ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๗ อย่าได้ดูเบาความรัก

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๗ อย่าได้ดูเบาความรัก

การกลับมาขององค์ชายห้าเหนือความคาดหมายของทุกฝ่าย แม้แต่องค์ชายหกที่เฝ้าติดตามข่าวคราวของเหล่าพี่น้องยังตกใจ สาเหตุที่ทำให้เดินทางล่าช้าเพราะองค์ชายเหวินหรงต้องดูแลขบวนเครื่องราชบรรณาการ เขามาถึงได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ คิดได้เพียงอย่างเดียวคือยอมทิ้งหน้าที่มา

วิเคราะห์แล้วองค์ชายลี่หยางก็เห็นเป็นเรื่องแปลก นิสัยองค์ชายห้ายึดติดกับกฎเกณฑ์แม้จะดื้อเงียบไปบ้าง แต่เขาไม่ใช่คนทำอะไรหุนหันเห็นแก่ตัว ต่อให้รักกุ้ยฮวาหมดจิตหมดใจเพียงไหน ก็ไม่มีวันทิ้งงานมาร่วมเทศกาลหนุ่มสาว

“แปลกจริง คนที่ควรมากลับไม่มา” ชายหนุ่มพึมพำ

เขาหันไปหามหาดเล็กข้างกาย กระซิบสั่งให้ไปตรวจสอบว่าองค์ชายรองมาถึงหรือยัง

พอมหาดเล็กไปแล้ว องค์ชายหกจึงค่อยมองหาน้องรัก ทว่าหรู่เผยกลับหายไปจากสายตา องค์ชายแปดออกจากงานนานแล้ว ใครกันจะทานทนภาพบาดตาได้

ชายหนุ่มออกวิ่งอย่างไร้จุดหมาย เพื่อระบายโทสะ ค่ำคืนนี้เขาอับอายและเจ็บปวดเกินทน หัวใจมันเหมือนถูกขยี้จนยับ แล้วถ่มน้ำลายรด คนที่เพิ่งมีรักแรกเสียใจแทบคลั่ง เมื่อนึกได้ว่าสายตาที่ทำให้หัวใจสั่นไหวถูกมอบให้ชายอื่น ในหัวเขามีถ้อยคำตัดพ้อกุ้ยฮวาเป็นหมื่นพัน แต่กลับไม่มีคำใดสลักแน่นเท่า ‘นางไม่รัก’

องค์ชายแปดปาผ้าที่เก็บรักษามาเนิ่นนานทิ้ง ในอกเจ็บแน่น ทั้งรักทั้งชังเหลือจะเอ่ย ชายหนุ่มบอกตัวเองว่าจะไม่แยแสนางอีกต่อไป ไม่ยอมโง่เป็นตัวตลกให้ปั่นหัวเล่นอีก ทว่าเพียงผ้าผืนบางถูกลมพัดปลิวหาย เขากลับพุ่งตัวไปคว้าราวกับคนบ้า

ขณะที่กำลังเอื้อมถึง สายลมกลับทวีความรุนแรง พัดผืนผ้าลอยสูงสุดเอื้อม ชายหนุ่มกระโดดตามโดยไม่คิด เป็นเหตุให้ล้มกลิ้งไม่เป็นท่า บนพื้นหญ้าชื้นแฉะ องค์ชายแปดเปรอะเปื้อนฟกช้ำ แต่เจ้าผ้านั่นกลับลอยเล่นลมอย่างสบายอุรา ก่อนค่อยๆ ร่อนลงใต้ต้นไผ่

“ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าอยู่ตรงนั้น ไม่อนุญาต!”

ชายหนุ่มฝืนความเจ็บตะเกียกตะกายไปเก็บ องค์ชายแปดหวงแหนมันเพราะนางผู้เป็นดวงใจบรรจงปักลวดลายด้วยสองมือ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเก็บมันเอาไว้ ของล้ำค่าของอีกคน ไม่ต่างอะไรจากขยะที่อีกคนลืมเลือน ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่อยากปล่อยมันไป ไม่มีวัน

องค์ชายหรู่เผยคว้าผ้าเอาไว้ได้ในที่สุด เขารวบมันมากอดเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่าผืนผ้าจะบินหนีหายไปอีก

ชายหนุ่มฝืนบอกตัวเองให้แหงนมองฟ้าเพื่อสงบใจ ค่ำคืนนี้ดวงดาวลอยต่ำ คล้ายเอื้อมมือไปถึงแต่กลับสูงสุดคว้า

‘ดาวคล้ายกับนาง แต่นางไม่ใช่ดวงดาว’

“ข้าจะไม่ตัดใจ”

ชายหนุ่มเลิกโทษกุ้ยฮวาที่หมางเมิน หากนางไม่คิดมองมาเขาก็จะเดินเข้าไปจนกว่าจะได้อยู่ในสายตา หากนางวิ่งหนีเขาก็จะวิ่งตาม ต่อให้ผลักไสก็จะหน้าทนอยู่อย่างนั้น จนกว่าหัวใจจะย่อยยับแหลกสลายกันไปข้างหนึ่ง

องค์ชายหรู่เผยปัดเศษดินออกจากผืนผ้า บรรจงพับเก็บเอาไว้ในอกเสื้ออย่างดี ทว่ากลับไม่ใส่ใจชุดอันเปรอะเปื้อนของตน ตอนนี้เขายังไม่อยากกลับเข้างาน หรือพบปะผู้ใด จึงหาทางมุ่งสู่ตำหนักมังกรน้ำ

ขามาองค์ชายแปดจงใจหลบเลี่ยงผู้คน เลยวิ่งฝ่าความมืดลัดเลาะมาตามดงไม้ ขากลับจึงเดินไปตามทิศที่มีแสงไฟ ชายหนุ่มเห็นทางหลักอยู่ลิบๆ ทว่ายังไม่ทันก้าวพ้นพงหญ้าก็มีเสียงเอ่ยทักขึ้นมาก่อน

“ข้าอยากคุยกับเจ้า”

“ใครน่ะ!” องค์ชายแปดตะโกนถามคนที่อยู่ในเงามืด

“ข้าเอง”

สิ้นเสียงตอบก็มีแสงไฟส่องมาจากทางด้านข้าง นอกจากคนที่อยู่ในเงาแล้ว ยังมีพรรคพวกของเขาอยู่รอบๆ อีกจำนวนหนึ่ง คนที่ถือตะเกียงแต่งกายอย่างมหาดเล็ก ส่วนคนที่กำลังเดินออกมาจากเงาไม้ สวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกดำ คล้ายอย่างที่พวกขุนนางนิยมสวมใส่ ทว่ากลับมีฐานันดรเป็นถึงองค์ชาย

“ท่านมาทำอะไรที่นี่” องค์ชายหรู่เผยมองคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ อย่างไม่ไว้ใจ

“ก็แค่อยากเปิดอกคุยกับน้องชาย”

องค์ชายรองเอ่ยอย่างเป็นมิตร พร้อมมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้ คู่สนทนามองแล้วแทบจะเบือนหน้าหนีในความเสแสร้ง

“ข้าไม่อยากคุย” องค์ชายแปดปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

ชายหนุ่มเดินหนีในทันที องค์ชายรองจึงเร่งฝีเท้าเดินตาม พร้อมเอ่ยความประสงค์อย่างไม่อ้อมค้อม

“ข้าอยากให้เจ้ากลับไปสานสัมพันธ์สกุลเหอ”

“ไม่มีวัน”

“เสนาบดีเหอแก่ตัวลงทุกวัน พระสนมก็มีอาการป่วยเรื้อรัง ทั้งยังไม่เป็นที่โปรดปราน ขาดเจ้าไปอีกคนคงจบสิ้น”

“ไม่ใช่เรื่องของข้า”

องค์ชายแปดยอมให้ถูกตราหน้าว่าอกตัญญูอย่างไม่ยี่หระ ทว่าปฏิกิริยาของพี่ชายต่างมารดากลับเกินความคาดหมาย

“ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น”

“หมายความว่าอย่างไร”

เมื่อหันไปมอง เขาก็พบกับรอยยิ้มชั่วร้ายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

“ข้าต้องการอำนาจของสกุลเหอ แต่ไม่ปรารถนาเป็นเพียงหุ่นเชิด จึงอยากขอความร่วมมือจากเจ้า”

องค์ชายแปดแค่นยิ้มเมื่อได้ยินความในที่เก็บซ่อน ธาตุแท้ที่เห็นอยู่ตำตาต่อให้เปิดเผยออกมาก็ไม่น่าประทับใจ

“ไม่มีวัน เป็นเบี้ยให้ท่านแล้วข้าจะได้อะไรนอกจากความหายนะ”

“เจ้าได้นาง ข้าได้บัลลังก์” องค์ชายรองตอบอย่างชัดเจน

แววตาขององค์ชายจงเต๋อกลับปราศจากความกลัว ทั้งที่เอ่ยถ้อยคำของกบฏ คนคิดการณ์ใหญ่ใจต้องนิ่ง แต่ที่องค์ชายรองมีเหนือไปกว่านั้นคือสติปัญญาและความโหดเหี้ยม คนเป็นน้องรู้ดีว่าพี่รองทำได้ทุกอย่างเพื่ออำนาจ เพียงแต่ไม่ตระหนักว่าคำว่า ‘ทุกอย่าง’ หมายถึงทุกอย่างจริงๆ

องค์ชายแปดหน้าร้อน เมื่อคิดได้ว่าพี่ชายรู้เหตุการณ์ในงานเต้นรำ ตลอดจนความรู้สึกที่เขามีต่อกุ้ยฮวาจึงมาดักรอเพื่อยื่นข้อเสนอให้ ต่อให้เขาไม่ยอมก็เหมือนเต้นอยู่ในฝ่ามืออยู่ดี

“นางไม่ใช่ของท่าน อย่ายกให้ใครส่งเดช!” องค์ชายน้องเล็กระเบิดโทสะใส่ ก่อนจะเดินหนีด้วยความเร็วที่แทบจะเป็นวิ่ง

คนขององค์ชายจงเต๋อขยับตัวหมายจะไปขวาง แต่ถูกนายปรามเอาไว้

“กลับกัน” องค์ชายรองสั่ง

คนสนิทที่ติดตามมาจึงถือตะเกียงนำทางไปยังรถม้าที่จอดแอบไว้ ไท่ตงเปิดประตูให้นายเข้าไปก่อน แล้วค่อยตามไป หน่วยลับในคราบมหาดเล็กรีบหาผ้าห่มมาคลุมขาให้ เพราะเสื้อคลุมกันหนาวที่เจ้านายสวมค่อนข้างบาง เขาแนะให้เปลี่ยนก่อนออกมาแล้ว แต่องค์ชายพอใจจะใส่ชุดนี้

องค์ชายจงเต๋อไล้มือไปบนขนจิ้งจอกอย่างใช้ความคิด แล้วจึงค่อยหันมาถามความเห็นไท่ตง

“เจ้าคิดเห็นเช่นไร”

“กระหม่อม...ไม่เข้าใจพ่ะย่ะค่ะ” ไท่ตงสารภาพ

งานต่างๆ ขององค์ชายในช่วงนี้ล้วนใช้สอยผ่านตน แต่เขาก็ยังไม่เห็นเหตุผลของการกระทำทั้งหมด

“เรื่องใดเล่าที่ไม่เข้าใจ”

“แทบจะทุกเรื่องพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มสารภาพ “กระหม่อมโง่เขลายิ่งนัก ไม่ควรค่าที่จะรับใช้ใกล้ชิดเลย” ไท่ตงคุกเข่าอย่างละอายใจ

“เจ้าไม่ผิดหรอก ข้าต่างหากที่ทำให้ทุกอย่างยากจะเข้าใจ ตอนนี้ข้ายังอธิบายเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้ ตอบได้เพียงบางคำถาม หากสงสัยก็จงเอ่ยมาเถิด”

ไท่ตงไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์ชายจงเต๋อจึงส่งคนไปช่วยองค์ชายห้าคุ้มกันขบวนเครื่องราชบรรณาการ อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกจนเขามาถึงก่อนกำหนด ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไปเจรจากับองค์ชายแปดทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าจะต้องล้มเหลว ที่ทำให้สับสนที่สุดคือเหตุใดจึงทำตัวเหินห่างกับกุ้ยฮวา ทั้งที่ยังห่วงใยนางไม่เสื่อมคลาย

ในใจของไท่ตงยังมีอีกหลายคำถาม แต่เขาก็ไม่โพล่งมันออกมาทั้งหมด ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ก่อนจะเอ่ยปาก เพราะไม่อยากถูกมองว่าด้อยปัญญา

“เรื่องขององค์ชายแปดพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดองค์ชายจึงเปิดเผยความลับกับเขา”

เรื่องที่สกุลเหอกับองค์ชายรองต่างก็ระแวงกันเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรประกาศ โดยเฉพาะต่อหน้าสายเลือดสกุลเหอ ที่ทางนั้นหวังให้ขึ้นเป็นใหญ่

“เพราะข้าอยากให้เขาเชื่อว่าข้าปรารถนาบัลลังก์ โดยไม่สนใจว่าต้องจ่ายแพงแค่ไหน”

“องค์ชายรักองค์หญิงรุ่ยฟางหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

องค์ชายรองไม่ตอบ แต่กลับพูดเรื่องอื่นแทน

“อีกไม่นาน น้องแปดจะต้องกลับมาหาเราแน่”

ไท่ตงทำท่าแปลกใจเมื่อได้ฟัง องค์ชายผู้มากแผนการจึงกระตุกยิ้มที่มุมปากแล้วเอ่ยต่อ

“อย่าได้ดูเบาความรัก”



ที่โถงจัดงานเต้นรำ แทบไม่มีใครรู้เลยว่าองค์ชายแปดหายไป แม้แต่องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ก็มองไม่ทัน เพราะมัวแต่ตกตะลึงท่าทีที่กุ้ยฮวามีต่อองค์ชายห้า จางไห่ยอมรับว่าตนโง่เขลา แต่หาใช่ตาบอด จนมองไม่เห็นความถวิลหาในสายตาของคนทั้งคู่ ไหนจะรอยยิ้มแสนหวานที่กุ้ยฮวาไม่เคยมอบแด่ผู้ใดนั่นอีก ไม่ต้องบอกก็รู้ในทันทีว่าคนที่อยู่ในใจนางคือใคร

หลายปีก่อนจางไห่เคยคิดอย่างมุ่งมั่นว่าอยากตามรับใช้กุ้ยฮวา แต่ตอนนั้นนางเป็นเพียงท่านหญิงที่มีร่างกายอ่อนแอ จึงตั้งใจไปฝากตัวกับบุรุษที่นางเลือก ดังนั้นหากจะทำตามความปรารถนาเดิม เขาก็ต้องทอดทิ้งองค์ชายแปด ซึ่งจางไห่ในตอนนี้ไม่มีวันทำ

องครักษ์หนุ่มเทิดทูนบูชากุ้ยฮวาฉันใด ก็จงรักภักดีกับองค์ชายแปดฉันนั้น เกือบห้าปีแล้วที่เขาคอยติดตามองค์ชายหรู่เผย เห็นน้ำใจกับความอดทนพยายามมากมาย ขอเพียงมีโอกาสและเวลา ไม่นานองค์ชายของตนต้องยิ่งใหญ่ จางไห่ผู้มีใจนิยมยอดคน จึงอยากอยู่รับใช้จนกว่าวันนั้นจะมาถึง หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ขอให้ได้สละชีวิตแก่คนที่คู่ควร

องครักษ์หนุ่มรีบออกจากงานเดี๋ยวนั้น เพื่อไปตามหาองค์ชายที่หายไป แม้จะปลอบไม่เก่ง ให้กำลังใจไม่ได้เรื่อง แต่การได้ยืนมองจากที่ไกลๆ คือการแสดงความภักดีอย่างหนึ่งของเขา

กุ้ยฮวาทำร้ายคนแอบรักอย่างสาหัส ทว่าเจ้าตัวกลับไม่รู้อะไรเลย ในสายตาของหญิงสาวตอนนี้ มีแต่องค์ชายห้าเท่านั้น การที่ทั้งคู่ได้กลับมาพบกันก่อนกำหนด เรียกว่าเป็นโชคชะตาก็ยังได้ เพราะจังหวะเวลามันช่างเหมาะเจาะเสียเหลือเกิน ขณะที่กุ้ยฮวาลุกขึ้นมองหาใครสักคนเพื่อขอเต้นรำด้วย องค์ชายห้าก็บังเอิญเข้างานมาพอดี องค์ชายเหวินหรงเป็นฝ่ายมองเห็นก่อน แล้วชั่วอึดใจต่อมานางก็หันมาสบตาพอดี

สองหนุ่มสาวออกไปกลางลานเต้นรำ ต่างฝ่ายต่างจับจ้องกันไม่วางตา ทั้งยังไม่นำพาว่าท่วงท่าเต้นรำจะถูกต้องหรือไม่ รู้เพียงสุขล้นที่ได้กลับมาพบกันอีกหน

ในสายตาองค์ชายเหวินหรง วันนี้กุ้ยฮวางดงามจับตา ดูสดใสแข็งแรง กว่าในความทรงจำของเขามากนัก เห็นแล้วก็ยินดีที่หลายปีมานี้นางอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ได้เจ็บไข้ดังที่เขียนเล่ามาในจดหมาย ทางฝั่งแว่น เขามองว่าองค์ชายห้าซูบไปเยอะ สังเกตจากรูปหน้าที่เรียวขึ้น กับพุงกลมๆ ที่ลดขนาดลง

‘ที่ผ่านมาคงลำบากมากสินะ’

คิดแล้วเกือบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ แทบจะโผเข้าไปกอดต่อหน้าผู้คน

บทเพลงจบลงโดยที่สองหนุ่มสาวไม่รู้ตัวเลย ช่วงเวลานี้สั้นจนน่าเศร้า ครั้นจะเต้นต่ออีกเพลง องค์ชายห้ากลับเป็นฝ่ายปล่อยชายผ้า

“ข้าต้องไปจัดการงานต่อ รอก่อนนะ รุ่งสางจะรีบกลับมาชิงผ้า” ชายหนุ่มให้คำมั่น

ตอนแรกเขาต้องการแอบมองนางเพียงชั่วครู่ให้คลายคิดถึงเท่านั้น ทว่ากลับเผลอเต้นรำด้วยจนได้ ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งไม่อยากจาก เลยต้องรีบหักใจ ก่อนจะเผลอไผลจนเสียงาน

“ข้าจะรอ” แว่นยิ้มรับ

เขามองส่งองค์ชายห้าจนกระทั่งลับสายตา แล้วเดินตัวลอยกลับที่นั่งไป แม้ความคิดถึงจะยังไม่ได้รับการเติมเต็ม หัวใจแว่นก็พองโต

การกระทำของเขา สร้างขวัญกำลังใจให้เหล่านางกำนัลมากกว่าที่คิด แม้กว่าครึ่งจะไม่รู้จักองค์ชายห้า แต่ล้วนเห็นตรงกันว่าชายอ้วนผู้นั้นรูปไม่งาม แต่องค์หญิงก็ยังไปขอเขาเต้นรำอย่างกล้าหาญ ทั้งยังเต้นจนจบเพลงด้วย ขนาดองค์หญิงยังไม่อาย แล้วพวกนางจะสงวนท่าทีให้เสียโอกาสทำไม

เหล่าสาวๆ พุ่งไปหาเป้าหมายอย่างเร็วรี่ ตามกฎบุรุษไม่อาจปฏิเสธไมตรีได้อยู่แล้ว พวกนางจึงได้สมหวัง บางคนโชคดีอีกฝ่ายมีใจ ชวนเต้นต่อเพลงที่สอง ไม่ก็กลับมาค้อมกาย เป็นฝ่ายชวนเต้นบ้าง

ในฐานะแกนนำ แว่นทั้งลุ้นทั้งขำ เมื่อเซียงหลันทำท่าจะเป็นลมตอนเต้นกับองค์ชายหก แม้จะรักเขาแต่นางก็มักน้อย ได้เท่านี้ก็ถือว่าสุขใจแล้ว แต่ดูเหมือนเซียงหลันจะทำบุญมาดี เพราะองค์ชายลี่หยางคิดว่านางไม่สบาย เลยพาไปพักที่ห้องด้านหลัง ช่วยดูแลอยู่พักใหญ่ทีเดียว

ส่วนคู่ของซีอิ๋งกับอาเปา ก็สร้างความบันเทิงให้ไม่น้อย เนื่องจากที่นั่งของอาเปาอยู่ตรงช่วงกลางๆ ค่อนไปทางท้าย เขาสอบบัณฑิตไม่ผ่าน แต่ทำข้อสอบของกรมปกครองได้ดี จึงได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนางระดับกลาง ทว่าจนบัดนี้ชายหนุ่มก็ยังเจียมตัวไม่เปลี่ยน เพราะคิดว่าผลงานที่ทำอยู่ในระดับทั่วไปไม่โดดเด่น ชาติตระกูลก็ไม่สูงส่ง ที่รวบรวมความกล้ามาร่วมงานได้ ก็เพราะมีคนที่อยากพบ อยากให้เห็นว่าตอนนี้ตนก้าวหน้าขึ้นแล้ว

น่าเสียดายที่ตลอดสี่วันที่ผ่านมา นางไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น อาเปารอจนเกือบถอดใจกว่าจะได้พบกันในวันที่ห้า ชายหนุ่มทั้งสุขและเศร้าที่ได้มองหญิงสาวจากที่ไกลๆ เขารู้ดีว่าไม่อาจเอื้อม จึงได้แต่หลบอยู่หลังกลุ่มเพื่อน เพื่อไม่ให้สายตารบกวนนางจนเกินไป

“โอ้! ดูนางกำนัลขององค์หญิงรุ่ยฟางสิ ทั้งงามทั้งกล้า” สหายในกลุ่มชี้ชวนให้ดูเหล่านางกำนัล ที่เป็นฝ่ายชวนบุรุษเต้นรำก่อน

“เทศกาลทั้งทีนี่นา จะเหนียมอายไปไย ลุกเถิดพวกเรา คนที่ยังว่างอยู่มีอีกมากมาย” คนที่อยู่ข้างอาเปากล่าวปลุกใจ

อาเปานั้นคบหาสหายที่มีลักษณะคล้ายกัน ส่วนใหญ่ขี้อายเลยได้แต่จดๆ จ้องๆ สตรีที่หมายปองกันอยู่อย่างนั้น ที่ใจกล้าขึ้นมา เพราะเริ่มทนไม่ไหวและมีฤทธิ์สุราเป็นตัวขับ

ทุกคนทยอยกันลุกไป จนเหลือเพียงอาเปาและสหายผู้หล่อเหลา เพื่อนคนนี้ไม่ใช่พวกขี้อาย มีดีทั้งชาติตระกูลและหน้าตา ที่ไม่ขยับเพราะถูกฝ่ายหญิงชวนออกไปเต้นรำบ่อย จนไม่นึกอยากแล้ว

“เจ้าไม่ไปหรืออาเปา ถูกทิ้งให้นั่งคนเดียวมันเหงานะ”

เพื่อนผู้ห่วงใยพยักพเยิดไปทางสาวงามที่กำลังเดินตรงมาทางนี้ เขามั่นใจหนักหนาว่านางต้องมาโค้งขอตัวเองเต้นรำ เลยลุกขึ้นรอรับ ทว่าหญิงสาวกลับเอ่ยอย่างเย็นชาว่า

“กรุณาหลีกทางได้หรือไม่”

บัณฑิตผู้หล่อเหลาถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อนางเดินผ่านเขาไปหยุดอยู่ตรงหน้าสหายผู้แสนจะธรรมดา

“ท่านอันเปาโปรดเต้นรำกับข้าด้วย” ซีอิ๋งเอ่ยอย่างกล้าหาญ

หญิงสาวอายจนใบหน้าขึ้นสี แต่ยังไม่เท่าคนที่ถูกเรียกชื่อจริง รายนี้ดีใจจนแทบตกเก้าอี้ ซีอิ๋งเคยบอกไว้ว่าจะเรียกเขาว่า ‘อันเปา’ ในวันที่นางยอมรับว่าคนโง่เง่ากลายเป็นผู้ทรงภูมิ

บัณฑิตอันยืนน้ำตารินเพราะความตื้นตัน เสียดายสาวเจ้าไม่ปลื้มด้วย ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะในอาเปาก็ยังเงอะงะไม่ได้ดั่งใจซีอิ๋ง

“จะเต้นไหม” หญิงสาวเอ็ด จากที่เขินตอนนี้ชักเริ่มโกรธ

“ตะ...เต้น ข้าอยากเต้น” ว่าแล้วก็รีบร้อนคว้าชายผ้า

ผลจากการกระตุกแรงเกินไป ทำให้คนที่ถืออีกด้านเซจนเกือบล้ม

“เจ้า!” ซีอิ๋งแยกเขี้ยวใส่

“ขะ...ข้าขอโทษ เจ้าเป็นอะไรไหม ข้า...คือ”

อาเปาตกประหม่า เห็นสีหน้าขัดเคืองก็ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก เลยทำท่าจะลงไปคุกเข่าขออภัย

“หยุดนะ! ขุนนางที่ไหนคุกเข่าให้นางกำนัล”

พอถูกดุอาเปาก็หน้าสลด แต่ยังไม่เลิกทำให้ซีอิ๋งโกรธ

“ข้ายังจะได้เต้นรำไหม” ชายหนุ่มถามด้วยใบหน้าซื่อ

ซีอิ๋งแทบปรี๊ดแตก ตามปกติผู้ชายต้องเป็นผู้นำไม่ใช่หรือ นางเด็กกว่าตั้งมาก แต่อีกฝ่ายกลับทำตาละห้อยมองมาอย่างไม่กล้าตัดสินใจ ซีอิ๋งไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ ว่าหลงรักเจ้าทึ่มนี่ไปได้อย่างไร

“ไม่! ข้าจะไม่เป็นฝ่ายเข้าหาเจ้าอีกต่อไปแล้ว” หญิงสาวกระชากปลายผ้าคืนเพราะโทสะ

อาเปาอึ้งจัด ตอนนางเดินมาหา เขามีความสุขเหมือนขึ้นสวรรค์ แต่สุขเพียงวูบเดียวก็ถูกถีบลงนรกเพราะความไม่ได้ความ คนหัวช้าไม่รู้ควรทำเช่นไร ได้แต่คิดทบทวนคำพูดของหญิงสาวไปมา ไม่ทันเข้าใจความหมาย ซีอิ๋งก็กลับไปนั่งหน้าง้ำอยู่ข้างกายกุ้ยฮวาแล้ว

แว่นกลั้นขำแทบตาย ทั้งเห็นใจทั้งตลก ดูท่ากว่าความรักของทั้งสองคนจะเข้าที่เข้าทางคงต้องใช้เวลาอีกหลายปี

ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น อาเปาก็ทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายด้วยการเดินมาทางนี้ ตอนแรกแว่นคิดว่าเขาจะค้อมกายขอซีอิ๋งเต้นรำเป็นการแก้ตัว แต่เปล่าเลย เขากลับคุกเข่าลงตรงหน้ากุ้ยฮวา

“กระหม่อมขอบังอาจล่วงเกิน ทูลปรึกษาองค์หญิงได้หรือไม่”

แว่นพยักหน้าทั้งที่ยังงงๆ

“หากกระหม่อมต้องการคืนดีกับนางกำนัลขององค์หญิง กระหม่อมต้องทำเช่นไร กระหม่อมทำให้นางโกรธไปแล้ว กระหม่อม...”

คนกำลังร้อนใจโพล่งออกมาแบบไม่คิด ไหนจะฤทธิ์สุราที่จิบมาเรื่อยๆ ตลอดคืน อาเปาผู้แสนซื่อเลยบื้อกำลังสอง

“ใจเย็นๆ ก่อน นางไม่ได้โกรธเจ้ามาก...”

ไม่ทันขาดคำ ซีอิ๋งก็ฟาดพัดใส่บ่าคนไม่รู้จักคิด

“บังอาจ! กล้าเสียมารยาท พูดจาไร้สาระกับองค์หญิงได้อย่างไร”

กล่าวจบก็ย่อตัวให้กุ้ยฮวา แล้วหันไปจับคอเสื้ออาเปาไว้แน่น

“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันจะพาเขาไปสั่งสอนเดี๋ยวนี้”

ซีอิ๋งพาตัวอาเปาออกไปเร็วจี๋ ทั้งคู่หายไปพักใหญ่ ก่อนกลับเข้ามาในงาน สองหนุ่มสาวไม่มองหน้ากันอีกเลย หญิงสาวไม่ยอมรายงานว่าไปทำอะไรกันมา แต่แว่นก็ตาไวพอจะเห็นรอยที่แก้มอาเปา รวมถึงสีแดงของชาดที่ริมฝีปาก พอประเมินจากท่าทีขัดเขินมากกว่าโกรธเคืองของซีอิ๋ง ก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

แว่นเอามือทาบอก

‘นี่ฉันถูกคู่รักหอยทากวิ่งแซงเหรอ!’


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

สวัสดีท้ายบทค่ะ
ไม่พูดอะไรมาก
ชายรองมาแล้น ยักไหล่สวยๆ โฮะๆ



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.พ. 2560, 00:19:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 17 ก.พ. 2560, 00:19:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 837





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ : บทที่ ๖ มอดไหม้   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๘ ถือสิทธิ์อะไร >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account