ตุ๊ดทะลุมิติ (พิภพจอมนาง) โดย นปภา 6 เล่มจบ วางแผงครบแล้ว
"จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแก๊งตุ๊ดสุดแซ่บวิญญาณทะลุมิติไปอยู่ในร่าง4สาวงาม "โอ๊ย! ผู้ชายคนนั้นก็ดูดี คนนี้ก็อยากได้" แต่ถ้าไม่ใช่พี่ก็ฝ่ายตรงข้ามซะงั้น ถ้าไม่เลือกรักต้องห้ามก็ต้องจับศัตรูกดสถานเดียวละวะ!!!"

คำนำ

นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นมาเพราะคำมั่นสัญญาที่มีต่อสหาย
ทุกตัวอักษรจึงเกิดจากความรักและความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หากมีข้อผิดพลาดหรือถ้อยคำไม่เหมาะสม ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ผู้เขียนไม่ได้มีเจตนาลบหลู่ดูหมิ่นเพศที่สามแต่อย่างใด
ในมุมมองส่วนตัวแล้ว พวกเธอช่างสดใส โดดเด่น เก่งกาจ
บางคนก็น้ำใจงามจนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด ถึงจะแตกต่างแต่พวกเธอก็เป็นคนเหมือนกัน
แล้วทำไมจึงต้องปิดกั้นหวงห้ามไม่ให้มาเป็นตัวเอกในนิยายด้วยเล่า?
เชื่อเถอะ หากคุณได้พิจารณาพวกเธออย่างลึกซึ้ง
ไม่แน่หรอกว่าคุณอาจจะเผลอใจหลงรัก ‘กะเทย’ ก็เป็นได้

ทิ้งท้ายแด่เพื่อนสาว
ขอบคุณสำหรับแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่
สำหรับฉัน พวกแกก็เหมือนกับดอกไม้ มองทีไรอดยิ้มไม่ได้ทุกที
ถึงบางทีฉันจะว่าแกเป็นดอกอุตพิด แต่รู้อะไรไหม?
‘ฉันโคตรรักอุตพิดเลยว่ะ"

ตารกา

Tags: โรแมนติก คอเมดี้ ดราม่าเบาๆ แฟนตาซี กำลังภายใน กะเทย ทะุลุมิติ เกมการเมือง สงคราม หนุ่มๆ แซ่บเวอร์

ตอน: ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๘ ถือสิทธิ์อะไร

ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๘ ถือสิทธิ์อะไร

เทศกาลหนุ่มสาวสิ้นสุดลงเมื่อรุ่งอรุณมาเยือน แม้งานเต้นรำจะจบลงแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงเวลาลาจาก ตามธรรมเนียม สตรีต้องผูกผ้าที่ใช้ในงานไว้บนกิ่งไม้ บุรุษใดปีนป่ายไปเก็บมา จะสามารถเรียกร้องขอของตอบแทนจากเจ้าของผ้าได้หนึ่งอย่าง ผ้าของใครไร้คนเหลียวแล ก็จะกลายเป็นความอัปยศอดสูเป็นที่อับอาย

แว่นไม่ห่วงเรื่องไม่มีใครเก็บผ้า กังวลก็แต่ว่าองค์ชายห้าจะมาไม่ทัน โชคดีที่วันนี้ไม่จำเป็นต้องลุ้นให้เหนื่อย องค์ชายห้ารีบสะสางงาน แล้วมารออยู่หน้าโถงจัดงานได้พักหนึ่งแล้ว แว่นเห็นองค์ชายหมีชุดดำ ยืนอ้วนแต่ไกลก็ยิ้มไม่หุบ พวกนางกำนัลที่ตามมาก็เห็นเช่นกัน เลยเริ่มมหกรรมนินทา

“เขามาแย่งผ้าด้วยหรือ ต้องเล็งผ้าองค์หญิงของเราไว้แน่ๆ”

“ระวังปากหน่อย นั่นองค์ชายนะ” คนที่อยู่ข้างๆ เอ็ด

หญิงสาวเลิกวิจารณ์แต่ก็ทำท่าเห็นอกเห็นใจกุ้ยฮวา องค์ชายห้าเป็นโอรสของฮองเฮา หากหมายตาผ้าของสตรีใด ย่อมไม่มีใครกล้าแย่ง น่าสงสารองค์หญิงเหลือเกิน บุรุษมีอยู่มากมาย แต่กลับต้องมาให้ของตอบแทนองค์ชายหมูอ้วน

ซีอิ๋งเห็นพวกนางกำนัลดูถูกองค์ชายห้าก็ไม่พอใจ นางเลยเล่าวีรกรรมที่เขายอมถูกเนรเทศ เพื่อหายามาต่อชีวิตกุ้ยฮวาให้บรรดานางกำนัลอายุน้อยฟัง

“แต่ให้ตอบแทนด้วยการรับรัก มันก็...”

อันที่จริงต่อให้อ้วน องค์ชายห้าก็ไม่ใช่คนขี้ริ้ว แต่คนวิจารณ์ยังอายุน้อย นิยมหนุ่มสำอางร่างบาง จึงไม่ชอบนัยน์ตาคมจนดุของเขา

“องค์หญิงไม่เคยมองใครที่รูปลักษณ์ภายนอก นี่จึงไม่ใช่การตอบแทน”

ซีอิ๋งชี้ทางสว่าง ด้วยการปรายตาไปทางกุ้ยฮวา ให้ดูกันเองด้วยสองตา ว่าความจริงเป็นเช่นไร ขณะนี้องค์หญิงโฉมงามไม่ใส่ใจจะรักษาภาพลักษณ์ใดๆ ทั้งสิ้น นางกำลังพยายามเลือกต้นไม้กับมหาดเล็กอย่างขะมักเขม้น

“ช่วยข้าหาต้นที่แข็งแรง รับน้ำหนักได้มากๆ หน่อยนะ เอาที่กิ่งต่ำหน่อยก็ดี จะได้ปีนไม่ลำบาก”

สั่งแล้วก็ส่งสายตาหวานซึ้ง ให้หมีอ้วนที่ยืนทำหน้าขรึมอยู่ไม่ไกล

“พี่จะบอกว่า องค์หญิงชอบ...”

ซีอิ๋งพยักหน้ารับเพื่อยืนยันว่า องค์ชายหุ่นหมีนี่แหละ คือชายในดวงใจกุ้ยฮวา

เหล่านางกำนัลถึงกับอึ้ง เมื่อรู้รสนิยมของสตรีที่ตนยึดถือเป็นต้นแบบ

ทางด้านแว่น เขาไม่สนใจความคิดคนอื่นอยู่แล้ว ใครจะว่าองค์ชายห้าไม่หล่อไม่เป็นไร

‘ขอแค่พี่มีพุงให้ฉันซบ ฉันก็ฟินแล้ว’

แว่นเล็งแล้วเล็งอีกจนได้จุดผูกผ้าที่องค์ชายห้าไม่ต้องพยายามมากนัก มหาดเล็กเห็นแล้วก็ถามซ้ำว่าจะให้ผูกตรงนี้จริงๆ หรือ องค์หญิงออกจะโฉมงามพิลาศ ควรจะผูกจุดที่มันสูงหน่อยจึงจะถูก ใจเขาอยากเตือนว่าดูให้ท่าเกินไป แต่ก็ไม่บังอาจ เลยจำต้องทำตามคำสั่ง

มหาดเล็กรับผ้ามาถือไว้ ยังไม่ทันเดินไปถึงโคนต้นไม้ ก็มีมือดีฉกผ้าไปจากมือ องค์ชายห้ากลับมาทั้งที มีหรือจะไม่พาจิ๊บน้อยกลับมาด้วย จิ๋วจี๊ดตัวแสบไม่เพียงชิงผ้าไป แต่ยังบินสูงมุ่งสู่ยอดไม้เพื่อให้เจ้านายได้โชว์ความเท่อวดสาว

เมื่อจิ๊บน้อยปรากฏกาย เหยี่ยวดำมีหรือจะพลาด อีกาผู้มีความสามารถในการชุบมือเปิบ ปฏิบัติการแย่งผ้ากลางอากาศ แรงกระชากทำให้ผ้าผืนบางขาดเป็นสองส่วน ชิ้นหนึ่งลอยไปติดยอดไม้ อีกชิ้นค้างอยู่ที่ปากของเหยี่ยวดำ จิ๊บน้อยเห็นผ้าถูกทำลายก็โมโห พุ่งเข้าใส่เหยี่ยวดำทันที กลายเป็นการเปิดฉากศึกสายเลือดกลางอากาศ

ขณะที่สองแสบกำลังตบตีกัน องค์ชายห้าก็ใช้วิชาตัวเบา กระโดดไปเก็บผ้าจากยอดไม้สูงมาได้ ทำเอาทุกคนตะลึงค้าง ที่เหนือไปกว่านั้นคือเขากระโดดจากกิ่งไม้ ลอยสูงขึ้นไปกลางอากาศ เพื่อหยุดการวิวาทของสองแสบ ชายหนุ่มคว้าตัวจิ๊บน้อยเอาไว้ได้ทัน ก่อนที่มันจะโดนกรงเล็บเหล็กของเหยี่ยวดำเล่นงานแบบฉิวเฉียด

องค์ชายแปดติดอาวุธให้สัตว์เลี้ยง เพื่อเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ จิ๊บน้อยมัวแต่โมโหก็เลยไม่ทันสังเกตคมอาวุธ เจ้าตัวเล็กอาละวาดที่ถูกขัดจังหวะการต่อสู้ แต่ก็ไม่อาจดิ้นหลุดจากมือองค์ชายห้า กว่าจะได้รับการปล่อยตัว ผ้าอีกครึ่งก็ถูกอีกาวายร้ายชิงไปแล้ว

“ข้าไม่อยากให้เจ้าบาดเจ็บต่อหน้านาง” องค์ชายห้าบอกสัตว์เลี้ยง

จิ๊บน้อยเข้าใจเหตุผล แต่ก็ยังงอนอยู่ดี เจ้าตัวเล็กสะบัดหน้าบินหนีกลับไปหาผู้ดูแล แล้วไปดิ้นๆ บอกเขาว่า ‘จิ๊บน้อยจะเอากรงเล็บเหล็ก’



ผืนผ้าถูกฉีกแบ่งเป็นสองคือลางร้าย แต่ในใจของสองหนุ่มสาวกลับไม่คิดเช่นนั้น ของตอบแทนไม่สำคัญกับองค์ชายห้าเท่ารอยยิ้มของกุ้ยฮวา แว่นเองก็ไม่ใช่พวกเหนียมอายขนาดต้องใช้การเก็บผ้าเป็นข้ออ้างในการสานสัมพันธ์ เมื่อชายหนุ่มไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทน เพราะผ้าขาดไปแล้ว แว่นจึงเป็นฝ่ายเชิญเขามาดื่มชาที่ตำหนัก

ใจแว่นอยากจะพาองค์ชายแพนด้ากลับไปด้วยกันเสียเดี๋ยวนี้ จะได้ถามไถ่ความเป็นไป เสียดายโอกาสและเวลาไม่เอื้อ องค์ชายห้าที่เร่งเดินทางมา ไม่รู้ว่าอดตาหลับขับตานอนมากี่คืนแล้ว เลยนัดเวลาคร่าวๆ เป็นอีกสามวันข้างหน้าแทน ถ้าไม่ติดขัดอะไร ก็ให้มาที่ตำหนัก จะได้เลี้ยงน้ำชาตอบแทนเรื่องผ้า

องค์ชายห้าตอบรับแต่โดยดี เขามาส่งกุ้ยฮวาขึ้นรถม้า แต่ไม่ได้ตามไปถึงที่พัก ด้วยเหตุผลเดิมคือมีเรื่องต้องจัดการ ในขณะที่หลายคนพักผ่อนหลังจากอดนอนมาทั้งคืน ชายหนุ่มกลับแต่งตัวเต็มยศเตรียมเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เพื่อรายงานสถานการณ์ในหรงซิ่ง

ครึ่งปีที่ผ่านมา องค์ชายห้านำกองกำลังสู้รบกับพวกคนเถื่อน ได้เห็นพฤติกรรมการต่อสู้รูปแบบผสาน ผสมยุทธวิธีทางการทหาร เป็นไปไม่ได้ที่พวกคนเร่ร่อนจะมีความรู้เช่นนี้ เขาจึงตามสืบจนพบว่ามีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง

อ๋องเหยาเล่อแห่งแคว้นเข่ออู้ กำลังวางแผนขยายอำนาจและล้มล้างราชบัลลังก์ ลำพังศึกภายในแคว้น ย่อมไม่ส่งผลกระทบต่อเจียงเฉียง แต่ชายผู้นี้มีความทะเยอทะยานไม่สิ้นสุด เขาต้องการยึดครองพื้นที่ทางตอนใต้ของหรงซิ่ง ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ

พื้นที่นี้อยู่ติดกับเมืองต้าต่านและดินแดนราบลุ่มแม่น้ำ ที่เจียงเฉียงกับป้าวเฟิงทำสงครามแย่งชิงกันมานาน หากเข่ออู้ยึดดินแดนส่วนนี้ได้ เจียงเฉียงจะต้องรับศึกสองด้าน อ๋องเหยาเล่อกับกษัตริย์แคว้นป้าวเฟิงมีความสัมพันธ์อันดี หากทั้งคู่ร่วมมือกัน โอกาสที่เจียงเฉียงจะพ่ายแพ้ในศึกชิงดินแดนย่อมมีสูง

ทว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น ขณะนี้จึงพยายามหาหลักฐานกันอยู่ แต่ฉินอ๋องเห็นว่ารอจนป่านนั้นก็ชักช้าไม่ทันการณ์แล้ว จึงตัดสินใจส่งองค์ชายห้ามาพร้อมกับเครื่องราชบรรณาการ ปีนี้หรงซิ่งได้รับการงดเว้นไม่ต้องส่งสิ่งใดมา แลกกับการจัดการศึกครั้งนี้ด้วยตัวเอง การฝืนคำสั่งส่งของมา ย่อมหมายถึงสัญญาณขอความช่วยเหลือ

รายละเอียดสำคัญต่างๆ ล้วนอยู่ในสารลับที่องค์ชายห้านำมาถวาย ราชสีห์เฒ่าแห่งแดนเหนือถึงกับยอมทิ้งศักดิ์ศรี แสดงว่าสถานการณ์คงย่ำแย่ ฮ่องเต้ทรงใช้พระวินิจฉัยอยู่ไม่นาน ก็ตัดสินพระทัยให้ความช่วยเหลือ แต่จะมากน้อยเพียงไหน ขึ้นอยู่กับความสามารถขององค์ชายห้า

เจียงเฉียงไม่เคยคิดว่าหรงซิ่งเป็นส่วนหนึ่งของตน เพราะไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงตักตวงเอาผลประโยชน์ได้ เหตุผลเดียวที่ปล่อยให้รัฐอิสระนี้คงอยู่ ก็เพื่อเป็นปราการป้องกันข้าศึกจากทางเหนือ ดังนั้นหากเกิดสงคราม เจียงเฉียงจะแสดงความรับผิดชอบแค่เพียงส่งเสบียงไปให้เท่านั้น

หากวัดกันด้านศักยภาพทางการรบ หรงซิ่งไม่มีวันปราชัยในถิ่นของตน พวกเขาไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากเจียงเฉียงด้วยซ้ำ แต่ฉินอ๋องมองไกลไปกว่านั้น แม้ศึกสงครามจะทำให้แคว้นสูญเสียเงินคงคลังและแรงงานวัยฉกรรจ์ แต่ความเสียหายนี้ยังไม่มากเท่าวิกฤตที่ตามมาทีหลัง สภาวะขาดแคลนยาและอาหารจะทำให้ผู้คนล้มตายราวใบไม้ร่วง

องค์ชายเหวินหรงไม่อาจทนเห็นหรงซิ่งประสบหายนะ หลังจากเข้าเฝ้าเสร็จจึงไปพบขุนนางผู้ใหญ่ตามกรมกองต่างๆ เพื่อขอให้ช่วยสนับสนุนในการประชุมใหญ่ บางคนแบ่งรับแบ่งสู้ ที่ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดก็มีไม่น้อย แต่องค์ชายห้าก็ไม่ถอดใจ ความปรารถนาที่จะปกป้อง เป็นแรงขับให้เขาเดินหน้าต่อไปโดยไม่ย่อท้อ



องค์ชายห้าทำงานติดต่อกันสามวันสามคืนโดยไม่พัก ถึงกระนั้นก็ยังไม่ลืมนัดหมายของกุ้ยฮวา ชายหนุ่มมาเยือนตำหนักเขียวตรงเวลา แม้จะเพลียจนแทบยืนหลับก็ยังข่มอาการเอาไว้ได้ ชายหนุ่มเชื่อว่าขอเพียงได้เห็นหน้านาง ความอ่อนล้าทั้งหลายก็จะหายไป แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ทันทีที่นางออกมาต้อนรับพูดจาทักทาย ความเหน็ดเหนื่อยก็พลันสลายไปสิ้น

“มาแล้วหรือเพคะ หิวไหม หม่อมฉันเตรียมขนมเอาไว้เยอะแยะเลย”

แว่นเว้นจังหวะให้ตอบ เพราะอยากได้ยินเสียงหล่อๆ ของพระเอกหุ่นหมี ทว่าองค์ชายห้ากลับไม่ยอมเอ่ยอะไรสักคำ เอาแต่ยิ้มตาหยี

แว่นไม่เซ้าซี้ให้ตอบเพราะเห็นแก่รอยยิ้มหายาก เขาเดินนำไปที่ห้องรับรอง เพื่อนำเสนอโต๊ะน้ำชาในวันนี้ แว่นดูแลการจัดตกแต่งเองทั้งหมดทุกขั้นตอน เขาสั่งทำถาดใส่ขนมแบบสามชั้นมาเป็นพิเศษ เพื่อเอาใจคนชอบของหวานโดยเฉพาะ

องค์ชายห้าเห็นภูเขาขนมขนาดย่อมต้องชอบแน่ แว่นเลยรอดูปฏิกิริยาอย่างตื่นเต้น ทว่ากลับเป็นฝ่ายตกใจเสียเอง เมื่อพบแขกไม่ได้รับเชิญ

“องค์ชายมาทำอะไรที่นี่เพคะ” แว่นถามเด็กแสบที่กำลังยึดครองโต๊ะน้ำชาอย่างสบายอารมณ์

ไม่มีใครแจ้งกุ้ยฮวาว่าองค์ชายแปดมาพบ แสดงว่าเขาต้องแอบเข้ามาทางหน้าต่าง

“เจ้าจะเลี้ยงตอบแทนคนที่เก็บผ้ามาให้ไม่ใช่หรือ ข้าก็เลยมา” ว่าแล้วก็แสดงหลักฐานด้วยการโบกผ้าโปร่งที่ใช้ในงานเต้นรำ

ผ้าในมือองค์ชายแปดมีรอยขาดเป็นทางยาว แต่จะใช่ของกุ้ยฮวาหรือไม่ เจ้าตัวไม่แน่ใจนักเพราะไม่ได้ปักเอง

“ข้าหิวแล้ว รีบมานั่งสิ” เด็กเอาแต่ใจเร่ง

วันนี้องค์ชายแปดพกความใจกล้าหน้าด้านของหยางผูมาเต็มกระเป๋า ต่อให้ไล่เขาก็จะไม่ไป จะนั่งอยู่เป็นก้างขวางคออย่างนี้จนกว่าจะหมดวัน

นับว่าดีที่องค์ชายหรู่เผยไม่เจอการต่อว่ารุนแรง แค่ถูกทำให้แสบๆ คันๆ ด้วยสายตาอ่อนใจกึ่งเอ็นดู

“ไปยกเก้าอี้เพิ่มมาที เอาซาลาเปาเข้ามาด้วยนะ” แว่นบอกนางกำนัล

คำพูดของกุ้ยฮวาไม่ต่างจากการอนุญาตให้ร่วมโต๊ะ องค์ชายหรู่เผยจึงรุกต่อด้วยการสั่งให้หญิงสาวคีบขนมให้

“นางไม่ใช่คนรับใช้ของเจ้า” องค์ชายห้าตำหนิ

“ก็ไม่ใช่น่ะสิ แต่ข้าพอใจให้นางดูแล ใครจะทำไม” องค์ชายแปดวางท่าท้าทาย

เมื่อก่อนในบรรดาพี่น้องเขากลัวองค์ชายห้ามากที่สุด เพราะเป็นคนเดียวที่กล้าใช้กำลังสั่งสอน แต่พอโตกลับเห็นว่าพี่ชายไม่น่ากลัวเลยสักนิด

องค์ชายห้าไม่ทันโต้ตอบ องค์ชายน้องเล็กก็ถูกเจ้าของสถานที่ตำหนิ

“วันนี้ทำตัวไม่น่ารักเลยนะเพคะ”

“ข้าดีต่อเจ้าก็ได้ รีบเอาใจข้าสิ” ว่าแล้วก็ชี้นิ้วไปที่ขนม

หลังจากตั้งสติวางแผนอยู่หลายวัน ในที่สุดองค์ชายหรู่เผยก็ได้เรียนรู้จากคนใกล้ตัวมาบ้าง หยางผูเป็นตัววุ่นวาย เอาแต่ใจเป็นที่หนึ่ง แต่ไม่มีใครเกลียดเขาจริงจัง เพราะข้อเรียกร้องของชายผู้นี้มักเป็นเรื่องเล็กน้อย ที่สามารถทำให้ได้เพื่อตัดรำคาญ

หยางผูเหมือนโง่แต่กลับฉลาดเอาเปรียบ ยามเมื่อเขาต้องการคนเอาใจ หยางผูจะเลือกพวกใจดี ยืดหยุ่นผ่อนปรนเป็นเป้าหมายแรก เพราะอย่างนี้เข่อซินจึงกลายเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายอยู่ร่ำไป องค์ชายแปดจึงเอาวิธีมาปรับใช้กับกุ้ยฮวาดู

“ข้าหิว...เร็วสิ” ชายหนุ่มเร่งอีก

แว่นสับสนไม่น้อยเมื่อเห็นท่าทีออกคำสั่งที่คล้ายการอ้อน ไม่รู้ว่าจอมวายร้ายวางแผนอะไรมา ถึงทำตัวน่ารักน่ากระทืบแบบแปลกๆ

“ชิ้นนี้ใช่ไหมเพคะ” แว่นถาม ที่ยอมตามใจก็เพื่อดูท่าทีไปก่อน

องค์ชายแปดพยักหน้ารับ แว่นเลยคีบขนมใส่จานเล็กให้

ขนมชิ้นเล็กคำเดียวก็หมดเกลี้ยง เขาเลยขอใหม่อีกเรื่อยๆ คอแห้งก็เรียกหาน้ำชา โดยเจาะจงให้กุ้ยฮวารินให้

แว่นวุ่นวายอยู่กับเด็กแสบ แต่ก็ไม่ละเลยองค์ชายห้า ที่ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะหันไปทีไร ก็เห็นขนมเต็มปากตลอด เลยคีบให้ทีละเยอะๆ คนอื่นไม่รู้มองมาเลยคิดไปว่าเอาใจใส่องค์ชายหรู่เผยมากกว่า

ปัญหาเกิดขึ้นทันที เมื่อคนอื่นที่ว่าดันมีองค์ชายห้ารวมอยู่ด้วย เนื่องจากเขาชอบวางมาดนิ่งเคร่งขรึม แว่นจึงลืมไปว่าเนื้อแท้ชายหนุ่มเป็นคนอารมณ์ร้อนและขี้หึงอย่างร้ายกาจ ขนมที่เห็นทยอยป้อนใส่ปากตัวเอง ล้วนทำเพื่อดับโมโห องค์ชายแปดอ่านออกจึงจงใจยั่วเรื่อยๆ ให้บันดาลโทสะ

“ปากเจ้าเลอะแน่ะ” องค์ชายแปดเอื้อมมือไปที่มุมปากทั้งที่ไม่มีอะไรติด

“อย่าแตะต้องนาง”

องค์ชายห้าหยุดมือขององค์ชายแปดได้ทันก่อนจะสัมผัสผิวเนียน เห็นฉากแบบนี้แล้วแว่นก็นึกถึงวันคืนเก่าๆ องค์ชายเหวินหรงมักเข้ามาขัดขวางไม่ให้องค์ชายหรู่เผยรังแกตนเสมอ แว่นยินดีรับการปกป้อง แต่ไม่คิดว่าการหยอกขององค์ชายแปดเป็นเรื่องใหญ่

“มีติดอยู่จริงๆ เพคะ หม่อมฉันเช็ดออกเองแล้ว”

แว่นยอมโกหกเพื่อไม่ให้เสียบรรยากาศ แต่สองพี่น้องกลับไม่สนใจฟังคำพูดกุ้ยฮวาเลย

“ท่านถือสิทธิ์อะไรมาห้ามข้า คู่หมั้นรึก็ไม่ใช่”

คำพูดจี้ใจดำทำให้แรงบีบที่มือขององค์ชายห้าเพิ่มขึ้นเท่าตัว ทางฝ่ายคนที่ถูกบีบแขนหากเป็นบุรุษทั่วไปคงทนความเจ็บเพื่อรักษาศักดิ์ศรี แต่องค์ชายแปดไม่คิดจะแบกมันให้หนัก เขาแหกปากร้องเสียงดังลั่น

“โอ๊ย! แขนข้า พี่ห้าจะหักแขนข้า”

แว่นได้ยินแบบนั้นก็ตกใจ องค์ชายเหวินหรงเรี่ยวแรงไม่ธรรมดา เขาเห็นกับตามาแล้วตอนชายหนุ่มฉีกมารนิลเป็นสองส่วนด้วยมือเปล่า

“ปล่อยก่อนเพคะองค์ชาย ปล่อย…” แว่นร้องห้าม

องค์ชายห้าคลายมือออกเมื่อได้ยินเสียงวิงวอน เขารู้ว่าทำเกินกว่าเหตุ แต่ไม่อาจหายเคืองในทันที เพราะท่าทีร้อนรนของกุ้ยฮวายามเห็นหรู่เผยบาดเจ็บ

“ขอดูแขนหน่อยเพคะ” แว่นรีบดูอาการให้ทันที

เขาเป็นห่วงองค์ชายแปด แต่ก็คำนึงถึงองค์ชายห้าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน องค์ชายเหวินหรงยังไม่ได้รับการอภัยโทษอย่างเป็นทางการ หากก่อเรื่องทำน้องชายแขนหัก คงถูกส่งกลับหรงซิ่งทันที

แขนขององค์ชายแปดเป็นรอยช้ำน่ากลัว ดูแล้วกระดูกไม่น่าหัก แต่จะร้าวไหมแว่นไม่แน่ใจ เลยขอให้อยู่เฉยๆ สักพัก ขณะรอน้ำแข็งมาประคบ

“ปวดมากไหมเพคะ”

“ปวดสิ ปวดจนยกไม่ขึ้นแล้ว”

ชายหนุ่มใช้มืออีกข้างประคองแขนขวาไว้ด้วยใบหน้าเหยเก แว่นเลยรีบหาหมอนมารองแขนให้

“รอก่อนนะเพคะ หม่อมฉันจะไปเอายาแก้ปวดมาให้กินบรรเทาอาการ แต่ถ้าไม่ไว้ใจจะรอหมอหลวงก็ได้”

แว่นอยากรักษาเขาเอง แต่หากเจ้าตัวไม่เต็มใจก็ไม่คิดบังคับ

“ข้าอยากให้เจ้ารักษา...รีบมานะ”

หายากนักที่คนปากไม่ตรงกับใจจะเอ่ยความจริง แว่นไม่ได้เกลียดองค์ชายแปด เมื่อได้รับความเชื่อถือก็ยินดี จากที่เอ็นดูอยู่แล้วก็เลยเห็นใจมากขึ้น

“เพคะ”

แม้กุ้ยฮวาจะตอบรับสั้นๆ แต่แววตาอ่อนโยนของนางก็ทำให้องค์ชายห้าเกิดความอิจฉา จนต้องเบือนหน้าหนี

องค์ชายแปดพอใจกับปฏิกิริยาตอบสนอง เมื่อกุ้ยฮวาออกไปแล้ว เขาจึงสั่งให้นางกำนัลออกไปพร้อมกันด้วย เพื่อจะได้จัดการศัตรูหัวใจโดยสะดวก

“ขนมนั่น ท่านชอบหรือไม่”

องค์ชายแปดหมายถึงซาลาเปาลูกจิ๋วสารพัดไส้ที่กุ้ยฮวาเป็นคนทำ ซาลาเปาพวกนี้ยังไม่มีใครได้ลิ้มลองเพราะเกิดเรื่องทะเลาะกันเสียก่อน

“ชอบ” องค์ชายห้าตอบเสียงดังฟังชัด

เขาเข้าใจว่าน้องชายไม่ได้สื่อถึงขนม แต่หมายถึงคนทำ

“ข้าก็ชอบเหมือนกัน” องค์ชายแปดยิ้มอย่างชั่วร้าย

ก่อนองค์ชายห้าจะรู้ตัว ซาลาเปาทั้งถาดก็ถูกฉกไปแล้ว องค์ชายหรู่เผยใช้มือข้างที่บาดเจ็บจนร้องครวญครางว่ายกไม่ขึ้น หยิบขนมเข้าปาก กินเย้ยพี่ชายอย่างสบายอารมณ์

“ข้าไม่แบ่งท่านหรอกนะ อะไรที่ข้าอยากได้ ก็ต้องได้ทั้งหมด ไม่มีข้อยกเว้น”

องค์ชายห้าจ้องกลับแต่ไม่โต้ตอบ ชายหนุ่มเตือนตัวเองว่าอย่าได้บันดาลโทสะอีก

องค์ชายแปดยิ้มมุมปาก ดูเหมือนพี่ชายผู้มีวรยุทธ์สูงส่งจะคิดได้แล้วว่าการใช้กำลังไม่ใช่ทางออก แต่เขาก็ไม่คิดจะปล่อยศัตรูหัวใจไปง่ายๆ เมื่อครู่หากเขาไม่เค้นพลังปราณออกมา กระดูกคงแหลกถึงขั้นพิการ ใครเล่าจะคิดว่าพี่ห้าผู้สุขุมจะมีแง่มุมโหดเหี้ยม

“ท่านรู้ไหมว่าจริงๆ แล้วกุ้ยฮวาเป็นคนโหดร้าย”

คำตำหนินี้ไม่ควรออกจากปากคนที่หลงรักนาง แต่เมื่อเอ่ยออกมาย่อมมีเหตุผล

“นางมีน้ำใจกับทุกคน ใครดีด้วยนางดีตอบ ใครตกอับก็เวทนาสงสาร ตอนท่านอยู่หรงซิ่ง นางมักส่งจดหมาย กับข้าวของไปให้สม่ำเสมอ ทำตัวราวกับมีใจ แต่รู้อะไรไหม ท่านได้สิ่งใด ข้าก็ได้สิ่งนั้น พี่ห้า...ท่านบอกข้าทีสิ ว่าทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”

หากยั่วโทสะไม่ได้ก็ต้องหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความระแวง ถึงจะพูดแล้วเจ็บเองก็ช่างประไร อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทรมานอยู่คนเดียว

“นางไม่ใช่คนเช่นนั้น” องค์ชายห้าแก้ต่าง

“หากไม่โหดร้าย แล้วเหตุใดจึงไม่ชัดเจน ท่านกล้าพูดไหมเล่าว่าเคยได้ยินคำรักจากปากนาง”

องค์ชายแปดไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง หากทั้งสองเคยให้คำมั่นต่อกัน ฝ่ายที่จะเจ็บลึกคือเขา ผลจากการยอมแบกรับความเสี่ยงคือชัยชนะอันหอมหวาน สีหน้าที่เปลี่ยนไปกับเสียงตวาด คือเครื่องยืนยันชั้นดีว่าองค์ชายห้าไม่มั่นใจในความสัมพันธ์

“หุบปาก!”

“ข้าแค่พูดความจริง ไยท่านต้องขัดเคือง”

“บอกให้หุบปาก!”

เสียงตะโกนดังขึ้นพร้อมพลังปราณที่รั่วไหลออกมา แม้จะไม่ก่อความเสียหาย แต่ก็ทำให้เกิดสายลมแรง ลอยไปกระแทกหน้าองค์ชายแปด

“เลิกตะคอกสักที!” คนถูกคุกคามตะโกนกลับ “ข้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ ที่จะกลัวจนตัวสั่นเพียงเพราะท่านขึ้นเสียงใส่อีกแล้ว”

“ถ้าไม่ใช่เด็ก ก็หยุดพาลใส่เวลาไม่ได้รับความรักเสียที”

หมัดสวยขององค์ชายห้าทำคนปากดีจุกไม่น้อย องค์ชายแปดเข่นเขี้ยวก่อนจะโต้กลับ

“ท่านเองก็อย่าได้หลงงมงายกับความรักที่ไม่มีจริง”

แววตาขององค์ชายห้าสั่นไหว เขามิได้คล้อยตามคำพูดของน้องชาย เพียงแต่คิดได้ว่าปล่อยให้นางรอนานเหลือเกิน บัดนี้น้องเล็กที่ไม่ได้ความ เติบโตใหญ่จนสามารถต่อกรด้วยได้แล้ว แต่เขากลับก้าวไปไม่ถึงไหน

การโต้เถียงยุติลงเมื่อกุ้ยฮวากลับมาพร้อมยา หญิงสาวยังเตรียมของไม่ครบ แต่ต้องรีบวิ่งมาก่อนเพราะได้ยินเสียงตะโกนลั่นตำหนัก ทว่าพอมาถึงห้องกลับเงียบสนิท ตัวการแยกย้ายไปอยู่กันคนละมุมห้อง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำตัวเหมือนเด็กที่แอบทะเลาะกันลับหลังผู้ใหญ่

แว่นอยากตำหนิแต่คิดว่าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้จะดีกว่า เขาส่งยาแก้ปวดให้องค์ชายแปดกิน แล้วช่วยประคบเย็นให้

ระหว่างที่ทำการรักษานี้ องค์ชายเหวินหรงจ้องมองสองหนุ่มสาวไม่วางตา ความหึงหวงในใจเขาสลายไปหมดแล้ว มีเพียงคำถามเดียวที่ดังก้อง

‘ตอนนี้ข้ายังเป็นแพนด้าของเจ้าอยู่หรือไม่’


-โปรดติดตามตอนต่อไป-

ยิ้มอ่อนท้ายบท
ขณะนี้กาบขวาเรือองค์ชายแปดซ่อมเสร็จแล้วนะคะ
พูดเลยว่าพร้อมรบ โฮะๆ
แล้วพบกันวันศุกร์ค่ะ ^3^



นิชาภา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.พ. 2560, 00:00:18 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 ก.พ. 2560, 00:00:18 น.

จำนวนการเข้าชม : 836





<< ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๗ อย่าได้ดูเบาความรัก   ปัจฉิมบทแห่งสี่โฉมสะคราญ :บทที่ ๙ ความลับขององค์ชายห้า >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account