยู่ไม่น้อย นับถือตรงที่เล่นอย่างตรงไปตรงมาไม่มีลอบกัด เมื่อก่อนตอนทะเลาะกันสนุกจะตาย เสียดายพอโตขึ้นก็ห่างหาย ยิ่งกุ้ยฮวาได้เลื่อนยศ ความสัมพันธ์ก็ยิ่งห่างเหิน
“พี่บังคับพาตัวมาต่างหาก” องค์ชายหกแก้ต่างให้
“ที่แท้ท่านพี่ก็รับเป็นพ่อสื่อ” องค์หญิงสิบสามว่า
นางเห็นพี่ชายสนิทสนมกับองค์ชายต่างแคว้น จึงเข้าใจผิดว่าต้องการจับคู่กุ้ยฮวากับองค์ชายเข่อซิน องค์หญิงหนิงอวี้ยิ้มเยาะใส่น้องสาว ที่เรียกร้องความสนใจจากบุรุษที่หมายตาไม่สำเร็จ
“พี่หกลำเอียง ท่านสนับสนุนนาง แต่ไม่สนับสนุนข้า” องค์หญิงน้องเล็กตัดพ้อ
องค์หญิงสิบสี่ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าฝ่ายชายคือใคร ที่โวยวายก็เพราะเกลียดความลำเอียง
“เจ้าเพิ่งสิบเจ็ดจะรีบแต่งไปไย สักยี่สิบค่อยคิดก็ยังไม่สาย”
“ไม่เอา! ข้าไม่อยากเป็นยายแก่เหนียงยาย”
องค์ชายหกหัวเราะขำคำพูดน้องสาว เขาถามทันทีว่านางไปจำคำนี้มาจากไหน องค์หญิงจินเฟิ่งเลยชี้นิ้วไปทางองค์ชายแปด
“สหายของพี่แปดบอกมา ตอนแรกเขาอยู่แถวๆ นั้นแหละ แต่ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”
“คนจากเผ่าทะเลทรายน่ะเจ้าค่ะ” องค์หญิงสิบสามกล่าวเสริม “วันที่แข่งกลอนกัน พูดเสียงดังเชียวว่าสตรีอายุเกินยี่สิบเป็นหญิงแก่เหนียงยาน” ว่าแล้วก็ชำเลืองมาทางกุ้ยฮวา
องค์หญิงสิบสามเป็นอีกคนที่ไม่เคยเปลี่ยน ช่างเหน็บแนมอย่างไรก็ยังเป็นเช่นนั้น เพียงแต่เปลี่ยนเป้าหมายมาอยู่ในวงกว้างขึ้น จากเดิมชอบปะทะฝีปากกับน้องสาว ก็เปลี่ยนมาหาเรื่องคนอื่นแทน องค์หญิงหนิงอวี้ร้ายลึกพอประมาณ แต่ก็ยังไม่แนบเนียนนัก มีแบไต๋แสดงออกให้จับได้เป็นพักๆ แว่นเลยไม่นึกกลัว
“จริงอย่างที่เขาว่านะเจ้าคะ ยิ่งอายุมาก ผิวพรรณยิ่งแย่ ข้าละอิจฉาองค์หญิง” แว่นบ่นพลางแตะแก้มใสเด้งชนิดที่ก้นเด็กยังอาย
ที่พูดว่าอิจฉานั้นคือประชดกลับล้วนๆ อยากเรียกว่าหญิงแก่ก็เรียกไป แต่หญิงแก่คนนี้หนังหน้าดีกว่าก็แล้วกัน ต้องขอบคุณความรู้ที่หลิ่งปินถ่ายทอดให้ มีอาจารย์หน้าเด็กปานนั้น ลูกศิษย์จะน้อยหน้าได้อย่างไร ถึงจะชะลอวัยได้ไม่อลังการอย่างเขา แว่นก็มีปัญญาทำให้ผิวตัวเองเนียนใสไร้สิวฝ้า
“อย่ามาอวดหน่อยเลย ส้นเท้าเจ้าดูดีกว่าหน้าพี่สิบสามอีก” องค์หญิงสิบสี่โต้กลับ
เจตนาของนางคือต้องการว่ากุ้ยฮวาเสแสร้ง พร้อมกับจัดการพี่สาวในคราวเดียว ก่อนหน้ากุ้ยฮวาจะมา องค์หญิงสิบสามหาเรื่องนางหลายครั้ง ทั้งติ ทั้งเหน็บ ปล่อยไว้ก็มีแต่จะได้ใจ พ่นคำพูดจิกกัดไม่ยอมหยุด
“พี่หก...ดูนางพูดสิเจ้าคะ” องค์หญิงหนิงอวี้เคืองจนแทบลุกขึ้นมาเต้น
“อย่าทะเลาะกันเลย เพลงใหม่จะเริ่มแล้ว มาเร็วออกไปเต้นรำกับพี่”
องค์ชายหกจัดการสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพาน้องสิบสามออกไป เมื่อจบเพลงเขาก็กลับมาชวนองค์หญิงสิบสี่ออกไปบ้าง แล้วค่อยไปนั่งทางฝั่งผู้ชาย องค์ชายลี่หยางจงใจไม่ชวนกุ้ยฮวา เพราะอยากเปิดโอกาสให้คนที่จดๆ จ้องๆ อยู่
ทว่าหนึ่งเพลงก็แล้ว สองเพลงก็แล้ว จนกระทั่งเพลงที่สิบ ก็ยังไม่มีใครใจกล้ามาขอกุ้ยฮวาเต้นรำสักคน เหตุผลหลักๆ มีสองข้อ หนึ่งคือใจไม่กล้าพอ สองคือถูกเก็บ ข้อหลังนี่ไม่ต้องถามกระมังว่าฝีมือใคร
คืนนี้โอกาสเปิดให้องค์ชายแปดอย่างเต็มที่ ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังละล้าละลัง เขาไม่ได้ถือทิฐิจนไม่ยอมขอกุ้ยฮวาเต้นรำ แต่ห่วงผลกระทบที่จะตามมาทีหลัง ตอนนี้คนอื่นจะคิดเช่นไร ไม่สำคัญเท่าต่อจากนี้เขาจะปกป้องนางได้หรือไม่
องค์ชายหกรู้ว่าน้องชายกำลังคิดอะไรอยู่ จึงไม่เข้าไปขัด ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน แต่โอกาสของหรู่เผยกำลังจะหมด เมื่อสักครู่มีคนรายงานว่าองค์ชายรองกำลังเดินทางมา องค์ชายลี่หยางตัดสินใจไม่บอกน้อง เพราะคิดว่าบทเรียนนี้คือยาดีสำหรับคนลังเล แม้ความรู้สึกผิดก็ต้องทนข่มมันไว้
คนแรกที่สังเกตว่าองค์ชายลี่หยางทำหน้านิ่งกว่าที่เคย คือองค์ชายจากแคว้นโจวเหลียน ชายหนุ่มได้รับการดูแลอย่างดีจากองค์ชายลี่หยาง จึงสอบถามด้วยความห่วงใย
“มีเรื่องให้คิดมากอย่างนั้นหรือ”
“ไม่นี่...ข้าทำหน้าอมทุกข์หรือ”
“มิได้ แค่ดูไม่สนุกกับงานเท่าไร”
“แน่สิ น้องสาวข้าอยู่ทางฝั่งนั้นตั้งสามคน แถมกำลังโดนผู้ชายรุมเกี้ยว” องค์ชายหกเอ่ยยิ้มๆ
เขายกจอกเหล้าขึ้นจรดริมฝีปาก เพื่อซ่อนแววตาอ่อนล้า หลายวันมานี้ชายหนุ่มมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมาย ต้องวุ่นวายทำสิ่งต่างๆ อย่างที่ไม่เคยทำ ยิ่งรู้เห็นมากเท่าไรก็ยิ่งอึดอัด แต่เมื่อก้าวเดินไปแล้ว ก็มิอาจหันหลังกลับสู่จุดเดิมได้
“ว่าแต่...ท่านไม่สนใจใครบ้างเลยรึ” องค์ชายลี่หยางถามเพื่อเบนความสนใจ
“หากพบเพื่อลาจาก สู้ไม่สานสัมพันธ์ดีกว่า”
องค์ชายเข่อซินปรารถนาจะมาอย่างทูตและกลับไปอย่างทูต ไม่ต้องการให้มีการเชื่อมสัมพันธ์ใดๆ ผ่านการแต่งงาน โจวเหลียนกับเจียงเฉียงห่างกันเพียงมีเมืองขึ้นกั้น ในอดีตเคยทำสงครามห้ำหั่นกันมาไม่น้อย แต่เพราะนโยบายการทูตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทำให้เกิดการทำสัญญาสงบศึกระยะยาว ปกติหลังทำสัญญาจะต้องมีการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ ซึ่งรู้กันโดยนัยว่าเป็นการแลกเปลี่ยนตัวประกัน
ตอนนั้นเชื้อพระวงศ์ของทั้งสองฝ่ายยังเยาว์วัยมาก จึงมีการหมั้นหมายเอาไว้ล่วงหน้าก่อน ทว่าก็ล่มไปเพราะองค์หญิงของโจวเหลียนประชวรหนักจนสิ้นพระชนม์ ทางโจวเหลียนลำบากใจที่จะคัดเลือกคนใหม่เพราะมีเชื้อพระวงศ์หญิงน้อย ทางเจียงเฉียงก็ไม่อยากส่งคนของตนไปแลก สุดท้ายก็ทำสัญญาณสงบศึกที่ต่อเนื่องยาวนานมาถึงสิบหกปี โดยไม่มีการแต่งงาน
“ข้านับถือความชัดเจนของท่าน ดื่มกันสักจอกดีหรือไม่” องค์ชายหกรินเหล้าให้
องค์ชายเข่อซินค้อมศีระแล้วรับสุรามา องค์ชายหกมองท่าทีไม่อินังขังขอบของเขา ก็ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือสงสารดี จดบัดนี้องค์ชายจากโจวเหลียนก็ยังไม่คิดว่าตัวเองอยู่ในแผนการจับคู่ ทั้งที่เบื้องบนเริ่มพูดคุยกันแล้ว
สิบหกปีนานพอจะทำให้ความสัมพันธ์หลายๆ อย่างเปลี่ยนไป สองแคว้นกลายเป็นเมืองคู่ค้า พึ่งพิงช่วยเหลือกันหลายด้าน การแต่งงานเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกัน จึงแปรไปเป็นเชื่อมสัมพันธ์อย่างแท้จริง ในที่ประชุมลับมีการพูดเรื่องนี้หลายหน ที่น่าตลกฮ่องเต้จากสองแคว้นพร้อมใจกันตรัสว่าครั้งนี้จะให้หนุ่มสาวทำตามใจ แต่จะให้เลือกคู่กันอย่างไรเล่า ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่รู้ตัว ดูท่าผู้เฒ่าของทั้งสองฝั่ง จะเตรียมการอันลึกลับซับซ้อนเอาไว้ไม่น้อย
องค์ชายลี่หยางดื่มอีกอึกใหญ่ให้กับอนาคตอันน่าปวดหัว ขณะเดียวกันนั้นทางฝั่งสตรีก็กำลังมีมหกรรมการแซะกุ้ยฮวาอย่างสนุกสนาน พวกนางกำนัลขององค์หญิงสิบสามจงใจพูดเสียงดังว่าเหตุใดจึงไม่มีใครมาขอกุ้ยฮวาเต้นรำ
“นั่นสิ หรือจะเป็นเพราะอายุ”
พูดแล้วก็ปรายตามองมา หัวเราะคิกคักด้วยกิริยาน่ารังเกียจ
“ถูกทิ้งเสียมากกว่า” นางกำนัลผู้หนึ่งโพล่งออกมาแบบไม่คิด
คำพูดล่วงเกินเช่นนี้ ถือเป็นความผิดฐานจาบจ้วง สามารถลงโทษตบปากและให้คนนำตัวไปคุมขังได้ทันที ตามหลักองค์หญิงสิบสามควรปรามคนของตน แต่กลับนิ่งเฉยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น การสนทนาจึงดำเนินต่อไป
“ถูกใครทิ้งหรือ” คนอื่นเห็นนายให้ท้ายก็เอาบ้าง
“ก็องค์ชายรองอย่างไรเล่า หลายปีก่อนทรงเต้นรำกันต่อหน้าธารกำนัล แต่ตอนนี้...”
นางละไว้ให้รู้กันว่าองค์ชายรองไม่ใส่ใจแม้แต่จะมาร่วมงาน
พวกนางกำนัลของกุ้ยฮวาได้ฟังก็ขัดเคืองแทนนาย เตรียมตัวมีเรื่องเต็มที่ หากซีอิ๋งไม่ปรามไว้คงได้วิวาท
“องค์หญิงของเราจิตใจกว้างขวาง ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย ในฐานะบ่าวก็ควรวางตัวให้ได้เช่นนั้น”
“แต่ข้าเจ็บใจนี่” นางกำนัลอายุน้อยว่า
“เจ็บใจก็จดจำเอาไว้ให้หมดทุกคำ เวลารายงานจะไม่ได้ขาดตกบกพร่อง”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน พวกนางลืมคิดไปว่าหลังจากจบงาน ต้องไปรายงานเหตุการณ์ให้สนมเฉินทราบตามหน้าที่ พอคิดได้ก็ใจเย็นลงมาก พวกนางตัดสินใจแล้วว่าจะเล่าอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้คิดบัญชีแค้นอย่างสาสม
ทางด้านกุ้ยฮวา ขณะนี้หญิงสาวกำลังสนทนากับนางกำนัลผู้หนึ่งอย่างออกรส จนเสียงซุบซิบนินทาดังมาไม่ถึง แม้นางกำนัลผู้นี้จะปิดหน้าเอาไว้ แต่ดูคุ้นตาไม่น้อย พอองค์หญิงหลุดปากเรียกว่า ‘ไป๋อวี้’ ซีอิ๋งก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นใคร หญิงสาวควรเดาออกตั้งแต่แรก แต่ก็มีเหตุทำให้ไม่มั่นใจเพราะไป๋อวี้เปลี่ยนไปหลายอย่าง แม้ส่วนสูงจะคงเดิม แต่ผิวพรรณละเอียดขึ้น เสียงหวานใสไม่เหมือนดัด ผมดำขลับทิ้งตัวสวยจนน่าริษยา หากไม่สำเร็จวิชาแปลงโฉม ก็ต้องไปทำอะไรมาแน่
แว่นเองก็สงสัยในความเปลี่ยนแปลง ก็เลยกระซิบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“ข้าคารวะผู้อาวุโสพรรคมารขอเป็นอาจารย์ เลยได้เรียนวิชาลับมา”
อันที่จริงหยกน้อยไม่ได้เต็มใจจะคารวะ เขาถูกบังคับต่างหาก
“ผู้อาวุโสคนไหน”
“เจ้าของแหวนอันธการ”
บอกใบ้เช่นนี้แว่นก็นึกออกว่าหมายถึงจิวซือ แม้จะไม่เคยพบ แต่ก็ได้ยินชื่อผ่านหูบ่อยครั้ง ตอนโบ้เกิดเรื่อง เขายังวางแผนอ้างชื่อนาง เพื่อเข้าไปในค่ายของพรรคมารอยู่เลย
“บิดาเจ้าไม่ว่าหรือ”
ไป๋อวี้รีบส่ายหน้าแล้วทำท่าปาดคอตัวเอง
“ถ้าท่านพ่อรู้ข้าตายแน่”
ต่อให้สงบศึกกันแล้ว แต่ฝ่ายธรรมะก็ยังมีเกียรติให้ต้องรักษา มีอย่างที่ไหนเป็นถึงบุตรชายประมุขพรรคเทพสวรรค์ แต่กลับไปคุกเข่าฝากตัวของเป็นศิษย์นางมาร
ไป๋อวี้เล่าชีวิตอันแสนสมบุกสมบันให้ฟังอย่างย่อๆ ว่า หลังจากพี่สาวแต่งงาน ท่านพ่อก็ทำท่าจะจัดเขาคลุมถุงชน ไป๋อวี้เลยหนีไปท่องเที่ยวกับองค์ชายหก คนในพรรค์เกรงใจองค์ชายก็เลยไม่ได้ตามตัวกลับ จนกระทั่งการเดินทางสิ้นสุด เขาเลยโดนจับมัดมือมัดเท้า โยนใส่รถม้า พาไปดูตัวกับจอมยุทธ์สาวแดนใต้
ไป๋อวี้หนีมาได้ระหว่างทาง ก็เลยไปขอพึ่งบารมีพี่สาวกับประมุขพรรคมาร เลยถูกโยนไปเป็นแขกของฟูนุ่ม ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบอยู่พักหนึ่ง ก็บังเอิญไปต้องตาจิวซือ นางถูกใจหน่วยก้านเลยสอนวิชาให้ เรียนไปเรียนมาไม่รู้ทำไม ผิวขาว หน้าใส เอวคอดขึ้นทุกวัน แม้แต่คนสอนก็ยังไม่คิดว่าไป๋อวี้จะไปได้ดีกับวิชาดรุณีอมตะ อาจารย์สายโหดเลยนึกครึ้มลุกขึ้นมาสนับสนุนให้ตอนตัวเอง เผื่อจะสำเร็จสุดยอดวิชา ไป๋อวี้เลยต้องหนีตายมาขอความช่วยเหลือจากองค์ชายหก
ชายหนุ่มอยู่วังหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครสังเกตเพราะเขาช่วยงานสืบข่าวอยู่ พอได้ทำงานถนัด แถมยังสบายใจว่าไม่ได้มาอยู่ฟรีกินฟรี ไป๋อวี้ก็ตั้งเป้าว่าจะอยู่ที่นี่ ทำงานให้องค์ชายหกไปเรื่อยๆ จนกว่าจิวซือจะเปลี่ยนความคิด
“องค์ชายหกใช้เจ้าทำอะไร” แว่นทำท่าสนใจ
“ก็...งานนั่นงานนี่จิปาถะ”
ไป๋อวี้ไม่ยอมบอกรายละเอียด เพราะไม่สามารถแพร่งพรายสิ่งที่องค์ชายกำลังทำได้ แว่นเข้าใจจึงไม่คาดคั้น แต่เปลี่ยนไปถามถึงไป๋หลินแทน แล้วก็ได้คำตอบที่ทำให้อมยิ้ม
“อาเจ๊ยังขยันทำให้ทุกคนปวดหัวเหมือนเคย ท่านไม่ต้องห่วงนางหรอก อารมณ์ดีร้องเพลงประหลาดทุกวัน จนคนในพรรค์มารร้องตามเหมือนโดนสะกดจิต”
แว่นสนทนากับไป๋อวี้อยู่นาน มารู้ตัวว่าคุยเพลินก็ตอนคอแห้ง เลยเรียกหาน้ำชามาดื่ม จังหวะที่กำลังเงยหน้า บังเอิญเหลือบเห็นว่านางกำนัลที่ติดตามมายังอยู่กันครบก็ประหลาดใจ
“ทำไมพวกเจ้าไม่ไปเต้นรำเล่า ข้าอยู่ได้ มีอวี้เอ๋อร์เป็นเพื่อนแล้ว”
พวกสาวๆ ได้ยินแบบนั้นก็ทำท่าอึกอัก แม้ไม่เอ่ยคำ สีหน้าของพวกนางก็ฟ้องชัดว่าอยากเต้นรำใจแทบขาด แต่ไม่มีใครชวนเต้นเลย ต้นเหตุสำคัญไม่ใช่เพราะพวกนางขี้ริ้ว แต่เกิดจากบารมีขององค์หญิงรุ่ยฟาง เจ้านายสูงส่งเลอค่าออกปานนี้ ผู้ติดตามเลยพลอยกลายเป็นของสูงด้วย
แว่นยอมรับว่าตัวเองมีส่วนทำให้หนุ่มๆ ไม่กล้าเข้ามา แต่ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่
“โอกาสดีๆ เช่นนี้ หนึ่งปีมีเพียงหนเดียว ใจคอพวกเจ้าจะปล่อยให้รักในอก เหือดหายกลายเป็นละอองไปอย่างนั้นหรือ อย่ามัวเหนียมอายไป เขาไม่มาก็ลุกไปหาสิ” แว่นกระตุ้น
คิดแล้วก็ขำ ตอนมางานครั้งแรก กุ้ยฮวาเป็นสาวน้อยที่ต้องมีผู้ปกครองมาคุม คอยห่วงทุกอย่าง แต่พอมางานครั้งที่สอง กลับกลายเป็นเจ๊ใหญ่มาคอยคุมเด็กๆ สัมผัสได้เลยว่าตอนนี้ตัวเองมีออร่าป้าประสบการณ์สูงแผ่พุ่งสุดๆ
“หม่อมฉันไม่กล้าหรอกเพคะ” พวกสาวน้อยปฏิเสธกันหน้าดำหน้าแดง
“ซีอิ๋ง เซียงหลัน แสดงความกล้าให้คนอื่นดูเร็ว” แว่นเรียก
ได้ยินแบบนั้นเซียงหลันก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ส่วนซีอิ๋งโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันว่าไม่ไหว
“พวกเจ้านี่ ไม่ได้เรื่องเลย” แว่นบ่น
เนื่องจากใจไม่กล้าพอ เซียงหลันเลยได้แต่มององค์ชายหกตาละห้อย ส่วนซีอิ๋งชะเง้อมองอาเปาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย แว่นเห็นแล้วก็ยิ่งขัดใจ
“ดูข้าแล้วทำตามซะ” แว่นลุกขึ้นอย่างสง่า
เขามองตรงไปทางฝั่งผู้ชายเพื่อสำรวจตรวจตรามองหาเป้ามอง ฉับพลันก็ประสานสายตาเข้ากับใครคนหนึ่ง ท่ามกลางผู้คนมากมาย
องค์ชายแปดตื่นจากภวังค์เพราะรู้สึกเหมือนโดนจับจ้อง กุ้ยฮวากำลังมองมาทางนี้ เพียงสบตา ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนจิตวิญญาณกำลังลุกไหม้ องค์ชายหรู่เผยผละจากที่นั่งอย่างเผลอไผล สองขาขยับเข้าหาสตรีที่หมายปอง วินาทีนั้นเขาลืมทุกอย่างไปหมดสิ้น ปรารถนาเพียงได้จับชายผ้าที่นางยื่นให้ เต้นรำต่อหน้าผู้คนโดยไม่หวั่นกลัวสิ่งใด
จังหวะเวลาในแต่ละย่างก้าวผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ในที่สุดสองหนุ่มสาวก็มาพบกันที่เส้นกึ่งกลาง มือขององค์ชายแปดเอื้อมไปหมายจะคว้าชายผ้า ทว่าผ้าผืนงามกลับเบี่ยงหลบ ผละไปจากตัวเขาพร้อมเจ้าของ ชายหนุ่มเหลียวหลังกลับไปมอง แล้วก็ต้องใจสลาย เมื่อนางยื่นชายผ้าให้คนอื่น
“เต้นรำกับหม่อมฉันนะเพคะ องค์ชายเหวินหรง”
-โปรดติดตามตอนต่อไป-
“191 โทรเรียกดับเพลิงด่วนค่ะ มีเรือกำลังไหม้”
เรือองค์ชายแปดเจอบาซูก้า เพลิงโหมกระหน่ำ
สถานการณ์ตอนนี้กาบขวาไหม้แต่ยังไม่จม
ประกาศเตือนแม่ยกทั้งหลาย
ใครใจไม่แข็งพอ กรุณาลงเรือเล็กกลับเข้าฝั่ง
เรือแพนด้ารอเทียบท่าพร้อมให้ท่านย้ายลำ
แต่ไปแล้วไปลับอย่าได้กลับมา
แปดหยิ่ง ยอมมอดไหม้ จมไปกับสายธาร
แต่จะไม่ง้อติ่งทรยศ
สายสตรองที่จะอยู่ต่อ กรุณาช่วยกันบูรณะเรือ
เราต้องสู้ ต้องรอด เราต้องไม่ตาย
ขอให้ท่านโชคดี (ยิ้มอ่อน)
ประกาศรับสมัครงานท้ายบท
.
1. ช่างซ่อมเรือ ไม่จำกัดอัตรา
สามารถเลือกประจำการได้ทุกลำตามอัธยาศัย
เหมาะกับแม่หญิงใจโลเล สายเซอร์ไวเวอร์
คุณสมบัติ ทนร้อน ทนไฟ หูตาว่องไว ไม่หวั่นต่อภูเขาน้ำแข็งยันบาซูก้า
เราพร้อมซ่อมเสมอ ซ่อมไม่ได้เราย้ายโลด
.
2. หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ไม่จำกัดอัตรา
ประจำการที่เรือกู้ภัย
เหมาะแก่ท่านที่หัวใจเป็นกลาง ชอบมองหายนะของกองอวย
รับความซาดิสม์ของนักเขียนได้ทุกสภาวการณ์
คุณสมบัติ มีความสามารถด้านการพยาบาล
ความอดทนสูง สามารถฟังเสียงกรีดร้องของเหล่าแม่ยกได้ขณะปฏิบัติหน้าที่
.
3. ติ่งเดนตาย ไม่จำกัดอัตรา
ประการบนเรือทุกลำที่กำลังเกิดหายนะ
เหมาะแก่แม่นางผู้รักเดียวใจเดียว หนักแน่นมั่นคงดุจหินผา
คุณสมบัติ ยอมจม ไม่ยอมย้าย
เราจะติ่งกันต่อไป แม้ต้องนอนตายกลายเป็นซากก้นสมุทร
.
สนใจตำแหน่งไหนลงชื่อได้นะคะ
เปิดรับทั้งปี สมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
ขออวยชัยให้ทุกท่านโชคดีมีชีวิตรอด
‘เหตุใดกุ้ยฮวาจึงเปลี่ยนใจมาร่วมงาน’ คำตอบคือเพราะองค์ชายหกร้องขอ ส่วนเหตุใดองค์ชายลี่หยางจึงมาอย่างกะทันหัน คำตอบนั้นเป็นปริศนา แม้แต่แว่นก็ไม่อาจคาดเดาว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่ ทราบเพียงหลายวันนี้ชายหนุ่มไปพบผู้คนมามากมาย องค์ชายลี่หยางปรากฏตัวตามตำหนักต่างๆ แต่กลับยอมไม่เข้าร่วมงานเทศกาลหนุ่มสาว
กุ้ยฮวาเก็บตัวเงียบ แต่รู้ความเป็นไปในวังดีเพราะนางกำนัลในตำหนักออกไปข้างนอกทุกวัน พวกนางถูกส่งไปร่วมงานในฐานะผู้ติดตามของเฉินเซียงหลัน ซึ่งมีศักดิ์เป็นญาติผู้น้องของกุ้ยฮวา นางกำนัลตำหนักเขียวถูกฝึกอย่างเข้มงวด ห้ามไม่ให้แพร่งพรายเรื่องภายใน แต่ในขณะเดียวกันต้องหูตาไว หาข่าวได้ ล้วงความลับเป็น
ตอนบ่ายพวกนางวิเคราะห์ให้กุ้ยฮวาฟังอย่างออกรส ว่าองค์ชายหกอาจจะไม่อยากแต่งงาน ปีนี้ชายหนุ่มอายุยี่สิบสี่ เลยเกณฑ์รับชายาไปหลายปี ครั้นจะอ้างว่าพี่ชายแต่งงานช้าก็ทำไม่ได้ องค์ชายสามเพิ่งรับชายาตอนอายุยี่สิบเจ็ด แต่ก็มีบุตรชายเป็นเรื่องเป็นราวนานแล้ว ส่วนองค์ชายรองไม่ต้องพูดถึง ชายหนุ่มเป็นข้อยกเว้นเพราะได้รับพระราชทานอนุญาต ให้เลือกคู่ครองเองได้ ผิดกับองค์ชายองค์หญิงส่วนใหญ่ที่ประทานสมรสพระราชทานให้ ตามความเหมาะสม ไม่ก็อิงผลประโยชน์ของบ้านเมืองเป็นหลัก
แว่นเห็นด้วยเรื่องที่องค์ชายหกไม่อยากแต่งงาน แต่ที่เขาสนใจกว่าคือเหตุใดองค์ชายลี่หยางจึงครองตัวเป็นโสดมาได้จนบัดนี้ จะว่าฮ่องเต้ไม่สนพระทัยหาคู่ครองให้ก็ไม่ใช่ จะว่าเจ้าตัวยืนกรานปฏิเสธสมรสพระราชทานยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ สาเหตุน่าจะเป็นเพราะสนมเฉิน ยังไม่คิดจะใช้ประโยชน์จากการแต่งงานของบุตรชายในตอนนี้
‘แต่คงอีกไม่นานหรอก’
ความคิดนี้แวบเข้ามาเมื่อนึกถึงสถานการณ์ในวังขณะนี้ พอนึกถึงเรื่องการแต่งงาน แว่นก็อดมองเซียงหลันไม่ได้ ตอนได้เทียบเชิญเซียงหลันยังอายุไม่เต็มสิบหกดี บิดาจึงตั้งใจปฏิเสธ อยากให้ฝึกหัดขัดเกลาความเป็นกุลสตรีอีกสักปีก่อนค่อยออกงาน ทว่านางกลับไม่ยอม ร่ำร้องอ้อนวอนขอมางานเทศกาลจนได้
ปกติเซียงหลันเป็นเด็กดี เชื่อฟังทุกอย่าง เหตุที่ลุกขึ้นมาขัดคำสั่งผู้ใหญ่ก็เพราะความรัก บุรุษที่เป็นรักแรกของนางอยู่ในวังหลวง นางจึงเฝ้ารอมาตลอดสามปีให้เทียบเชิญถูกส่งมา เพื่อที่จะได้พบเขา ตอนแรกไม่มีใครรู้ว่าชายผู้นี้เป็นใครเพราะเซียงหลันปากแข็งมาก แต่พองานเทศกาลจัดหลายวันเข้า ท่าทางมันก็ฟ้อง บอกความจริงทุกอย่าง
เซียงหลันหลงแอบรักองค์ชายหกอยู่ข้างเดียวตั้งแต่แรกพบ นางยอมมาเมืองหลวงก็เพื่อเจอเขา พอไม่ได้พบจิตใจก็ห่อเหี่ยว พานไม่อยากออกไปไหน หญิงสาวตัดสินใจปุบปับว่าจะไม่ไปร่วมงานเต้นรำ ทั้งที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากเต้นรำกับชายอื่น
แว่นเห็นใจเซียงหลัน แต่ก็สงสารพวกนางกำนัลด้วย ถ้ากุ้ยฮวากับเซียงหลันไม่ไป พวกนางก็ต้องอยู่เฝ้าตำหนักด้วย ในขณะที่กำลังคิดไม่ตกว่าควรจัดการอย่างไร องค์ชายหกก็มาพบ แล้วขอร้องให้ไปร่วมงาน
“พี่อยากให้เจ้าช่วยพี่ไขปริศนา ช่วยไปหน่อยเถิดนะ”
ชายหนุ่มไม่บอกรายละเอียด แต่ดูจริงจังเป็นอย่างมาก
“ข้าต้องทำอะไรบ้าง”
“ทำทุกสิ่งที่อยากทำ เต้นรำกับคนที่อยากเต้น”
“ท่านจะไปด้วยหรือไม่”
“ไปสิ พี่ไม่ให้เจ้าเข้างานสายตามลำพังหรอก”
ตอนคุยกันยังไม่ได้เวลาเริ่มงาน ถ้าขึ้นรถม้าไปตอนนี้จะทันแบบฉิวเฉียด แต่องค์ชายหกคิดว่าไม่ทันแน่เพราะกุ้ยฮวายังไม่ได้แต่งตัวเลย
พวกนางกำนัลสนับสนุนให้กุ้ยฮวาไปกันเต็มที แม้แต่เซียงหลันก็พลิกลิ้นอย่างไม่อาย อ้อนวอนขอตามไปด้วย แว่นใจอ่อนไปแล้วเกินครึ่ง ถึงกระนั้นก็ยังไม่รีบร้อนตัดสินใจ
“มีองค์ชายองค์ใดเข้าร่วมงานบ้างเจ้าคะ”
“คนที่เห็นเจ้าสำคัญ”
แว่นขมวดคิ้ว องค์ชายหกไม่ใช่พวกชอบเล่นลิ้น เขาจะสื่ออะไรกันแน่ จะบอกว่าพวกที่ไปงานมีใจให้กุ้ยฮวา หรือจะสื่อว่าคนที่ไม่อยู่ไม่ไยดี แว่นไม่คิดว่าองค์ชายหกจะตำหนิองค์ชายห้า เพราะกำหนดกลับที่เร็วที่สุดของเขาคือวันมะรืน คนที่ทำท่าว่าไม่ไยดี เห็นจะสื่อถึงองค์ชายรองมากกว่า องค์ชายจงเต๋อกับกุ้ยฮวาไม่ได้ติดต่อกันมาระยะใหญ่แล้ว ต่อให้บังเอิญเจอกันก็ดูเย็นชากว่าที่เคย ถ้าจำไม่ผิดชายหนุ่มดูแปลกไปนับตั้งแต่กลับมาจากหางเฟย
“องค์หญิง...” เซียงหลันเรียกอีกครั้งเมื่อเห็นว่ากุ้ยฮวาเงียบไป
นางมิได้รบเร้าให้รำคาญ แต่มองมาด้วยแววตาวิงวอนสุดจะกล่าว พวกนางกำนัลคนอื่นๆ ก็พอกัน แม้แต่ซีอิ๋งก็ยังเป็นกับเขาด้วย รายนี้ไม่อ้อน แต่ไปเปิดกล่องหยิบผ้าสำหรับเต้นรำมาเตรียมไว้ล่วงหน้าเลย
“ก็ได้...ข้ายอมแล้ว” แว่นถอนใจ “ท่านพี่หกรอสักครู่ ข้าจะรีบแต่งตัว”
พวกนางกำนัลสาวๆ ร้องกรี๊ดกันลั่น แม้จะโดนเอ็ดพวกนางก็ยังยิ้มแป้น กระวีกระวาดช่วยกุ้ยฮวาแต่งตัว เนื่องจากไม่มีเวลา แว่นก็เลยแต่งมาเรียบๆ ดังที่เห็น นางกำนัลที่ดูแลพวกภูษามาลาไม่ใคร่จะพอใจนัก แต่ก็ต้องยอมปล่อยเพราะสายมากแล้ว
กุ้ยฮวากับองค์ชายหกไปไม่ทันช่วงเปิดงานตามคาด ผลที่ได้กลับมาคือปฏิกิริยาชะงักงันราวกับมีคนสะดุดปลั๊กเครื่องเสียงหลุด แว่นรู้ว่าตัวเองเด่น แต่ไม่คิดว่าจะดึงดูดความสนใจได้ขนาดนี้
“จะมาหลบหลังพี่ก็ได้นะ” องค์ชายหกหยอกเพื่อให้คลายความตื่นเต้น
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” แว่นยิ้มตอบ
ต้องขอบคุณความเป็นครูที่ทำให้แว่นไม่ประหม่าง่ายๆ มาสายก็ต้องยอมรับว่ามาสาย จะแก้ตัวหรือหลบหลังคนอื่นให้เสียเวลาทำไม แว่นหันไปมองบรรดาผู้ติดตาม แล้วส่งสัญญาณให้
‘เด็กๆ ตามเจ๊มา’
เมื่อตัวแม่สายสตรองเดินเคียงคู่มากับองค์ชายรูปงามแบบไม่แคร์สื่อ บรรดาข้ารับใช้ก็พลอยข่มความเขินอาย วางท่าเลียนแบบ ดรุณีหน้าตาชะแล้มแช่มช้อยเดินเรียงกันเป็นระเบียบ กิริยาล้วนน่าชมกลายเป็นภาพชวนมอง
เหล่าสตรีที่ถูกแย่งความเด่นล้วนไม่พอใจ ทั้งยังตำหนิติติงนางเรื่องมารยาท หากมาช้าก็สมควรมาอย่างเงียบๆ ไม่ใช่เชิดหน้าเดินเข้างานอย่างเอิกเกริก พวกคุณหนูที่ริษยาล้วนพากันสาปแช่งนางในใจ แต่ไม่มีใครกล้าต่อกร เว้นแต่พวกองค์หญิงทั้งหลาย
แรกเริ่มเดิมทีที่นั่งของกุ้ยฮวากับบรรดาผู้ติดตามไม่ได้ถูกจัดไว้ แม้ว่าองค์ชายหกจะให้คนมาแจ้ง ก็จัดโต๊ะแทรกให้ไม่ได้ พวกองค์หญิงยืนกรานว่าจะไม่ยอมขยับให้ โต๊ะของกุ้ยฮวาเลยต้องถอยมาอยู่ด้านหลัง แทนที่จะได้มาอยู่ข้างๆ กันตามฐานันดร
หัวหน้าฝ่ายจัดสถานที่รีบวิ่งโร่มาขออภัย ซึ่งแว่นก็ไม่ได้ถือสา อยู่ตรงนี้มีองค์หญิงทั้งสองกับผู้ติดตามช่วยบังก็เป็นส่วนตัวดี ไม่ต้องปั้นยิ้มทำหน้าสวยตลอดเวลา
พี่ชายผู้แสนดีอย่างองค์ชายหกมาส่งถึงที่ ทั้งยังไม่รีบร้อนจากไป เขาแวะทักทายน้องสาวต่างมารดาทั้งสองและชวนพวกนางสนทนา องค์หญิงสิบสามได้โอกาสจึงถามว่าเหตุใดกุ้ยฮวาจึงเปลี่ยนใจมางาน ทั้งที่ปฏิเสธเทียบเชิญไปแล้ว
“เพิ่งนึกได้กระมังว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้ว” องค์หญิงสิบสี่ชิงตอบ
แว่นอดยิ้มไม่ได้ เขาไม่ได้เจอองค์หญิงน้องเล็กนานมาก แต่นางก็ยังปากกล้าไม่เปลี่ยน ใจจริงเขานิยมนางอยู่ไม่น้อย นับถือตรงที่เล่นอย่างตรงไปตรงมาไม่มีลอบกัด เมื่อก่อนตอนทะเลาะกันสนุกจะตาย เสียดายพอโตขึ้นก็ห่างหาย ยิ่งกุ้ยฮวาได้เลื่อนยศ ความสัมพันธ์ก็ยิ่งห่างเหิน
“พี่บังคับพาตัวมาต่างหาก” องค์ชายหกแก้ต่างให้
“ที่แท้ท่านพี่ก็รับเป็นพ่อสื่อ” องค์หญิงสิบสามว่า
นางเห็นพี่ชายสนิทสนมกับองค์ชายต่างแคว้น จึงเข้าใจผิดว่าต้องการจับคู่กุ้ยฮวากับองค์ชายเข่อซิน องค์หญิงหนิงอวี้ยิ้มเยาะใส่น้องสาว ที่เรียกร้องความสนใจจากบุรุษที่หมายตาไม่สำเร็จ
“พี่หกลำเอียง ท่านสนับสนุนนาง แต่ไม่สนับสนุนข้า” องค์หญิงน้องเล็กตัดพ้อ
องค์หญิงสิบสี่ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าฝ่ายชายคือใคร ที่โวยวายก็เพราะเกลียดความลำเอียง
“เจ้าเพิ่งสิบเจ็ดจะรีบแต่งไปไย สักยี่สิบค่อยคิดก็ยังไม่สาย”
“ไม่เอา! ข้าไม่อยากเป็นยายแก่เหนียงยาย”
องค์ชายหกหัวเราะขำคำพูดน้องสาว เขาถามทันทีว่านางไปจำคำนี้มาจากไหน องค์หญิงจินเฟิ่งเลยชี้นิ้วไปทางองค์ชายแปด
“สหายของพี่แปดบอกมา ตอนแรกเขาอยู่แถวๆ นั้นแหละ แต่ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”
“คนจากเผ่าทะเลทรายน่ะเจ้าค่ะ” องค์หญิงสิบสามกล่าวเสริม “วันที่แข่งกลอนกัน พูดเสียงดังเชียวว่าสตรีอายุเกินยี่สิบเป็นหญิงแก่เหนียงยาน” ว่าแล้วก็ชำเลืองมาทางกุ้ยฮวา
องค์หญิงสิบสามเป็นอีกคนที่ไม่เคยเปลี่ยน ช่างเหน็บแนมอย่างไรก็ยังเป็นเช่นนั้น เพียงแต่เปลี่ยนเป้าหมายมาอยู่ในวงกว้างขึ้น จากเดิมชอบปะทะฝีปากกับน้องสาว ก็เปลี่ยนมาหาเรื่องคนอื่นแทน องค์หญิงหนิงอวี้ร้ายลึกพอประมาณ แต่ก็ยังไม่แนบเนียนนัก มีแบไต๋แสดงออกให้จับได้เป็นพักๆ แว่นเลยไม่นึกกลัว
“จริงอย่างที่เขาว่านะเจ้าคะ ยิ่งอายุมาก ผิวพรรณยิ่งแย่ ข้าละอิจฉาองค์หญิง” แว่นบ่นพลางแตะแก้มใสเด้งชนิดที่ก้นเด็กยังอาย
ที่พูดว่าอิจฉานั้นคือประชดกลับล้วนๆ อยากเรียกว่าหญิงแก่ก็เรียกไป แต่หญิงแก่คนนี้หนังหน้าดีกว่าก็แล้วกัน ต้องขอบคุณความรู้ที่หลิ่งปินถ่ายทอดให้ มีอาจารย์หน้าเด็กปานนั้น ลูกศิษย์จะน้อยหน้าได้อย่างไร ถึงจะชะลอวัยได้ไม่อลังการอย่างเขา แว่นก็มีปัญญาทำให้ผิวตัวเองเนียนใสไร้สิวฝ้า
“อย่ามาอวดหน่อยเลย ส้นเท้าเจ้าดูดีกว่าหน้าพี่สิบสามอีก” องค์หญิงสิบสี่โต้กลับ
เจตนาของนางคือต้องการว่ากุ้ยฮวาเสแสร้ง พร้อมกับจัดการพี่สาวในคราวเดียว ก่อนหน้ากุ้ยฮวาจะมา องค์หญิงสิบสามหาเรื่องนางหลายครั้ง ทั้งติ ทั้งเหน็บ ปล่อยไว้ก็มีแต่จะได้ใจ พ่นคำพูดจิกกัดไม่ยอมหยุด
“พี่หก...ดูนางพูดสิเจ้าคะ” องค์หญิงหนิงอวี้เคืองจนแทบลุกขึ้นมาเต้น
“อย่าทะเลาะกันเลย เพลงใหม่จะเริ่มแล้ว มาเร็วออกไปเต้นรำกับพี่”
องค์ชายหกจัดการสถานการณ์ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการพาน้องสิบสามออกไป เมื่อจบเพลงเขาก็กลับมาชวนองค์หญิงสิบสี่ออกไปบ้าง แล้วค่อยไปนั่งทางฝั่งผู้ชาย องค์ชายลี่หยางจงใจไม่ชวนกุ้ยฮวา เพราะอยากเปิดโอกาสให้คนที่จดๆ จ้องๆ อยู่
ทว่าหนึ่งเพลงก็แล้ว สองเพลงก็แล้ว จนกระทั่งเพลงที่สิบ ก็ยังไม่มีใครใจกล้ามาขอกุ้ยฮวาเต้นรำสักคน เหตุผลหลักๆ มีสองข้อ หนึ่งคือใจไม่กล้าพอ สองคือถูกเก็บ ข้อหลังนี่ไม่ต้องถามกระมังว่าฝีมือใคร
คืนนี้โอกาสเปิดให้องค์ชายแปดอย่างเต็มที่ ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังละล้าละลัง เขาไม่ได้ถือทิฐิจนไม่ยอมขอกุ้ยฮวาเต้นรำ แต่ห่วงผลกระทบที่จะตามมาทีหลัง ตอนนี้คนอื่นจะคิดเช่นไร ไม่สำคัญเท่าต่อจากนี้เขาจะปกป้องนางได้หรือไม่
องค์ชายหกรู้ว่าน้องชายกำลังคิดอะไรอยู่ จึงไม่เข้าไปขัด ค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน แต่โอกาสของหรู่เผยกำลังจะหมด เมื่อสักครู่มีคนรายงานว่าองค์ชายรองกำลังเดินทางมา องค์ชายลี่หยางตัดสินใจไม่บอกน้อง เพราะคิดว่าบทเรียนนี้คือยาดีสำหรับคนลังเล แม้ความรู้สึกผิดก็ต้องทนข่มมันไว้
คนแรกที่สังเกตว่าองค์ชายลี่หยางทำหน้านิ่งกว่าที่เคย คือองค์ชายจากแคว้นโจวเหลียน ชายหนุ่มได้รับการดูแลอย่างดีจากองค์ชายลี่หยาง จึงสอบถามด้วยความห่วงใย
“มีเรื่องให้คิดมากอย่างนั้นหรือ”
“ไม่นี่...ข้าทำหน้าอมทุกข์หรือ”
“มิได้ แค่ดูไม่สนุกกับงานเท่าไร”
“แน่สิ น้องสาวข้าอยู่ทางฝั่งนั้นตั้งสามคน แถมกำลังโดนผู้ชายรุมเกี้ยว” องค์ชายหกเอ่ยยิ้มๆ
เขายกจอกเหล้าขึ้นจรดริมฝีปาก เพื่อซ่อนแววตาอ่อนล้า หลายวันมานี้ชายหนุ่มมีเรื่องให้ครุ่นคิดมากมาย ต้องวุ่นวายทำสิ่งต่างๆ อย่างที่ไม่เคยทำ ยิ่งรู้เห็นมากเท่าไรก็ยิ่งอึดอัด แต่เมื่อก้าวเดินไปแล้ว ก็มิอาจหันหลังกลับสู่จุดเดิมได้
“ว่าแต่...ท่านไม่สนใจใครบ้างเลยรึ” องค์ชายลี่หยางถามเพื่อเบนความสนใจ
“หากพบเพื่อลาจาก สู้ไม่สานสัมพันธ์ดีกว่า”
องค์ชายเข่อซินปรารถนาจะมาอย่างทูตและกลับไปอย่างทูต ไม่ต้องการให้มีการเชื่อมสัมพันธ์ใดๆ ผ่านการแต่งงาน โจวเหลียนกับเจียงเฉียงห่างกันเพียงมีเมืองขึ้นกั้น ในอดีตเคยทำสงครามห้ำหั่นกันมาไม่น้อย แต่เพราะนโยบายการทูตของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ทำให้เกิดการทำสัญญาสงบศึกระยะยาว ปกติหลังทำสัญญาจะต้องมีการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ ซึ่งรู้กันโดยนัยว่าเป็นการแลกเปลี่ยนตัวประกัน
ตอนนั้นเชื้อพระวงศ์ของทั้งสองฝ่ายยังเยาว์วัยมาก จึงมีการหมั้นหมายเอาไว้ล่วงหน้าก่อน ทว่าก็ล่มไปเพราะองค์หญิงของโจวเหลียนประชวรหนักจนสิ้นพระชนม์ ทางโจวเหลียนลำบากใจที่จะคัดเลือกคนใหม่เพราะมีเชื้อพระวงศ์หญิงน้อย ทางเจียงเฉียงก็ไม่อยากส่งคนของตนไปแลก สุดท้ายก็ทำสัญญาณสงบศึกที่ต่อเนื่องยาวนานมาถึงสิบหกปี โดยไม่มีการแต่งงาน
“ข้านับถือความชัดเจนของท่าน ดื่มกันสักจอกดีหรือไม่” องค์ชายหกรินเหล้าให้
องค์ชายเข่อซินค้อมศีระแล้วรับสุรามา องค์ชายหกมองท่าทีไม่อินังขังขอบของเขา ก็ไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือสงสารดี จดบัดนี้องค์ชายจากโจวเหลียนก็ยังไม่คิดว่าตัวเองอยู่ในแผนการจับคู่ ทั้งที่เบื้องบนเริ่มพูดคุยกันแล้ว
สิบหกปีนานพอจะทำให้ความสัมพันธ์หลายๆ อย่างเปลี่ยนไป สองแคว้นกลายเป็นเมืองคู่ค้า พึ่งพิงช่วยเหลือกันหลายด้าน การแต่งงานเพื่อแลกเปลี่ยนตัวประกัน จึงแปรไปเป็นเชื่อมสัมพันธ์อย่างแท้จริง ในที่ประชุมลับมีการพูดเรื่องนี้หลายหน ที่น่าตลกฮ่องเต้จากสองแคว้นพร้อมใจกันตรัสว่าครั้งนี้จะให้หนุ่มสาวทำตามใจ แต่จะให้เลือกคู่กันอย่างไรเล่า ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่รู้ตัว ดูท่าผู้เฒ่าของทั้งสองฝั่ง จะเตรียมการอันลึกลับซับซ้อนเอาไว้ไม่น้อย
องค์ชายลี่หยางดื่มอีกอึกใหญ่ให้กับอนาคตอันน่าปวดหัว ขณะเดียวกันนั้นทางฝั่งสตรีก็กำลังมีมหกรรมการแซะกุ้ยฮวาอย่างสนุกสนาน พวกนางกำนัลขององค์หญิงสิบสามจงใจพูดเสียงดังว่าเหตุใดจึงไม่มีใครมาขอกุ้ยฮวาเต้นรำ
“นั่นสิ หรือจะเป็นเพราะอายุ”
พูดแล้วก็ปรายตามองมา หัวเราะคิกคักด้วยกิริยาน่ารังเกียจ
“ถูกทิ้งเสียมากกว่า” นางกำนัลผู้หนึ่งโพล่งออกมาแบบไม่คิด
คำพูดล่วงเกินเช่นนี้ ถือเป็นความผิดฐานจาบจ้วง สามารถลงโทษตบปากและให้คนนำตัวไปคุมขังได้ทันที ตามหลักองค์หญิงสิบสามควรปรามคนของตน แต่กลับนิ่งเฉยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น การสนทนาจึงดำเนินต่อไป
“ถูกใครทิ้งหรือ” คนอื่นเห็นนายให้ท้ายก็เอาบ้าง
“ก็องค์ชายรองอย่างไรเล่า หลายปีก่อนทรงเต้นรำกันต่อหน้าธารกำนัล แต่ตอนนี้...”
นางละไว้ให้รู้กันว่าองค์ชายรองไม่ใส่ใจแม้แต่จะมาร่วมงาน
พวกนางกำนัลของกุ้ยฮวาได้ฟังก็ขัดเคืองแทนนาย เตรียมตัวมีเรื่องเต็มที่ หากซีอิ๋งไม่ปรามไว้คงได้วิวาท
“องค์หญิงของเราจิตใจกว้างขวาง ไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย ในฐานะบ่าวก็ควรวางตัวให้ได้เช่นนั้น”
“แต่ข้าเจ็บใจนี่” นางกำนัลอายุน้อยว่า
“เจ็บใจก็จดจำเอาไว้ให้หมดทุกคำ เวลารายงานจะไม่ได้ขาดตกบกพร่อง”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคน พวกนางลืมคิดไปว่าหลังจากจบงาน ต้องไปรายงานเหตุการณ์ให้สนมเฉินทราบตามหน้าที่ พอคิดได้ก็ใจเย็นลงมาก พวกนางตัดสินใจแล้วว่าจะเล่าอย่างละเอียด เพื่อที่จะได้คิดบัญชีแค้นอย่างสาสม
ทางด้านกุ้ยฮวา ขณะนี้หญิงสาวกำลังสนทนากับนางกำนัลผู้หนึ่งอย่างออกรส จนเสียงซุบซิบนินทาดังมาไม่ถึง แม้นางกำนัลผู้นี้จะปิดหน้าเอาไว้ แต่ดูคุ้นตาไม่น้อย พอองค์หญิงหลุดปากเรียกว่า ‘ไป๋อวี้’ ซีอิ๋งก็รู้ทันทีว่าเขาเป็นใคร หญิงสาวควรเดาออกตั้งแต่แรก แต่ก็มีเหตุทำให้ไม่มั่นใจเพราะไป๋อวี้เปลี่ยนไปหลายอย่าง แม้ส่วนสูงจะคงเดิม แต่ผิวพรรณละเอียดขึ้น เสียงหวานใสไม่เหมือนดัด ผมดำขลับทิ้งตัวสวยจนน่าริษยา หากไม่สำเร็จวิชาแปลงโฉม ก็ต้องไปทำอะไรมาแน่
แว่นเองก็สงสัยในความเปลี่ยนแปลง ก็เลยกระซิบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
“ข้าคารวะผู้อาวุโสพรรคมารขอเป็นอาจารย์ เลยได้เรียนวิชาลับมา”
อันที่จริงหยกน้อยไม่ได้เต็มใจจะคารวะ เขาถูกบังคับต่างหาก
“ผู้อาวุโสคนไหน”
“เจ้าของแหวนอันธการ”
บอกใบ้เช่นนี้แว่นก็นึกออกว่าหมายถึงจิวซือ แม้จะไม่เคยพบ แต่ก็ได้ยินชื่อผ่านหูบ่อยครั้ง ตอนโบ้เกิดเรื่อง เขายังวางแผนอ้างชื่อนาง เพื่อเข้าไปในค่ายของพรรคมารอยู่เลย
“บิดาเจ้าไม่ว่าหรือ”
ไป๋อวี้รีบส่ายหน้าแล้วทำท่าปาดคอตัวเอง
“ถ้าท่านพ่อรู้ข้าตายแน่”
ต่อให้สงบศึกกันแล้ว แต่ฝ่ายธรรมะก็ยังมีเกียรติให้ต้องรักษา มีอย่างที่ไหนเป็นถึงบุตรชายประมุขพรรคเทพสวรรค์ แต่กลับไปคุกเข่าฝากตัวของเป็นศิษย์นางมาร
ไป๋อวี้เล่าชีวิตอันแสนสมบุกสมบันให้ฟังอย่างย่อๆ ว่า หลังจากพี่สาวแต่งงาน ท่านพ่อก็ทำท่าจะจัดเขาคลุมถุงชน ไป๋อวี้เลยหนีไปท่องเที่ยวกับองค์ชายหก คนในพรรค์เกรงใจองค์ชายก็เลยไม่ได้ตามตัวกลับ จนกระทั่งการเดินทางสิ้นสุด เขาเลยโดนจับมัดมือมัดเท้า โยนใส่รถม้า พาไปดูตัวกับจอมยุทธ์สาวแดนใต้
ไป๋อวี้หนีมาได้ระหว่างทาง ก็เลยไปขอพึ่งบารมีพี่สาวกับประมุขพรรคมาร เลยถูกโยนไปเป็นแขกของฟูนุ่ม ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบอยู่พักหนึ่ง ก็บังเอิญไปต้องตาจิวซือ นางถูกใจหน่วยก้านเลยสอนวิชาให้ เรียนไปเรียนมาไม่รู้ทำไม ผิวขาว หน้าใส เอวคอดขึ้นทุกวัน แม้แต่คนสอนก็ยังไม่คิดว่าไป๋อวี้จะไปได้ดีกับวิชาดรุณีอมตะ อาจารย์สายโหดเลยนึกครึ้มลุกขึ้นมาสนับสนุนให้ตอนตัวเอง เผื่อจะสำเร็จสุดยอดวิชา ไป๋อวี้เลยต้องหนีตายมาขอความช่วยเหลือจากองค์ชายหก
ชายหนุ่มอยู่วังหลวงมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่มีใครสังเกตเพราะเขาช่วยงานสืบข่าวอยู่ พอได้ทำงานถนัด แถมยังสบายใจว่าไม่ได้มาอยู่ฟรีกินฟรี ไป๋อวี้ก็ตั้งเป้าว่าจะอยู่ที่นี่ ทำงานให้องค์ชายหกไปเรื่อยๆ จนกว่าจิวซือจะเปลี่ยนความคิด
“องค์ชายหกใช้เจ้าทำอะไร” แว่นทำท่าสนใจ
“ก็...งานนั่นงานนี่จิปาถะ”
ไป๋อวี้ไม่ยอมบอกรายละเอียด เพราะไม่สามารถแพร่งพรายสิ่งที่องค์ชายกำลังทำได้ แว่นเข้าใจจึงไม่คาดคั้น แต่เปลี่ยนไปถามถึงไป๋หลินแทน แล้วก็ได้คำตอบที่ทำให้อมยิ้ม
“อาเจ๊ยังขยันทำให้ทุกคนปวดหัวเหมือนเคย ท่านไม่ต้องห่วงนางหรอก อารมณ์ดีร้องเพลงประหลาดทุกวัน จนคนในพรรค์มารร้องตามเหมือนโดนสะกดจิต”
แว่นสนทนากับไป๋อวี้อยู่นาน มารู้ตัวว่าคุยเพลินก็ตอนคอแห้ง เลยเรียกหาน้ำชามาดื่ม จังหวะที่กำลังเงยหน้า บังเอิญเหลือบเห็นว่านางกำนัลที่ติดตามมายังอยู่กันครบก็ประหลาดใจ
“ทำไมพวกเจ้าไม่ไปเต้นรำเล่า ข้าอยู่ได้ มีอวี้เอ๋อร์เป็นเพื่อนแล้ว”
พวกสาวๆ ได้ยินแบบนั้นก็ทำท่าอึกอัก แม้ไม่เอ่ยคำ สีหน้าของพวกนางก็ฟ้องชัดว่าอยากเต้นรำใจแทบขาด แต่ไม่มีใครชวนเต้นเลย ต้นเหตุสำคัญไม่ใช่เพราะพวกนางขี้ริ้ว แต่เกิดจากบารมีขององค์หญิงรุ่ยฟาง เจ้านายสูงส่งเลอค่าออกปานนี้ ผู้ติดตามเลยพลอยกลายเป็นของสูงด้วย
แว่นยอมรับว่าตัวเองมีส่วนทำให้หนุ่มๆ ไม่กล้าเข้ามา แต่ไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่
“โอกาสดีๆ เช่นนี้ หนึ่งปีมีเพียงหนเดียว ใจคอพวกเจ้าจะปล่อยให้รักในอก เหือดหายกลายเป็นละอองไปอย่างนั้นหรือ อย่ามัวเหนียมอายไป เขาไม่มาก็ลุกไปหาสิ” แว่นกระตุ้น
คิดแล้วก็ขำ ตอนมางานครั้งแรก กุ้ยฮวาเป็นสาวน้อยที่ต้องมีผู้ปกครองมาคุม คอยห่วงทุกอย่าง แต่พอมางานครั้งที่สอง กลับกลายเป็นเจ๊ใหญ่มาคอยคุมเด็กๆ สัมผัสได้เลยว่าตอนนี้ตัวเองมีออร่าป้าประสบการณ์สูงแผ่พุ่งสุดๆ
“หม่อมฉันไม่กล้าหรอกเพคะ” พวกสาวน้อยปฏิเสธกันหน้าดำหน้าแดง
“ซีอิ๋ง เซียงหลัน แสดงความกล้าให้คนอื่นดูเร็ว” แว่นเรียก
ได้ยินแบบนั้นเซียงหลันก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ส่วนซีอิ๋งโบกไม้โบกมือเป็นพัลวันว่าไม่ไหว
“พวกเจ้านี่ ไม่ได้เรื่องเลย” แว่นบ่น
เนื่องจากใจไม่กล้าพอ เซียงหลันเลยได้แต่มององค์ชายหกตาละห้อย ส่วนซีอิ๋งชะเง้อมองอาเปาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย แว่นเห็นแล้วก็ยิ่งขัดใจ
“ดูข้าแล้วทำตามซะ” แว่นลุกขึ้นอย่างสง่า
เขามองตรงไปทางฝั่งผู้ชายเพื่อสำรวจตรวจตรามองหาเป้ามอง ฉับพลันก็ประสานสายตาเข้ากับใครคนหนึ่ง ท่ามกลางผู้คนมากมาย
องค์ชายแปดตื่นจากภวังค์เพราะรู้สึกเหมือนโดนจับจ้อง กุ้ยฮวากำลังมองมาทางนี้ เพียงสบตา ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนจิตวิญญาณกำลังลุกไหม้ องค์ชายหรู่เผยผละจากที่นั่งอย่างเผลอไผล สองขาขยับเข้าหาสตรีที่หมายปอง วินาทีนั้นเขาลืมทุกอย่างไปหมดสิ้น ปรารถนาเพียงได้จับชายผ้าที่นางยื่นให้ เต้นรำต่อหน้าผู้คนโดยไม่หวั่นกลัวสิ่งใด
จังหวะเวลาในแต่ละย่างก้าวผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ในที่สุดสองหนุ่มสาวก็มาพบกันที่เส้นกึ่งกลาง มือขององค์ชายแปดเอื้อมไปหมายจะคว้าชายผ้า ทว่าผ้าผืนงามกลับเบี่ยงหลบ ผละไปจากตัวเขาพร้อมเจ้าของ ชายหนุ่มเหลียวหลังกลับไปมอง แล้วก็ต้องใจสลาย เมื่อนางยื่นชายผ้าให้คนอื่น
“เต้นรำกับหม่อมฉันนะเพคะ องค์ชายเหวินหรง”
-โปรดติดตามตอนต่อไป-
“191 โทรเรียกดับเพลิงด่วนค่ะ มีเรือกำลังไหม้”
เรือองค์ชายแปดเจอบาซูก้า เพลิงโหมกระหน่ำ
สถานการณ์ตอนนี้กาบขวาไหม้แต่ยังไม่จม
ประกาศเตือนแม่ยกทั้งหลาย
ใครใจไม่แข็งพอ กรุณาลงเรือเล็กกลับเข้าฝั่ง
เรือแพนด้ารอเทียบท่าพร้อมให้ท่านย้ายลำ
แต่ไปแล้วไปลับอย่าได้กลับมา
แปดหยิ่ง ยอมมอดไหม้ จมไปกับสายธาร
แต่จะไม่ง้อติ่งทรยศ
สายสตรองที่จะอยู่ต่อ กรุณาช่วยกันบูรณะเรือ
เราต้องสู้ ต้องรอด เราต้องไม่ตาย
ขอให้ท่านโชคดี (ยิ้มอ่อน)
ประกาศรับสมัครงานท้ายบท
.
1. ช่างซ่อมเรือ ไม่จำกัดอัตรา
สามารถเลือกประจำการได้ทุกลำตามอัธยาศัย
เหมาะกับแม่หญิงใจโลเล สายเซอร์ไวเวอร์
คุณสมบัติ ทนร้อน ทนไฟ หูตาว่องไว ไม่หวั่นต่อภูเขาน้ำแข็งยันบาซูก้า
เราพร้อมซ่อมเสมอ ซ่อมไม่ได้เราย้ายโลด
.
2. หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ไม่จำกัดอัตรา
ประจำการที่เรือกู้ภัย
เหมาะแก่ท่านที่หัวใจเป็นกลาง ชอบมองหายนะของกองอวย
รับความซาดิสม์ของนักเขียนได้ทุกสภาวการณ์
คุณสมบัติ มีความสามารถด้านการพยาบาล
ความอดทนสูง สามารถฟังเสียงกรีดร้องของเหล่าแม่ยกได้ขณะปฏิบัติหน้าที่
.
3. ติ่งเดนตาย ไม่จำกัดอัตรา
ประการบนเรือทุกลำที่กำลังเกิดหายนะ
เหมาะแก่แม่นางผู้รักเดียวใจเดียว หนักแน่นมั่นคงดุจหินผา
คุณสมบัติ ยอมจม ไม่ยอมย้าย
เราจะติ่งกันต่อไป แม้ต้องนอนตายกลายเป็นซากก้นสมุทร
.
สนใจตำแหน่งไหนลงชื่อได้นะคะ
เปิดรับทั้งปี สมัครฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
ขออวยชัยให้ทุกท่านโชคดีมีชีวิตรอด
นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2560, 00:00:52 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2560, 00:00:52 น.
จำนวนการเข้าชม : 973
<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๕ สตรีแก่เหนียงยาน ไยต้องมองให้เสียสายตา | ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๗ อย่าได้ดูเบาความรัก >> |
mottanoy 13 ก.พ. 2560, 02:37:35 น.
น่าสงสารเด็กน้อย
น่าสงสารเด็กน้อย